บทที่ 2 ฝันร้ายที่กลายเป็นจริง
โอเค จิรปริยารู้ตัวว่าเธอเป็นคนชอบนอน นอนได้ทั้งวี่ทั้งวัน นอนชนิดที่เรียกได้ว่ากินบ้านกินเมืองหมดไปเป็นแถบๆ ถ้าไม่ใช่วันที่มีเรียนละก็…โน่นแน่ะ กว่าเธอจะลืมตาตื่นได้ก็เกือบเที่ยง แถมไม่กี่ชั่วโมงถัดจากนั้นก็ต้องเลื้อยกลับไปนอนใหม่
แต่ให้ตายอย่างไรหญิงสาวก็เชื่อไม่ลงว่าเธอเผลอ ‘นอน’ จนตื่นมาอีกทีมีลูกมีสามีแล้วแบบนี้ ดังนั้นเมื่อมองหน้าสองพ่อลูก เธอถึงบอกตัวเองในใจได้ทันทีว่า
ฝัน…นี่มันต้องเป็นความฝันแน่ๆ
‘ความฝัน’ เป็นเพียงเหตุผลเดียวที่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมอยู่ดีๆ เธอที่น่าจะหลับไปเพียงไม่นาน…อย่างมากก็คงไม่เกินครึ่งวัน ถึงได้ตื่นขึ้นอีกทีในโรงพยาบาลทั้งยังมีเด็กชายมาแสดงตัวเป็นลูก ชายหนุ่มมาแสดงตัวเป็นสามีแบบนี้
ร่างในชุดผู้ป่วยสีหวานนั่งกอดอกอยู่บนเตียงคนไข้ใช้ดวงตากลมโตจ้องสำรวจคนทั้งคู่ เริ่มจากคนที่อ้างตัวว่าเป็นลูกชาย
หนูน้อยมีดวงหน้าหวาน จมูกโด่งชัดแบบมั่นใจได้ว่าโตขึ้นไปพ่อแม่ไม่ต้องเสียเงินเสริมดั้งให้ กลีบปากรูปกระจับสีชมพูระเรื่อยิ่งขับให้ดวงหน้าดูน่ารักราวกับตุ๊กตา ดวงตากลมโตสีดำสนิทกะพริบทีก็เห็นขนตายาวเป็นแพ ผิวขาวอมชมพูดูสุขภาพดี
และไม่เพียงแค่หน้าตาผิวพรรณดี เด็กชายที่แทนตัวเองว่า ‘กันและกัน’ ยังมีกิริยามารยาทที่บ่งบอกได้ว่าถูกอบรมมาอย่างดี
จิรปริยาเลิกคิ้ว
นี่น่ะหรือ ลูกชายของเธอ?
หญิงสาวเผลอพยักหน้าหงึกหงักทั้งรอยยิ้ม
ความฝันสรรค์สร้างลูกชายให้เธอได้ไม่เลวเลย
ถ้าพูดกันตามตรงคือเด็กคนนี้ดูดีเกินกว่าจะเชื่อว่าเป็นลูกของเธอด้วยซ้ำ จิรปริยารู้ตัวว่าตนไม่ใช่คนขี้ริ้ว แต่เธอก็รู้ดีอีกนั่นแหละว่าลำพังแค่เธอไม่มีวันรังสรรค์ตุ๊กตาตัวน้อยน่ารักอย่างนี้ออกมาได้แน่ๆ
หางตาเหลือบมองผู้ชายที่นั่งกอดอกไขว่ห้างอยู่บนโซฟาตัวยาวและใช้ดวงตาสีอำพันสวยแปลกคู่นั้นมองเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ริมฝีปากบางระบายรอยยิ้มอ่อนโยนล่อลวงชวนให้หลงใหล
ถ้านี่คือโลกแห่งความจริง จิรปริยาไม่มีวันกล้าจ้องเพศตรงข้ามแบบนี้แน่ๆ แต่เพราะนี่คือโลกแห่งความฝัน ทั้งเขายังอยู่ในฐานะ ‘สามี’ เธอจึงมีสิทธิ์โดยชอบธรรมที่จะสำรวจเขา และให้ตายเถอะ! แม้กระทั่งอยู่ในความฝันเธอก็ยังเผลอหน้าแดงเพราะเขาจนได้
สามีของเธอเป็นหนุ่มหน้าสวย ดวงตาสีน้ำตาลออกทองคมกริบใต้แพขนตายาวเป็นประกาย ริมฝีปากบางได้รูปมักแต้มยิ้มอยู่เกือบตลอดเวลา ผิวพรรณขาวกระจ่างจนมองเห็นเส้นเลือดสีเขียวบนลำคอ หลังมือ และท่อนแขนซึ่งพ้นเสื้อออกมา แถมคะเนดูจากสายตาน่าจะสูงมากๆ อีกด้วย
อืม ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาเลยว่าเธอค่อนข้างพอใจกับ ‘พ่อของลูก’ คนนี้มาก!
เขาช่างมีรูปโฉมงดงามราวกับเดินออกมาจากสเป็กเธออย่างไรอย่างนั้น และจากรูปลักษณ์ของเขาทำให้ไม่ต้องเดาเลยว่าลูกชายเธอมีความคล้ายใครมากกว่ากันระหว่างพ่อกับแม่!
‘กันตกาล’ ที่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วมานานชะงัก เมื่อรู้สึกได้ว่ามารดาแทบจะไม่พูดอะไรเลย แถมยังเอาแต่จ้องหน้าเขากับบิดาอยู่แบบนั้น เด็กชายกะพริบตาปริบ อดหันไปมองบิดาไม่ได้
“ปาป๊า”
นับนิรันดร์ละสายตาจากภรรยามาสบตาลูกชาย พยักหน้าเล็กน้อยบอกให้กันตกาลรู้ว่าสังเกตเห็นความผิดปกตินั้นเหมือนกัน
ไม่สิ ที่จริงตั้งแต่เธอโวยวายว่าจำเขาไม่ได้ นับนิรันดร์คาดเดาว่าต่อจากนั้นภรรยาที่เขารู้จักจะต้องแผดเสียงลั่นหลั่งน้ำตาออกมาอีกชุดใหญ่ แต่เพียงแค่กันตกาลก้าวเท้าเข้ามาเรียกเธอว่า ‘หม่ามี้’ หญิงสาวก็พึมพำออกมาแค่ประโยคเดียวก่อนจะสงบลง
อำพันคู่งามหรี่ลง คิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆ ทว่าสุดท้ายแล้วร่างสูงตัดสินใจลุกขึ้นจากโซฟาเดินไปเท้าแขนบนเตียงคนไข้ ชะโงกตัวเหนือหญิงสาวโดยทิ้งระยะห่างเพียงคืบ มุมปากขยับยิ้มยามเห็นว่าเธอเผลอผงะถอยไปพร้อมกับใบหน้าที่ขึ้นริ้วแดง
“แดหิวรึยังครับ”
หิวเหรอ
จิรปริยานิ่วหน้า เกือบตอบไปแล้วว่า ‘ไม่หิว’ ก็ในความฝันจะหิวได้ยังไงล่ะ แต่ขณะกำลังจะอ้าปากตอบ ความเคลื่อนไหวของน้ำย่อยในกระเพาะก็ทำให้เธอต้องเปลี่ยนเป็นพยักหน้ารับ
“อื้อ”
คิ้วเรียวขมวดมุ่น แปลกใจที่คนเราสามารถหิวได้กระทั่งในความฝัน และยิ่งจมูกได้กลิ่นหอมของข้าวต้มกุ้งซึ่งถูกนับนิรันดร์เข็นจากมุมห้องมาวางตรงหน้าได้ชัดเจน เธอก็เริ่มสะดุดใจ
ไม่ใช่เพราะความเอาใจใส่ของผู้ชายตรงหน้าที่ช่วยแกะหางกุ้งให้ หรือลูกชายตัวน้อยซึ่งเดินไปหยิบส้มมาปอกรอเธอกินล้างปาก ทว่าหญิงสาวเริ่มตระหนักถึงความผิดปกติบางอย่างที่เธอมองข้ามไป
สัมผัสเนื้อแน่นๆ หวานสดใหม่ของกุ้งในปากที่ชัดเจนทำให้หัวคิ้วย่นเข้าหากัน หญิงสาวนิ่วหน้าตักข้าวเม็ดอวบกับน้ำซุปเป่าเข้าปากคำแล้วคำเล่าราวกับต้องการจะพิสูจน์อะไรบางอย่าง ลางสังหรณ์พุ่งขึ้นมาพร้อมอวัยวะชิ้นสำคัญเริ่มกระหน่ำทำงานหนักอีกหน จิรปริยาเผลอร้องลั่นเมื่อข้าวต้มร้อนๆ ที่รีบตักใส่ปากโดยยังไม่ทันจะได้เป่าให้ดีลวกลิ้นจนต้องทิ้งช้อนลงกระทบชามกระเบื้อง
“โอ๊ย!”
“หม่ามี้เป็นอะไรรึเปล่าครับ!” ลูกชายตัวน้อยวิ่งเข้ามาเป็นคนแรกพร้อมกับส้มในมือ ส่วนสามีก็รีบถามด้วยสีหน้าห่วงใยพอกัน
“แด! เป็นอะไรมั้ย ร้อนมากรึเปล่า ดื่มน้ำก่อนเร็ว”
จิรปริยาไม่ได้สนใจพวกเขา เธอดุนลิ้น สัมผัสได้ถึงความฝาดบนอวัยวะรับรส รู้จากประสบการณ์เลยว่าหลังจากนี้เธอจะกินอะไรไม่อร่อยไปอีกสักพัก สำหรับคนที่มีความสุขง่ายๆ กับการกินและการนอนเป็นหลักมันเคยเป็นเรื่องใหญ่ แต่ถ้าเทียบกับสถานการณ์ตอนนี้ เธอคิดว่ามันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
หญิงสาวนิ่งงัน รู้มาตลอดว่าตัวเองเป็นคนความรู้สึกช้าประมาณหนึ่ง ยิ่งกับสถานการณ์แปลกๆ เหตุการณ์น่าตกใจ บางครั้งเธอก็กลายเป็นคนโง่จนตัวเองยังรำคาญ จิรปริยาหลับตารวบรวมสติ พยายามคิดทบทวนเรื่องต่างๆ ใจของเธอหายวาบเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าไม่ใช่แค่กลิ่นหรือรสชาติเท่านั้นที่มัน ‘สมจริง’ เกินไป ตอนแรกที่ตื่นขึ้นมาเธอยังรู้สึกเจ็บปวดตามร่างกายอยู่บ้างแต่เพราะยาแก้ปวดที่กินเข้าไปประกอบกับความตกใจเรื่องลูกชายกับสามีทำให้สมองมึนๆ จนลืมนึกถึง
ภายใต้เปลือกตาปิดสนิท ดวงตาสีนิลไหววูบ หยาดน้ำเริ่มเอ่อท้นกรอบตา
ความฝัน…ทำได้สมจริงขนาดนั้นเลยหรือ
สัมผัสเบาๆ บนผิวแก้มทำเอาเธอถึงกับสะดุ้ง ดวงตากลมโตเบิกกว้างพร้อมหยดน้ำตาที่ร่วงหล่น ร่างเพรียวสั่นระริกอย่างห้ามไม่อยู่ รู้สึกเหมือนอุณหภูมิรอบตัวลดต่ำลงจนสั่นสะท้าน ความหวาดกลัวพุ่งมาเกาะกุมหัวใจ
“หม่ามี้…หม่ามี้เป็นอะไรครับ” เจ้าของมือเล็กๆ บนผิวแก้มร้องลั่น สีหน้าดูตกใจปนทำอะไรไม่ถูกที่อยู่ดีๆ มารดาก็ดูตกใจกลัวขึ้นมา กันตกาลหันกลับไปมองนับนิรันดร์อีกครั้งอย่างขอความช่วยเหลือ
หนุ่มหน้าสวยถอนหายใจ วางแก้วน้ำลงแล้วเลื่อนโต๊ะอาหารออกพร้อมกับขยับเข้าไปใกล้ แขนแข็งแรงดึงร่างในชุดคนป่วยเข้ามากอดหวังให้อ้อมแขนของเขาเยียวยาเธอเหมือนทุกครั้งทว่าภรรยากลับผลักไส ใบหน้าซีดขาวส่ายไปมาช้าๆ ริมฝีปากขยับหากไร้เสียงเล็ดลอด จนครู่หนึ่งจึงแผดเสียงลั่น
“ปะ…ปล่อย ปล่อยฉัน! ปล่อย!”
คนป่วยที่ควรไร้เรี่ยวแรงกลับมีกำลังดีดดิ้นตัวอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรง นับนิรันดร์นิ่วหน้า ชายหนุ่มหันไปมองลูกชายที่ยืนร้องไห้ตัวสั่นอย่างทำอะไรไม่ถูก ปากสั่งด้วยน้ำเสียงนุ่มลึกสงบนิ่งเพราะในเวลาแบบนี้หากเขาร้อนรนไปด้วย ลูกชายตัวน้อยคงสติแตกตามคนเป็นมารดาไปติดๆ
“กันและกัน ไปตามหมอที”
รอจนเขาเรียกครั้งที่สอง ทายาทหนึ่งเดียวจึงพยักหน้าถี่ๆ เด็กชายเม้มปากมองมารดาก่อนจะหมุนตัววิ่งออกจากห้องไป
จากที่มองไล่หลังกันตกาล นับนิรันดร์ก็ต้องรีบหลุบตามองภรรยาในอ้อมแขนซึ่งอยู่ดีๆ ก็นิ่งงันหยุดขัดขืน ชายหนุ่มจึงได้เห็นว่าดวงตาวาวรื้นตื่นตระหนกคู่นั้นมองเลยเขาไป…จับจ้องอยู่บนหน้าจอโทรทัศน์บนผนังซึ่งถูกเปิดทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อคืนโดยไร้คนสนใจมานาน ขณะนี้พิธีกรในรายการข่าวกำลังเริ่มต้นเปิดรายการด้วยการบอกวันเดือนปีตามปกติ
แต่ที่ไม่ปกติ…คือภรรยาของเขา
นับนิรันดร์เลิกคิ้ว มองมือเรียวที่บีบท่อนแขนเขาจนแน่น ระยะห่างแสนใกล้ชิดทำให้เห็นกลีบปากสั่นระริก ไม่…ไม่ใช่แค่ปากเธอที่สั่น แต่กลับเป็นร่างทั้งร่างเลยต่างหาก และเมื่อจิรปริยาหันกลับมามองเขา ดวงตาคู่นั้นก็เหม่อค้าง ถามออกมาทั้งที่สติยังจดจ่ออยู่กับบางอย่าง ความที่แขนของเขาโอบรอบลำตัวช่วงบนของเธอจึงสัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นกระหน่ำแรง
“วันนี้…วันที่เท่าไหร่ เดือนอะไร ปี…ไหน”
นัยน์ตาสีอำพันหลุบมองสีหน้าตื่นตระหนกของภรรยา ระบายลมหายใจหนักอึ้ง ริมฝีปากบางบอกวันเดือนปีออกไปอย่างชัดเจน แน่นอนว่ามันตรงกับที่พิธีกรชายเพิ่งเอ่ยไป และคนฟังก็ทวนข้อมูลนั้นด้วยสีหน้าแข็งทื่อ ไม่นาน…ใบหน้าซีดก็สะบัดไปมา ริมฝีปากบิดเบ้ หลั่งน้ำตาออกมาอีกระลอกใหญ่
“ไม่…ไม่จริง โกหก! คุณโกหก! เป็นไปไม่ได้! มันเป็นไปไม่ได้!”
หญิงสาวกรีดร้อง ร่างเพรียวสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว ปฏิเสธทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้า
ปฏิเสธ…ว่าตอนนี้เธออยู่ในช่วงเวลาที่ห่างจากปัจจุบันถึงสิบสองปีเต็ม!
เฮือก!
ดวงตาสีนิลเบิกกว้าง แผ่นอกสะท้อนขึ้นลงด้วยอัตรากระชั้นถี่ สิ่งแรกที่เธอทำคือหันใบหน้าไปทางขวาและเมื่อพบกระจกเงาบานใหญ่ จิรปริยาก็แทบร้องไห้ออกมา
หญิงสาวกัดริมฝีปาก ก้าวขาลงจากเตียง ยื่นมือไปสัมผัสใบหน้าของตัวเองบนกระจก
“ฝัน…เมื่อกี้…แค่ฝันไป…”
ลมหายใจพรูออกอย่างโล่งอก ขณะที่เธอกำลังยินดีกับการที่ได้กลับมาอยู่ในห้องของตัวเอง และอนาคตซึ่งพรั่งพร้อมไปด้วยลูกและสามีเป็นเพียงภาพฝัน จิรปริยากลับได้ยินเสียงคล้ายนาฬิกาปลุกกรีดร้องแว่วเข้ามาในหู ร่างเพรียวหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาสมาร์ตโฟนที่เธอตั้งปลุกไว้อยู่ทุกวัน ทว่าก่อนที่จะหาเจอก็ราวกับว่าโลกทั้งถูกฉีกกระชาก มือบางพยายามยึดเกาะหัวเตียงไว้แน่น ริมฝีปากกรีดร้องด้วยความตกใจ
“กรี๊ดดดดดดดด”
เสียงกรีดร้องของคนที่หลับสนิทไปเพราะฤทธิ์ยาทำให้กันตกาลซึ่งอาสาไปปิดเสียงนาฬิกาปลุกในสมาร์ตโฟนถึงกับสะดุ้ง เด็กชายเบิกตากว้าง สองขาวิ่งกลับไปเกาะขอบเตียงคนไข้สีหน้าตื่น
“หม่ามี้! ปาป๊า…หม่ามี้เป็นอะไร”
นับนิรันดร์ที่มือข้างหนึ่งวางบนหน้าผากชื้นเหงื่อ เขาส่ายหน้าเบาๆ ขณะกำลังจะตอบหางตาก็เห็นภรรยาเบิกตากว้าง หอบหายใจถี่เหมือนคนวิ่งมาสักสิบกิโลเมตร
“แด ใจเย็นๆ นะแด ไม่เป็นอะไรแล้วนะ”
ชายหนุ่มคว้าเอาร่างเพรียวมากอดไว้แนบอก หวังปลอบโยนให้คนที่คงจะฝันร้ายรู้สึกดีขึ้นเหมือนทุกครั้ง โดยไม่รู้เลยว่าสัมผัสจากเลือดเนื้อของเขานั่นแหละคือฝันร้ายสำหรับเธอ
แวบแรกจิรปริยายังมึนงงเกินกว่าจะจับต้นชนปลายถูก ดวงตาสีนิลเหม่อลอยไร้จุดโฟกัส กระทั่งถูกดึงไปอยู่ในอ้อมแขนของใครคนหนึ่ง ใบหน้าซีกขวาฝังอยู่บนแผ่นอกกว้าง เสียงสะท้อนของหัวใจอีกดวงกระทบโสตประสาท ปลุกสติสัมปชัญญะให้ตื่นตัว
ทั้งๆ ที่เมื่อครู่ยังร้อนวาบจากอัตราการเต้นของหัวใจซึ่งส่งผลกระทบกับการทำงานส่วนอื่นของร่างกาย ทว่าเมื่อรับรู้ได้ชัดเจนว่าเธอกลับมาอยู่ในโลกที่มีทั้งลูกและสามีแล้วจริงๆ จิรปริยาก็รู้สึกว่าทั้งร่างชาวูบ ตั้งแต่หัวจดเท้าหนาวยะเยือกไร้เรี่ยวแรงเหมือนโดนไอซ์บักเก็ตมาหมาดๆ
“แด?” อาการนิ่งงันของคนในอ้อมแขนไม่พ้นสายตานับนิรันดร์ ชายหนุ่มผละออกจากร่างเพรียวระหงที่สั่นน้อยๆ นัยน์ตาสีอำพันหลุบมองหญิงสาวยกมือซ้ายขึ้นมอง ดวงตาสีนิลของเธอจับจ้องไปยังเครื่องประดับชิ้นสำคัญซึ่งตลอดชีวิตยี่สิบสองปีในความทรงจำไม่เคยมีมันอยู่
สุดโคนนิ้วนางข้างซ้ายซึ่งเคยว่างเปล่า แหวนวงหนึ่งแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น การพลิกหลังมือขึ้นมาในระดับสายตาทำให้เห็นเพชรเม็ดงามฝังตัวอยู่กึ่งกลางเครื่องหมายอินฟินิตี้
หญิงสาวหลับตา พรูลมหายใจช้าๆ น้ำตาเม็ดเล็กไหลรินลงมาเงียบๆ
จริงๆ หรือ…
เรื่องราวในตอนนี้…ฝันร้ายในตอนนี้…
…มันเป็นความจริงอย่างนั้นหรือ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 14 ก.พ. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.