X
    Categories: The Endless | เล่ห์ก(า)ลWith Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน The Endless | เล่ห์ก(า)ล บทนำ-บทที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 5

 บทนำ คำขอในคืนข้ามปี

 มันเป็นครั้งแรกในชีวิต…ที่เธอมีโอกาสได้มาเคานต์ดาวน์ท่ามกลางผู้คนมากมายในย่านใจกลางเมือง

ดวงตาสีนิลเป็นประกายระยิบระยับขณะเฝ้ามองตัวเลขบนหน้าจอดิจิตอลขนาดใหญ่เริ่มลดจำนวนลงเรื่อยๆ ทีละวินาที เสียงนับเลขถอยหลังจากคนแปลกหน้านับพันที่มารวมตัวเพื่อก้าวข้ามปีไปพร้อมๆ กันดังกระหึ่ม ท่ามกลางฝูงชนเบียดเสียด เธอถูกปกป้องอยู่ในวงแขนของใครบางคน

ริมฝีปากอิ่มฉีกยิ้มกว้าง และเมื่อเธอยิ้ม…ดวงตากลมโตสดใสก็เหลือให้เห็นเป็นเพียงเส้นโค้งบางๆ แม้จะไม่ได้หันกลับไปมองวงหน้าสวยคมของคนข้างๆ แต่เชื่อเถอะ…เธอยิ้มเพราะเขา ไม่ใช่เพราะศักราชใหม่ที่กำลังจะมาถึง

เขา…คนที่เมื่อปีก่อนยังเป็นหนึ่งในผู้คนซึ่งยืนโดดเด่นอยู่บนเวทีใหญ่ คนที่เธอเคยมองผ่านการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ด้วยความฝันว่าวันหนึ่งเธอจะได้ยืนนับถอยหลังข้ามปีไปพร้อมๆ กับเขาในสถานที่เดียวกัน

และวันนี้มันยิ่งกว่าความฝัน เมื่อเธอไม่เพียงได้เคานต์ดาวน์ในสถานที่เดียวกับเขา แต่ยังได้อยู่ในวงแขนของผู้ชายซึ่งสละโอกาสยืนบนเวทีเพื่อที่จะมายืนเบียดคนนับพันอยู่กับเธอตรงนี้

“สิบ…เก้า…แปด…เจ็ด…”

เสียงนับถอยหลังดังขึ้นพร้อมกับตัวเลขที่ลดจำนวนลงเรื่อยๆ ศักราชใหม่ใกล้เข้ามาทุกที หญิงสาวเป็นอีกคนที่ร่วมตะโกนนับไปด้วย เมื่อเลขสุดท้ายจบลงไปพร้อมๆ กับพลุฉลองปีใหม่กระจายเต็มผืนฟ้า ดวงหน้าหวานก็แหงนมองคนข้างๆ ดวงตาเป็นประกายขณะเอ่ยปาก

“แฮปปี้นิวเยียร์”

เวลาเดียวกับที่เธอกล่าวคำนั้นเหมือนคนอื่นๆ อีกมากมาย ชายหนุ่มกลับยกยิ้ม และเอ่ยประโยคที่แตกต่างกันออกไป

“แต่งงานกันนะ”

ทั้งที่เสียงรอบด้านดังกระหึ่มจนหูแทบดับและชายหนุ่มไม่ได้ใช้เสียงดังกว่าระดับปกติ แต่ราวกับว่าคำพูดของเขาเป็นเพียงประโยคเดียวที่ก้องกังวานอยู่ในโสตประสาท

หญิงสาวไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้น นอกจากประโยคนั้นของเขาและเสียงหัวใจเต้นโหมกระหน่ำอยู่ใต้อกซ้ายของตัวเอง

เมื่อพลุชุดสุดท้ายสิ้นสุดลง เธอจึงแหงนใบหน้าหวานแดงจัดจากอัตราการสูบฉีดโลหิตขึ้นมอง เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความลังเลระคนตื่นเต้น

“เมื่อกี้…พี่ไทม์พูดว่าอะไรนะคะ”

เจ้าของชื่อ ‘ไทม์’ กระตุกยิ้ม หลุบตามองนิ่งแล้วทวนคำ

“แฮปปี้นิวเยียร์”

“อ้อ” คนฟังพยักหน้ารับ ริ้วสีแดงบนใบหน้าจางลง

เมื่อกี้…เธอคงฟังผิดไป

ทว่าขณะที่หญิงสาวกำลังจะหันกลับไปมองบนเวที กลับถูกมือหนึ่งกระชับปลายคางมน ชักจูงให้ต้องสบตาสีอำพันคู่สวยของเขา ริมฝีปากบางคลี่รอยยิ้มชวนให้ใจเต้นแรง

“แฮปปี้นิวเยียร์น่ะแดบอกผม ส่วนผมบอกว่า…” ดวงตาสีอำพันเป็นประกายระยับ มือข้างที่ว่างชูแหวนขึ้นมาระหว่างสายตาสองคู่ ก่อนเอ่ยย้ำประโยคนั้นอีกครั้ง “แต่งงานกันนะครับ”

หัวใจที่ชะลอจังหวะลงกับคำว่า ‘แฮปปี้นิวเยียร์’ ของเขา กลับมาโลดแรงอีกครั้ง หญิงสาวกัดริมฝีปาก ถามย้ำด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ

“พี่ไทม์…ขอแดแต่งงานเหรอ”

ชายหนุ่มปล่อยมือจากดวงหน้าหวานเปลี่ยนเป็นสอดเข้าไปในกระเป๋ากางเกง รอยยิ้มยังประดับอยู่บนวงหน้าสวยคมโดดเด่น เลือกที่จะถามแทนการตอบ

ถาม…ในสิ่งที่เขามั่นใจในคำตอบ

“แล้วจะแต่งมั้ยล่ะ”

“แต่งมั้ยเหรอ…”

ใบหน้าหวานฉายแววครุ่นคิด เธอไม่สามารถตอบคำถามเขาได้ จนกระทั่งทั้งคู่กลับมาอยู่ในรถยนต์ส่วนตัว ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะออกรถ เสียงแหลมใสก็ดังขึ้น

“ไม่ค่ะ!”

มือที่กำลังจะหมุนพวงมาลัยชะงัก ใบหน้าสวยของชายหนุ่มสะบัดกลับมามองคนรักซึ่งเขาเพิ่งเอ่ยปากขอแต่งงาน

และเธอ…ปฏิเสธ?

“เมื่อกี้…แดตอบผมว่าไงนะ” เขาทวนถาม สีหน้าไม่แน่ใจกับสิ่งที่ได้ยิน

บางทีเขาน่าจะฟังผิด ใช่ เขาน่าจะฟังผิดแน่ๆ

หญิงสาวที่ถูกเรียกว่า ‘แด’ กัดริมฝีปาก ดวงตามีร่องรอยของความลังเล แต่สุดท้ายเธอก็ยังยืนยันคำตอบเดิมด้วยน้ำเสียงหนักแน่นขึ้น

“แดบอกว่า…แดจะไม่แต่งงานกับพี่ไทม์”

และนั่น…เป็นคำตอบซึ่งตรงข้ามกับที่เขาคิดไว้!

บทที่ 1 สามีและลูกชาย

‘จิรปริยา’ ชินเสียแล้วที่เธอจะตื่นนอนเพราะอาการสองอย่าง…นั่นคือหิวน้ำและอยากเข้าห้องน้ำ ดังนั้นแม้จะอยู่ในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น ร่างเพรียวก็บิดตัวไปมา ดวงตาปรือขึ้นช้าๆ พร้อมรับภาพเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกบานใหญ่อย่างทุกวัน ขาเรียวกวาดไปทางขวา เตรียมจะก้าวลงจากเตียงควีนไซส์ตามความเคยชิน ทว่าบางสิ่งบางอย่าง…หรือพูดให้ถูกคือ ‘บางคน’ ที่นอนขวางทางอยู่ทำให้ริมฝีปากซึ่งกำลังหาวชะงักค้าง ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ความง่วงงุนถูกแทนด้วยความมึนงงผสมตกใจ ลมหายใจแทบขาดห้วงเมื่อพบว่าห่างจากใบหน้าเธอเพียงคืบ…บนหมอนใบเดียวกัน มีใครบางคนนอนตะแคงหันหน้ามาทางนี้

ร่างทั้งร่างแข็งชะงัก สภาพเธอในตอนนี้คือขาข้างหนึ่งยกขึ้นสูงเตรียมวาดลงจากเตียง แต่เมื่อเอาลงไม่ได้ก็ได้แต่ค้างอยู่เหนือร่างในชุดสีขาวสะอาดตา จิรปริยากะพริบตาถี่ กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ หัวใจเต้นรัวยามกวาดตามองสำรวจ ‘คนแปลกหน้า’ ที่นอนอยู่ข้างตัว

‘เขา’ มีผมสีดำยาวลงมาปรกหน้าผากยาวจนเกือบจะถึงแผงคิ้วเข้มทรงปีกนกสีดำ เปลือกตาปิดสนิท มองเห็นขนตายาวเป็นแพ จมูกโด่งเป็นสันเหมือนคนมีเชื้อสายตะวันตกดูรับกันพอดีกับริมฝีปากบางเฉียบ ผิวของคนตรงหน้าเป็นสีขาวน้ำนมจนเห็นเส้นเลือดสีเขียวพาดตรงลำคอแกร่งชัดเจน

ท่ามกลางความมึนงงกับภาพตรงหน้า มีอยู่คำหนึ่งเด่นชัดขึ้นในหัว

สวย

คนที่กอดอกนอนตะแคงหันมาทางเธอมีใบหน้าที่สวยจริงๆ

สวย…จนหากแผ่นอกที่สะท้อนขึ้นลงใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวปลดกระดุมบนสองสามเม็ดนั่นไม่แบนราบแบบผู้ชายแท้ๆ เธอคงลังเลไม่น้อยว่าคนตรงหน้าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย

คนที่ไม่ชอบมองหน้าใครนักกลับเผลอจ้องเขาอยู่นาน สมองพลันนึกไปว่าผู้ชายตรงหน้าช่างเหมือนกับเทพเจ้าที่ถูกบรรยายไว้ในตำนานกรีก จนกระทั่งเปลือกตาของเขาเปิดขึ้น หญิงสาวแทบหยุดหายใจ ความงดงามลงตัวของเครื่องหน้าทั้งหมดเทียบไม่ได้เลยกับดวงตาคู่นั้น…ดวงตาที่แตกต่างจากทุกคู่ที่เธอเคยเห็น

ตามปกติจิรปริยาจะแยกองค์ประกอบของดวงตาคนเป็นสองส่วนง่ายๆ คือส่วนของตาขาวกับตาดำ ซึ่งตาดำของบางคนอาจจะเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือสีอื่นๆ เพียงเฉดสีเดียว ทว่าของผู้ชายตรงหน้า…ดวงตาของเขาเหมือนมีสามสีไล่เฉดกันอยู่ กึ่งกลางดวงตาเป็นสีดำ ถัดจากนั้นสีที่ครอบครองพื้นที่มากที่สุดเป็นสีน้ำตาลทองสวยซึ่งค่อยๆ ทวีความเข้มขึ้นจนคล้ายจะมีวงแหวนสีน้ำตาลเข้มเกือบดำล้อมกรอบอยู่นอกสุดก่อนจะถึงตาขาว

นี่หรือเปล่านะ…ที่เขาเรียกกันว่า ‘นัยน์ตาสีอำพัน’

สวย…มีเสน่ห์…และ…ลึกลับ

ดวงตาสีแปลกที่ใสกระจ่างดุจน้ำในสระกำลังสะท้อนภาพเธอในนั้นและเมื่อเขากะพริบตา จิรปริยาถึงหลุดจากภวังค์ ขาซ้ายซึ่งยกสูงอยู่นานร่วงตุ้บลงมาทับท่อนขาแข็งแรงในกางเกงสีขาว ร่างเพรียวสะดุ้ง ผงะถอยไปด้านหลัง กลีบปากหลุดเสียงหวีดร้องเมื่อพื้นที่บนเตียงควีนไซส์ซึ่งใช้งานมาเกือบสิบปีนั้นหดเล็กลง

เล็กลงมาก…จนเธอเกือบหงายหลังไปกองกับพื้น!

พึ่บ

ราวกับฉากยอดฮิตในละครน้ำเน่า เทพเจ้าผู้งดงามของเธอเอื้อมแขนยาวๆ มาช่วยไว้ได้ทัน ฉุดรั้งให้หญิงสาวเซถลาไปสู่อ้อมอกกว้าง

การตกอยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายแปลกหน้า…แม้ว่าเขาจะมีรูปโฉมตรงสเป็กเธอมาก! แต่ก็ทำให้ปฏิกิริยาต่อต้านเพศตรงข้ามทำงานโดยอัตโนมัติ สองมือทาบทับบนแผงอกของชายหนุ่ม ในตอนที่เห็นแผ่นอกแน่นแวบๆ จากกระดุมสามเม็ดบนที่ถูกปลดออกหญิงสาวก็รีบช้อนตาขึ้นมองใบหน้าสวยนั้นอีกครั้ง กลั้นใจถลึงตาใส่พร้อมขู่ลอดไรฟันเหมือนแม่เสือคำรามใส่ศัตรู

“ปล่อย!”

หญิงสาวคิดว่าตัวเองเค้นเสียงคำรามใส่หูเขา แต่ไม่เลย…ผู้ชายตรงหน้าไม่ได้มีท่าทีตกใจอะไร ดวงตาสีอำพันเต็มไปด้วยความโล่งใจ ชายหนุ่มก้มลงมาแนบหน้าผากของตนชิดกับหน้าผากชื้นเหงื่อของเธอ กระซิบด้วยน้ำเสียงดีใจ

“ในที่สุดก็ตื่นแล้ว เจ็บตรงไหนมั้ย”

ความใกล้ชิดจนเกินพอดีจากคนแปลกหน้าทำให้หญิงสาวสะดุ้ง พยายามสะบัดตัวหนีออกจากอ้อมกอดของเขาอย่างสุดชีวิต

“ปล่อย! ปล่อยนะ! ปล่อย!!!”

ท่าทีต่อต้านผลักไสอย่างเอาเป็นเอาตายของเธอทำให้เขาชะงัก และเมื่อยอมผละออกห่างเขาก็ได้เห็นดวงตาสีนิลเคลือบคลอไปด้วยน้ำตาแห่งความหวาดกลัว ชายหนุ่มหลับตาลงฝืนสะกดกลั้นความเจ็บปวดในอก ยอมปล่อยเธอให้หลุดพ้นจากอ้อมกอดของตน พอได้รับอิสรภาพร่างเพรียวก็รีบถอยหนีขยับไปเท่าที่พื้นที่แคบๆ บนเตียงจะอำนวย

“คุณ…คุณเข้ามาในห้องฉันได้ยังไง!” เพราะดวงตายังจับจ้องผู้ชายแปลกหน้าด้วยความระแวดระวังจิรปริยาจึงไม่ทันสังเกตสิ่งต่างๆ รอบตัว

“ที่นี่ไม่ใช่ห้องแด” ผู้ชายชุดขาวลืมตาขึ้นมาก่อนจะตอบคำถามเธอด้วยน้ำเสียงแหบพร่า เบื้องลึกของแววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่เธอไม่เข้าใจ

“จะไม่ใช่ได้ยังไง ก็เมื่อคืนฉัน!…” เมื่อกวาดตามองรอบตัวเสียงแหลมก็ขาดห้วง เพราะเห็นชัดแล้วว่าที่นี่ไม่ใช่ห้องนอนของเธอจริงๆ

ทั้งผนังที่ปูด้วยวอลล์เปเปอร์สีเอิร์ธโทน โซฟาเดย์เบดสีครีมตัวใหญ่ และเสาน้ำเกลือที่มีสายระโยงระยางเข้าสู่หลังมือซ้ายของเธอ

ความจริงที่ค้นพบทำให้จิรปริยาหน้ามืดจนเกือบพลัดตกจากเตียงคนไข้ ทว่ากลับเป็นเขาคนเดิมที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือไว้อีกครั้ง สัญชาตญาณสั่งให้เธอเกาะแขนสองข้างของเขาไว้แน่น รอจนถูกช่วยขึ้นไปนั่งบนเตียงได้อย่างมั่นคงไม่เสี่ยงกลิ้งลงไปกระแทกพื้นอีกหญิงสาวก็ค่อยกระถดร่างออกห่างจากชายหนุ่ม สร้างพื้นที่ของตัวเองทันที และการออกแรงดันร่างในชุดสีขาวออกไปก็ทำให้ใบหน้าหวานยับย่น ความเจ็บแล่นแปลบไปตามร่างกายอย่างรวดเร็ว

ขณะที่เธอได้แต่กัดริมฝีปากทั้งใบหน้าขาวซีดอย่างไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง กลับเป็นอีกคนที่เข้าใจทุกอย่างดี ความห่วงใยถูกฉาบทับในดวงตาสีอำพัน ชายหนุ่มค่อยๆ ดันร่างเธอให้นอนราบบนเตียง เป็นสัญชาตญาณอีกเช่นกันที่ทำให้หญิงสาวเผลอต่อต้านด้วยการดิ้นรนจะลุกขึ้น หากคราวนี้เขากลับปรามเสียงดุ

“นอนลงไป”

และเหมือนรู้…เหมือนเขารู้ว่าหากยิ่งสั่ง ยิ่งดุ ยิ่งบังคับ เธอจะยิ่งต่อต้าน ความเข้มงวดบนดวงหน้าสวยคมจึงเลือนหาย สีหน้าเขาอ่อนลงพอๆ กับน้ำเสียง

“แดเจ็บอยู่ นอนลงไปก่อนนะ เดี๋ยวผมเรียกหมอให้”

“หมอ? เรียกหมอมาทำไม คุณเป็นใคร ทำไมรู้จักชื่อฉัน แล้วทำไมฉันมาอยู่ที่นี่” คนเจ็บแบบไม่ทันรู้ตัวนิ่วหน้ารัวคำถามเสียงแผ่ว พยายามเค้นสมองรื้อความทรงจำล่าสุดออกมา ทว่ายิ่งพยายามคิดหาเหตุการณ์เชื่อมโยงระหว่างเมื่อคืนกับตอนนี้ ในหัวก็ยิ่งปวดร้าวเหมือนมีมือยักษ์บีบกะโหลกด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล เม็ดเหงื่อเย็นผุดขึ้นตามกรอบหน้าซีดเผือด หญิงสาวยกมือขึ้นกุมขมับ จำต้องทิ้งตัวนอนแต่โดยดี

พอเห็นสีหน้ามึนงงและเต็มไปด้วยความเจ็บปวดของเธอ ชายหนุ่มก็ถอนหายใจ มือใหญ่วางทาบบนหน้าผากของหญิงสาว ขณะที่อีกข้างกุมมือเธอไว้ ใช้ดวงตาสีอำพันคู่สวยจ้องลึกไปยังดวงตาสีดำสนิท ทอดเสียงอ่อนโยน

“เดี๋ยวผมจะตอบคำถามแดทุกอย่างเลยนะ แต่ตอนนี้ให้ผมเรียกหมอก่อน นะแด…”

“คุณเป็นใคร…คะ” เธอเติมหางเสียงลงไปในวินาทีสุดท้าย ดวงตาสีรัตติกาลจ้องมองวงหน้าสวยคมไม่คุ้นเคยอย่างระแวดระวัง

ท่ามกลางข้อสงสัยนานัปการในหัว นั่นคือคำถามแรกที่จิรปริยาเลือกถามหลังจากที่คณะแพทย์พยาบาลออกจากห้องไปและยาแก้ปวดเริ่มทำงานของมัน สมองหญิงสาวยังไม่ค่อยแจ่มชัดนักแต่ความเจ็บปวดลดลง และตอนนี้เธอต้องการคำอธิบายจากใครสักคน

ซึ่งบังเอิญว่าตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ข้างกายเธอมีเขาเพียงคนเดียว

ผู้ชายในชุดสีขาวตลอดทั้งร่างซึ่งช่วยขับเน้นให้เขาดูราวกับเทพเจ้าจากแดนสวรรค์เบิกตาสีอำพันกว้าง ความรู้สึกมากมายที่เธออ่านไม่ออกหมุนวนอยู่ในดวงตาคู่สวยก่อนเขาจะกดใบหน้าลง หลุบตามองพื้น และเมื่อเงยหน้าขึ้นมาประสานสายตากันอีกครั้ง อำพันลุ่มลึกคู่นั้นก็แฝงรอยร้าวขณะตั้งคำถามกลับ

“แดจำผมไม่ได้?”

เพื่อหาคำตอบให้เขา…และตัวเอง จิรปริยาสูดลมหายใจ รวบรวมความกล้ากวาดตามองสำรวจใบหน้าอีกฝ่ายอีกครั้ง โครงหน้าคม เครื่องหน้างดงาม องค์ประกอบทุกอย่างที่รับกันได้อย่างลงตัวชนิดที่หากเขาไม่เคยผ่านการศัลยกรรมมาก่อน เธอก็เชื่อเหลือเกินว่าผู้ชายคนนี้คงเป็นลูกรักของพระเจ้า ประติมากรรมชิ้นเยี่ยมที่พระองค์บรรจงสรรค์สร้างขึ้นอย่างประณีต

และหญิงสาวมั่นใจ…ถ้าหากว่าเคยเห็น เคยรู้จัก เธอจะต้องไม่มีวันลืมเขาได้แน่ๆ

ผู้ชายที่มีรูปลักษณ์ราวกับเดินออกมาจากสเป็กของเธอแบบนี้

สีหน้าเธอคงบอกคำตอบได้ชัดเจน เขาจึงผ่อนลมหายใจออกมา แววตาดูหนักอึ้ง ความเจ็บปวดที่เห็นเพียงเลือนรางปรากฏบนดวงหน้าสวยของชายหนุ่มราวเสี้ยววินาทีก่อนจะผ่านไป หลงเหลือไว้เพียงใบหน้าสงบนิ่งดวงหนึ่งซึ่งไม่อาจปกปิดแววร้าวรานในดวงตาได้

“สักนิด…ก็จำไม่ได้เลย?”

เธอรู้ว่าเขา ‘พยายาม’ ถามอย่างมีความหวัง จิรปริยารู้สึกผิดนิดๆ ขณะปฏิเสธด้วยสีหน้าจริงจัง

“ไม่ค่ะ”

ริมฝีปากเอ่ยคำตอบอย่างมั่นใจ ทว่าขณะนั้นเองในหัวกลับคล้ายมีเงาภาพบางอย่างพาดผ่านไปอย่างรวดเร็ว

เร็วจนเธอไล่ตามจับมันไม่ทัน และ…เริ่มลังเลในคำตอบ

เหมือนเขามองเห็นความลังเลในดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น ผู้ชายที่จ้องหน้าเธอจึงคลี่ยิ้มบาง เอื้อมมือมาลูบเรือนผมยาวเบาๆ

“ไม่เป็นไร” เขาพึมพำ “บางทีแดอาจจะกำลังมึนๆ อยู่” หลังเอ่ยประโยคที่กระทั่งคนพูดยังไม่แน่ใจว่าใช้มันเพื่อปลอบใจคนที่ลืมกันไปแล้ว หรือ…ปลอบใจตัวเอง เขาก็แนะนำตัวด้วยความหวังว่าอาจจะทำให้เธอกลับมาจำได้ “ผมชื่อไทม์”

เขาชื่อ ‘ไทม์’

จิรปริยาจ้องดวงหน้าสวยคมนิ่ง พยายามนึกไล่ย้อนไปหาคนชื่อ ‘ไทม์’ สักคนในชีวิต แต่กลับว่างเปล่า…เธอหาเขาไม่พบ เดี๋ยว…

คิ้วเรียวสวยได้รูปโดยไม่ต้องพึ่งการแต่งเติมขมวดมุ่น ใบหน้าสะบัดนิดๆ เมื่อพบว่าแท้จริงแล้วคล้ายๆ ว่ามีภาพบางอย่าง…คนบางคน…อยู่ตรงปลายทางของความทรงจำ ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังกลุ่มหมอกควันสีขุ่นขมุกขมัวจนเธอเริ่มไม่มั่นใจว่าตกลงตัวเองรู้จักหรือไม่รู้จักเขากันแน่

ความลังเลบนดวงหน้าหวานซีดทำให้ผู้ชายที่มีชื่อตามกฎหมายว่า ‘นับนิรันดร์ ไทม์ เทวกาล’ ถอนหายใจ แววตาแสดงความปวดร้าวเยาะหยันให้กับบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งก็คือโชคชะตาระหว่างเขากับเธอ

“โอเค ไม่เป็นไร” เขาพึมพำ หลุบตาลงต่ำครู่หนึ่งราวกับจะซ่อนความเจ็บปวดผิดหวังให้พ้นจากสายตาเธอ กระทั่งสามารถควบคุมสีหน้าแววตาได้ มือใหญ่จึงเอื้อมขึ้นไปประคองวงหน้าคนป่วยเอาไว้จนระยะห่างระหว่างทั้งคู่เหลือเพียงแค่ฝ่ามือกั้น และใช้ดวงตาสีอำพันคู่สวยจ้องลึกลงไปในดวงตาสีนิลคล้ายต้องการให้ความงามของมันร่ายมนตร์สะกดเธอไว้ เสียงนุ่มลึกเอ่ยแนะนำตัวอีกครั้ง

“ผมชื่อไทม์” เขาย้ำ ตามด้วยเน้นหนักถึงตำแหน่งของตัวเองในชีวิตอีกฝ่าย “เป็นสามีของแด” 

จิรปริยาผงะ สมองชาวาบคล้ายถูกนาบด้วยน้ำแข็งก้อนใหญ่ มึนงงสับสนจนคิดอะไรไม่ออก ผิดกับก้อนเนื้อในอกซ้ายที่ขยันทำงานราวกับได้ค่าโอทีเพิ่มถึงได้เต้นถี่ยิบจนแผ่นอกสะท้อนขึ้นลงไม่หยุด ดวงตากลมโตเหม่อค้างจับจ้องวงหน้าสวยคม แวบแรกเธอเห็นเพียงภาพเบลอๆ เหมือนมองผ่านเลนส์กล้องที่หลุดโฟกัส ต้องใช้เวลารวบรวมสติพักหนึ่งกว่าจะเห็นชัดถึงทุกเส้นสายแห่งความสมบูรณ์แบบของอีกฝ่าย

ผู้ชาย…ที่บอกว่าเขาเป็น ‘สามี’ ของเธอ

“สา…มี?” เธอทวนคำช้าๆ สีหน้ายังว่างเปล่าเหมือนไม่เข้าใจความหมายของคำคำนั้น

“อื้อ สามี” ผู้เป็นสามีพยักหน้ารับ

“สามีที่หมายถึง…คนที่เป็น…คู่รัก…คู่ครอง…คู่ชีวิต คนที่เป็น…” จิรปริยากลอกตาไปมา ร่ายคำอธิบายความหมายของคำสั้นๆ ว่า ‘สามี’ ออกมายาวเหยียดกว่าที่พจนานุกรมบัญญัติ และดูจะยาวเกินความจำเป็นสำหรับคนฟัง หนุ่มหน้าสวยจึงผงกหัวอีกครั้ง

“อื้อใช่ สามี…หรือเรียกแบบบ้านๆ ว่าผัวนั่นแหละ”

เป็นอีกครั้งที่เธอผงะ ใบหน้าขาวซีดสลับแดงจนน่าตกใจ สองมือผลักผู้ชายแปลกหน้าที่ไร้ตัวตนในความทรงจำแต่กลับดำรงอยู่ในตำแหน่งสำคัญด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล และเพราะไม่ทันตั้งตัว…คนที่ยืนอยู่ข้างเตียงจึงเซถอยหลังไปหลายก้าว

“ล้อเล่นแบบนี้ไม่ขำนะ!” หญิงสาวขมวดคิ้ว สูดลมหายใจแรง ยกมือขึ้นกอดอกจ้องหน้าเขาด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว

คนถูกผลักเพียงยกมือขึ้นกอดอก จ้องเธอกลับด้วยสีหน้าจริงจังบ้าง

“แล้วใครบอกว่าผมล้อเล่น เรื่องแบบนี้ใครจะล้อเล่นกัน”

ความจริงจังซึ่งอาบไล้บนใบหน้าและดวงตาอีกฝ่ายทำให้จิรปริยาใจสั่น ความกลัวแล่นปลาบเข้ามาเกาะกุมหัวใจซึ่งยังคงเต้นกระหน่ำไม่ผ่อนจังหวะลง ขณะไม่ทันได้ตั้งตัว กลับเป็นเขาบ้างที่พุ่งเข้ามาคว้ามือซ้ายซึ่งถูกถอดสายน้ำเกลือออกไปแล้วขึ้นไปอยู่ในระดับสายตา ปลายนิ้วเรียวยาวเย็นนิดๆ ไล้เครื่องประดับที่เธอไม่ทันสังเกตเห็น…และมั่นใจว่าไม่เคยเห็นมาก่อนบนนิ้วนางข้างซ้ายของตัวเอง

“นี่ไงหลักฐาน…แหวนแต่งงานของเรา”

“ไม่! ไม่จริง! คุณโกหก!”

ไม่มีทางที่ผู้หญิงโสดวัยยี่สิบสองปีอย่างเธอ…จะมีสามีได้เพียงชั่วข้ามคืน ระหว่างที่เธอเริ่มดิ้นรนโวยวายใส่หาว่าเขาโกหกประตูห้องพักฟื้นก็ถูกเปิดเข้ามา ร่างเล็กวิ่งมาหยุดตรงหน้าเธอด้วยสีหน้าตื่นตกใจ ตอนแรกจิรปริยาไม่เห็นเด็กคนนั้น ไม่รับรู้การมาถึง จนกระทั่งเสียงตื่นตระหนกดังขึ้น

“หม่ามี้เป็นอะไรครับ!”

เท่านั้นแหละ จิรปริยาก็หันขวับไปมองต้นเสียง กวาดมองเครื่องหน้าละเอียดอ่อนของเด็กชายตัวน้อยที่หากเขาไม่ลงท้ายคำพูดว่า ‘ครับ’ และมีผมสั้น ด้วยใบหน้าหวานๆ กับดวงตากลมโตสีดำสนิทนั่นเธอคงเผลอนึกไปว่าเขาเป็นเด็กผู้หญิง

หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอ ริมฝีปากสั่นระริก เอ่ยถามเสียงพร่า

“เมื่อกี้…น้องพูดว่าไงนะ”

เด็กชายกะพริบตาปริบ ดวงหน้าหวานเต็มไปด้วยความสับสนหันไปมองผู้ชายที่ชื่อไทม์ ก่อนตอบเธอด้วยน้ำเสียงแปลกใจ

“กันและกันถามว่า…หม่ามี้เป็นอะไรครับ”

อีกครั้งแล้วที่สมองเธอไม่ทำงาน ทั่วทั้งร่างชาวาบ หญิงสาวผู้มั่นใจว่าใช้ภาษาแม่ได้ดีมากมาตลอดถึงกับต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะประมวลผลได้ว่าคำว่า ‘หม่ามี้’ นั้น มีความหมายเดียวกับคำว่า ‘แม่’

จิรปริยามองเด็กชายหน้าหวานสลับกับผู้ชายหน้าสวย คนหนึ่งบอกว่าเป็น ‘สามี’ ขณะที่อีกคนเรียกเธอว่า ‘หม่ามี้’

ดวงตากลมโตกะพริบถี่ เลือดในกายแล่นพล่านจนได้ยินเสียงชีพจรเต้นดัง ‘ตุบๆ’ ด้วยจังหวะถี่รัว เธอสูดลมหายใจลึกก่อนจะเอ่ยเสียงพร่า

“เอิ่ม…โอเค…นี่สรุปว่าตอนนี้ฉัน…มีทั้งสามีแล้วก็ลูก…เลยเหรอเนี่ย”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 12 .. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: