X
    Categories: The Endless | เล่ห์ก(า)ลWith Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน The Endless | เล่ห์ก(า)ล บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 2 ฝันร้ายที่กลายเป็นจริง

 โอเค จิรปริยารู้ตัวว่าเธอเป็นคนชอบนอน นอนได้ทั้งวี่ทั้งวัน นอนชนิดที่เรียกได้ว่ากินบ้านกินเมืองหมดไปเป็นแถบๆ ถ้าไม่ใช่วันที่มีเรียนละก็…โน่นแน่ะ กว่าเธอจะลืมตาตื่นได้ก็เกือบเที่ยง แถมไม่กี่ชั่วโมงถัดจากนั้นก็ต้องเลื้อยกลับไปนอนใหม่

แต่ให้ตายอย่างไรหญิงสาวก็เชื่อไม่ลงว่าเธอเผลอ ‘นอน’ จนตื่นมาอีกทีมีลูกมีสามีแล้วแบบนี้ ดังนั้นเมื่อมองหน้าสองพ่อลูก เธอถึงบอกตัวเองในใจได้ทันทีว่า

ฝัน…นี่มันต้องเป็นความฝันแน่ๆ

‘ความฝัน’ เป็นเพียงเหตุผลเดียวที่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมอยู่ดีๆ เธอที่น่าจะหลับไปเพียงไม่นาน…อย่างมากก็คงไม่เกินครึ่งวัน ถึงได้ตื่นขึ้นอีกทีในโรงพยาบาลทั้งยังมีเด็กชายมาแสดงตัวเป็นลูก ชายหนุ่มมาแสดงตัวเป็นสามีแบบนี้

ร่างในชุดผู้ป่วยสีหวานนั่งกอดอกอยู่บนเตียงคนไข้ใช้ดวงตากลมโตจ้องสำรวจคนทั้งคู่ เริ่มจากคนที่อ้างตัวว่าเป็นลูกชาย

หนูน้อยมีดวงหน้าหวาน จมูกโด่งชัดแบบมั่นใจได้ว่าโตขึ้นไปพ่อแม่ไม่ต้องเสียเงินเสริมดั้งให้ กลีบปากรูปกระจับสีชมพูระเรื่อยิ่งขับให้ดวงหน้าดูน่ารักราวกับตุ๊กตา ดวงตากลมโตสีดำสนิทกะพริบทีก็เห็นขนตายาวเป็นแพ ผิวขาวอมชมพูดูสุขภาพดี

และไม่เพียงแค่หน้าตาผิวพรรณดี เด็กชายที่แทนตัวเองว่า ‘กันและกัน’ ยังมีกิริยามารยาทที่บ่งบอกได้ว่าถูกอบรมมาอย่างดี

จิรปริยาเลิกคิ้ว

นี่น่ะหรือ ลูกชายของเธอ?

หญิงสาวเผลอพยักหน้าหงึกหงักทั้งรอยยิ้ม

ความฝันสรรค์สร้างลูกชายให้เธอได้ไม่เลวเลย

ถ้าพูดกันตามตรงคือเด็กคนนี้ดูดีเกินกว่าจะเชื่อว่าเป็นลูกของเธอด้วยซ้ำ จิรปริยารู้ตัวว่าตนไม่ใช่คนขี้ริ้ว แต่เธอก็รู้ดีอีกนั่นแหละว่าลำพังแค่เธอไม่มีวันรังสรรค์ตุ๊กตาตัวน้อยน่ารักอย่างนี้ออกมาได้แน่ๆ

หางตาเหลือบมองผู้ชายที่นั่งกอดอกไขว่ห้างอยู่บนโซฟาตัวยาวและใช้ดวงตาสีอำพันสวยแปลกคู่นั้นมองเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ริมฝีปากบางระบายรอยยิ้มอ่อนโยนล่อลวงชวนให้หลงใหล

ถ้านี่คือโลกแห่งความจริง จิรปริยาไม่มีวันกล้าจ้องเพศตรงข้ามแบบนี้แน่ๆ แต่เพราะนี่คือโลกแห่งความฝัน ทั้งเขายังอยู่ในฐานะ ‘สามี’ เธอจึงมีสิทธิ์โดยชอบธรรมที่จะสำรวจเขา และให้ตายเถอะ! แม้กระทั่งอยู่ในความฝันเธอก็ยังเผลอหน้าแดงเพราะเขาจนได้

สามีของเธอเป็นหนุ่มหน้าสวย ดวงตาสีน้ำตาลออกทองคมกริบใต้แพขนตายาวเป็นประกาย ริมฝีปากบางได้รูปมักแต้มยิ้มอยู่เกือบตลอดเวลา ผิวพรรณขาวกระจ่างจนมองเห็นเส้นเลือดสีเขียวบนลำคอ หลังมือ และท่อนแขนซึ่งพ้นเสื้อออกมา แถมคะเนดูจากสายตาน่าจะสูงมากๆ อีกด้วย

อืม ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาเลยว่าเธอค่อนข้างพอใจกับ ‘พ่อของลูก’ คนนี้มาก!

เขาช่างมีรูปโฉมงดงามราวกับเดินออกมาจากสเป็กเธออย่างไรอย่างนั้น และจากรูปลักษณ์ของเขาทำให้ไม่ต้องเดาเลยว่าลูกชายเธอมีความคล้ายใครมากกว่ากันระหว่างพ่อกับแม่!

‘กันตกาล’ ที่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วมานานชะงัก เมื่อรู้สึกได้ว่ามารดาแทบจะไม่พูดอะไรเลย แถมยังเอาแต่จ้องหน้าเขากับบิดาอยู่แบบนั้น เด็กชายกะพริบตาปริบ อดหันไปมองบิดาไม่ได้

“ปาป๊า”

นับนิรันดร์ละสายตาจากภรรยามาสบตาลูกชาย พยักหน้าเล็กน้อยบอกให้กันตกาลรู้ว่าสังเกตเห็นความผิดปกตินั้นเหมือนกัน

ไม่สิ ที่จริงตั้งแต่เธอโวยวายว่าจำเขาไม่ได้ นับนิรันดร์คาดเดาว่าต่อจากนั้นภรรยาที่เขารู้จักจะต้องแผดเสียงลั่นหลั่งน้ำตาออกมาอีกชุดใหญ่ แต่เพียงแค่กันตกาลก้าวเท้าเข้ามาเรียกเธอว่า ‘หม่ามี้’ หญิงสาวก็พึมพำออกมาแค่ประโยคเดียวก่อนจะสงบลง

อำพันคู่งามหรี่ลง คิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆ ทว่าสุดท้ายแล้วร่างสูงตัดสินใจลุกขึ้นจากโซฟาเดินไปเท้าแขนบนเตียงคนไข้ ชะโงกตัวเหนือหญิงสาวโดยทิ้งระยะห่างเพียงคืบ มุมปากขยับยิ้มยามเห็นว่าเธอเผลอผงะถอยไปพร้อมกับใบหน้าที่ขึ้นริ้วแดง

“แดหิวรึยังครับ”

หิวเหรอ

จิรปริยานิ่วหน้า เกือบตอบไปแล้วว่า ‘ไม่หิว’ ก็ในความฝันจะหิวได้ยังไงล่ะ แต่ขณะกำลังจะอ้าปากตอบ ความเคลื่อนไหวของน้ำย่อยในกระเพาะก็ทำให้เธอต้องเปลี่ยนเป็นพยักหน้ารับ

“อื้อ”

คิ้วเรียวขมวดมุ่น แปลกใจที่คนเราสามารถหิวได้กระทั่งในความฝัน และยิ่งจมูกได้กลิ่นหอมของข้าวต้มกุ้งซึ่งถูกนับนิรันดร์เข็นจากมุมห้องมาวางตรงหน้าได้ชัดเจน เธอก็เริ่มสะดุดใจ

ไม่ใช่เพราะความเอาใจใส่ของผู้ชายตรงหน้าที่ช่วยแกะหางกุ้งให้ หรือลูกชายตัวน้อยซึ่งเดินไปหยิบส้มมาปอกรอเธอกินล้างปาก ทว่าหญิงสาวเริ่มตระหนักถึงความผิดปกติบางอย่างที่เธอมองข้ามไป

สัมผัสเนื้อแน่นๆ หวานสดใหม่ของกุ้งในปากที่ชัดเจนทำให้หัวคิ้วย่นเข้าหากัน หญิงสาวนิ่วหน้าตักข้าวเม็ดอวบกับน้ำซุปเป่าเข้าปากคำแล้วคำเล่าราวกับต้องการจะพิสูจน์อะไรบางอย่าง ลางสังหรณ์พุ่งขึ้นมาพร้อมอวัยวะชิ้นสำคัญเริ่มกระหน่ำทำงานหนักอีกหน จิรปริยาเผลอร้องลั่นเมื่อข้าวต้มร้อนๆ ที่รีบตักใส่ปากโดยยังไม่ทันจะได้เป่าให้ดีลวกลิ้นจนต้องทิ้งช้อนลงกระทบชามกระเบื้อง

“โอ๊ย!”

“หม่ามี้เป็นอะไรรึเปล่าครับ!” ลูกชายตัวน้อยวิ่งเข้ามาเป็นคนแรกพร้อมกับส้มในมือ ส่วนสามีก็รีบถามด้วยสีหน้าห่วงใยพอกัน

“แด! เป็นอะไรมั้ย ร้อนมากรึเปล่า ดื่มน้ำก่อนเร็ว”

จิรปริยาไม่ได้สนใจพวกเขา เธอดุนลิ้น สัมผัสได้ถึงความฝาดบนอวัยวะรับรส รู้จากประสบการณ์เลยว่าหลังจากนี้เธอจะกินอะไรไม่อร่อยไปอีกสักพัก สำหรับคนที่มีความสุขง่ายๆ กับการกินและการนอนเป็นหลักมันเคยเป็นเรื่องใหญ่ แต่ถ้าเทียบกับสถานการณ์ตอนนี้ เธอคิดว่ามันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น

หญิงสาวนิ่งงัน รู้มาตลอดว่าตัวเองเป็นคนความรู้สึกช้าประมาณหนึ่ง ยิ่งกับสถานการณ์แปลกๆ เหตุการณ์น่าตกใจ บางครั้งเธอก็กลายเป็นคนโง่จนตัวเองยังรำคาญ จิรปริยาหลับตารวบรวมสติ พยายามคิดทบทวนเรื่องต่างๆ ใจของเธอหายวาบเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าไม่ใช่แค่กลิ่นหรือรสชาติเท่านั้นที่มัน ‘สมจริง’ เกินไป ตอนแรกที่ตื่นขึ้นมาเธอยังรู้สึกเจ็บปวดตามร่างกายอยู่บ้างแต่เพราะยาแก้ปวดที่กินเข้าไปประกอบกับความตกใจเรื่องลูกชายกับสามีทำให้สมองมึนๆ จนลืมนึกถึง

ภายใต้เปลือกตาปิดสนิท ดวงตาสีนิลไหววูบ หยาดน้ำเริ่มเอ่อท้นกรอบตา

ความฝัน…ทำได้สมจริงขนาดนั้นเลยหรือ

สัมผัสเบาๆ บนผิวแก้มทำเอาเธอถึงกับสะดุ้ง ดวงตากลมโตเบิกกว้างพร้อมหยดน้ำตาที่ร่วงหล่น ร่างเพรียวสั่นระริกอย่างห้ามไม่อยู่ รู้สึกเหมือนอุณหภูมิรอบตัวลดต่ำลงจนสั่นสะท้าน ความหวาดกลัวพุ่งมาเกาะกุมหัวใจ

“หม่ามี้…หม่ามี้เป็นอะไรครับ” เจ้าของมือเล็กๆ บนผิวแก้มร้องลั่น สีหน้าดูตกใจปนทำอะไรไม่ถูกที่อยู่ดีๆ มารดาก็ดูตกใจกลัวขึ้นมา กันตกาลหันกลับไปมองนับนิรันดร์อีกครั้งอย่างขอความช่วยเหลือ

หนุ่มหน้าสวยถอนหายใจ วางแก้วน้ำลงแล้วเลื่อนโต๊ะอาหารออกพร้อมกับขยับเข้าไปใกล้ แขนแข็งแรงดึงร่างในชุดคนป่วยเข้ามากอดหวังให้อ้อมแขนของเขาเยียวยาเธอเหมือนทุกครั้งทว่าภรรยากลับผลักไส ใบหน้าซีดขาวส่ายไปมาช้าๆ ริมฝีปากขยับหากไร้เสียงเล็ดลอด จนครู่หนึ่งจึงแผดเสียงลั่น

“ปะ…ปล่อย ปล่อยฉัน! ปล่อย!”

คนป่วยที่ควรไร้เรี่ยวแรงกลับมีกำลังดีดดิ้นตัวอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรง นับนิรันดร์นิ่วหน้า ชายหนุ่มหันไปมองลูกชายที่ยืนร้องไห้ตัวสั่นอย่างทำอะไรไม่ถูก ปากสั่งด้วยน้ำเสียงนุ่มลึกสงบนิ่งเพราะในเวลาแบบนี้หากเขาร้อนรนไปด้วย ลูกชายตัวน้อยคงสติแตกตามคนเป็นมารดาไปติดๆ

“กันและกัน ไปตามหมอที”

รอจนเขาเรียกครั้งที่สอง ทายาทหนึ่งเดียวจึงพยักหน้าถี่ๆ เด็กชายเม้มปากมองมารดาก่อนจะหมุนตัววิ่งออกจากห้องไป

จากที่มองไล่หลังกันตกาล นับนิรันดร์ก็ต้องรีบหลุบตามองภรรยาในอ้อมแขนซึ่งอยู่ดีๆ ก็นิ่งงันหยุดขัดขืน ชายหนุ่มจึงได้เห็นว่าดวงตาวาวรื้นตื่นตระหนกคู่นั้นมองเลยเขาไป…จับจ้องอยู่บนหน้าจอโทรทัศน์บนผนังซึ่งถูกเปิดทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อคืนโดยไร้คนสนใจมานาน ขณะนี้พิธีกรในรายการข่าวกำลังเริ่มต้นเปิดรายการด้วยการบอกวันเดือนปีตามปกติ

แต่ที่ไม่ปกติ…คือภรรยาของเขา

นับนิรันดร์เลิกคิ้ว มองมือเรียวที่บีบท่อนแขนเขาจนแน่น ระยะห่างแสนใกล้ชิดทำให้เห็นกลีบปากสั่นระริก ไม่…ไม่ใช่แค่ปากเธอที่สั่น แต่กลับเป็นร่างทั้งร่างเลยต่างหาก และเมื่อจิรปริยาหันกลับมามองเขา ดวงตาคู่นั้นก็เหม่อค้าง ถามออกมาทั้งที่สติยังจดจ่ออยู่กับบางอย่าง ความที่แขนของเขาโอบรอบลำตัวช่วงบนของเธอจึงสัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นกระหน่ำแรง

“วันนี้…วันที่เท่าไหร่ เดือนอะไร ปี…ไหน”

นัยน์ตาสีอำพันหลุบมองสีหน้าตื่นตระหนกของภรรยา ระบายลมหายใจหนักอึ้ง ริมฝีปากบางบอกวันเดือนปีออกไปอย่างชัดเจน แน่นอนว่ามันตรงกับที่พิธีกรชายเพิ่งเอ่ยไป และคนฟังก็ทวนข้อมูลนั้นด้วยสีหน้าแข็งทื่อ ไม่นาน…ใบหน้าซีดก็สะบัดไปมา ริมฝีปากบิดเบ้ หลั่งน้ำตาออกมาอีกระลอกใหญ่

“ไม่…ไม่จริง โกหก! คุณโกหก! เป็นไปไม่ได้! มันเป็นไปไม่ได้!”

หญิงสาวกรีดร้อง ร่างเพรียวสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว ปฏิเสธทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้า

ปฏิเสธ…ว่าตอนนี้เธออยู่ในช่วงเวลาที่ห่างจากปัจจุบันถึงสิบสองปีเต็ม!

 

เฮือก!

ดวงตาสีนิลเบิกกว้าง แผ่นอกสะท้อนขึ้นลงด้วยอัตรากระชั้นถี่ สิ่งแรกที่เธอทำคือหันใบหน้าไปทางขวาและเมื่อพบกระจกเงาบานใหญ่ จิรปริยาก็แทบร้องไห้ออกมา

หญิงสาวกัดริมฝีปาก ก้าวขาลงจากเตียง ยื่นมือไปสัมผัสใบหน้าของตัวเองบนกระจก

“ฝัน…เมื่อกี้…แค่ฝันไป…”

ลมหายใจพรูออกอย่างโล่งอก ขณะที่เธอกำลังยินดีกับการที่ได้กลับมาอยู่ในห้องของตัวเอง และอนาคตซึ่งพรั่งพร้อมไปด้วยลูกและสามีเป็นเพียงภาพฝัน จิรปริยากลับได้ยินเสียงคล้ายนาฬิกาปลุกกรีดร้องแว่วเข้ามาในหู ร่างเพรียวหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาสมาร์ตโฟนที่เธอตั้งปลุกไว้อยู่ทุกวัน ทว่าก่อนที่จะหาเจอก็ราวกับว่าโลกทั้งถูกฉีกกระชาก มือบางพยายามยึดเกาะหัวเตียงไว้แน่น ริมฝีปากกรีดร้องด้วยความตกใจ

 

“กรี๊ดดดดดดดด”

เสียงกรีดร้องของคนที่หลับสนิทไปเพราะฤทธิ์ยาทำให้กันตกาลซึ่งอาสาไปปิดเสียงนาฬิกาปลุกในสมาร์ตโฟนถึงกับสะดุ้ง เด็กชายเบิกตากว้าง สองขาวิ่งกลับไปเกาะขอบเตียงคนไข้สีหน้าตื่น

“หม่ามี้! ปาป๊า…หม่ามี้เป็นอะไร”

นับนิรันดร์ที่มือข้างหนึ่งวางบนหน้าผากชื้นเหงื่อ เขาส่ายหน้าเบาๆ ขณะกำลังจะตอบหางตาก็เห็นภรรยาเบิกตากว้าง หอบหายใจถี่เหมือนคนวิ่งมาสักสิบกิโลเมตร

“แด ใจเย็นๆ นะแด ไม่เป็นอะไรแล้วนะ”

ชายหนุ่มคว้าเอาร่างเพรียวมากอดไว้แนบอก หวังปลอบโยนให้คนที่คงจะฝันร้ายรู้สึกดีขึ้นเหมือนทุกครั้ง โดยไม่รู้เลยว่าสัมผัสจากเลือดเนื้อของเขานั่นแหละคือฝันร้ายสำหรับเธอ

แวบแรกจิรปริยายังมึนงงเกินกว่าจะจับต้นชนปลายถูก ดวงตาสีนิลเหม่อลอยไร้จุดโฟกัส กระทั่งถูกดึงไปอยู่ในอ้อมแขนของใครคนหนึ่ง ใบหน้าซีกขวาฝังอยู่บนแผ่นอกกว้าง เสียงสะท้อนของหัวใจอีกดวงกระทบโสตประสาท ปลุกสติสัมปชัญญะให้ตื่นตัว

ทั้งๆ ที่เมื่อครู่ยังร้อนวาบจากอัตราการเต้นของหัวใจซึ่งส่งผลกระทบกับการทำงานส่วนอื่นของร่างกาย ทว่าเมื่อรับรู้ได้ชัดเจนว่าเธอกลับมาอยู่ในโลกที่มีทั้งลูกและสามีแล้วจริงๆ จิรปริยาก็รู้สึกว่าทั้งร่างชาวูบ ตั้งแต่หัวจดเท้าหนาวยะเยือกไร้เรี่ยวแรงเหมือนโดนไอซ์บักเก็ตมาหมาดๆ

“แด?” อาการนิ่งงันของคนในอ้อมแขนไม่พ้นสายตานับนิรันดร์ ชายหนุ่มผละออกจากร่างเพรียวระหงที่สั่นน้อยๆ นัยน์ตาสีอำพันหลุบมองหญิงสาวยกมือซ้ายขึ้นมอง ดวงตาสีนิลของเธอจับจ้องไปยังเครื่องประดับชิ้นสำคัญซึ่งตลอดชีวิตยี่สิบสองปีในความทรงจำไม่เคยมีมันอยู่

สุดโคนนิ้วนางข้างซ้ายซึ่งเคยว่างเปล่า แหวนวงหนึ่งแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น การพลิกหลังมือขึ้นมาในระดับสายตาทำให้เห็นเพชรเม็ดงามฝังตัวอยู่กึ่งกลางเครื่องหมายอินฟินิตี้

หญิงสาวหลับตา พรูลมหายใจช้าๆ น้ำตาเม็ดเล็กไหลรินลงมาเงียบๆ

จริงๆ หรือ…

เรื่องราวในตอนนี้…ฝันร้ายในตอนนี้…

…มันเป็นความจริงอย่างนั้นหรือ

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 14 .. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: