‘เอ้า! ถ้าไม่เชื่อแกเอาไปส่องหนังหน้าตัวเองดูก็ได้แด ว่ามันยังเป๊ะปังเหมือนตอนยี่สิบต้นๆ มั้ย!’
‘พูดอะไรอย่างนั้นแพท แกก็รู้ว่าในหมู่พวกเรามันหน้าเด็กจะตาย’ มัณฑนาการสาวซึ่งตีกับ ‘ความต้องการของลูกค้า’ บ่อยจนเครียดจัดพานมีริ้วรอยบนหน้าผากพึมพำ เลยโดนเพื่อนที่มาด้วยกันขัดเข้าอีก
‘ถึงจะหน้าเด็กยังไงก็ใสกิ๊งสู้ตอนยี่สิบสองไม่ได้มั้ยล่ะ!’
นับนิรันดร์ไม่ได้สนใจการโต้เถียงกันของเพื่อนรักภรรยา ชายหนุ่มเห็นหญิงสาวรับด้ามกระจกเรียบหรูดูแพงอันนั้นไปถือไว้ มือสั่นเทาเลื่อนกระจกไปมาเพื่อมองสำรวจสภาพของตัวเอง และเพียงไม่นาน…เธอก็ส่ายหน้าพร้อมเอ่ยปฏิเสธด้วยเสียงแหลมสูง
‘ไม่จริง!’
ราวกับว่ากลัวเงาสะท้อนในกระจกบานเล็กจะหลอกตา จิรปริยาในวันนั้นจึงโยนกระจกพกพาอันนั้นทิ้งโดยไม่สนใจเสียงโวยวายของเจ้าของมัน มือเรียวสั่นไหวผลักร่างเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างเตียงออกพ้นทาง และเพราะคำนวณระยะห่างระหว่างเตียงกับพื้นห้องผิดทำให้ขาขวาของเธอพลิก แต่หญิงสาวไม่สนใจอะไรทั้งนั้นนอกจากรีบวิ่งไปยังห้องน้ำ สถานที่ที่เธอมั่นใจว่าจะต้องมีกระจกบานใหญ่กว่าเมื่อครู่
ดวงตากลมโตจ้องไปในกระจกโดยไม่กะพริบ
แม้ในสภาพใบหน้าปราศจากเครื่องสำอาง คิ้วที่นักแสดงสาวท่านหนึ่งบอกว่าเป็น ‘มงกุฎของหน้า’ ก็ยังโค้งตัวสวยอยู่เหนือเปลือกตาในระยะพอเหมาะ ดวงตาที่มองตอบกลับมาก็ยังคงเป็นดวงตาสีดำสนิทกลมโตสุกใส มีแพขนตายาวเหยียดตรงซึ่งเปียกชุ่มด้วยน้ำตาประดับอยู่ จมูกโด่งเล็กแดงก่ำปลายเชิดรั้นบ่งบอกนิสัยกำลังสูดลมหายใจเข้าออกแรงๆ จนเกิดเสียง กลีบปากอิ่มซีดเผือดถูกขบเม้มจนปริแตก
นั่นคือภาพของหญิงสาวในกระจก หากไม่นับรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ อาทิ โครงหน้าที่เรียวลงกว่าเก่า ผิวพรรณเรียบเนียนไร้ร่องรอยของสิวแถมยังเนียนนุ่มขึ้นกว่าปกติบ่งบอกให้รู้ว่าคงได้รับการดูแลอย่างดีด้วยผลิตภัณฑ์บำรุงผิวชั้นเลิศ…อาจรวมไปถึงแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญ และสีผมที่เธอจำได้ดีว่าเพิ่งกัดฟันหมดเงินไปหลายพันบาทเพื่อย้อมปลายเป็นสีชมพูสวยรับปีใหม่ที่ตอนนี้กลับกลายเป็นสีดำธรรมชาติเหมือนปราศจากสารเคมีมานาน
เส้นผมสีดำยุ่งเหยิงล้อมกรอบดวงหน้าซีดเผือด ริมฝีปากแตกระแหง รอยฟกช้ำสีม่วงเข้มบนหน้าผากและชุดคนป่วยปะตราโรงพยาบาลขับเน้นให้ผู้หญิงในกระจกดูเปราะบางอ่อนแออย่างที่จิรปริยาไม่เคยเห็นมาก่อน
และผู้หญิงคนนั้นก็คือเธอ ‘จิรปริยา ธาดาธิรักษ์’
เธอ…ที่ไม่ใช่เธอ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 16 ก.พ. 65 เวลา 12.00 น.