X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน เหมียว เหมียว เหมียว แมวน้อยอลเวง บทที่ 10-11

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่สิบ อบรมสั่งสอนแมวดี

 นี่คือพฤติกรรมใช้กำลังแย่งชิงแมวดีกระมัง เพราะเหตุใดจึงไม่ชิงตัวอีกาเลวมาด้วยเลย ไม่ยุติธรรม!

ข้ามองเทพปี้ชิงที่จับต้นคอด้านหลังข้าอยู่ ในใจเกิดความไม่พอใจขึ้นมาจางๆ

เสียแรงเมื่อครู่ข้ายังรู้สึกดีต่อเขาอยู่ คิดไม่ถึงว่าเขาจะใจแคบเช่นนี้ ปลาสักตัวก็ไม่ให้ ยังคิดจะพาข้าไปกับเขา! ออกจะเกินไปแล้ว!

ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ข้าตัดสินใจจะตอบโต้ แต่ไม่ว่าดิ้นรนอย่างไรก็ยื่นอุ้งเท้าไปไม่ถึงต้นคอ ขณะเตรียมจะกลายร่างเป็นคนมาตะกุย เสียงลมที่แผดคำรามอยู่ข้างหูพลันหยุดลง พอตั้งสติได้ ข้าก็มาอยู่กลางทะเลเมฆที่แทบจะมองไม่เห็นขอบเขตผืนหนึ่งแล้ว แลไปไกลๆ จะเห็นพระราชวังหอเก๋งอยู่ตะคุ่มๆ เสียงดนตรีไพเราะดุจเสียงสวรรค์ดังแว่วมา งดงามตระการตายิ่ง

เทพปี้ชิงวางข้าลง ข้ายกอุ้งเท้าขึ้น เดินไปสองสามก้าวอย่างระมัดระวัง ไม่ได้ร่วงตกลงไป เพียงรู้สึกเมฆที่อ่อนยวบยาบเคลื่อนไปมาอยู่ใต้ฝ่าเท้า คล้ายกับเหยียบอยู่บนผ้าห่มผืนโตที่อบอุ่น สบายจนอดเกลือกกลิ้งไปมาไม่ได้ ความสุขเช่นนี้ทำให้ข้าลืมความไม่พอใจไปแล้ว

เกลือกกลิ้งไปมาด้วยความตื่นเต้นดีใจอยู่หลายรอบ ข้าพลันนึกได้ว่าอีกายังไม่มา จึงวิ่งไปที่ริมก้อนเมฆร้องเรียกชื่อเขา “อิ๋นจื่อ! อิ๋นจื่อ!”

อิ๋นจื่อไม่ได้ตอบข้า

เพราะอะไรเขาจึงไม่มา

ขณะพยายามครุ่นคิด เทพปี้ชิงก็โน้มตัวลงมาพูดกับข้า “ที่นี่คือสวรรค์เก้าชั้นฟ้า เขาบินไม่ได้สูงเพียงนี้ มีเพียงปีศาจเหยี่ยวหรืออินทรียักษ์จึงจะพอฝืนบินขึ้นมาถึงที่นี่ได้”

“ไม่! อีกาก็บินได้สูงมาก!” ข้าโอ้อวดความสามารถของอิ๋นจื่อกับเขาด้วยความเบิกบานใจ “อีกทั้งยังบินได้เร็วยิ่ง! เมื่อก่อนเขามักพาข้าไปเที่ยวเล่นทั่วทุกหนแห่ง”

เทพปี้ชิงส่ายหน้า ไม่ได้พูดเรื่องนี้ต่อไปอีก เขาคว้าต้นคอด้านหลังข้าหิ้วขึ้นมา “เจ้ากลับไปวังเสวียนชิงกับข้า ไปจัดการอะไรให้เรียบร้อยก่อน”

“แต่…อิ๋นจื่อยังไม่มา…” ข้ามองเขาด้วยท่าทางน่าสงสาร สามร้อยปีมานี้ ข้ากับอิ๋นจื่อแทบไม่เคยแยกจากกัน ตอนนี้ข้าจึงรู้สึกไม่เคยชินอย่างมาก

“วันหลังค่อยว่ากัน” เทพปี้ชิงยื่นมือออกไป ไม่รู้ว่าท่องอาคมอะไร พลันมีกิเลนสีทองรูปร่างสูงใหญ่ตัวหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาจากที่ไกลๆ แล้ววิ่งเข้ามาหยุดอยู่เบื้องหน้าเขาอย่างรวดเร็ว ขาหน้าย่อลงไปคุกเข่าอย่างนอบน้อม

ข้าไม่เคยเห็นสัตว์แปลกประหลาดประเภทนี้มาก่อน จึงพยายามเอาอุ้งเท้าไปแตะเขาของกิเลนจากกลางอากาศด้วยความอยากรู้ แต่กลับถูกเทพปี้ชิงอุ้มเข้ามาในอ้อมอก แล้วขี่กิเลนวิ่งห้อไป

ข้าอยู่ในอ้อมอกของเขา ผิวกายของเขายังคงเย็นยิ่ง แต่กลับมีกลิ่นหอมจรุงใจอ่อนๆ ขุมหนึ่งอบอวล ไม่ใช่กลิ่นหอมของดอกไม้และไม่ใช่กลิ่นหอมของหญ้า เมื่อซึมซาบเข้าไปในจมูกของข้า ก็รู้สึกได้ถึงความหอมอันยากจะบรรยาย ทั้งมีความสงบใจและสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

บางทีอิ๋นจื่ออาจจะหลงทาง อีกไม่นานเขาคงมาถึง หรือไม่ข้าก็เที่ยวเล่นอยู่ในสถานที่ที่น่าสนุกนี้สักหลายวันก่อนแล้วค่อยกลับไปก็ได้ ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล ข้าเอาศีรษะถูไถอยู่ในอ้อมแขนเทพปี้ชิงสองสามครั้ง แล้วนอนหลับไปด้วยความพอใจ

ด้วยสัญชาตญาณของนักล่า แมวจึงเป็นสัตว์ที่ความรู้สึกเฉียบไวยิ่ง ดังนั้นพอกิเลนหยุดเคลื่อนไหว ข้าก็รู้สึกตัวตื่นทันที

ลืมตาขึ้นมา พื้นด้านล่างก็ไม่ใช่ก้อนเมฆแล้ว แต่เป็นถนนที่ปูลาดด้วยอิฐสีเขียวอมดำ เบื้องหน้าเป็นคฤหาสน์หลังใหญ่มาก กำแพงที่ห้อมล้อมยาวจนมองไม่เห็นขอบเขต หากมองจากด้านนอกจะเห็นว่าด้านในคล้ายมีต้นไม้เขียวขจีเต็มสวน ประตูใหญ่สีแดงเข้มดูสง่าภูมิฐานเปี่ยมอานุภาพ ห่วงประตูเป็นรูปปี้อั้น สีทอง ยังไม่ทันเคาะ ประตูก็เปิดออกไปสองข้างเอง มีเสียงเด็กชายดังกังวานมาจากด้านใน “ท่านเทพกลับมาแล้ว”

ยังไม่ทันสิ้นเสียงดี เด็กรับใช้ชาย และสาวใช้ที่ข้าเห็นว่ารูปร่างหน้าตาและการแต่งตัวคล้ายๆ กันไปหมดก็ปรากฏตัวออกมาดุจกระแสน้ำ แล้วยืนเรียงแถวอยู่สองฟากทางด้านข้างอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ต่างค้อมตัวคำนับ ไม่กล้าเงยหน้า

เทพปี้ชิงอุ้มข้าลงจากหลังกิเลน สาวใช้คนหนึ่งดูท่าทางอายุมากหน่อยรีบก้าวเข้ามา ช่วยเขาถอดเสื้อคลุม เมื่อเขาก้าวเข้าประตูไป เด็กรับใช้ท่าทางคล่องแคล่วอีกคนก็เดินเข้ามาจูงกิเลน

บรรยากาศดูนิ่งเงียบ ทุกคนในที่นี้ดูคล้ายตุ๊กตาดินปั้น กระทั่งจะหายใจแรงสักหน่อยยังไม่กล้า มีเพียงดวงตาไม่กี่คู่ที่กลอกไปมาแอบมองข้าที่อยู่ในอ้อมแขนของเทพปี้ชิงคล้ายรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ

ข้าทนต่อบรรยากาศเช่นนี้ไม่ไหว อยากลองพยายามทำลายความอึดอัดนี้ดู จึงส่งเสียงร้องยาวๆ ออกมาคำหนึ่ง “เมี้ยว…”

เสียงแมวร้องครั้งนี้ประสบความสำเร็จในการดึงดูดสายตาของคนที่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาให้มาอยู่ที่ร่างของข้า ดวงตาของพวกเขาล้วนเบิกกว้าง ราวกับจะหลุดออกมาอย่างไรอย่างนั้น

เทพปี้ชิง “อ่ะแฮ่ม” ออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง พริบตานั้นทุกคนต่างรีบก้มหน้าลงดังเดิม เขาจึงเอ่ยปากเสียงเยียบเย็น “ถอยไปให้หมด เสี่ยวหลินมาที่ห้องหนังสือของข้า”

“ขอรับ” เด็กหนุ่มสวมชุดสีเขียวอมดำที่ยืนอยู่แถวหน้าผู้หนึ่งก้าวออกมาทันที เขาดูคล้ายอิ๋นจื่อ ต่างมีดวงตา เส้นผมดำยาวที่งดงาม รูปโฉมหล่อเหลาสุภาพเรียบร้อย ท่าทางสุขุมคัมภีรภาพ คล้ายว่าต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ไม่ตกใจ ทำให้ข้าไม่ชอบอย่างมาก

“โอ๊ย!”

ขณะกำลังมองเด็กหนุ่มอายุน้อยท่าทางเหมือนคนแก่อย่างหยามหยันอยู่นั้น พลันมีเสียงของกลิ้งตกลงมาจากข้างบน ข้าเงยหน้ามองไป เห็นเด็กหญิงดวงตาสีม่วง เส้นผมสีม่วงผู้หนึ่ง นาง…นางกลิ้งตกลงมาจากขั้นบันไดด้านหน้า กลิ้งลงมาจนถึงข้างเท้าพวกเรา ยังไม่ทันตรวจดูบาดแผลหลังจากตกลงมาว่าช้ำเขียวและผิวหนังที่ถูไถฉีกขาดเช่นไร ไม่ทันได้ร้องว่าเจ็บเสียด้วยซ้ำ ก็รีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นมา ค้อมตัวลงพูดตะกุกตะกัก

“ท่าน…ท่านเทพกลับมาแล้ว…หวาวาเก็บกวาดอยู่ที่ห้องหนังสือ…มาต้อนรับช้า…โปรดให้อภัย…โปรดให้อภัย…”

เทพปี้ชิงย่นหัวคิ้วโดยไม่ได้พูดอะไร เพียงเดินอ้อมนางแล้วก้าวขึ้นบันไดไปอย่างคล่องแคล่ว ข้าย้ายมาเกาะอยู่ที่บ่าของเขา มองเด็กหญิงที่ล้มลงมาได้รับบาดเจ็บผู้นั้น นางไม่กล้าขยับตัวแม้แต่น้อย ไม่ต่างอะไรกับเสือตัวนั้นที่ถูกข้าข่มเหงรังแกอยู่เสมอ น่าสงสารยิ่งนัก ทว่าต่อให้น่าสงสารเพียงใดก็ไม่อาจหยุดยั้งความปรารถนาที่จะข่มเหงรังแกนางของข้าได้…

“ไปได้” เทพปี้ชิงเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็สั่งการออกมา คนที่อยู่ด้านข้างคล้ายได้รับอภัยโทษ รีบประคองเด็กหญิงผู้นั้นออกไป ข้ามองตามเงาด้านหลังที่ผอม อ่อนแอ และดูน่ารังแกได้ง่ายของนาง ในใจเกิดความรู้สึกเห็นใจขึ้นมาอีกครั้ง

แต่ไม่นานข้าก็พบว่าตนเองผิดแล้ว ที่น่าเห็นใจที่สุดไม่ใช่นางแน่นอน! หากแต่เป็นข้า!

เดิมทีข้าเข้าใจว่าเทพปี้ชิงพาข้ามาที่นี่เพื่อเที่ยวเล่น ได้กินดีดื่มดี คิดไม่ถึงว่าพอเขาเข้ามาในห้องก็โยนข้าไว้บนโต๊ะ แล้วก็หมกมุ่นอยู่กับการศึกษาอย่างจริงจัง ประเดี๋ยวก็มาจับๆ อุ้งเท้า ลูบๆ ศีรษะข้า ทางหนึ่งก็ศึกษาค้นคว้า ทางหนึ่งก็กล่าวกับเสี่ยวหลินที่ตามเข้ามา “นี่คือลูกศิษย์ที่ข้ารับไว้”

ในดวงตาเสี่ยวหลินมีแววตะลึงงันไปชั่วขณะ แล้วกลับคืนสู่ความสงบนิ่งอย่างรวดเร็ว เขาไม่ได้ซักถามว่าเพราะอะไร เพียงเอ่ยเสียงราบเรียบ “ขอแสดงความยินดีกับท่านเทพที่รับศิษย์เป็นครั้งแรก”

ข้านั่งอยู่บนโต๊ะมองซ้ายทีขวาที ถามด้วยความไม่เข้าใจ “อะไรคือ ‘ลูกศิษย์’ ”

เทพปี้ชิงมุมปากกระตุกทีหนึ่ง ไม่ได้สนใจข้า กล่าวกับเสี่ยวหลินต่อ “ปีนั้นปีศาจตนนี้เคยดื่มโลหิตของข้า และข้าได้ใช้ลูกกลอนปราณช่วยเอาไว้ ผูกวาสนาเซียนแล้ว เกรงแต่จะไปก่อกรรมทำชั่ว ไม่อาจปล่อยให้อยู่ในแดนมนุษย์โดยไม่สนใจ ด้วยเหตุนี้จึงพากลับมาด้วย”

“ท่านเทพถือเมตตาธรรมเป็นหลัก” เสี่ยวหลินสรรเสริญ

“ในแดนสวรรค์ ผู้ที่รับสัตว์ปีศาจเป็นลูกศิษย์มีใครบ้าง” เทพปี้ชิงซักถาม

หลังจากเสี่ยวหลินคิดดูแล้วก็ตอบว่า “เซียนทั้งหลายในแดนสวรรค์รับสัตว์ปีศาจไว้เป็นพาหนะเสียส่วนใหญ่ ถ้ารับเป็นศิษย์ล่ะก็ เกรงว่ายังคงเป็นกระต่ายหยกของเทพธิดาฉางเอ๋อหรือสุนัขเซี่ยวเทียนของเทพเอ้อร์หลางดูจะใกล้เคียง”

“เช่นนั้นข้าจะเขียนจดหมายสักฉบับ เจ้าช่วยข้าส่งไปให้หยางเจี่ยน ถามเขาว่าอบรมสั่งสอนศิษย์และเลี้ยงดูสัตว์ปีศาจอย่างไร” เทพปี้ชิงมองข้าที่นั่งหาวอย่างเบื่อหน่ายด้วยสายตาที่อับจนปัญญาแล้วเสกพู่กันกับกระดาษขึ้นมาในอากาศ เริ่มลงมือเขียน พร้อมกันนั้นก็ทอดถอนใจ “เกรงว่าปีศาจตนนี้นิสัยทึ่มทื่อโฉดเขลา เส้นทางในการบำเพ็ญเซียนยาวนานหาที่สุดมิได้”

เสี่ยวหลินรับคำสั่งแล้วออกไป ข้าที่ฟังไม่เข้าใจนั่งอยู่บนโต๊ะจนเบื่อ รีบกระโดดตามลงมา กระโจนไปที่เก้าอี้เอนนอนด้านข้างเกลือกกลิ้งไปมาหลายรอบ ก่อนจะไปดมๆ ส้มกับขนมอบที่วางอยู่บนโต๊ะ รู้สึกว่าไม่น่าอร่อยจึงหันหน้าคิดจะวิ่งออกไปนอกห้อง

นึกไม่ถึงว่าเทพปี้ชิงเพียงหมุนตัวก็มาปรากฏอยู่เบื้องหน้าข้าแล้ว เขามองขนและเนื้อตัวของข้า พูดอย่างจริงจัง “เจ้าไปอาบน้ำก่อน”

พูดจบเขาก็ให้สาวใช้จัดเตรียมน้ำสำหรับอาบทันที

ข้ามองห้องอาบน้ำที่มีไอสีขาวลอยเหนือสระน้ำแล้วก็ตัวสั่น ผงะถอยไปทันที ฉวยโอกาสที่เขาไม่ทันระวังวิ่งหนีออกนอกประตูไปอย่างรวดเร็ว

พึงรู้ว่าขนหนังของแมวโดยธรรมชาติล้วนกลัวน้ำ หากกลายร่างเป็นมนุษย์ข้ายังพอห่อหางและใบหูไปอาบน้ำที่น้ำพุร้อนอยู่เสมอ ทว่าเวลาอยู่ในร่างแมวโดยทั่วไปแล้วจะอาศัยการเลีย!

ต่อให้ข้าไม่กลัวน้ำ…หรือเต็มใจอาบ…

ท่านก็ไม่อาจเอาน้ำเย็นมาให้ข้าอาบ อ๊ากกก!

ช่วยด้วย! มีคนจะสังหารแมวแล้ว!

บทที่สิบเอ็ด สระอาบน้ำสยองขวัญ

เผชิญหน้ากับมือสังหารที่จะฆ่าแมว หนีได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งดี จะดีที่สุดถ้ามีขาเพิ่มขึ้นมาอีกสักสี่ข้าง

ข้าหนีสุดชีวิต ไม่รู้หนีมาไกลเพียงใด ในที่สุดก็หยุดหอบหายใจ ขณะคิดจะยกอุ้งเท้าขึ้นมาลูบๆ หน้า กลับพบว่าทั่วทั้งร่างถูกเงาดำทะมึนที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายเยียบเย็นผืนหนึ่งแผ่คลุมไว้

เงยหน้าขึ้นช้าๆ ด้วยความรอบคอบระมัดระวังก็เห็นเทพปี้ชิงคนที่คิดจะจับข้าโยนลงไปในน้ำเย็นผู้นั้น ไม่รู้ไล่ตามมาทันตั้งแต่เมื่อไร…เขาก้มลงมองข้าอย่างเย็นชา มองจนขนลุกชันอยู่ในใจด้วยความหวั่นหวาด

“เมี้ยว!” ข้าตกใจร้องเสียงดังออกมา ตวัดอุ้งเท้าฟาดออกไป พลังจากอุ้งเท้าทำให้หินปลิวขึ้นมาก่อนพุ่งไปปะทะใบหน้าเขา

“ดุดันและโหดร้ายเกินไปแล้ว จะให้สาวใช้ปรนนิบัติเจ้าอาบน้ำได้อย่างไร” เทพปี้ชิงถอนหายใจอย่างอับจนปัญญา เขายกมือขึ้นสกัดกั้นหินที่ปลิวมา ยังไม่ทันสิ้นเสียงดีคนก็มาถึงเบื้องหน้าแล้ว จากนั้นก็คว้าต้นคอด้านหลังของข้า ทะยานร่างขึ้นอย่างรวดเร็ว ทัศนียภาพรอบด้านวาบผ่านไปราวกับสายฟ้าแลบ ข้ายังไม่ทันตั้งตัวต่อต้านก็มาถึงข้างสระน้ำที่มีน้ำเย็นน่ากลัวแห่งนั้นอีกครั้งแล้ว

“ไม่เอา…ไม่เอา…” ข้ามองเขาตัวสั่น คิดจะใช้แววตาน่าสงสารโน้มน้าวหัวใจที่เย็นชาไร้ความปรานีของบุรุษผู้นี้

เสียดายที่ไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย หัวใจของเขาจะต้องหลอมจากเพชรเป็นแน่

ตามมาด้วยเสียงดังตูม ข้าถูกโยนลงไปในสระน้ำ จากนั้นเขาก็ม้วนแขนเสื้อ คว้าเซียงอี๋ กระโดดลงน้ำ ช้อนตัวข้าขึ้นมาเริ่มใช้แปรงเล็กๆ แปรงขนบนร่างกายของข้า แปรงไปก็ขมวดคิ้วบอก “อย่าดิ้น ทำตัวว่าง่ายหน่อย หาไม่ข้าจะตัดอุ้งเท้าเจ้าเสีย”

ขาแมวสั้นเล็กหยั่งไม่ถึงก้นสระน้ำ น้ำเย็นเฉียบหนาวยะเยือกสั่นสะท้านไปถึงอวัยวะห้ากลั่นหกกรอง ข้าไม่อาจคำนึงถึงสิ่งใด รีบกลายร่างเป็นมนุษย์ทันที หลังจากยืนได้มั่นก็ตะเกียกตะกายไปที่ขอบสระอย่างสุดชีวิต

ข้านั่งอยู่ที่ขอบสระ หอบหายใจแรง รู้สึกราวกับตนเองกลับจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บมาสู่ฤดูใบไม้ผลิ ที่แย่ก็คือเวลานี้เสื้อสีขาวตัวบางกึ่งโปร่งแสงที่ตัดเย็บจากผ้าแพรไหมถูกน้ำจนเปียกชุ่ม แนบติดกับลำตัวจนมองเห็นผิวหนังภายใต้เสื้อได้วับๆ แวมๆ เส้นผมยาวสีน้ำเงินอมม่วงเปียกและยุ่งเหยิง มีน้ำหยดติ๋งๆ ลงมาตลอดเวลา

แม้จะพยายามสลัดหยดน้ำบนศีรษะและเนื้อตัวแล้ว ก็ยังคงรู้สึกหนาวอยู่มาก เป็นความหนาวที่เสียดแทงถึงกระดูก ทุกข์ทรมานเสียจนข้าพูดอะไรไม่ออก

มือที่ถือแปรงของเทพปี้ชิงชะงักค้างอยู่กลางอากาศ ท่าทางเย็นชาของเขาดูจะเปลี่ยนเป็นตระหนกอยู่เล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่งก็ก้าวเร็วๆ ขึ้นมาจากสระน้ำ เดินตรงมาที่ข้าแล้วตั้งกระทู้ถามอย่างลังเล “เจ้า…ไม่ใช่เด็กหรอกหรือ”

ปีศาจที่บำเพ็ญเพียรจนกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ใหม่ๆ ล้วนต้องผ่านช่วงวัยเด็กมาระยะหนึ่งเพื่อปรับตัวกับชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์

แต่! ข้ากลายร่างเป็นเด็กตั้งแต่เมื่อไรหรือ ในใจโกรธแค้นจนแทบจะคลุ้มคลั่ง แต่ก็เข้าใจดีถึงกำลังความสามารถที่แตกต่างกันมาก ข้าไม่กล้าบุกเข้าไปสู้ตายกับเขา ได้แต่หมุนตัวไปถีบหน้าต่างจนพัง เตรียมจะวิ่งหนีออกไป

“ไม่ได้!” เทพปี้ชิงทั้งตื่นตระหนกทั้งเดือดดาล ไม่รู้ไปคว้าแส้หนังมาจากที่ใดสะบัดขวับรัดข้อเท้าของข้าแล้วลากไปข้างหลัง

ในเมื่อเรี่ยวแรงสู้เขาไม่ได้ ข้าจึงรีบยื่นกรงเล็บทะลวงฟ้าออกไป ตะกุยไปบนพื้นหินหยก แต่กลับไม่อาจหยุดยั้งพลังแข็งแกร่งที่ฉุดดึงข้าไปข้างหลังได้ ได้แต่กรีดพื้นเป็นรอยเล็บแปดแนวที่ทั้งลึกและยาว

“คนเลว!” ข้าเห็นว่าไร้หนทางหนี จึงร้องด่าออกไปคำหนึ่งแล้วพลิกตัวกระโจนเข้าไปเตรียมจะสู้ตายกับเขา คิดไม่ถึงว่าร่างเพิ่งทะยานขึ้น เทพปี้ชิงก็ขยับมือเล็กน้อย แส้หนังคล้ายดั่งมีชีวิต ตรงเข้าพันรัดแขนขาทั้งสี่ของข้า มัดไว้อย่างแน่นหนาแล้วดึงเข้าไปถึงข้างกายเขา

“พลังปีศาจของเจ้าแม้จะกล้าแข็ง…แต่พลังในการควบคุมแย่มาก กอปรกับอากัปกิริยาคำพูดคำจาออกจะ…ทำให้ข้าเข้าใจว่าเจ้าเป็นปีศาจเยาว์วัยที่สติปัญญาดีเลิศเป็นพิเศษ…” เทพปี้ชิงไม่รู้กำลังอธิบายอะไร

ข้าพยายามต่อสู้กับแส้หนัง นึกไม่ถึงว่ายิ่งดิ้นรนกลับยิ่งถูกรัดแน่น แทบจะถูกมัดเป็นขนมจ้างไปแล้ว ทำให้ข้าไม่อาจขยับเนื้อตัวได้ ตรงหน้าอกก็เจ็บมาก

“เจ็บยิ่งนัก…” ข้าบิดตัวไปมาอย่างไม่ยอมแพ้ เลื้อยขยุกขยิกราวกับงูไปที่หน้าประตู เพียงคิดจะไปให้พ้นจากบุรุษที่น่ากลัวผู้นี้

เทพปี้ชิงกลับขวางข้าไว้ บนใบหน้าของเขามีริ้วแดงประหลาดผุดขึ้นมาแวบหนึ่ง จากนั้นก็กลับคืนสู่ปกติ “สภาพของเจ้าในตอนนี้ไม่อาจออกไปข้างนอกได้เด็ดขาด รอให้ข้าไปเอาเสื้อผ้ามาให้เจ้าก่อน”

เด็กรับใช้กับสาวใช้ที่อยู่นอกประตูได้ยินเสียงโครมครามจากข้างใน ในที่สุดก็อดร้องถามขึ้นไม่ได้ “ท่านเทพ ท่านเป็นอะไรหรือไม่”

ข้าได้ยินว่าข้างนอกมีคนอยู่ รีบตะโกนขอความช่วยเหลือทันที “ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!”

“ห้ามเข้ามา!” เทพปี้ชิงเอามือปิดปากข้าไว้ ตะโกนบอกด้านนอกอย่างสุขุมเยือกเย็น “พวกเจ้าไม่ต้องยุ่ง!”

คนที่อยู่ข้างนอกเงียบเสียงลงทันที

“อือๆ…” ข้าพยายามส่งเสียงร้องต่อไป เขากลับโอบเอวข้าอุ้มขึ้นมาด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย จากนั้นก็เดินไปที่ข้างโต๊ะ ดึงผ้าปูโต๊ะออกมาห่อตัวข้าไว้ราวกับห่อสิ่งของแล้วแบกขึ้นบ่า เขาดูลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะเดินออกประตูไปด้วยสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน…

เด็กรับใช้กับสาวใช้ที่อยู่ด้านนอกเห็นเขาแบกข้าที่ถูกมัดไว้อย่างแน่นหนาออกไป ต่างก็ตกใจยืนงงอยู่กับที่ สายตาที่มองมาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ฉงนสนเท่ห์และมีเลศนัย…ข้าคิดว่าพวกเขาคงกำลังรู้สึกเห็นใจแมวที่ถูกคนชั่วทรมานกระมัง…

ฝีเท้าของเทพปี้ชิงรวดเร็วประดุจเหาะ เขาไม่ได้อ้อมไปไกล แต่เดินตรงไปยังห้องที่กว้างมากห้องหนึ่ง ในห้องประดับตกแต่งอย่างเรียบง่าย ตรงกลางมีเตียงไม้จันทน์หอมสีแดงแกะลวดลายหลังใหญ่ ปูที่นอนใยฝ้ายไว้เต็มเตียง และมีโต๊ะแปดเซียน พร้อมเก้าอี้ที่ทำจากเนื้อไม้ชนิดเดียวกัน รอบด้านมีชั้นวางหนังสือตั้งอยู่เต็มไปหมด มีหนังสือตำรับตำราหลากประเภทวางเรียงราย บนผนังยังมีกระดาษที่มีตัวอักษรขยุกขยิกเหมือนยันต์กันผีแขวนอยู่หลายแผ่น ไม่รู้ใช่ที่เขาเรียกกันว่าศิลปะพู่กันหรือไม่

เขาโยนข้าลงบนเตียงแล้วขมวดหัวคิ้วครุ่นคิด คล้ายไม่รู้จะทำเช่นไรดี

ข้ากลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง รู้สึกสบายตัวไม่น้อย ครั้นแล้วก็ไปซุกตัวอยู่ที่มุมหนึ่ง ระแวดระวังตัวดูว่าเขาคิดจะทำอะไรอีก

มีเสียงกังวานดังมาจากนอกประตู “ท่านเทพ เสี่ยวหลินขอเข้าพบขอรับ”

เทพปี้ชิงรีบสั่งข้าด้วยเสียงแผ่วเบา “เปลี่ยนร่างกลับเป็นแมวได้หรือไม่”

เรื่องที่ศัตรูขอให้ข้าทำ ข้าจะไม่ทำเป็นอันขาด! ข้าสั่นศีรษะ แสดงเจตนาว่าไม่เปลี่ยน

เขาที่อับจนปัญญาจำต้องหยิบผ้าห่มปิดคลุมข้าไว้ทั้งร่าง แล้วให้เสี่ยวหลินเข้ามา

หลังจากเสี่ยวหลินเข้าประตูมา เห็นข้าที่ตัวสั่นพั่บๆ อยู่บนเตียงก็มีท่าทีตะลึงงันไปอีกครั้ง เอ่ยปากขึ้นอย่างลังเล “ท่านเทพ…ข้าเพิ่งกลับจากวังเทพเอ้อร์หลางจึงมารายงาน…นี่…”

เทพปี้ชิงเดินไปที่ข้างโต๊ะแปดเซียนแล้วนั่งลงถอนหายใจ เอ่ยขึ้น “ข้าเข้าใจว่านางเป็นปีศาจน้อยที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ ด้วยเหตุนี้จึงใช้น้ำในสระน้ำเย็นจงหรู่อาบน้ำให้นางด้วยตนเอง”

เรื่องถัดจากนั้นเขาไม่ได้อธิบายต่อ แต่เห็นชัดว่าเสี่ยวหลินเข้าใจความหมายของเรื่องราวแล้ว จึงกล่าวปลอบใจ “สระน้ำเย็นจงหรู่ช่วยเพิ่มพูนฌานตบะได้ ท่านเทพมีความตั้งใจดี แต่ในวังเสวียนชิง…สาวใช้กับเด็กรับใช้ส่วนใหญ่เป็นเซียนบุปผา เซียนต้นหญ้า ไม่ก็เซียนสิ่งของ ยังไม่เคยมีเซียนที่เป็นสัตว์มาก่อน ด้วยเหตุนี้ที่ท่านไม่รู้ว่าสัตว์ไม่อาจทนต่อความหนาวเย็นได้จึงเป็นเรื่องธรรมดา”

“ธรรมดาอะไร! ลองไปอาบดูเองสิ!” ข้าตะโกนด่าด้วยความโกรธแค้น

“ข้าอาบอยู่ทุกวัน” เทพปี้ชิงไม่สนใจข้า ยังคงพูดต่อไป “เรื่องนี้เป็นเพราะข้าใคร่ครวญไม่รอบคอบ เจ้าได้เอาหลักการเลี้ยงดูสัตว์จากหยางเจี่ยนมาหรือไม่”

เสี่ยวหลินหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากอกเสื้อยื่นส่งให้อย่างนอบน้อม

เทพปี้ชิงพลิกอ่านไปสองสามหน้าแล้วโบกมือให้เขาถอยออกไป แต่คิดไปคิดมาก็สั่งการออกไป “ไปจัดเตรียมห้องพักให้นางห้องหนึ่ง แมวตัวนี้นิสัยชั่วร้าย ฝีมือไม่ธรรมดา ดังนั้นทางที่ดีให้อยู่ใกล้ข้าสักหน่อย จะได้สะดวกต่อการควบคุมดูแลได้ทุกเมื่อ แล้วเลือกสาวใช้ที่เหมาะสมให้นางสักคน” เสี่ยวหลินกำลังจะออกไป แต่กลับถูกเขาเรียกกลับมาสั่งการต่อ “ไปช่วยจัดเตรียมอาหารมาให้นางสักหน่อย”

พูดจบเขาก็เริ่มพลิกอ่านหนังสือในมือ อ่านไปก็ผงกศีรษะไป “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”

ข้าไม่อาจเคลื่อนไหว ได้แต่เหม่อมองเพดานเหนือศีรษะที่แกะลวดลายสวยงาม สติเริ่มเลอะเลือน ทั่วร่างคล้ายยิ่งหนาวขึ้นทุกที ในสมองมีแต่ภาพปลาแห้งกำลังร่ายรำ…จากนั้นก็ค่อยๆ หมดสติไป

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: