บทที่ 2 โปรดเรียกฉันว่าคนขับเหมียว
เหมียวเหมี่ยวเอาข้อมูลส่วนตัวกับเอกสารให้สวี่หลิงอวิ๋น ขอให้เธอช่วยไปจัดการทำเรื่องโอนกรรมสิทธิ์ให้ตามความตั้งใจของอีหยางไหลฟู่…ครอบครัวของเขาขายรถ แค่เลือกรถใหม่ให้เหมียวเหมี่ยวคันหนึ่งเท่านั้นเอง แม้แต่ทะเบียนรถเขาก็เลือกไว้ให้เธอเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่ให้สวี่หลิงอวิ๋นช่วยขับรถไปที่ใต้อพาร์ตเมนต์เท่านั้น จนถึงตอนนี้เหมียวเหมี่ยวก็ยังรู้สึกพิศวงงงงวย ไม่อาจรับความจริงได้
“เธอ…ขับมาเลยเหรอ”
เหมียวเหมี่ยวรู้สึกว่าโลกใบนี้ช่างมหัศจรรย์เหลือเกิน
“ใช่สิ วางใจเถอะน่า มีคนขับเฟอร์รารี่คันนั้นไปแล้ว เธอขับโฟล์กสวาเกนให้สบายใจเถอะนะ เฮ้อ…ไหนเธอลองพูดมาซิ นี่ไม่ได้เศษราคาเดิมของเฟอร์รารี่เลยนะ คุ้มแล้วเหรอ” สวี่หลิงอวิ๋นส่ายหน้าด้วยความเสียดาย
หลังส่งสวี่หลิงอวิ๋นกลับไป เหมียวเหมี่ยวดูนาฬิกาก็เป็นเวลามื้อเที่ยงแล้ว เธออยู่ข้างล่างพอดีก็เลยจอดรถไว้ที่ลานจอดรถหน้าร้านก๋วยเตี๋ยวแล้วเดินเข้าร้านไป
“อ๊ะ เหมียวเหมี่ยว เธอซื้อรถเหรอ” พอเหมียวเหมี่ยวเข้าไปในร้านก็เจอหวงหรูหรูพนักงานพาร์ตไทม์ถามเธอด้วยความสงสัย
เหมียวเหมี่ยวหาที่นั่งมุมร้านที่เธอนั่งเป็นประจำ ฟุบหน้าลงบนโต๊ะแล้วโบกมือ “อย่าพูดถึงมันเลย วุ่นวายใจเปล่าๆ”
“เป็นอะไรไปล่ะ” หวงหรูหรูนั่งลงตรงที่นั่งตรงข้ามเหมียวเหมี่ยว ถามด้วยความประหลาดใจ
เหมียวเหมี่ยวโบกมือให้ “ไปทำงานของเธอเร็วๆ เข้าเถอะ อย่ามาเม้าท์มอยอยู่ตรงนี้เลย”
ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ลูกค้าเยอะที่สุด ธุรกิจร้านก๋วยเตี๋ยวนี้ขายดิบขายดี บริเวณร้านไม่ใหญ่นัก ทั้งร้านมีพนักงานอยู่สามคน หนึ่งในนั้นคือหวงหรูหรูพนักงานพาร์ตไทม์ที่ยังเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยละแวกนี้ รับผิดชอบจุดรับเงิน เจ้าของร้านเองก็ทำหน้าที่เป็นพ่อครัวในตัว เด็กฝึกงานต้องช่วยงานคนอื่นๆ แล้วก็ต้องล้างชาม ทำความสะอาดร้าน ยุ่งเสียจนปลีกตัวออกมาไม่ได้ เหมียวเหมี่ยวไม่อยากให้หวงหรูหรูเม้าท์จนรบกวนการทำงาน
“ได้ๆๆ เดี๋ยวกินข้าวแล้วอย่าเพิ่งไปก็แล้วกัน อยู่เล่าให้พวกเราฟังก่อนนะ ซื้อรถเป็นเรื่องดี ทำไมถึงวุ่นวายใจได้ล่ะ” หวงหรูหรูกำชับ แล้วรีบร้อนหันกลับไปเอาตัวเข้าสู่การต่อสู้
จู่ๆ เหมียวเหมี่ยวก็คิดอะไรขึ้นได้ ทำท่ามือเอ่อร์คังอยากดึงตัวเธอเอาไว้ “อ๊ะ ฉันยังไม่ได้สั่งเลยนะ…” ถึงตอนนั้นก็สายไปเสียแล้ว หวงหรูหรูเดินไปจดเมนูที่โต๊ะของลูกค้าคนอื่นแล้ว
“รับอะไรดีครับ” เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มดังขึ้นเหนือศีรษะของเหมียวเหมี่ยว
เหมียวเหมี่ยวเงยหน้าขึ้น สายตาของเธอก็ถูกดวงตาดำขลับราวน้ำหมึกของอีกฝ่ายดึงดูดไป เธอถอนหายใจ ฟุบอยู่บนโต๊ะ “เหมือนเดิมแล้วกันค่ะเถ้าแก่”
หานต้งหยิบสมุดเล่มเล็กแล้วจดลงไป “หมาล่าไก่ฉีกราดข้าว เผ็ดเว่อร์ๆ เพิ่มไก่ด้วยใช่มั้ยครับ”
“ใช่ค่ะ”
หานต้งพยักหน้า กำลังจะกลับไปห้องครัวแต่ก็ถูกเหมียวเหมี่ยวเรียกตัวไว้ “เอ่อ เถ้าแก่คะ”
หานต้งหันกลับมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ขมวดคิ้วใส่เธอเล็กน้อย ทว่าเหมียวเหมี่ยวมองออกว่าเขาสงสัย เหมียวเหมี่ยวเกาใบหน้าด้วยความรู้สึกผิด “คือว่าคราวก่อนที่ปิดร้านไปวันนึง เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”
“ไม่มีอะไรครับ” หานต้งส่ายหน้า
เหมียวเหมี่ยวถูฝ่ามือไปมา เอ่ยด้วยความเก้อเขิน “คือว่า…คราวก่อนฉันไม่ได้เตรียมตัว มื้อกลางวันวันนั้นฉันก็เลยหาอะไรกินพอถูไถ…หรูหรูมีวีแชตของฉัน คราวก่อนเธอมีสอบไม่ได้มาทำงานก็เลยไม่รู้ว่าวันนั้นร้านปิด เธอเลยไม่ได้บอกฉันก่อน คือว่า…ต่อไปถ้าจะไม่เปิดร้านบอกฉันหน่อยได้ไหมคะ”
หานต้งเลิกคิ้ว “เบอร์มือถือครับ”
“คะ?”
“เบอร์มือถือของคุณน่ะ” หานต้งตอบอย่างรวบรัด
“อ๋อๆ 135xxxxxxxx จำได้มั้ยคะ จะเขียนไว้ในสมุดหรือเปล่า” เหมียวเหมี่ยวถาม
“ไม่ต้องหรอก” หานต้งส่ายหน้า “ผมจำได้”
“…” เหมียวเหมี่ยวพยักหน้า มองหานต้งที่มีท่าทีเฉยชาอันเป็นเอกลักษณ์เดินกลับไปยังห้องครัว
แปลกจัง ถ้าความจำดีขนาดนั้น…ทำไมถึงได้จด ‘เหมือนเดิม’ ลงไปในสมุดด้วยล่ะ…
“เฮ้อ…ในที่สุดก็จบเสียที ให้ตายเถอะ นี่บ่ายโมงกว่าแล้ว เหมียวเหมี่ยว เธอรอจนแทบจะหลับอยู่แล้วใช่หรือเปล่า” หวงหรูหรูทุบหลังทุบขาเดินกะโผลกกะเผลกมานั่งลงบนที่นั่งฝั่งตรงข้ามเหมียวเหมี่ยว
เหมียวเหมี่ยวโบกมือถือไปมา “เปล่าหรอก แค่มือถือใกล้แบตฯ หมดน่ะ”
“พี่เหมียว! ได้ข่าวว่าพี่ซื้อรถมาใหม่นี่นา! เมื่อไหร่จะพาพวกเราไปนั่งรถรับลมกันล่ะครับ!” เสียงใสกังวานของเจิ้งหลินเทียนซึ่งเป็นเด็กฝึกงานของหานต้งดังออกมาโดยที่เขาไม่ได้ออกมาจากครัวด้วยซ้ำ
เจิ้งหลินเทียนเพิ่งอายุยี่สิบปี เด็กกว่าหวงหรูหรู เริ่มเรียนทำครัวกับหานต้งตั้งแต่อายุสิบแปด ได้ยินเขาคุยโม้ไว้ว่าหานต้งเป็นพ่อครัวฝีมือเยี่ยมยอด ฉะนั้นถึงได้มาเรียนกับหานต้ง แต่ว่าเหมียวเหมี่ยวไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไร
เหมียวเหมี่ยวตอบกลับไปเสียงดัง “ฉันไม่ได้เป็นคนซื้อ! นายออกมาฟังฉันอธิบายสิ!”
“เสียงก้องเกินไปน่ะ” เสียงของเธอเรียกเจิ้งหลินเทียนออกมาไม่ได้ แต่กลับเรียกหานต้งให้ออกมาจากห้องครัวได้
เขายืนมองออกมาจากห้องโถงใหญ่ เอ่ยถามเหมียวเหมี่ยวว่า “รถของคุณเหรอ?”
เหมียวเหมี่ยวเอียงศีรษะ “เอ่อ จะพูดยังไงดีล่ะคะ ก็เป็นของฉันนั่นแหละค่ะ”
เจิ้งหลินเทียนเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ววิ่ง ‘ตึงตัง’ ออกมา “เดี๋ยวๆๆๆ ผมมาแล้ว ไม่มีลูกค้าแล้วใช่มั้ย รีบพูดเร็วเข้า” เอ่ยไปก็เอาตัวเบียดเข้ามาอยู่ข้างๆ หวงหรูหรู ทำท่าตั้งใจเรียนเหมือนนักเรียน หูลู่ขึ้นเตรียมฟังการบรรยายของเหมียวเหมี่ยว
เหมียวเหมี่ยวหน้าเจื่อนไปหมด เธอมองหานต้งที่ปกติแล้วจะไม่ได้สนใจเรื่องอะไรเป็นพิเศษกำลังย้ายเก้าอี้มานั่งอยู่อีกฝั่งอย่างกับเตรียมตัวสังเกตการณ์ก็รู้สึกจนใจเป็นที่สุด “เอ่อ…เรื่องนี้แปลกมากเชียวล่ะ คือว่า…”
ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ต่างก็รู้ว่าเหมียวเหมี่ยวเป็นนักวาดการ์ตูน แต่ไม่รู้ว่าเธอวาดอะไร เหมียวเหมี่ยวเล่าตัดทอนเรื่องนี้ประมาณหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “เรื่องก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ ตอนนี้ฉันปวดหัวจะตายอยู่แล้ว”
“ตายจริง…เฟอร์รารี่เลยเหรอ” หวงหรูหรูตื่นเต้นตาโตอ้าปากค้าง
“พี่เหมียว ต่อให้พี่จับสลากก็คงไม่มีทางได้รถยนต์หรอก เศรษฐีคนไหนนะที่ใจกว้างขนาดนี้!”
เหมียวเหมี่ยวกลัดกลุ้ม “แต่…นี่ไม่ใช่รถที่ฉันหาเงินซื้อมาเอง ยังไงก็รู้สึกว่าไม่ใช่ของตัวเองอยู่ดี ละอายใจมากๆ พวกเธอว่าควรทำยังไงดี?”
ความตั้งใจเดิมเหมียวเหมี่ยวอยากถามความเห็นของเพื่อนที่ค่อนข้างสนิทกันอย่างหวงหรูหรูกับเจิ้งหลินเทียน คิดไม่ถึงว่าทั้งสองจะตอบกลับมาด้วยสีหน้าประหลาดใจ “จะทำยังไงได้ เขาให้เธอแล้วก็ต้องรับเอาไว้สิ! รับเอาไว้เลยไง”
เหมียวเหมี่ยวได้ฟังก็ว้าวุ่นใจ
กลับเป็นคนที่เธอไม่สนิทด้วยและคอยฟังอยู่โดยไม่พูดอะไรอย่างหานต้ง เอ่ยขึ้นกะทันหันว่า “หาเงินแล้วคืนค่ารถกลับไป ตัดความสัมพันธ์ก็เท่ากับซื้อเองแล้ว”
พอเหมียวเหมี่ยวได้ฟังก็ดวงตาเป็นประกาย พยักหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย อยากพุ่งตัวเข้ากอดขาหานต้งใจแทบขาด “ใช่แล้วๆ เอาตามนี้แหละ!”
เหมียวเหมี่ยวตัดสินใจถามความเห็นของหานต้ง “แล้วจะหาเงินยังไงล่ะ”
หานต้งเคลื่อนสายตาจากพื้นมายังใบหน้าของเหมียวเหมี่ยว แล้วมองไปทางอื่นอีกครั้งอย่างเชื่องช้า “ตอนนี้คุณหาเงินได้หรือเปล่า”
“…หาได้ไม่เร็วขนาดนั้นหรอกค่ะ ไหนจะต้องเก็บเงินไว้ซื้อห้องอีก เงินค่ารถเป็นค่าใช้จ่ายเหนือความคาดหมายที่โผล่เข้ามา” เหมียวเหมี่ยวกลัดกลุ้มเสียจนขมวดคิ้วแน่น
หานต้งกะพริบตา ใคร่ครวญอยู่สักครู่ก่อนเอ่ยถาม “คุณมีใบขับขี่หรือเปล่า”
“มีสิ ไม่งั้นเมื่อกี้จะขับมาจอดที่นี่ได้ยังไงล่ะคะ”
“มีเวลาว่างจากงานเยอะหรือเปล่า”
“ก็มี…บ้างนะคะ” เหมียวเหมี่ยวแยกนิ้วมือคำนวณเวลาของตัวเอง สุดท้ายก็ยิ้มด้วยความเขินอาย “ส่วนมากแล้วฉันก็จะอู้งานน่ะค่ะ”
“ถ้างั้นก็ให้รถคันนี้แสดงความสามารถของมันสิ” หานต้งหลุบตาลง
หวงหรูหรูกับเจิ้งหลินเทียนที่อยู่อีกด้านหนึ่งฟังด้วยความตกตะลึง หลังจากได้ยินประโยคสุดท้ายของหานต้งแล้ว หวงหรูหรูก็ยกมือขึ้นทันที เธอนึกอะไรขึ้นได้กะทันหัน “ใช่แล้ว! เหมียวเหมี่ยว เธอไปขับรถก็ได้นี่นา!”
“หืม?”
“แอพฯ เรียกรถไง! ตอนนี้กำลังฮิตเลยนะ! แถมยังหาเงินง่าย เธอมีใบขับขี่ แล้วก็ไม่ใช่งานเสียหายอะไร เธอไม่เคยประสบอุบัติเหตุใช่มั้ยล่ะ ไปเป็นคนขับในแอพฯ เรียกรถได้อยู่แล้ว!” หวงหรูหรูเอ่ยด้วยความตื่นเต้น
เหมียวเหมี่ยวยิ่งฟังดวงตาก็ยิ่งเบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาเปี่ยมด้วยความสุข “ใช่แล้ว ทำไมฉันถึงคิดไม่ออกนะ ฉันเอาเวลาอู้งานทั้งหมดไปขับรถได้นี่นา! ยอดไปเลย! เถ้าแก่คะ หรูหรู ทั้งสองคนหลักแหลมกันจังเลย!”
“…” เจิ้งหลินเทียนมองพวกเขาอย่างเสียอารมณ์
ทำไมเขาถึงได้รู้สึกอยู่เรื่อยว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง
หลังจากขับรถให้แอพฯ เรียกรถได้หนึ่งเดือน เหมียวเหมี่ยวก็พบว่าชีวิตของเธอมีความสุขขึ้นมาก
“ระยะนี้ฉันเป็นคนขับรถอยู่ค่ะ โปรดเรียกฉันว่า ‘คนขับเหมียว’ นะคะ แต่ว่าผู้โดยสารรายงานฉันเยอะเลยล่ะค่ะ ก็ฉันไม่ได้ขับรถนานแล้วนี่นา ต้องใช้เวลาฝึกมากๆ หน่อย แล้วก็…หักเงินฉันไปเยอะเลย หักคะแนนไปหลายแต้มด้วย น่าโมโหจัง!” เหมียวเหมี่ยวสเก็ตช์รูปพลางหันไปพูดกับคนดูไลฟ์ “มีคุณป้าคนนึงถึงกับถามฉันต่อหน้าเลยว่าไม่มีใบขับขี่ใช่มั้ย เธอบอกให้ฉันรีบไปมอบตัวกับตำรวจจราจรพร้อมเธอ ฉันเอาใบขับขี่ออกมาเธอก็ไม่ยอมเชื่อ ตื่นตระหนกอย่างกับฉันซื้อใบขับขี่มา จะโทรไปหาตำรวจให้ได้ น่าโมโหนัก!”
ทว่าเหล่าคนดูไม่ได้เห็นใจเธอ มีคอมเมนต์อย่าง ‘วะ ฮะฮ่า’ ‘ฮ่าๆๆ’ ‘55555’ เลื่อนผ่านหน้าจอไปด้วยความเร็วสูง
เหมียวเหมี่ยวเหลือบมองหน้าจอ ดวงตาที่อยู่หลังแว่นตากรอบสีดำเต็มไปด้วยความเคียดแค้น “ถึงฉันจะปิดเอฟเฟ็กต์ของขวัญไปแล้ว แต่ก็เห็นว่าเพื่อนๆ หลายคนยังส่งรถมาให้อยู่ ตอนนี้แค่ฉันเห็นรถก็แทบจะอาเจียนออกมาอยู่แล้ว”
จู่ๆ เสี่ยวทู่ก็กระโดดขึ้นมาบนโต๊ะ เหยียบลงบนกระดานอิเล็กทรอนิกส์ของเหมียวเหมี่ยว เธอรีบอุ้มมันขึ้นมา “โอ๊ย แม่เอ๊ย นี่เป็นอันที่สามแล้วนะ ถ้าแกทำพังอีกฉันก็ไม่มีเงินซื้ออันที่สี่หรอกนะ”
พูดถึงเรื่องเงินขึ้นมา เธอก็หันไปพูดกับคนดูอีกครั้ง “เฮ้อ แปลกจริงๆ ทำไมฉันขับรถหาเงินเพิ่มแล้ว เงินเก็บของฉันก็แทบจะไม่เพิ่มขึ้นเลยล่ะ”
“เหมียว…” เสี่ยวทู่ส่งเสียงร้องเบาๆ
“ประธานฟาง ให้ผมหาคนไปส่งคุณเถอะนะครับ” เฉินตั๋วสอบถามฟางไหลหยางอยู่ข้างหลัง
ฟางไหลหยางยื่นมือออกมาทำสัญญาณให้เขาเงียบเสียง “ไม่ต้องหรอก แค่ฝนตกก็ยุ่งยากแล้ว ผมเรียกรถเองก็แล้วกัน”
เฉินตั๋วมองดูถนนข้างนอกโรงแรม ตอนนี้เป็นเวลากินข้าวพอดี รถแท็กซี่ต่างกำลังเปลี่ยนกะ รถติดอย่างหนัก ซ้ำยังฝนตกอีก แท็กซี่กำลังทำเป็นที่ต้องการ เรียกให้จอดรับไม่ได้สักคันเลย
ฟางไหลหยางเองก็เห็นปัญหานี้แล้วเช่นกัน จึงถอนหายใจออกมา “ช่างเถอะ เพิ่งดื่มเหล้าไปทั้งๆ ที่ท้องว่างอยู่จะระคายเคืองกระเพาะมากเกินไป หาร้านอาหารกินให้อิ่มก่อนดีกว่านะ”
เฉินตั๋วพยักหน้า ชั้นล่างของโรงแรมมีร้านอาหารญี่ปุ่นอยู่ที่ทางออกอีกด้าน เฉินตั๋วพาฟางไหลหยางเดินไปยังทางออกนั้น
ตอนบ่ายมีหุ้นส่วนทางธุรกิจเชิญฟางไหลหยางมาร้องคาราโอเกะ ฟางไหลหยางปฏิเสธไม่ได้จึงต้องมา ผลก็คือถูกกรอกเบียร์เข้าปากไปหลายแก้ว ในกระเพาะฟางไหลหยางตอนนี้เต็มเปี่ยมด้วยความร้อน และตัวเขาเองก็เมารถง่ายด้วย ชินกับการขับรถเองมาตลอด ทั้งคู่ดื่มเบียร์เข้าไปทำให้ไม่สามารถขับรถได้ การสังสรรค์กันแบบนี้ไม่ได้ทำให้เขามีความสุขเลยจริงๆ
ในร้านอาหารญี่ปุ่นมีคนไม่มากนัก คงเป็นเพราะว่าเปิดอยู่ในโรงแรมห้าดาวจึงมีราคาแพง ฟางไหลหยางหาที่นั่งริมหน้าต่างแล้วนั่งลง
เฉินตั๋วเห็นฟางไหลหยางไม่เอ่ยอะไรก็สั่งอาหารตามที่อีกฝ่ายชื่นชอบ เมื่อทั้งสองพบหน้ากันนอกเวลางานก็พลันไม่มีเรื่องให้พูดคุยกัน
เฉินตั๋วไม่อยากให้เจ้านายมองเขาเหมือนจะเขมือบเข้าไปอยู่ตลอด จึงยกมุมปากขึ้นด้วยความประดักประเดิด มองไปรอบๆ หาหัวข้อสนทนาแล้วชี้ไปยังลูกค้าโต๊ะด้านหลังเขา “คุณดูผู้หญิงคนนั้นสิครับ มากินอาหารญี่ปุ่นคนเดียวซะด้วย กินข้าวอยู่ยังจะสวมหมวกไว้อีก”
หัวข้อสนทนาของเขาทำให้ฟางไหลหยางรู้สึกกระอักกระอ่วนเป็นที่สุด เขากลอกตา จากนั้นจึงหันไปมอง
ภายในร้านอาหารที่มีแสงอบอุ่น หลังของเธอพิงอยู่กับโต๊ะสำหรับสองคนที่มุมร้าน หันข้างให้กับเขาทั้งสอง เป็นหญิงสาวที่สวมแว่นตากรอบสีดำหนา สวมหมวกเบสบอลใบหนึ่ง ปล่อยผม สวมสเว็ตเตอร์ปุกปุยสีชมพู บนโต๊ะมีอาหารวางอยู่ห้าหกอย่าง มีทั้งซาชิมิ ซูชิ ราเม็ง ปริมาณอาหารที่กินพอๆ กับผู้ชายตัวใหญ่ๆ อย่างฟางไหลหยางกับเฉินตั๋วทั้งสองคน ตอนนี้หญิงสาวคนนั้นกำลังก้มหน้าลงคีบซูชิชิ้นหนึ่งเข้าปาก สีหน้าอิ่มเอมใจ
มุมที่เธอนั่งแสงไฟขมุกขมัว ผมยาวของหญิงสาวปิดใบหน้าด้านข้างของเธอเอาไว้ ในตอนแรกเฉินตั๋วมองไม่ออกว่าเธอคือเหมียวไก่ฉีกที่มีชื่อบนบัตรประชาชนว่าเหมียวเหมี่ยว
คุณเหมียวไก่ฉีกของพวกเราสอบถามชาวเน็ตด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มในไลฟ์เมื่อคืนนี้ว่าทำไมเงินเก็บของเธอถึงได้ไม่เพิ่มขึ้นเลย จากนั้นก็เหมือนจะตระหนักไม่ได้ ยังใช้เงินกินอาหารรสเลิศทุกวัน เมื่อวานเธอได้ยินเพื่อนบอกว่าร้านอาหารญี่ปุ่นที่อยู่ในเครือของโรงแรมห้าดาวแห่งนี้รสชาติเหมือนต้นตำหรับ คุณเหมียวไก่ฉีกก็ไม่อาจระงับจิตใจอันตะกละตะกลามเอาไว้ได้ พยายามรับส่งผู้โดยสารสิบกว่าคนสุดกำลัง จากนั้นก็ใช้คำว่า ‘เลี้ยงฉลองให้ตัวเอง’ กินดื่มอย่างเมามัน
“ราเม็งกระดูกหมูชามนี้อร่อยที่สุดตั้งแต่เคยกินมาเลย!” เหมียวเหมี่ยวซาบซึ้งจนน้ำตาแทบอาบใบหน้า เธอนำภาพอาหารรสเลิศและราเม็งที่ถ่ายเอาไว้เมื่อครู่มาเขียนแคปชั่นแล้วอัพขึ้นเวยป๋อว่า
‘คืนนี้กินเจ้านี้ล่ะ! ราเม็งรสเลิศ! หนึ่งในใต้หล้า!’
เหล่าแฟนคลับคอมเมนต์กันอย่างว่องไว รวมๆ แล้วได้ความว่า
‘พวกเธอเห็นกันหรือเปล่าว่าตั้งแต่ที่แมวเหมียวขับรถก็กินเยอะขึ้นมาก คิดดูแล้วก็น่ากลัวสุดๆ เลย!’
‘แมวเหมียว แบบนี้เก็บเงินไม่ได้หรอกนะ แล้วยังจะเสียพวกเราไปด้วย’
‘ฉันเคยกินร้านนี้! แพงเป็นบ้าเลย! แมวเหมียว วันนี้คุณรับส่งคนไปกี่รอบเนี่ย?’
เหมียวเหมี่ยวสูดเส้นราเม็งได้เส้นหนึ่ง เหลือบตามองมือถือสองสามครั้งแล้วก็วางลง ตั้งอกตั้งใจกินอาหารอย่างเดียว
“ประธานฟาง ซูชิมาแล้ว จะกินซูชิก่อนเลยเหรือเปล่าครับ” เฉินตั๋วเตือนฟางไหลหยาง
ฟางไหลหยางนิ่วหน้าจ้องมองหน้าจอมือถือ ผ่านไปนานถึงได้วางมือถือลง มองดูลูกค้าภายในร้านรอบหนึ่ง สายตาหยุดชะงักอยู่ที่คู่รักที่นั่งกระจัดกระจายกันไปแล้วหัวเราะเยาะตัวเอง ทั้งยังแอบด่าตัวเองว่าแปลกคน
เฉินตั๋วกัดริมฝีปากด้วยความตึงเครียดแล้วถามเขาอีกรอบว่า “ประธานฟาง รับซูชิ…มั้ยครับ” รีบคีบไปชิ้นหนึ่งสิ ผมเองก็หิวเหมือนกันนะ!
ฟางไหลหยางพยักหน้า แต่ไม่ได้ขยับตะเกียบแต่อย่างใด ซ้ำยังเอ่ยถามเฉินตั๋ว “คราวก่อนที่ส่งมอบรถ คุณได้เจอตัวจริงของเธอหรือเปล่า”
“หืม?” เฉินตั๋วไม่ได้ตอบในทันที นิ่งอึ้งอยู่นานสองนาน สมองถึงได้วนกลับมาเข้าใจว่าฟางไหลหยางถามเรื่องอะไร
เฉินตั๋วตำหนิในใจว่าตอนนั้นใครกันที่ทำเมิน ทั้งยังแสดงออกว่าตัวเองไม่ได้สนใจ ขณะเดียวกันก็ตอบเขากลับไปอย่างนอบน้อม “ไม่ได้เจอครับ เป็นบรรณาธิการของลู่ซื่อเหวินฮว่ามาทำเรื่องแทน”
“อืม” ฟางไหลหยางพยักหน้า ยกตะเกียบเอื้อมมือเตรียมคีบซูชิ แต่มือนั้นกลับชะงักอยู่กลางอากาศ
เฉินตั๋วกังวลใจ รอให้ฟางไหลยางคีบชิ้นแรกไป ตัวเขาเองก็กระวีกระวาดเริ่มต้นกินตามทีท่าของเจ้านาย
‘กึก!’ คิดไม่ถึงว่าฟางไหลหยางจะวางตะเกียบลงอีกครั้ง กำมือวางลงข้างๆ ตะเกียบ ถามเฉินตั๋วด้วยความกลัดกลุ้ม “ผู้ช่วยเฉิน แอพฯ เรียกรถคืออะไร”
“…” หา?
เฉินตั๋วจับต้นชนปลายไม่ถูก มองไปยังฟางไหลหยางด้วยความไม่เข้าใจ
ฟางไหลหยางเหลือบมองไปทางอื่น หยิบมือถือให้สัญญาณกับเขา “ช่างเถอะ ไม่ต้องอธิบายแล้ว เดี๋ยวผมดูเอง”
เฉินตั๋วพยักหน้า จ้องมองซูชิอย่างมีความหวัง
พนักงานเสิร์ฟอาหารจานที่สอง ราเม็งกระดูกหมูร้อนระอุ
ชามนี้เฉินตั๋วเป็นคนสั่งเอง เขาจ้องฟางไหลหยางตาปริบๆ ถามด้วยความระมัดระวัง “ประธานฟาง…ผม…กิน…ก่อน…นะครับ”
สายตาของฟางไหลหยางไม่ได้มองเขาสักนิด โบกมือให้เขากินไปก่อน เฉินตั๋วจึงเหมือนยกภูเขาออกจากอก พุ่งตัวสู่อ้อมกอดของอาหารรสเลิศ
“ผู้ช่วยเฉิน โหลดแอพฯ เรียกรถปาปาให้ผมหน่อย” ฟางไหลหยางดันมือถือไปตรงหน้าเฉินตั๋ว
“พรืด…” เฉินตั๋วเกือบจะพ่นน้ำซุปที่อยู่ในปากของเขาออกมา รีบร้อนคว้ากระดาษทิชชูออกมาเพื่อเช็ดหน้าจอมือถือให้สะอาด โชคยังดีที่ไม่ได้กระเด็นใส่จริงๆ
“ครับ?”
ฟางไหลหยางดันมือถือไปทางเฉินตั๋วอีกครั้ง มอบหมายภารกิจให้เฉินตั๋วด้วยสีหน้าจริงจัง “ผู้ช่วยเฉิน ผมจะโหลดแอพฯ เรียกรถปาปา”
เฉินตั๋วกะพริบตา หยิบมือถือขึ้นมาช้าๆ ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นให้ฟางไหลหยางอย่างจนใจ “ประธานฟาง…คุณไม่รู้ว่าจะดาวน์โหลดยังไงเหรอครับ”
“ผมรู้”
“…” แล้วทำไมถึงให้ผมเป็นคนทำล่ะ
“ผมจะกินข้าว” ฟางไหลหยางเอ่ยออกมาเต็มปากเต็มคำ จากนั้นก็คีบซูชิมาวางตรงหน้า ข้าวหน้าปลาไหลซึ่งเป็นจานหลักของเขามาเสิร์ฟแล้ว นับว่าอารมณ์ของฟางไหลหยางดีขึ้นประมาณหนึ่ง โค้งมุมปากขึ้น เอ่ยเสนอแนะ “เชื่อมบัญชีแอพฯ กับบัญชีอาลีเพย์ให้ผมด้วยนะ ต้องการลายนิ้วมือกับรหัสผ่านค่อยบอกผม”
“…” เฉินตั๋วจัดการธุระให้เจ้านายด้วยใบหน้าเศร้าใจ
เมื่อจัดการเรียบร้อยแล้ว ในที่สุดเฉินตั๋วก็ได้กินข้าวอย่างสบายใจเสียที หลังจากกระเพาะอันว่างเปล่ารู้สึกสงบสุข เขาจึงถามฟางไหลหยางว่า “ประธานฟางครับ คืนนี้คุณจะเรียกรถกลับบ้านด้วยแอพฯ ปาปาเหรอครับ”
“ใช่แล้ว” ฟางไหลหยางพยักหน้า “อยากลองดูหน่อยน่ะ”
“ทำไม…จู่ๆ ถึงได้อยากลองนั่งล่ะครับ” เฉินตั๋วเอ่ยถามแกมหัวเราะ
ฟางไหลหยางหลุบม่านตาลง หัวเราะเบาๆ พลางเอ่ย “อยู่ดีๆ ก็นึกสนุกขึ้นมาน่ะ”
“ในที่สุด…ก็กินเสร็จสักที…” ผลของการไม่ทันได้ระวังสั่งมาเยอะเกินไปก็คือเหมียวเหมี่ยวกินช้าลงเรื่อยๆ กินจนสุดท้ายเพราะราคาอาหารแพงจนจะอาเจียนบีบบังคับให้เธอยัดอาหารเข้าปาก เวลานี้อาหารรสเลิศได้กลายเป็นยาพิษเรียบร้อยแล้ว
เหมียวเหมี่ยวกุมท้อง สูดลมหายใจเข้าลึก นั่งพิงอยู่กับเบาะนั่งอย่างกับวิ่งมาแล้วแปดร้อยเมตร เรี่ยวแรงในร่างกายถูกดึงออกมาจนหมด
“โอ๊ย…รีบกลับบ้านเถอะเนอะ” เหมียวเหมี่ยวบ่นพึมพำ “อิ่มจะตายก็ต้องกลับไปตายที่บ้าน”
เธอลุกขึ้นยืน รู้สึกสบายท้องขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็เปิดแอพฯ เรียกรถปาปาในมือถือ เตรียมตัวเริ่มทำงานเป็นคนขับรถหญิง
“พนักงาน คิดเงินด้วยค่ะ” เธอกวักมือเรียกเป็นสัญญาณ
พนักงานที่รออยู่ไม่ไกลนักก้าวเข้ามาหาเหมียวเหมี่ยว เหมียวเหมี่ยวก้มหน้าหากระเป๋าตัง เมื่อหาเจอแล้วเงยหน้าขึ้นก็พบว่าพนักงานถูกลูกค้าโต๊ะเยื้องๆ กันด้านหน้าเธอชิงตัดหน้าไปก่อน เป็นผู้ชายรูปหล่อสูงใหญ่สองคนเสียด้วย
เหมียวเหมี่ยวยืนรออยู่สักครู่ รอให้ลูกค้าทั้งสองคิดเงินเสร็จเรียบร้อย พนักงานถึงได้เริ่มคิดเงินที่โต๊ะเธอ
“ทั้งหมดสี่ร้อยสิบเอ็ดหยวน รับมาพอดีนะครับ ขอบคุณที่มาอุดหนุน โอกาสหน้าเชิญใหม่นะครับ”
เหมียวเหมี่ยวป้องกระเป๋าตังเอาไว้พลางเดินออกมาจากร้าน
แพงจังเลย…เหมียวเหมี่ยวจ่ายเงินเสร็จแล้วถึงได้เริ่มเสียดายเงินขึ้นมา
วันนี้ขับรถฟรีไปตั้งหลายรอบ กินข้าวมื้อเดียวก็ใช้หมดแล้ว ทำไมเธอไม่ซื้อพวกเครื่องสำอาง เสื้อผ้า หรือกระเป๋าให้เยอะๆ หน่อยนะ จ่ายเงินก้อนนี้ไปกับของกินจนหมด ไม่ได้เรื่องเลย! เวลามีของกินก็กินแบบยัดทะนาน เวลาไม่มีของกินก็แย่งอาหารของเสี่ยวทู่มากิน ดูชีวิตอันสดใสของฉันสิ! หึ!
เหมียวเหมี่ยวตกอยู่ท่ามกลางการประณามตัวเอง
‘ติ๊งๆ…’ มือถือของเธอสั่นสองครั้ง พอเหมียวเหมี่ยวเอาขึ้นมาดู ก็เห็นว่าแอพฯ เรียกรถปาปาให้เธอไปส่งผู้โดยสารคนหนึ่ง อยู่ห่างกับเธอ…สิบเมตร?
“ประธานฟาง ดูสิครับ มันจัดรถให้เองเลย แบ่งตามระยะทาง ดูสิครับ เท่านี้ก็จัดรถให้เราแล้ว ดูสิว่าคนขับอยู่ที่ไหน หา?” เฉินตั๋วอธิบายขั้นตอนการทำงานของแอพพลิเคชั่นให้ฟางไหลหยางฟัง สุดท้ายเมื่อดูที่หน้าจอก็ตกตะลึง
“มีอะไรเหรอ?” ฟางไหลหยางขยับเข้ามาใกล้
“ดูสิครับ…คนขับรถอยู่…ข้างๆ เรานี่เอง…” เฉินตั๋วหันหน้าจอไปให้ฟางไหลหยางดู ส่วนตัวเองก็มองดูรอบๆ
เพราะตอนนี้ฝนยังตกอยู่ ถึงจะไม่หนักมาก แต่คนที่ไม่ได้อยากเดินตากฝนไปที่ป้ายรถเมล์หรือสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินก็มีอยู่ ตอนนี้มีคนยืนออกันอยู่ที่หน้าโรงแรมไม่น้อย อย่างน้อยก็สิบกว่าคน สายตาของเฉินตั๋วมุ่งตรงไปยังชายรูปร่างอ้วนเตี้ย ผิวคล้ำ น่าจะทำงานใช้แรง มองดูแล้วก็คิดว่าน่าจะเป็นคนขับรถ
“ใช่คนนั้นหรือเปล่าครับ” เฉินตั๋วชี้ชายคนนั้นให้ฟางไหลหยางดู
ฟางไหลหยางหันไปดูแวบหนึ่งก็เคลื่อนสายตากลับมา “อย่าคิดมั่วซั่วสิ คนขับเป็นผู้หญิง ชื่อเหมียวเหมี่ยว”
“หา? เหมียวเหมี่ยว?” เมื่อครู่เฉินตั๋วไม่ได้ดูข้อมูลของคนขับให้ดี พอได้ยินชื่อนี้ขึ้นมาตอนนี้ หลังจากครุ่นคิดอยู่สักครู่ก็รู้สึกว่าฟังดูคุ้นหูไม่น้อย
“ผมขอดูรูปหน่อยสิครับ” ครั้นเฉินตั๋วได้เห็นรูปโพรไฟล์รวมถึงรุ่นรถและป้ายทะเบียน ก็นิ่งอึ้งอยู่พักหนึ่ง
รถคันนี้เป็นคันเดียวกับที่ไปทำเรื่องให้ไม่ใช่เหรอ?! แล้วคนขับก็เป็นคุณเหมียวไก่ฉีกคนนั้นด้วย! นี่เธอถึงขนาดเอาน้ำจิตน้ำใจของประธานฟางมาหาเงินเลยเหรอ
เฉินตั๋วอยู่ในความสับสนอันน่าหวาดกลัว…เขาจะบอกประธานฟางดีหรือเปล่า ถ้าบอกไปแล้วประธานฟางเกิดไม่สบอารมณ์ขึ้นมา เขาอาจจะถูกหักเงินเดือนก็ได้ แต่พอคิดว่าจะปิดเอาไว้ก่อนก็นึกไปถึงว่าถ้าเกิดความลับแตกขึ้นมา ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คงจะถูกหักเงินเดือนอีกเช่นกัน
ทว่าถ้าปิดไปได้หนึ่งเดือน ก็จะได้เงินเดือนมาหนึ่งเดือน เฉินตั๋วจึงตัดสินใจว่าจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
“คนขับผู้หญิง หายากนะเนี่ย ฮ่าๆ!” เฉินตั๋วหัวเราะแก้เก้อ จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สุดท้ายก็ขมวดคิ้ว “ทำไมถึงได้คะแนนน้อยอย่างนี้ล่ะ แค่สามดาวเอง…”
เฉินตั๋วอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่ามาตรฐานการบริการของคุณเหมียวไก่ฉีกต่ำจริงๆ หรือเปล่า
ฟางไหลหยางกลับไม่ได้คิดอย่างนั้น พยักหน้าอย่างสงบ “อ๋อ อย่างนั้นเองเหรอ”
เฉินตั๋วไม่รู้ว่าควรจะบอกเขาดีหรือเปล่า การเปลี่ยนคนขับใหม่ดูจะเข้าท่ากว่า ทว่าในใจก็มีความเห็นแก่ตัวอยู่นิดหน่อย อยากจะเห็นภาพที่ทั้งสองคนได้เจอหน้ากัน
“เอ๊ะ! ทำไมห่างออกไปไกลกว่าเดิมแล้วล่ะ” เฉินตั๋วจ้องมองระยะห่างของคนขับรถด้วยความงุนงง “รีบโทรไปถามเลยสิครับ โทรไปตามเบอร์โทรศัพท์ในข้อมูลนั่นเลย”
ฟางไหลหยางทำตามนั้น เดี๋ยวเดียวอีกฝ่ายก็รับสาย เสียงของหญิงสาวช่างน่าฟังและมีชีวิตชีวา ฟางไหลหยางได้ฟังก็รู้สึกกระชุ่มกระชวย
“สวัสดีค่ะ พวกคุณอยู่หน้าประตูใหญ่โรงแรมโรสใช่หรือเปล่าคะ” อีกฝ่ายคงจะเป็นเด็กสาวแรกรุ่น น้ำเสียงดูคล่องแคล่วเชียว “ตอนนี้ฉันกำลังไปที่ลานจอดรถ รอเดี๋ยวนะคะ”
“ครับ” ฟางไหลหยางตอบรับแล้ววางสาย
ฟางไหลหยางพยักหน้าให้เฉินตั๋ว “อีกเดี๋ยวก็มาแล้วล่ะ”
ผ่านไปสองนาทีรถโฟล์กสวาเกนสีขาวที่ดูคุ้นตาคันหนึ่งก็ปรากฏขึ้นหน้าโรงแรม ไฟหน้าทั้งสองข้างถูกเปิด เสียงแตรดังขึ้นสองครั้ง ‘ปี๊นๆ’
ฟางไหลหยางจดจ้องอยู่ที่ป้ายทะเบียนรถ เปรียบเทียบกับรูปในมือถือ ชี้ไปยังรถคันนั้นพลางเอ่ยกับเฉินตั๋ว “คันนี้เหรอ”
เฉินตั๋วไม่ได้ดูเทียบอะไรก็พยักหน้า ป้ายทะเบียนนี้เขาเป็นคนช่วยเลือกมาเอง เขาจำได้อย่างแม่นยำ ไม่จำเป็นต้องดูให้แน่ใจอีกรอบหรอก
“งั้นผมไปก่อนนะ คุณหาทางกลับบ้านเองก็แล้วกัน” ฟางไหลหยางเอ่ยกับเฉินตั๋วอย่างไร้เยื่อใย เปิดประตูได้ก็ขึ้นไปนั่งบนรถ
เดิมทีเฉินตั๋วอยากติดรถไปด้วย แต่ถูกฟางไหลหยางปิดทางอย่างนี้แล้วก็ไม่มีทางเลือกอื่น หยิบมือถือขึ้นมาเรียกรถด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย
เจ้านายใจจืดใจดำเกินไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเงินเดือนสูง เขาก็อยากลาออกอยู่เหมือนกัน
“รูปหล่อไปไหนเหรอคะ” ครั้นฟางไหลหยางขึ้นมาบนรถก็ได้ยินเสียงไพเราะของหญิงสาวเอ่ยกับเขาอย่างเป็นมิตร
เสียงนี้ฟังคุ้นหูอยู่เหมือนกัน รู้สึกเหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
“เคหาสน์เฟิ่งเฉิงครับ” ฟางไหลหยางพูดที่อยู่จบก็หลับตาพักผ่อน นั่งพิงกับเบาะหลัง
แต่ดูเหมือนว่าคนขับสาวคนนี้จะไม่ใช่คนเรียบร้อยสักเท่าไร เธอพูดคุยเล่นกับฟางไหลหยางไม่หยุดหย่อน ปริมาณแอลกอฮอล์ในตัวฟางไหลหยางยังไม่หมด เขาเวียนหัวจะแย่อยู่แล้ว แต่เขาไม่อยากมีเรื่องกับคนแปลกหน้าจึงตอบรับคำพูดของเธอเป็นอย่างดี คุยตอบโต้กันไปมาสักพักฟางไหลหยางก็พบว่าผู้หญิงคนนี้น่าสนใจทีเดียวเลย
แสงไฟในรถขมุกขมัว มองหน้าของคนขับรถสาวได้ไม่ชัดนัก ทว่าฟางไหลหยางอาศัยไฟหน้ารถฝั่งตรงกันข้ามจึงเห็นว่าคนขับสวมหมวกเบสบอลกับสเว็ตเตอร์ตัวยาวสีชมพู ด้วยการแต่งตัวที่คุ้นตา ฟางไหลหยางก็นึกออกทันทีว่าหญิงสาวคนนี้คือคนเดียวกับหญิงแกร่งที่กินอาหารเท่าผู้ชายตัวโตๆ ในร้านอาหารญี่ปุ่น
“รูปหล่อ ฉันเห็นว่าวันนี้คุณเพิ่งจะกินมื้อค่ำที่ร้านอาหารญี่ปุ่นเหมือนกันนี่นา คุณจ่ายเงินก่อนฉัน ฮ่าๆ พวกเรานี่ดวงสมพงศ์กันจังเลยนะคะ” ฟางไหลหยางกำลังคิดอย่างนั้นอยู่ คนขับสาวก็พูดออกมาเสียเอง
“ครับ” ฟางไหลหยางตอบรับ “คุณมากินคนเดียวเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ” เหมียวเหมี่ยวคนขับรถสาวพูดแกมหัวเราะโดยไม่เขินอายเลยสักนิด “กินอาหารเยอะแยะคนเดียวเลย ตอนนี้อิ่มจะตายแล้วค่ะ ถ้าฝนไม่ตกก็อยากจะเดินกลับบ้านย่อยอาหารสักหน่อย”
“บ้านคุณอยู่แถวนี้เหรอครับ” ฟางไหลหยางเอ่ยตามน้ำไป
“ไม่ใกล้หรอกค่ะ ฮ่าๆๆ แต่ว่าต้องผ่านเคหาสน์เฟิ่งเฉิงอยู่แล้วน่ะค่ะ” เหมียวเหมี่ยวเอ่ยแกมหัวเราะ
ฟางไหลหยางเอ่ย “ครับ” เป็นการตอบรับ
ภายในรถเงียบงันอยู่สักครู่ รถก็จอดรอไฟเขียวอยู่หน้าสี่แยก
เหมียวเหมี่ยวอดทนกับบรรยากาศกระอักกระอ่วนไม่ไหว พยายามคึกคักขึ้นมา “คุณอยู่ที่เคหาสน์เฟิ่งเฉิงเหรอคะ จะต้องเป็นเถ้าแก่ใหญ่แน่ๆ เลย”
“…” ฟางไหลหยางไม่รู้จะต่อบทสนทนาอย่างไร
“คราวก่อนฉันไปส่งคุณป้าคนนึงที่เคหาสน์เฟิ่งเฉิง ตอนนั้นฉันเพิ่งจะได้รถคันนี้มา ไม่ได้ขับรถมาหลายปีแล้วก็เลยขับได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ คุณป้าคนนั้นกระตือรือร้นมากๆ เลย คอยเกลี้ยกล่อมให้ฉันไปมอบตัวกับตำรวจจราจร บอกว่าฉันต้องไม่มีใบขับขี่แน่ๆ ไม่ว่าฉันจะอธิบายยังไงก็ไร้ประโยชน์ ฮ่าๆๆ แต่สุดท้ายก็อธิบายจนกระจ่างนะคะ เธอเกรงใจก็เลยให้ฉันห้าดาว” เหมียวเหมี่ยวบรรยายเรื่องขายหน้าของตัวเองอย่างเพลิดเพลิน
ฟางไหลหยางได้ยินก็ยิ่งรู้สึกจนใจ แต่ว่าทำไมเขาถึงได้คุ้นหูกับเรื่องนี้อย่างนี้ล่ะ
อย่างกับว่า…
เมื่อสองวันก่อนในไลฟ์ นักวาดการ์ตูนเรื่องฮิตในอินเตอร์เน็ตที่พอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้างพูดถึงเรื่องนี้พอดี
ฟางไหลหยางมีลางสังหรณ์ เขานั่งตัวตรง ไม่ได้มีความคิดจะหลับตาพักผ่อนอีกต่อไป ใจเต้นรัวเร็วตึกตักๆ
ถ้า…ถ้าผู้หญิงคนนี้เป็นเหมียวไก่ฉีกจริงๆ ล่ะ…
สมองของฟางไหลหยางตั้งสมมติฐานเอาไว้อย่างเลื่อนลอย เขาขยับตัวช้าๆ เปลี่ยนอิริยาบถหามุมที่ดีที่สุดที่จะเห็นหน้าตรงของคนขับได้
แขนทั้งสองข้างของเหมียวเหมี่ยวควบคุมพวงมาลัยเอาไว้ เธอหักเลี้ยวเป็นวงกว้าง ถนนไม่ได้กว้างนัก ความจริงแล้วก็ไม่ควรจะโค้งกว้างขนาดนี้
ตัวของฟางไหลหยางโงนเงน ใช้ทั้งสองมือยันประตูรถเอาไว้ตัวถึงได้ไม่กระแทกไปที่ด้านข้าง โงนเงนได้ครั้งหนึ่งสมองก็พลันสดชื่นขึ้น
คิดอะไรอยู่นะ ต่อให้คนขับในแอพฯ เรียกรถคือเหมียวไก่ฉีก นักวาดการ์ตูนที่เมื่อชั่วโมงก่อนเพิ่งจะอัพรูปอวดอาหารรสเลิศบนเวยป๋ออย่างมีความสุข แล้วยังไงล่ะ? ก็แค่ได้รู้ว่าคนคนนี้หน้าตาเป็นอย่างไรก็เท่านั้น เป็นเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับชีวิตเลย ไม่จำเป็นต้องใส่ใจสักนิด
หลังเตือนตัวเองอย่างนั้น ฟางไหลหยางก็สงบจิตใจลง หลับตาพักผ่อนต่อ
ทว่าทักษะของคนขับรถผู้หญิงคนนี้เป็นเหมือนที่เธอพูดไว้จริงๆ แย่เอามากๆ เลยล่ะ
หลังหน้าผากฟางไหลหยางกระแทกกับประตูรถเป็นครั้งที่สิบ เขาก็ล้มเลิกการพักผ่อน ดวงตาทั้งสองข้างว่างเปล่าจดจ้องอยู่ที่นอกหน้าต่าง เหม่อลอยไปกับไฟถนนที่วูบวาบวนไปเรื่อยๆ ไม่หยุด อย่างไรก็ต้องทำจิตใจให้ว่าง เพราะว่า…ฟางไหลหยางพบว่าเขาเมารถเข้าแล้ว
ตอนจอดก็ไถลไปข้างหน้า ออกตัวก็กระตุกสามครั้ง ถ้าตอนนี้ต้องให้คะแนนทักษะการขับรถของเธอคนนี้ เขาก็ให้คะแนนเธอได้แล้ว
ทุกครั้งที่เจอสี่แยกไฟแดง ตอนหยุดรถ คนขับผู้น่ารักคนนี้ก็จะเหยียบเบรกจนสุดตัว แรงหนืดขนาดใหญ่ทำให้กระเพาะของฟางไหลหยางกลิ้งตลบ รอจนกระทั่งไฟเขียว กว่าจะออกตัวได้ก็ช้าเป็นเต่าคลาน ความเร็วในการเหยียบคันเร่งก็ไม่เสถียร เร็วบ้างช้าบ้าง ฟางไหลหยางกัดริมฝีปาก เกรงว่าตัวเองจะถูกทำให้เมารถจนวิงเวียน
“รูปหล่อ คุณจะหลับเหรอคะ ฉันเปิดแอร์แรงไปใช่หรือเปล่า คุณหนาวมั้ย” เหมียวเหมี่ยวเห็นฟางไหลหยางพิงหลับอยู่กับประตูรถจากกระจกหลังจึงถามด้วยความหวังดี
“แค่ก ไม่เป็นไรครับ” ฟางไหลหยางกระแอมขึ้นครั้งหนึ่ง ไม่ให้สมาธิของเขากลับไปรวมอยู่ที่ทักษะการขับรถของเธอ
เหมียวเหมี่ยวตั้งอกตั้งใจขับรถ แต่กลับไม่ได้รู้สึกดีขึ้นสักเท่าไร
นานสองนานฟางไหลหยางก็เอ่ยถาม “เอ่อ…ผมถามอะไรหน่อยได้หรือเปล่า”
“คะ?”
“คือว่า…คุณได้ใบขับขี่มาได้กี่เดือนแล้ว” ฟางไหลหยางระมัดระวังคำพูด
“…” มือที่กุมพวงมาลัยของเหมียวเหมี่ยวพลันหยุดนิ่ง แสงไฟจากรถฝั่งตรงข้ามส่องเข้ามาจากด้านหน้า เธอมองชายหนุ่มที่กำลังขมวดคิ้วจ้องไปนอกหน้าต่างที่นั่งอยู่บนเบาะผ่านกระจกมองหลัง หัวเราะด้วยความเก้อเขิน “เอ่อ…รูปหล่อ…ฉันได้ใบขับขี่มาสี่ปีแล้วน่ะ…”
“…”
“จริงๆ นะ! จริงๆ!” เหมียวเหมี่ยวเห็นสีหน้าตกตะลึงที่แสดงชัดว่าอีกฝ่ายไม่เชื่อเธอ ก็รีบร้อนอธิบาย “ถ้าไม่เชื่อฉันให้ดูใบขับขี่ของฉันก็ได้!” เธอพูดพลางเอื้อมมือล้วงใบขับขี่จากกระเป๋าเสื้อ
เดิมทีทักษะการขับรถก็แย่อยู่แล้ว ไหนจะเสียสมาธิอีก ฟางไหลหยางค่อนข้างกลัว รีบหยุดเธอไว้ “ผมเชื่อคุณ ไม่ต้องเอาออกมาหรอกครับ”
“สี่ปีจริงๆ นะคะ” เหมียวเหมี่ยวหดมือกลับมา ย้ำอีกครั้งหนึ่งอย่างไม่ยอมแพ้
ฟางไหลหยางหัวเราะเบาๆ ไม่เอ่ยอะไรอีก
“ฉันรู้ค่ะว่าฝีมือขับรถของฉันไม่ได้เรื่อง แต่ฉันจะขับให้ดีอย่างแน่นอนค่ะ ค่อยๆ ฝึกไปก็ได้ ทำให้คุณลำบากเลยนะคะ” เหมียวเหมี่ยวเอ่ยขอโทษ
“ลำบากไม่เท่าไหร่หรอกครับ” ฟางไหลหยางเอ่ย “แต่ผมเพิ่งกินข้าวเสร็จน่ะ…”
“ค่ะๆ ที่เก็บของหลังเบาะมีถุงพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้งอยู่นะคะ ถ้าอยากอาเจียนก็อาเจียนในนั้นได้เลย!” มือข้างหนึ่งของเหมียวเหมี่ยวชี้ไปตรงนั้น “ฉันสอดลูกอมรสมิ้นต์เอาไว้ข้างๆ ถุงพลาสติก ถ้ารู้สึกไม่สบาย อมไว้สักเม็ดก็ได้นะคะ”
ไม่รู้ว่าทรมานคนไปเท่าไรถึงได้เตรียมไว้พร้อมขนาดนี้
ฟางไหลหยางล้วงมือเข้าไปในช่องเก็บของ เขาคลำไปเจอกับถุงพลาสติกปึกหนึ่ง ทว่าไม่ได้เอามันออกมา จากนั้นก็ล้วงไปหาลูกอมรสมิ้นต์ที่อยู่อีกฝั่งแทน มองดูก็เห็นว่าเป็นยี่ห้อที่ตัวเองชอบ ฟางไหลหยางขมวดคิ้ว พลิกดูวันผลิตบนด้านนอกกล่องลูกอมซ้ำไปซ้ำมา
เหมียวเหมี่ยวไม่เห็นว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ แต่ก็ได้ยินเสียงลูกอมรสมิ้นต์พลิกไปมาในกล่องเหล็ก หัวเราะพลางเอ่ย “ฉันซื้อจากร้านสะดวกซื้อที่เดินผ่านหลังกินข้าวเสร็จน่ะค่ะ ยังไม่ได้เปิด วางใจได้ค่ะ”
ไม่ว่าอย่างไรความหวาดระแวงของเขาก็ยังคงไม่หมดไป สุดท้ายก็ยัดลูกอมรสมิ้นต์กลับไปที่เดิม ดึงถุงพลาสติกออกมาใบหนึ่ง ถือเอาไว้ในมือ เผื่อไว้ว่ามึนจนอาเจียนแล้วจะรับมือไม่ทัน
ตอนนี้เขาเข้าใจหัวอกของผู้โดยสารที่ให้คะแนนเธอน้อยเป็นอย่างดี
ฟางไหลหยางเงยหน้าขึ้นแล้วหลับตาลง ถอนหายใจออกยาวๆ พยายามผ่อนคลายความไม่สบายตัว
เหมียวเหมี่ยวกลัวว่าเขาจะไม่สบายจึงขับรถให้ช้าลง พูดคุยไม่หยุดเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเขา
“รูปหล่อ คุณทำงานอะไรเหรอคะ”
ฟางไหลหยางลืมตาขึ้นช้าๆ ด้วยความอ่อนเพลีย “ขายรถครับ” นี่เป็นเพียงธุรกิจแขนงเดียวของบริษัทเขาเท่านั้น
“อ๋อ ทำงานอยู่ที่ 4S นี่เอง รถยี่ห้ออะไรเหรอคะ”
“…” จะบอกเธอยังไงดีนะ เขาเป็นคนดูแลศูนย์ 4S
“ฟังเพลงหน่อยมั้ยคะคุณ ไม่ชอบเสียงดังหรือเปล่า” ในรถของเหมียวเหมี่ยวมีเพลงของวงร็อกญี่ปุ่นอยู่ ร้อนแรงเชียวล่ะ
“แล้วแต่ครับ”
“งั้นก็ดีค่ะ”
“…”
“จริงสิคะ คุณ…”
บางคนอยู่ในบรรยากาศเงียบๆ แล้วมีคนพูดกลับยิ่งรู้สึกไม่สบายเพราะเมารถมากขึ้น ฟางไหลหยางเอ่ยด้วยความรำคาญ “เงียบหน่อยได้หรือเปล่า”
“ค่ะ…ขอโทษนะคะ…” เหมียวเหมี่ยวละล่ำละลัก เอ่ยขอโทษด้วยความประดักประเดิด “ฉันแค่อยากเบี่ยงเบนความสนใจคุณน่ะค่ะ”
ตระหนักได้ว่าน้ำเสียงของตัวเองค่อนข้างรุนแรง ฟางไหลหยางก็รู้สึกผิดขึ้นมา “ขอบคุณนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” น้ำเสียงของเหมียวเหมี่ยวกลับสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว
หลังจากเอ่ยประโยคนี้จบแล้ว เหมียวเหมี่ยวก็ไม่กล้าพูดอะไรอีกเลย ทั้งสองไม่ได้พูดคุยกันอีก รถแล่นเข้าไปยังถนนที่เคหาสน์เฟิ่งเฉิงตั้งอยู่
เคหาสน์เฟิ่งเฉิงค่อนข้างห่างจากตัวเมือง สนามกอล์ฟที่ใหญ่ที่สุดในเมืองฝูเฉิงเองก็อยู่ในละแวกนี้ ปลายใบของต้นการบูรมีผลออกมาตลอดทั้งสองฝั่งถนน หยาดฝนค่อยๆ เปลี่ยนจากละอองเป็นเม็ดฝนขนาดย่อม บนถนนมีแอ่งน้ำที่สะท้อนแสงไฟขึ้นมาท้าทายสายตาที่ไม่ดีของเหมียวเหมี่ยวอยู่ตลอด แสงไกลๆ จากรถอีกฝั่งหนึ่งเองก็เสียดแทงประสาทการมองเห็นของเธอไม่หยุดหย่อน
ครั้นใกล้จะถึงประตูเขตที่พักอาศัย ประกายสีแดงจากป้ายกากบาทขนาดใหญ่ก็ปรากฏตรงหน้า ขวางทางพวกเขาเอาไว้ ด้านหลังป้ายมีแผงกันถนนวางเป็นแถว ที่แท้ตรงนี้ก็ซ่อมถนนอยู่นี่เอง
เหมียวเหมี่ยวเหยียบเบรก การเบรกอย่างกะทันหันทำให้รถหยุดทันที ด้วยแรงเฉื่อย เหมียวเหมี่ยวกับฟางไหลหยางต่างก็ถูกกระชากไปข้างหน้าเล็กน้อย
“นี่…” เหมียวเหมี่ยวนิ่งอึ้งอยู่เป็นเวลานานถึงได้สติคืนมาแล้วจอดรถที่ข้างทาง
เคหาสน์เฟิ่งเฉิงตั้งอยู่บริเวณตีนเขา ทัศนียภาพสวยงาม คนผ่านไปมาไม่มาก ทั้งยังเงียบสงบ นี่คือเขตของคนรวยในตำนาน เหมียวเหมี่ยวไม่เคยเข้าไปมาก่อน นี่เป็นครั้งที่สองที่เธอมาที่นี่ คราวก่อนที่เธอมารถยังสามารถผ่านเข้าไปได้สบายๆ
เหมียวเหมี่ยวหันไปด้วยความรู้สึกผิด “คุณคะ ขอโทษด้วยนะ…”
ฟางไหลหยางเกือบจะกระแทกเข้ากับหลังเบาะฝั่งคนนั่งเสียแล้ว เหมียวเหมี่ยวเอ่ยขึ้นมาแบบนี้ เขาก็กลอกตา ตอบกลับอย่างจนใจ “เบรกให้มันนุ่มนวลหน่อยสิครับ”
“ได้ค่ะ คราวหน้าฉันจะปรับปรุงนะคะ พอเกิดอะไรขึ้นหน่อยฉันก็เลยลนลานน่ะค่ะ คุณดู…ถนนนี่สิ…” เหมียวเหมี่ยวจัดหมวกให้เข้าที่ ชี้ไปยังแผงกั้นถนนที่อยู่ข้างหน้า
“เพิ่งจะเริ่มขุดกันเมื่อคืน วางท่อน้ำใหม่น่ะ ถ้าคุณเรียกผมเร็วกว่านี้หน่อยผมคงให้คุณขับไปเข้าประตูอื่นแล้ว” ฟางไหลหยางไม่รับผิดชอบ ทั้งยังติเธอด้วย
เหมียวเหมี่ยวเองก็ไม่โทษที่ฟางไหลหยางไม่ได้บอกให้ชัดเจนตั้งแต่แรกว่าให้เข้าประตูไหน เลยเอ่ยขอโทษ “งั้นทำยังไงดี ให้ฉันอ้อมไปอีกประตูมั้ยคะ?”
“ช่างเถอะ ลงตรงนี้เลยก็แล้วกัน” ฟางไหลหยางอยากรีบลงรถเพื่อรักษาชีวิตไว้
“ขับรถเข้าไปไม่ได้ ต้องลำบากให้คุณเดินเข้าไปอีกหน่อยนะคะ”
ฟางไหลหยางค่อนข้างประหลาดใจกับนิสัยของเธอ เขาพยักหน้าตอบ “อืม ไม่เป็นไรหรอก” จากนั้นก็กำลังจะเปิดประตูลงจากรถไป
เหมียวเหมี่ยวรีบร้อนตะโกนเรียกเขา “คุณ รอเดี๋ยวสิคะ”
ฟางไหลหยางชะงักมือที่จับประตูรถเอาไว้ หันกลับไปมองเหมียวเหมี่ยว ก็เห็นว่าเธอถอดเข็มขัดนิรภัยออก มือข้างหนึ่งพาดอยู่กับเบาะด้านข้าง มืออีกข้างหนึ่งเปิดเก๊ะรถฝั่งคนนั่ง ค้นหาอะไรสักอย่าง
“เอ๊ะ ทำไมถึงไม่มีล่ะ ฉันใส่เอาไว้แล้วนี่นา” เหมียวเหมี่ยวพึมพำเสียงเบา เงยหน้าขึ้นยิ้มเป็นการขอโทษให้ฟางไหลหยาง “ขอโทษนะคะ รออีกเดี๋ยวนะ”
ฟางไหลหยางนิ่วคิ้วมองเธอที่กำลังหาของอยู่ในความมืด ประหลาดใจว่าเธอหาอะไรอยู่ เขายื่นมือออกไปยังสวิตช์ไฟตรงกระจกมองหลังในรถ เสียงดัง ‘แกร๊ก’ ภายในรถก็สว่างขึ้น
“อ๊ะ…” ตรงหน้าเธอสว่างขึ้นทันที แม้ว่าแสงไฟจะไม่ได้สว่างอะไรนัก แต่ก็แยงตาของเหมียวเหมี่ยวอยู่ดี สักครู่หนึ่งถึงได้คุ้นชินกับแสงตรงหน้า เธอเงยหน้าขึ้น หลังจากที่สายตาค่อยๆ กลับคืนสู่ภาวะปกติก็มองเห็นหน้าตรงของฟางไหลหยางได้ชัดเจน หัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ
ภายใต้แสงสีเหลืองนวล นัยน์ตาอ่อนโยนของชายหนุ่มเจือความเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย คิ้วตาคมคาย ท่าทางผึ่งผาย ใต้สันจมูกตรงและสูง ริมฝีปากบางเม้มแกมเหยียดขึ้นเป็นวงเล็กน้อย ทั้งๆ ที่หน้าตาเหมือนกับชายหนุ่มเจ้าอารมณ์ ทว่าเวลาภายใต้แสงอันอ่อนละมุนช่วยกล่อมเกลาให้ออร่าของเขาดูอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
เหมียวเหมี่ยวกลืนน้ำลาย รู้สึกว่าใบหน้าร้อนผะผ่าว เธอก้มหน้า เอ่ยขอบคุณเสียงเบา “ขอบคุณนะคะ”
มีแสงไฟ เหมียวเหมี่ยวก็หาสิ่งที่ตัวเองค้นอยู่เจอทันที เธอหยิบร่มที่มีขนาดเล็กกว่าฝ่ามือของฟางไหลหยางออกมาแล้วหายใจออกยาวๆ หนึ่งครั้ง ก่อนยื่นร่มให้ฟางไหลหยาง
“ฝนตก เอาไปเถอะนะคะ” เหมียวเหมี่ยวหันกลับมา มือข้างหนึ่งยันอยู่กับหลังเบาะฝั่งคนนั่ง ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
ใบหน้ายิ้มแย้มภายในบรรยากาศครึ้มฝน ในรถยนต์คันหนึ่งที่ถูกขวางทางอยู่ ราวกับเป็นแสงแรกของดวงอาทิตย์ในวันนี้ที่สาดตรงเข้าในใจของฟางไหลหยางก็ไม่ปาน หญิงสาวใบหน้ากลม คิ้วโก่ง ยิ้มออกมาดวงตากลมมนก็โค้งรีเหมือนเสี้ยวพระจันทร์ รอยยิ้มของเธอช่างเชื้อเชิญให้เขายิ้มตาม ฟันแปดซี่เรียงเป็นระเบียบเผยออกมาให้เห็น องศาของมุมปากราวกับเรือลำน้อยที่โคลงเข้าไปในใจท่ามกลางแสงจันทร์
เมื่อครู่เขาเสียมารยาทกับเธอไป ต่อว่าทักษะการขับรถของเธอ แต่เธอก็ยังคงไว้ซึ่งท่าทีอันเป็นมิตร ทำให้ฟางไหลหยางไม่สบายใจเลย
เขามองร่มในมืออีกฝ่ายด้วยความตกตะลึง เงยหน้าขึ้นมองใบหน้ายิ้มแย้มของเหมียวเหมี่ยว โค้งมุมปากขึ้น ยิ้มพลางเอ่ยออกมา “แล้วของคุณล่ะ”
“ที่เบาะหลังยังมีอีกค่ะ วางใจได้” เหมียวเหมี่ยวยักไหล่
ฟางไหลหยางไม่ได้ปฏิเสธ เอื้อมมือออกไปรับร่ม กำตัวร่มเอาไว้ถึงได้สัมผัสกับร่มอันกระจิ๋วหลิว หัวเราะกับตัวเองขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “ขับรถแล้วยังแถมร่มให้ด้วยเหรอครับ”
“นี่เรียกว่าการบริการประชาชนค่ะ แหะๆ ถือว่าแทนคำขอโทษนะคะ ทำให้คุณเมารถเลย แล้วยังรบกวนคุณมาตลอดทางอีก” เหมียวเหมี่ยวแลบลิ้นออกมาด้วยความขี้เล่น
ฟางไหลหยางหัวเราะเบาๆ เขาส่ายหน้า “ไม่เป็นไรหรอก ผมเองก็เสียมารยาทไปเหมือนกัน ขอบคุณนะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ จำไว้นะคะ…ให้ห้าดาวถือเป็นการขอบคุณที่ดีที่สุด!” เหมียวเหมี่ยวหน้าแดง ขยับนิ้วมือเรียวทั้งห้า
ดูเหมือนจะทำเพื่อห้าดาวนะ
ฟางไหลหยางหันไปเปิดประตู เมื่อได้ยินประโยคนี้ก็ก้มหน้าลงตอบอย่างจนใจ “ได้สิ” แต่ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
ขณะที่เปิดประตูรถ ฟางไหลหยางก็นึกอะไรขึ้นมาได้ หันกลับไปเอ่ยกับเหมียวเหมี่ยวว่า “มีเวลาก็เปลี่ยนน้ำหอมรถเป็นกลิ่นเลมอนนะ จะได้สดชื่น คลายอาการเมารถของผู้โดยสารได้ ส่วนลูกอมรสมิ้นต์…คงจะไม่มีใครกินของคนแปลกหน้าหรอก”
เหมียวเหมี่ยวฟังคำนี้ก็พลันเบิกตาโพลง ใช้แรงพยักหน้า “ค่ะ เข้าใจแล้ว ขอบคุณนะคะ”
เหมียวเหมี่ยวมองตามหลังฟางไหลหยางจากในรถ เห็นเขากางร่มของเธอออกมา ท่าทางเหมือนเดินเล่นอยู่ในสวนอย่างไรอย่างนั้น เดินเข้าประตูใหญ่ของเขตที่พักอาศัยไป
แม้ท่าทางการเดินของผู้โดยสารหนุ่มจะดูมีมาด เป็นอาหารตาชั้นดี ทว่า..ดูเหมือนร่มที่เธอให้จะเล็กเกินไป คลุมได้แค่ไหล่ของเขาเท่านั้น เหมียวเหมี่ยวรู้สึกละอายใจ มิหนำซ้ำตัวร่มยังพิมพ์ลายดอกไม้สีชมพูกระจัดกระจาย ดูอ่อนหวานเป็นพิเศษ
เหมียวเหมี่ยวปิดไฟในรถ กดยืนยันว่ามาถึงที่หมาย ค่ารถสามสิบหกหยวนก็เข้าบัญชี ได้เงินส่วนหนึ่งของมื้อเย็นคืนกลับมาเป็นที่เรียบร้อย เหมียวเหมี่ยวเงยหน้ามองเงาหลังของฟางไหลหยางที่หายไปในเขตที่พักอาศัย ทอดถอนใจด้วยความเศร้าหมอง แม้อีกฝ่ายรับปากว่าจะให้ห้าดาว แต่การบริการของเธอก็ยังไม่ถึงขั้น เมื่อไรเธอถึงจะทำให้ทุกคนให้คะแนนดีจากใจจริงได้นะ
เหมียวเหมี่ยวมองรายได้คนขับที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอมือถือ เธอกำหมัด แต่ยังไงหาเงินได้ก็เป็นเรื่องสำคัญที่สุด เธอกลับรถแล้วเตรียมตัวกลับบ้านด้วยความพึงพอใจ
ฟางไหลหยางยืนอยู่บริเวณป้อมยาม มองตามรถสีขาวคันนั้นค่อยๆ จากไป เขาถึงได้วางใจ
เมื่อครู่ตอนที่เหมียวเหมี่ยวยื่นร่มให้เขา บวกกับใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มสะอาดสะอ้านน่ารักของอีกฝ่าย ฟางไหลหยางก็รู้สึกใจสั่นไปหมด
ไม่คุ้นเคยกับความรู้สึกอย่างนี้เลย ทว่าฟางไหลหยางเองก็มั่นใจว่าถ้าเหมียวไก่ฉีกเป็นเด็กสาวคนนี้ล่ะก็…
เขาคงมีความสุข และยินดีเป็นอย่างมาก
เป็นเด็กสาวนิสัยดี เขาชอบนักวาดการ์ตูนไม่ผิดคนจริงๆ ด้วย
ฟางไหลหยางโค้งมุมปากขึ้น พยักหน้าให้ยามเฝ้าประตูอย่างอารมณ์ดี เดินเข้าไปในเขตที่พักอาศัย
เขาถือร่มมือหนึ่ง อีกมือสอดเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วชะงักอยู่สักครู่ เขาล้วงถุงพลาสติกใช้แล้วทิ้งออกมา
“…หึ” ฟางไหลหยางอดหัวเราะออกมาไม่ได้
ลุงยามที่อยู่ในป้อมงุนงง มองเงาหลังของฟางไหลหยางด้วยความสงสัย
ฟางไหลหยางที่มีรูปร่างสูงใหญ่ดูภาคภูมิ ถือร่มคันเล็กที่ไม่กว้างพอกับไหล่ของเขา แถมตัวร่มยังพิมพ์ลายดอกไม้สีชมพูเต็มไปหมด…คุณฟางไปที่ไหนมานะ ทำไมถึงได้ตกยากขนาดนั้น
ลุงยามถอนหายใจด้วยความเห็นอกเห็นใจ “เป็นคนรวยก็ลำบากเหมือนกันนะเนี่ย”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 10 ม.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.