เหมียวเหมี่ยวไม่ได้สงสัยอะไรอีก หยิบช้อนขึ้นซดน้ำซุปก็รู้สึกเหมือนต่อมรับรสทั้งหมดของเธอได้รับการนวดคลึงอย่างไรอย่างนั้น สดชื่นเสียจนกระแสไฟฟ้าไหลขึ้นมาถึงกระดูกสันหลังของหมียวเหมี่ยว ทั้งไร้กำลังทั้งยังชาไปจนถึงปลายสมอง ขนลุกชูชันไปทั้งตัว
“โคตร…โคตรอร่อยเลย!” เหมียวเหมี่ยวแทบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว “เถ้าแก่คะ ทำไมแม้แต่บะหมี่ผักก็ทำออกมาได้อร่อยขนาดนี้ล่ะคะเนี่ย”
หวงหรูหรูรู้จักสีสันของอาหารเป็นอย่างดี ตั้งแต่ที่เถ้าแก่ยกชามบะหมี่เข้ามา เธอก็รู้สึกได้ถึงความแปลกของบะหมี่ชามนี้ เธอมองหานต้งปราดหนึ่งแล้วมองบะหมี่ จากนั้นก็มองไปยังเหมียวเหมี่ยวที่อยากปาดน้ำตาใจจะขาด แล้วมองไปยังหานต้งอีกครั้งหนึ่ง สุดท้ายเมื่อถูกหานต้งถลึงตามอง หวงหรูหรูก็รีบร้อนเก็บสายตากลับไป
“อร่อยก็ดีแล้วล่ะ” หานต้งพยักหน้าแล้วกลับไปยังห้องครัว
หวงหรูหรูจดจ้องน้ำซุปที่สีสันแปลกออกไปอย่างชัดเจนด้วยสีหน้าประหลาดใจ
เหมียวเหมี่ยวเป็นคนกินอาหารรสจัด กินได้ทุกอย่าง แต่ก็น้อยนักที่จะกินบะหมี่ผักที่มีรสชาติจืดชืด ที่แท้ก่อนหน้านี้ก็ทำให้เป็นพิเศษมาตลอดเลยสินะ เพียงแต่วันนี้บะหมี่ผักชามนี้เติมเครื่องปรุงลงไปจนต่างกับบะหมี่ผักธรรมดาๆ ของร้านมาก เธอถึงได้ดูออกตั้งแต่แรก
ถึงแม้บะหมี่ผักของที่ร้านจะอร่อยเหมือนกัน แต่ว่าก็จืดจริงๆ นั่นแหละ น้ำซุปสะอาดใสแจ๋วเหมือนกับน้ำเปล่า ส่วนน้ำซุปในชามนี้…เห็นๆ อยู่ว่าปรุงมาจากน้ำซุปเนื้อที่เข้ากับรสปากของเหมียวเหมี่ยว เพิ่มเนื้อเส้นลงไป บะหมี่เจือด้วยสีทองอร่าม ใช้หัวแม่เท้าคิดยังรู้เลยว่าหานต้งต้มบะหมี่อย่างไร
หวงหรูหรูเอามือกุมหน้าผาก ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
มิน่าล่ะเหมียวเหมี่ยวถึงได้ชอบร้านก๋วยเตี๋ยวของพวกเขา…ทำให้พิเศษขนาดนี้เป็นใครก็ต้องชอบกันทั้งนั้น
แต่เถ้าแก่ของเธอใช้วิธีเงียบเชียบอย่างนี้จีบสาวก็จีบไม่ติดน่ะสิ หวงหรูหรูได้แต่นึกเสียใจไปกับเขาด้วย
หานต้งที่กลับมายังห้องครัว เมื่อนึกย้อนถึงสีหน้าเว่อร์วังอย่างกับซาบซึ้งจนน้ำตาไหลพรากก็อดหัวเราะไม่ได้ เขาส่ายหน้าไปมา
ไม่มีพ่อครัวคนไหนที่จะไม่ชอบฟังคำชื่นชมในฝีมือการทำอาหารของตัวเองหรอก แล้วก็เห็นได้ชัดว่าเหมียวเหมี่ยวเป็นลูกค้าที่ไม่หวงคำชม ทุกครั้งที่เหมียวเหมี่ยวกินอาหารอร่อยๆ ก็จะเผยรอยยิ้มแสนสุขบนใบหน้าเสมอ หานต้งรู้สึกอบอุ่นขึ้นในใจ อย่างกับว่าเธอช่วยเติมเต็มความพึงพอใจอันเป็นสุขให้เขาเช่นกัน
เขาหวังว่าจะได้เห็นรอยยิ้มพึงพอใจของเหมียวเหมี่ยวอย่างนี้ไปตลอด
เมื่อสามปีก่อนหานต้งมายังเมืองฝูเฉิงเพียงลำพัง ในตัวมีเพียงบัตรธนาคารที่มีเงินห้าแสนหยวนใบเดียวเท่านั้น
หากต้องการเปิดร้านในเมืองฝูเฉิงที่อะไรๆ ก็เป็นเงินเป็นทอง เงินห้าแสนหยวนนี่ถือว่ายังห่างชั้น ตอนนั้นหานต้งก็เลยหาหน้าร้านที่เขตเศรษฐกิจเกาซินเพื่อเซ้งไว้เปิดเป็นร้านบะหมี่ ตอนนั้นอพาร์ตเมนต์ฮุ่ยตูเพิ่งจะส่งมอบห้อง จะบอกว่าหานต้งเป็นผู้อาศัยกลุ่มแรกก็ไม่ผิด
ในฐานะคนเมืองหลวง การเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่ทางใต้ที่แสนห่างไกลแบบนี้ เพียงแค่คิดก็รู้สึกได้ถึงความเหงาและแรงกดดัน หลังจากเตรียมการและเปิดร้าน เขาก็ทำเรื่องทั้งหมดเองตั้งแต่ซื้อของ ทำอาหาร เป็นเด็กในร้าน คิดเงิน ไปถึงล้างชาม
ตอนเริ่มต้นเดือนแรกหานต้งก็เกือบจะละทิ้งการเดินทางที่ต้องห่างบ้านมาไกลแสนไกลเสียแล้ว