ลิ่นจื่อเชินสบถว่าบ้าจริงอยู่ในใจแล้วออกโกยอ้าวอีกครั้ง เด็กผู้ชายกลุ่มนั้นวิ่งไล่กวดพลางเขวี้ยงหินใส่เขา หัวเราะร่วนอย่างชอบใจเหมือนกำลังเล่นสนุกกัน
เขาวิ่งออกจากตรอกเล็กสู่ถนนใหญ่ ตอนกระโดดหนีผ่านแผงขายปลาแห้ง เจ้าของแผงส่งเสียงเอ็ดตะโรไล่หลัง ‘แมวสกปรกจากที่ใดมันกล้ามันขโมยกินปลา! จับมันไว้ซิ!’
ใครขโมยกินปลากัน ข้าเลือกกินออกจะตายไป!
หนีกลุ่มเด็กพ้นก็ต้องมาเจอเจ้าของแผงปลาแห้งไล่กวดต่อ โชคดีที่ร่างเล็กๆ นี้นอกจากจะวิ่งเร็วยังกระโดดได้สูง เขาเลยกระโดดขึ้นไปหลบอยู่บนต้นไม้
เจ้าของแผงวิ่งตามมา แต่หาแมวไม่เจอเลยต้องกลับไปมือเปล่า ลิ่นจื่อเชินอยู่บนต้นไม้ต่อเพราะกลัวจะถูกไล่ตามอีก ไม่เคยรู้เลยว่าการเกิดเป็นแค่แมวตัวหนึ่งจะถูกคนรังแกถูกคนทำร้ายมากมาย แมวตัวนี้ผิดตรงที่ใดกัน
เขาพักอยู่บนต้นไม้ พยายามอยู่ตามที่สูงให้ได้มากที่สุดเพื่อไม่ให้ถูกฆ่าตาย กระทั่งฟ้ามืดก็ยังค้างคืนอยู่บนต้นไม้จนเผลอหลับไป เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วได้พบว่าฝันร้ายยังตามมาหลอกหลอน ตนยังอยู่ในร่างแมวเหมือนเดิม ก็รู้สึกร้อนใจเป็นกำลัง นี่เป็นฝันซ้อนฝันที่เขายังไม่ตื่นขึ้นมา หรือว่าตอนนี้เขาอยู่ในโลกแห่งความจริงกันแน่
สิ่งที่เกิดขึ้นแปลกประหลาดจนเขาหาคำอธิบายไม่ได้ รู้เพียงแต่ว่าเขาไม่อาจอยู่เฉยๆ แล้วเอาแต่หลบอย่างเดียว เขาจะต้องควบคุมสถานการณ์ให้ได้ บางทีเซียวหลงกับพวกองครักษ์ก็อาจเจอเรื่องแบบเดียวกัน เขาจะต้องตามหาพวกนั้นให้พบ
แต่ลิ่นจื่อเชินไม่คาดคิดเลยว่าตนเองจะดวงตกได้ถึงเพียงนี้ แค่กระโดดลงจากต้นไม้ก็เจอสัตว์ประหลาดเข้าทันที
มันคือสุนัขขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง ใหญ่กว่าเขาไม่รู้กี่เท่า กำลังแยกเขี้ยวเห่าเขาพลางวิ่งรี่เข้าใส่ สำหรับเขาแล้วมันคือสัตว์ประหลาดดีๆ นี่เอง
ลิ่นจื่อเชินไม่เคยกลัวสุนัข แต่เวลานี้ร่างอันโอฬารของมันสร้างความพรั่นพรึงให้เขาอย่างรุนแรง เป็นเพราะสัญชาตญาณกลัวสุนัขของแมวนั่นเอง เขาจึงเตรียมวิ่งหนีอีกครั้ง
ตอนนี้เขามีสี่ขา มั่นใจว่าตนเองวิ่งได้เร็วกว่าสุนัขโฉดตัวนี้แน่ ทว่าเขาดันถูกไล่กวดมาจนมุมตรงกำแพง ซ้ำยังถูกกัดขาหลังเสียอีก
ในเวลาที่ถูกคุกคามถึงชีวิต เขาพยายามดิ้นสุดแรง ใช้กรงเล็บคมๆ ข่วนหน้าสุนัข พอได้ยินเสียงร้องเอ๋งก็รีบลากขากระโดดขึ้นมาอยู่บนกำแพง
ไอ้หมาโง่! เขาทำท่ากระหยิ่มยิ้มย่องมองสุนัขหน้าโง่ตัวนั้นเห่าอยู่ข้างล่าง ดูซิว่าจะมีปัญญาทำอะไรเขาได้ เสียดายก็แต่เขาไม่มีแรงจะอวดศักดาให้เจ้าหมาโง่นั่นประจักษ์ ขาหลังเจ็บแทบขาดใจจนไม่อาจอยู่บนกำแพงเฉยๆ ได้ ต้องกระโดดลงมาข้างล่าง
ไม่นึกเลยว่าระหว่างกำลังนอนพักอยู่บนพื้นอย่างเหนื่อยล้า เขาจะถูกเด็กสองคนหมายตาอีกครั้ง ลิ่นจื่อเชินนึกถึงกลุ่มเด็กที่เขวี้ยงหินใส่ตนเอง แล้วเบิกตามองสองคนนั้นอย่างไม่ไว้ใจ ขนตั้งชันจนตัวพองฟูเหมือนจะระเบิด
โชคดีที่เด็กคู่นี้ไม่ได้เข้ามาทำร้ายเขา แต่จ้องมองมาด้วยแววตาสงสาร ถัดจากนั้นก็เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนหลัง นั่นคือเขากลายมาเป็นแมวของบ้านนี้
ไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆ ว่าตนเองจะกลายเป็นแมวที่ถูกคนเลี้ยง เรื่องนี้เหลวไหลเหลือเชื่อเกินไป!
แต่จะดีจะร้ายอย่างไรตนเองก็มีที่ปลอดภัยให้อยู่ เด็กสองคนนี้ก็ดูจะชอบเขามาก ไม่เหมือนคนอื่นที่แค่เห็นเขาก็ตรงเข้ามาทำร้าย คิดได้ดังนั้นเขาพอจะฝืนใจยอมรับความจริงได้ว่าตนเป็นแมวที่ถูกคนบ้านนี้เลี้ยงชั่วคราว และยอมให้เด็กทั้งสองคนลูบขน
แต่ที่ทนไม่ได้เลยจริงๆ ก็คืออาใหญ่ของเด็ก สตรีท่าทางร้ายกาจที่ใจดำจนถึงขีดสุดผู้นั้น!
ดวงตาคมกริบของลิ่นจื่อเชินเป็นประกายวาววับขณะกัดฟันกรอด หญิงผู้นั้นไม่ยอมให้เด็กๆ เลี้ยงเขา ซ้ำยังเหยียดหยามเขาว่าตัวดำมิดหมีดูอัปมงคล อีกทั้งยังหน้าตาดุร้ายน่ากลัว จากนั้นยังตั้งข้อรังเกียจว่าเขาอาจกินอาหารของนางจนหมด ถึงขั้นใช้ความหิวมาข่มขู่ไม่ให้เด็กๆ เลี้ยงเขา จนท้ายที่สุดเมื่อนางจำใจอนุญาตให้หลานเลี้ยงเขาได้ ยังไม่วายพึมพำว่าเวลาไม่มีอะไรจะกินก็ให้เขาไปจับหนูกินเอาเอง ช่างโอหังเหลือร้าย ถึงกับจะให้เขาไปจับหนูกิน!
ที่น่าโมโหยิ่งกว่านั้นก็คือนางยังตั้งชื่อให้เขาว่า ‘มีมี’ เอาแซ่ตนเองมาพ่วงด้วยเสร็จสรรพ เป็น ‘ซย่ามีมี’ ช่างเป็นชื่อที่ทุเรศทุรังอะไรอย่างนี้! เขาไม่มีวันให้อภัยนางแน่!
แต่…แม้ในอกจะอัดแน่นด้วยโทสะ เขาก็ได้แต่โมโห ทำอะไรนางไม่ได้ เพราะตอนนี้วิญญาณของเขาติดอยู่ในร่างแมว
ลิ่นจื่อเชินมองภาพสะท้อนของตนเองในกระจกให้ชัดถนัดตา ไม่ว่าในใจจะตะลึงพรึงเพริดอย่างไร รู้สึกว่าเรื่องบ้าๆ ที่เกิดขึ้นเหลือเชื่อเพียงใด เขาก็จำต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริง…ว่าตนเองกลายเป็นแมวตัวหนึ่ง เขาถูกสุนัขกัดเข้าจริงๆ ขาหลังเจ็บระบมอย่างแสนสาหัสจริงๆ นี่ไม่ใช่ความฝัน แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกแห่งความจริง!