นางเป็นหญิงสาวหน้าตางดงาม เนื่องจากรักและชื่นชมในตัวลิ่นจื่อเชินอย่างลึกซึ้ง จึงเก็บสัมภาระอย่างง่ายๆ ขี่ม้าไล่ตามมาเพื่อกลับเมืองหลวงกับเขา
ตอนแรกนางนึกว่าที่อ๋องหนุ่มสั่งให้หยุดรถม้าแสดงว่านางยังพอมีหวัง ที่ไหนได้เขากลับไม่ประสงค์จะพบนาง และให้คนอื่นลงจากรถมาแทน
เซียวหลงนำคำพูดของเจ้านายมาถ่ายทอดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “แม่นางเฮ่อเหลียนอย่าได้เสียเวลาเปล่าเลย ท่านอ๋องของพวกเราไม่ทรงพาเจ้ากลับเมืองหลวงด้วยแน่ เจ้ารีบกลับไปเถิด อย่าทำให้ท่านอ๋องกริ้วเลย”
จากนั้นเขาก็พูดต่อในใจ แม่นางผู้นี้ตัดใจเสียดีกว่า ฉายาดาวอสูรของท่านอ๋องไม่ได้มีแต่ชื่อ เขาอ่อนโยนกับสตรีเป็นเสียที่ใด หากทำให้เขาโกรธขึ้นมามีแต่จะทำให้ตนเองได้อายเปล่าๆ
เฮ่อเหลียนหรงส่ายหน้าทันทีแล้วอ้อนวอนอย่างน่าสงสาร “พี่เซียวหลง โปรดให้ข้าได้พบท่านอ๋องสักครั้งเถิด ข้าอยากพูดกับท่านอ๋องเอง”
“ท่านอ๋องของพวกเราต้องรีบเสด็จกลับเมืองหลวง ไม่มีเวลามาพบเจ้าหรอก”
“เช่นนั้นโปรดช่วยทูลท่านอ๋องแทนข้าที่ ข้าไม่ต้องการอยู่ในฐานะใดทั้งสิ้น แค่อยากอยู่ข้างกายคอยถวายรับใช้ก็พอแล้ว…”
“แม่นางเฮ่อเหลียนจะลำบากไปไย เจ้าออกจะงดงาม ไม่เห็นต้องกลัวว่าจะหาบุรุษที่จริงใจกับเจ้าไม่ได้” เซียวหลงพยายามพูดให้นางหวั่นไหว
ทว่าหญิงสาวไม่คล้อยตาม และตอบกลับไปอย่างหนักแน่น “หากท่านอ๋องไม่เสด็จลงมาพบข้า ข้าก็จะขวางทางพวกท่านอย่างนี้ล่ะ ไม่ให้รถม้าแล่นผ่านไปได้!” นางรีบไปยืนขวางหน้ารถ ท่าทางจริงจังขึงขังเหมือนจะบอกว่าหากอยากไปก็ต้องข้ามศพนางไปก่อน
นี่คือการข่มขู่ใช่หรือไม่ เซียวหลงโอดครวญอยู่ในใจ ทีนี้ท่านอ๋องได้กริ้วแน่!
มีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นในรถม้าจริงๆ ลิ่นจื่อเชินยอมลดตัวลงมาเสียที เซียวหลงเห็นอีกฝ่ายทำท่าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ก็รู้แล้วว่าแม่นางเฮ่อเหลียนผู้นี้กำลังจะถึงคราวเคราะห์แล้ว
ชายในดวงใจยอมลงจากรถแล้ว ดวงตาคู่งามของเฮ่อเหลียนหรงมองเขาอย่างเขินอาย “ท่านอ๋องโปรดทรงพาหม่อมฉันไปด้วยเถิดเพคะ หม่อมฉันยินดีเป็นบ่าวไพร่ปรนนิบัติรับใช้ แม้ในภายหน้าท่านอ๋องมีชายา หม่อมฉันก็จะรับใช้พระชายาเต็มที่เช่นกัน”
เฮ่อเหลียนหรงงดงามยิ่งยวด บุรุษทั่วไปเห็นนางมีแต่จะอยากทะนุถนอมทั้งนั้น เสียดายที่ลิ่นจื่อเชินไม่ใช่บุรุษทั่วไป จึงมองนางด้วยสายตาเช่นคนที่อยู่สูงกว่า ไม่หวั่นไหวกับคำพูดของนางแม้แต่นิดเดียว เวลาเขานิ่งเงียบยิ่งดูอ่านยาก เห็นแล้วชวนให้กระวนกระวายใจ
ในที่สุดลิ่นจื่อเชินก็ขยับปากเอ่ยเอื้อนกับนาง แต่สิ่งที่พูดออกมากลับเป็นประโยคแสดงความขยะแขยงที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาสุดขีด “หน้าด้านเสียเหลือเกิน คิดหรือว่าตนเองงามจริง หน้าตาเช่นนี้ยังริอ่านอยากเป็นสาวใช้ของข้า มองตนเองสูงเกินไปแล้ว รู้หรือไม่ว่าในสายตาข้าเจ้าเป็นอะไร” เขาหันไปถามคนสนิท “แมลงที่ปล่อยกลิ่นเหม็นๆ นั่นเรียกว่าอะไรนะ”
ท่านอ๋องจะใจร้ายเกินไปหน่อยหรือไม่ เซียวหลงกลั้นใจตอบกลับไป “แมลงตดพ่ะย่ะค่ะ”
หลิ่นอ๋องแค่นยิ้มเหยียดหยาม “ใช่ แมลงตด ที่สามารถปล่อยกลิ่นเหม็นสะอิดสะเอียนออกมา ได้กลิ่นแล้วจะอาเจียน” จากนั้นก็หันไปพูดกับนางอย่างเย็นชา “ถ้ายังรู้จักเจียมตัวก็ไสหัวไปเสีย อย่ามาขวางทางข้า”
เฮ่อเหลียนหรงหน้าซีดเผือดขณะเซไปข้างหลังหลายก้าว นางรับไม่ได้จริงๆ ที่ตนเองถูกเปรียบเป็นแมลงตด