นางมองชายในดวงใจซึ่งหันหลังให้อย่างเฉยชา พอเห็นเขากำลังจะขึ้นรถม้านางก็เอ่ยผ่านริมฝีปากที่สั่นระริก “ท่านอ๋องจะต้องไม่ทรงเคยรักใครอย่างจริงจัง จะต้องไม่ทรงทราบว่าการชอบใครสักคนคือความรู้สึกอย่างไรเป็นแน่ ท่านอ๋องทรงเย้ยหยามหม่อมฉัน เหยียบย่ำหม่อมฉัน เปรียบหม่อมฉันเป็นแมลงตด หม่อมฉันไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วจริงๆ…แต่ต่อให้หม่อมฉันตายไปเบื้องพระพักตร์ตอนนี้ก็ทรงไม่รู้สึกรู้สาสินะ!”
ลิ่นจื่อเชินไม่หันมามองด้วยซ้ำ “ถ้าเช่นนั้นก็ไปตายเสียสิ” เขาทำเสียงขึ้นจมูกเบาๆ ดังหึพลางพูดอย่างไม่แยแส แล้วก้าวขึ้นรถม้า
เซียวหลงเห็นหญิงสาวสีหน้าย่ำแย่ก็อดส่ายหน้าไม่ได้ บอกแต่แรกแล้วอย่างไรเล่าว่าอย่าได้ทำให้ท่านอ๋องกริ้ว เฮ้อ!
“ยังไม่ขึ้นรถอีก”
เซียวหลงได้ยินลิ่นจื่อเชินพูดดังนั้นก็จำใจต้องทิ้งหญิงงามไว้แล้วตามขึ้นรถไป
ด้านนอกรถม้าน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นดังขึ้น
“ลิ่นจื่อเชิน ข้าขอสาปแช่งเจ้า วันนี้เจ้าทำกับข้าไว้อย่างไร เหยียดหยามข้าให้อัปยศอดสูเพียงใด ต่อไปขอให้เจ้าถูกกรรมตามสนองเป็นเท่าทวี เจ้าจะกลายเป็นเดรัจฉานที่ต่ำต้อยที่สุด จะได้รู้รสของการถูกเหยียบย่ำ จะได้เสียใจอย่างสุดซึ้งกับการกระทำของตนเอง เว้นเสียแต่เจ้าจะได้พบหญิงที่เจ้ารักจากใจจริง และยอมสละชีวิตตนเองเพื่อนาง และหญิงผู้นั้นก็ต้องใจตรงกันกับเจ้า ยินดีเสียสละเพื่อเจ้าเช่นกัน หากไม่ได้พบหญิงดังกล่าว คำสาปจะติดตัวเจ้าไปตลอดชาติ ไม่ให้เจ้าได้พบจุดจบที่ดี…”
เว้นเสียแต่อะไรนะ เซียวหลงเพิ่งจะฟังได้ครึ่งเดียว รถม้าก็แล่นออกมาเสียก่อนเลยไม่ได้ยินครึ่งหลัง แต่แค่คำว่าสาปแช่ง กรรมตามสนอง กับเดรัจฉานก็เพียงพอจะทำให้เขาขนหัวลุกแล้ว “ท่านอ๋องทรงได้ยินหรือไม่ นางกำลังสาปแช่งพระองค์อยู่หรือ”
ลิ่นจื่อเชินเองก็ได้ยินแค่ครึ่งแรกเช่นกัน ตอนแรกยังคิดจะเพิ่มความผิดให้นางอีกหนึ่งกระทงฐานลบหลู่เชื้อพระวงศ์ แล้วจับตัวนางไปดำเนินคดี แต่คิดๆ ดู เหตุใดเขาต้องมาใส่ใจคำพูดโง่เง่าพวกนี้ แล้วทำให้การเดินทางล่าช้าเพราะนางด้วยเล่า “ไม่ต้องสนใจหรอก”
ปรากฏว่าเดินทางต่อได้สักพักหวังเจาก็ส่งเสียงร้อนรนอยู่ตรงนอกหน้าต่าง “ท่านอ๋อง แม่นางเฮ่อเหลียนใช้ปิ่นฆ่าตัวตายพ่ะย่ะค่ะ!”
เซียวหลงทำหน้าตื่นตระหนก รู้สึกหนาวเข้าไปถึงกระดูกเมื่อคิดถึงคำสาปแช่งของนาง
แต่ผู้เป็นนายกลับยิ้มอย่างเฉยชา บอกหวังเจาว่า “อยากตายก็ปล่อยให้นางตายไป หากสตรีที่หลงรักข้า อยากตามมาอยู่กับข้า อยากมาปรนนิบัติรับใช้ข้ากันหมด ตำหนักข้าไม่ต้องเลี้ยงสาวใช้เป็นฝูงหรือ”
เซียวหลงไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว แน่นอนว่าไม่กล้าบอกให้กลับไปช่วยนางด้วย เขามองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นห่างออกไปไกลขึ้นทุกทีๆ
รถม้าแล่นต่อไปเรื่อยๆ ประมาณสองเค่อ ถัดมาก็มาถึงหน้าผาแห่งหนึ่ง คนรถชะลอความเร็วลงเพื่อความปลอดภัย
น่าแปลกตรงที่เมื่อหนึ่งเค่อก่อนท้องฟ้ายังอร่ามใสอยู่ดีๆ มาตอนนี้ฟ้าทั้งผืนกลับมืดทึบราวกับเป็นกลางคืน ลมพัดกระโชก สายฝนกระหน่ำ ซ้ำยังมีฟ้าผ่า
เซียวหลงนึกถึงคำสาปของเฮ่อเหลียนหรงขึ้นมาจึงพูดเสียงสั่นๆ “ท่านอ๋อง ฟ้าโปร่งอยู่หยกๆ กลับมีฝนตกฟ้าคะนอง หรือว่าคำสาปก่อนตายของแม่นางเฮ่อเหลียน…”
ลิ่นจื่อเชินขึงตาใส่คนสนิท “อากาศแปรปรวนง่ายอยู่แล้ว สั่งการลงไป ให้พักหลบฝนใต้ต้นไม้ด้านหน้า”
เพิ่งจะพูดจบลมก็พัดเร็วแรงขึ้นทันที ฟ้าผ่าเปรี้ยงๆ ดังสนั่นจนชวนให้ขนลุกซู่ สายฟ้าสายหนึ่งผ่าเปรี้ยงลงมาในระยะประชิด หนึ่งในม้าเทียมรถตื่นตกใจจนควบตะบึงไปข้างหน้าราวกับเสียสติ
“เร็ว! ลงจากรถเดี๋ยวนี้…” เซียวหลงตะโกนบอกคนรถ จากนั้นก็หกคะเมนทันที ศีรษะถูกกระแทกเข้าอย่างรุนแรงจนสลบไป
ลิ่นจื่อเชินไม่ได้หัวทิ่มหัวตำเช่นคนสนิท แต่อาการที่ใช้สองมือยึดม่านหน้าต่างรถไว้ก็ไม่ได้ดูดีเท่าไรนัก
“หวังเจา รีบหาวิธีทำให้ม้าหยุดเร็วเข้า…” เขาตะโกนออกไปทางหน้าต่าง ทว่าด้านนอกมีแต่ความมืดมิด…หวังเจากับองครักษ์คนอื่นเล่า
ต่อมาเขารับรู้ได้ว่ารถม้าพลิกคว่ำไปทางด้านขวาโดยแรง และด้านขวาคือหน้าผา
จะตกหน้าผาแล้ว! ความคิดนั้นแล่นเข้ามาในหัวลิ่นจื่อเชิน เขารีบหันไปจับอะไรที่พอจับได้ในรถม้า และคว้าเซียวหลงไว้พร้อมกัน เพื่อพาอีกฝ่ายกระโดดหนีตายออกจากรถ
จากนั้นรถม้าก็ดิ่งลงไปด้วยความเร็วสูง ลิ่นจื่อเชินรู้สึกมึนหัวราวกับโลกหมุนเป็นอันดับแรก ก่อนที่ร่างเขาจะกระแทกกับอะไรบางอย่างแล้วหมดสติไป…