บทที่หนึ่ง
เมืองเฉาหยาง อำเภอหนานหยาง
ท้องถนนในยามบ่ายเต็มไปด้วยแผงต่างๆ มีแผงหนึ่งที่พิเศษกว่าแผงอื่น ปักร่ม แขวนป้ายเขียนว่า ‘รักษาด้วยเมตตา ฝีมือเลิศล้ำ’ มองออกได้ในทันทีว่าตั้งแผงจับชีพจรตรวจโรครักษาคน เพียงแต่หมอเป็นแม่นางน้อยวัยกำดัด ดังนั้นจึงไม่มีใครแวะแผงนางแล้วให้นางตรวจโรคเลย
“นั่งมาทั้งวันยังไม่มีลูกค้า ตาจะปิดอยู่แล้วเนี่ย…” ซย่าหมิ่นเอามือเท้าคางพลางโบกพัดในมือ
ในตอนนี้เองชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบผู้หนึ่งก็เดินผ่านมา เห็นหมอหญิงมาตั้งแผงอย่างที่พบได้ไม่บ่อยนักจึงมองนางอย่างสนใจใคร่รู้
ซย่าหมิ่นรีบส่งยิ้มไปให้ทันที “ท่านลุงท่านนี้ ไม่สบายตรงที่ใดหรือไม่” นางมองหน้าเขา “ท่านลุง หน้าตาท่านดำคล้ำ ตัวเหลือง ท่านตับไม่ดีสินะ นั่งก่อน ข้าจะจับชีพจรให้ เดี๋ยวข้าคิดค่าตรวจให้ถูกๆ แล้วกัน”
ชายผู้นั้นตับไม่ดีจริงๆ ในเมื่อนางบอกจะคิดให้ถูกๆ ให้นางตรวจจะเป็นไรไป ทว่ายังไม่ทันได้นั่ง เสียงคุยจ้อกแจ้กของหญิงมีเรือนหลายคนก็ดังมาให้ได้ยิน
“แผงนั้นน่ะคุณหนูร้านยาก่วงจี้ไม่ใช่หรือ น่าขันจริงๆ นางตรวจโรคเป็นหรือไร”
“หมอใหญ่ซย่าอาจถ่ายทอดวิชาแพทย์ให้ลูกสาวก็ได้ แต่ว่านะ เป็นสตรีมานั่งตากหน้าตรวจโรคให้คน ไม่น่ามองเลยจริงๆ…”
“ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่นหรอก ความจริงแม่นางซย่าน่าสงสารมากนะ เดิมทีมีคู่แต่งงานที่ดีรออยู่แท้ๆ แต่พอร้านยาก่วงจี้ล้ม ฝ่ายชายก็ขอยกเลิกงานแต่ง นี่เพราะต้องหาเลี้ยงน้องชายน้องสาวกับลูกๆ ที่พี่ชายที่ตายไปทิ้งไว้หรอก ถึงต้องมานั่งตากหน้ารักษาคน…”
“หึ วิชาแพทย์นางเลิศล้ำแล้วหรือไร! ในเมืองมีคนกินยาที่เป็นพิษของพี่ชายนางแล้วถ่ายท้องไปไม่รู้กี่คน บางคนถึงขั้นตายด้วยซ้ำ ขนาดตาแก่บ้านข้ายังท้องเดินเสียจนแทบเอาชีวิตไม่รอด เดี๋ยวนี้ใครยังกล้าให้คนสกุลซย่าตรวจโรคให้อีกบ้าง! ถ้าจะหาหมอเขาก็ไปหาที่ร้านยาเหรินเต๋อกันทั้งนั้นล่ะ!”
“แต่ร้านยาเหรินเต๋อกับร้านยาก่วงจี้ก็เป็นญาติกันนี่นา…”
“ยาร้านยาเหรินเต๋อไม่เหมือนยาร้านยาก่วงจี้เสียหน่อย อีกอย่างท่านหมอร้านยาเหรินเต๋อก็รักษาด้วยเมตตาและมีฝีมือเลิศล้ำจริงๆ ร้านยาก่วงจี้น่ะไม่มีวันเทียบได้หรอก”
“นั่นน่ะสิ! สมัยหมอใหญ่ซย่ายังอยู่ ร้านยาก่วงจี้กิจการดีอย่างกับอะไร แต่พอหมอใหญ่ซย่าตายไป แล้วลูกชายคนโตซย่ายงขึ้นมารับช่วงแทน ร้านก็ไปไม่รอด อีกทั้งตัวซย่ายงยังถูกกฎหมายเล่นงานจนติดคุกและตายไป อย่าบอกนะว่าเป็นเพราะฮวงจุ้ยไม่ดีถึงได้เกิดเรื่องเช่นนี้ ตอนนี้สตรีตัวเล็กๆ เลยต้องพลอยมาลำบาก น่าสงสารเสียจริง ต้องเหนื่อยยากหาเลี้ยงครอบครัว ยังจะขายออกอยู่อีกหรือ”
ฟังจากคำพูดเหล่านี้ก็รู้ว่าบางคนสงสารซย่าหมิ่น แต่ก็ยังน้อยกว่าพวกที่หัวเราะเยาะหยันร้านยาก่วงจี้ พวกนั้นคุยกันเสียงดัง ต่อให้ซย่าหมิ่นไม่อยากได้ยินก็ยังได้ยินชัดเจน
แต่นางไม่ได้ทำอะไร ยังคงรักษารอยยิ้มไว้บนใบหน้า เชิญชวนลูกค้าที่อยู่หน้าแผง “ท่านลุง รีบนั่งก่อนเถิด ข้าจะช่วยจับชีพจรให้”
ชายวัยกลางคนได้ฟังบทสนทนาของหญิงกลุ่มนั้นก็ทำท่าลังเลขึ้นมา “เอ่อ…ข้าว่าเอาไว้คราวหน้าดีกว่า…”
“ท่านลุง อย่าเพิ่งไป…” ฝ่ายตรงข้ามเผ่นแน่บไปเรียบร้อยแล้ว น่าเสียดายเหลือเกิน อุตส่าห์มีลูกค้าแวะเข้ามาแล้วเชียว ซย่าหมิ่นหันไปมองหญิงกลุ่มนั้น พวกหน้าบางรีบหลบไปแล้ว เหลือแค่สองคนที่ฝีปากจัดจ้าน สองคนนี้นางรู้จัก คนที่บ้านพวกนางกินยาต้มที่เป็นพิษของร้านยาก่วงจี้เข้าไป ดังนั้นจึงผูกใจแค้น คอยเที่ยวพูดจาว่าร้ายนางไปทั่ว
ซย่าหมิ่นส่งยิ้มอย่างสนิทสนมไปให้สองคนนั้น “ท่านป้าที่อยู่ทางซ้าย ผิวท่านดูหยาบกร้าน ริมฝีปากแห้งแตก อีกทั้งยังมีสิว แสดงว่าช่างพูดเป็นชีวิตจิตใจ วันๆ ว่าร้ายคนอื่นได้ตั้งแต่เช้ายันค่ำ ไฟตับถึงได้สูงขึ้น…”
พอเห็นหญิงผู้นั้นทำหน้าเสียแล้วถอยไปข้างหลัง นางก็หันไปหาอีกคน “อ๊ะ ท่านป้าท่านนี้ ท่านเองก็สภาพผิวไม่ดีนัก เป็นร้อนใน ปกติคงปากเหม็นใช่หรือไม่ เช่นนี้คนอื่นจะรังเกียจเอานะ…” นางชี้ไปทางด้านหลังอีกฝ่าย “นั่นสามีท่านไม่ใช่หรือ กำลังคุยกับสาวขายดอกไม้อยู่นี่ ยิ้มแก้มแทบปริเชียว ดูท่าสาวขายดอกไม้จะกลิ่นปากสดชื่นน่าดู…”
หญิงวัยกลางคนหันไปมอง เห็นสามีตนเองกำลังหัวร่อต่อกระซิกกับแม่ม่ายขายดอกไม้จริงๆ ก็ยิ่งทำหน้าบูดบึ้งแล้วปรี่เข้าไปเล่นงานทันที
“ไปเร็วจริงนะ” ซย่าหมิ่นเอามือเท้าสะเอวพูดอย่างดุดัน กล้าซุบซิบนินทานางก็รอดูแล้วกัน นางไม่ใช่คนอ่อนแอให้รังแกง่ายๆ หรอก
“พี่ใหญ่ ข้ามาช่วยเก็บโต๊ะ”
เมื่อเห็นว่าซย่าจื้อที่เป็นน้องชายมาหา หญิงสาวก็เอ่ยอย่างดีใจ “อาจื้อ เหตุใดถึงมาได้ล่ะ ยังไม่ถึงเวลาเลิกเรียนเสียหน่อย”
“วันนี้อาจารย์มีธุระเลยให้เลิกเรียนเร็วกว่าปกติน่ะ” ซย่าจื้อกล่าวต่อไปว่า “พี่ใหญ่ ข้าหิวแล้ว รีบกลับบ้านไปกินข้าวกันดีกว่า”