เดินออกไปจากประตูหลังก็คือลานหลังบ้าน ลานขนาดเล็กมีแปลงดอกไม้ กองดิน แล้วก็ชิงช้า เป็นสวรรค์น้อยๆ ที่ซย่าหมิ่นทำให้หลานๆ เด็กสองคนมักจะมาเล่นอยู่ตรงนี้ได้ทั้งวัน
ซย่าหมิ่นหาจอมซนทั้งสองเจอในทันที กำลังจะอ้าปากดุไม่ให้เอาแต่เล่นดินก็เห็นพี่ชายน้องสาวตัวน้อยกำลังนั่งยองๆ ดูอะไรอยู่ตรงกำแพง นางชะโงกหน้าเข้าไปมอง เห็นแมวดำตัวหนึ่งอยู่ตรงนั้น
นางสูดหายใจเฮือก เด็กสองคนนี้กล้าแอบผู้ใหญ่หนีออกไปข้างนอก มิหนำซ้ำยังเก็บแมวกลับมาด้วย! ครั้งนี้เป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว เหตุใดถึงไม่หลาบจำเสียที
ซย่าหมิ่นหยุดยืนข้างหลังหลานๆ เท้าสะเอวเอ็ดใส่อย่างฉุนเฉียว “ดีจริงนะ พวกเจ้าไม่เชื่อฟังคำพูดของท่านอาใหญ่ ไปเก็บสัตว์กลับมาอีกแล้ว! ไหนรับปากท่านอาใหญ่ว่าจะไม่เที่ยวเก็บสัตว์กลับมาเลี้ยงแล้วอย่างไรล่ะ”
เด็กสองคนหันขวับมามองด้วยความตกใจเมื่อได้ยินเสียงซย่าหมิ่น เสียงเอ๋อร์พี่ชายกลัวว่าอาหญิงจะโกรธก็รีบอธิบาย “ไม่ใช่นะท่านอาใหญ่ เจ้าโฮ่งไล่กวดมัน แมวน้อยมันหนีเข้ามาในกำแพงเอง”
เฉี่ยวเอ๋อร์น้องสาวช่วยพูดอีกแรง “ท่านอาใหญ่ แมวน้อยมันถูกเจ้าโฮ่งกัดขาด้วยล่ะ”
“อ้าว อย่างนี้เองหรือ…” ซย่าหมิ่นได้ฟังถึงรู้ว่าตนเองเข้าใจผิด เสียงเอ็ดตะโรของนางคงจะทำให้แมวดำตกใจ ดวงตาสีเขียวถึงได้จ้องนางเขม็งอย่างระแวดระวัง ซ้ำยังพยายามยันขาหลังที่บาดเจ็บทรงตัวยืน ทำขนพองใส่นาง
ใครต่อใครพูดกันว่าแมวดำอัปมงคลอยู่แล้ว แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดซย่าหมิ่นถึงได้รู้สึกว่าแมวตัวนี้ดูดุดันน่ากลัวเป็นพิเศษ ดวงตาสีเขียวคู่นั้นเย็นเยียบจนน่าตกใจ แค่เห็นก็หนาวยะเยือก…
“ท่านอาใหญ่ ช่วยแมวน้อยด้วยเถิดเจ้าค่ะ แมวน้อยถูกหมากัด น่าสงสารออก” เฉี่ยวเอ๋อร์กอดขานางอ้อนวอน ดวงตากลมโตใสแจ๋วกะพริบปริบๆ
“แมวน้อยน่าสงสารมากเลย ท่านอาใหญ่ช่วยมันด้วยเถิด ข้าอยากเลี้ยงมัน” เสียงเอ๋อร์ก็ดึงชายกระโปรงนางวอนเว้าบ้าง
“ท่านอาใหญ่ ข้าก็อยากเลี้ยง” เฉี่ยวเอ๋อร์พูดตามพี่ชาย
จะให้ซย่าหมิ่นช่วยแมวตัวนี้น่ะไม่มีปัญหา นางมีโสมซานชีอยู่ เอามาทำเป็นยาก็เรียบร้อย แต่พอได้ยินหลานๆ บอกว่าจะเลี้ยง นางก็ชักโมโหเมื่อนึกถึงที่เด็กสองคนนี้เก็บสัตว์เล็กสัตว์น้อยกลับมาเวลาแอบออกไปนอกบ้าน…ไก่เอย นกเอย ค้างคาวเอย กระรอกเอย จากนั้นก็ร่ำร้องว่าจะเลี้ยงหมดทุกอย่าง ขนาดเคยมีวัวพลัดฝูงเดินหลงเข้ามาในบ้าน เด็กๆ ก็ขอจะเลี้ยงให้ได้ ตอนนี้อยากจะเลี้ยงแมวขึ้นมาอีกแล้ว คิดจะเปิดสวนสัตว์หรืออย่างไร
ปกติซย่าหมิ่นรักและเอ็นดูหลานทั้งสองที่พี่ชายทิ้งไว้มาก ไม่ต้องพูดถึงว่าเด็กอายุห้าขวบกับสี่ขวบเป็นวัยที่น่ารัก ไร้เดียงสาที่สุด แค่คิดว่าทั้งคู่กำพร้าพ่อ ส่วนแม่ก็ทิ้งลูกหนีตามบุรุษอื่นไป นางก็ยิ่งสงสารหลานตัวน้อยเป็นที่สุด แต่จะให้ตามใจจนเสียเด็กนั้นนางไม่ทำเด็ดขาด รายได้ครอบครัวในปัจจุบันแค่เลี้ยงตนเองยังกระเบียดกระเสียรเต็มที บางทีอยากให้หลานๆ ได้กินเนื้อบ้างก็ต้องพยายามหาเงินเพิ่ม ไม่มีเหลือกินเหลือใช้พอจะเลี้ยงแมวหรอก
ที่ยิ่งกว่านั้นคือนางไม่อยากให้พวกเขาเลี้ยงเพราะเกิดสงสารและนึกสนุกขึ้นมาชั่วคราว ต่อไปพอเบื่อก็ไม่อยากเลี้ยง เหมือนอย่างครั้งก่อนเสียงเอ๋อร์เคยถูกกระรอกที่เลี้ยงไว้กัดก็ร้องห่มร้องไห้บอกว่าจะไม่เลี้ยงแล้ว ให้นางเอามันไปปล่อยบนเขา ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าพอเบื่อแมวแล้วจะบอกว่าไม่เลี้ยงอีกหรือไม่
“ท่านอาใหญ่ ได้โปรดเถิด พวกเราเลี้ยงมันไว้ได้หรือไม่ แมวน้อยน่าสงสารมากเลย…”
“ท่านอาใหญ่ แมวน้อยน่าสงสารเหลือเกิน…”
สองคนพี่น้องหน้าตาน่ารักน่าชังช่วยกันอ้อนวอนนางเช่นนี้ผิดกฎชัดๆ ซย่าหมิ่นบอกตนเองว่าจะติดกับไม่ได้เป็นอันขาด นางแกล้งสวมบทคนใจร้ายพูดอย่างรังเกียจ “ไม่ได้! แมวตัวดำมิดหมีเช่นนี้อัปมงคล หน้าตาดุร้ายน่ากลัว มองอย่างไรก็อัปลักษณ์ อีกทั้งมันยังอาจจะกัดคนด้วย ท่านอาใหญ่ไม่อยากเลี้ยง”
สองพี่น้องเริ่มร้อนรน ผลัดกันอ้อนวอนนาง “ท่านอาใหญ่ แมวน้อยน่ารักออก ไม่ได้อัปลักษณ์เลย แค่ตัวดำไปหน่อยเท่านั้น มัน…มันไม่กัดคนหรอก…ท่านอาใหญ่ ขอร้องล่ะ แมวน้อยน่าสงสารเหลือเกิน ถ้าเราไม่เลี้ยงมันก็ต้องเร่ร่อนต่อไป…”
“ท่านอาใหญ่ แมวน้อยน่าสงสารมากจริงๆ นะ มันเองก็กำพร้าพ่อแม่เหมือนข้ากับพี่ชาย…”