ซย่าหมิ่นฟังมาถึงตรงนี้ก็ใจอ่อนยวบ เมื่อได้รู้ว่าเด็กๆ อยากเลี้ยงแมวตัวนี้เพราะมันไม่มีพ่อแม่เหมือนกัน แต่นางจะอนุญาตง่ายๆ ไม่ได้ ต้องชี้นำให้พวกเขามีทัศนคติที่ถูกต้องในการเลี้ยงสัตว์เสียก่อน
ดังนั้นนางจึงทำหน้าขึงขังจริงจัง “ได้ ถ้าอย่างนั้นอาขอถามพวกเจ้าหน่อย เลี้ยงแมวต้องใช้เงินซื้ออาหาร หากวันใดบ้านเรามีเงินไม่พอใช้ มีข้าวไม่พอกิน พวกเจ้าจะให้มันกินอะไร”
การดูแลสิ่งมีชีวิตเป็นภาระหนักอึ้ง เมื่อทำแล้วก็ทำให้ถึงที่สุด นางอยากให้พวกเด็กๆ มีความรับผิดชอบ เหมือนอย่างที่ตอนที่นางตัดสินใจจะเลี้ยงดูพวกเขาทั้งคู่ ไม่ว่าจะเหนื่อยยากลำบากเพียงไรก็จะไม่ถอย
สองคนพี่น้องหันไปมองตากัน เห็นได้ชัดว่าลังเล จากนั้นเสียงเอ๋อร์ก็นึกอะไรออก “ให้มันกินข้าว ข้ากินแต่ผักก็ได้”
“จริงด้วย ข้ากินแต่ผักก็ได้” เฉี่ยวเอ๋อร์พูดตามพี่ชาย
ซย่าหมิ่นขำแกมอึ้งจนแทบหัวเราะออกมา แต่นางห้ามตนเองไว้แล้วพูดอย่างเคร่งเครียด “แล้วถ้าหากแม้แต่ผักยังไม่มีให้กินเล่า ท่านอาใหญ่บอกไว้ก่อนนะ แมวตัวนี้พวกเจ้าอยากเลี้ยงเอง ท่านอาใหญ่จะไม่แบ่งข้าวของตัวเองให้พวกเจ้ากิน และพวกเจ้าก็จะขอแบ่งข้าวส่วนของท่านอารอง ท่านอาเล็ก แล้วก็ป้าอิ๋นฮวาไม่ได้ด้วย พวกเจ้าต้องหาทางออกกันเอาเอง”
นี่ก็เป็นปัญหาใหญ่สำหรับเด็กๆ แต่ความอยากเลี้ยงแมวชนะข้าวไปได้ “เช่นนั้นข้าจะแบ่งข้าวให้แมวน้อยครึ่งหนึ่งแล้วกัน”
“ข้าก็ด้วย”
ได้ยินสองพี่น้องพูดดังนั้นซย่าหมิ่นก็ถามขึ้นอีก “ต่อไปหากแมวน้อยไม่สวยแล้ว พวกเจ้าเบื่อมันแล้ว หรือไม่ก็พวกเจ้าหิวเพราะกินไม่อิ่ม พวกเจ้าจะเอามันไปปล่อยหรือไม่”
“ไม่ปล่อย! แมวน้อยเป็นครอบครัวเดียวกับเรา พวกเราไม่ทอดทิ้งมันหรอก จริงหรือไม่เฉี่ยวเอ๋อร์”
“ใช่ แมวน้อยเป็นครอบครัวเดียวกับเรา”
คำว่า ‘ครอบครัว’ ทำให้ซย่าหมิ่นไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้น นางยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วลูบหัวหลานๆ “ดี ถ้าเช่นนั้นท่านอาใหญ่อนุญาตให้เจ้าเลี้ยง”
“ดีจริง! ขอบคุณท่านอาใหญ่”
สองคนพี่น้องพากันกอดนางแน่นอย่างลิงโลด ในความคิดของพวกเขาท่านอาใหญ่ที่บางทีก็อบรมพวกเขาอย่างเฉียบขาดคนนี้ดีกว่าท่านอาใหญ่ผู้อ่อนโยนและเก็บตัวคนเดิมเป็นกอง ทั้งคู่รู้สึกสนิทสนมกับท่านอาใหญ่คนปัจจุบันมากกว่า
กอดอาหญิงเสร็จ เด็กๆ ก็รีบปรี่เข้าไปลูบตัวแมวดำ ซย่าหมิ่นเห็นแล้วทำท่าจะร้องห้าม เพราะกลัวว่านิสัยขี้ระแวงและสัญชาตญาณของแมวจะทำให้มันข่วนหลานๆ
แต่น่าแปลก แมวดำเพียงแค่พยายามลากขาหลังที่บาดเจ็บหนีมือเด็กๆ เท่านั้น เมื่อหนีไม่ได้ก็ข่มใจให้ทั้งคู่ลูบเนื้อลูบตัว ไม่มีทีท่าว่าจะทำร้ายคน นางเห็นแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก ทีนี้ก็สามารถให้หลานๆ เลี้ยงแมวได้อย่างสบายใจขึ้น
“แมวแค่ตัวเดียว เลี้ยงไว้ก็กินไม่เยอะหรอก ถ้าไม่มีจะกินจริงๆ อย่างมากก็ให้มันไปจับหนูกินแล้วกัน แมวจับหนูกินเป็นทุกตัวนี่นา…”
ซย่าหมิ่นพึมพำกับตนเอง แล้วเห็นนัยน์ตาสีเขียวของแมวดำวาววับ ฉายประกายดุดันจนนางอดจะกลืนน้ำลายลงคอไม่ได้
เหตุใดแววตาของเจ้าแมวตัวนี้ถึงได้เย็นชาน่ากลัวนัก มองมาทีรู้สึกเหมือนถูกคนถลึงตาจ้องอย่างไรอย่างนั้น…นางแค่คิดไปเองหรือเปล่านี่! ซย่าหมิ่นนึกในใจ
“พี่ใหญ่ เหตุใดถึงมาอยู่หลังบ้านกันนานนัก” ซย่าจื้อกับซย่าเจวี้ยนเดินมาตามทุกคน
“ท่านอารอง ท่านอาเล็ก ท่านอาใหญ่อนุญาตให้พวกเราเลี้ยงแมวน้อยล่ะขอรับ ข้าจะแบ่งข้าวของตนเองให้แมวน้อยกินครึ่งหนึ่ง”
“ข้าก็ด้วย ข้าจะแบ่งข้าวให้แมวน้อยกินครึ่งหนึ่ง”
เด็กสองคนวิ่งเข้าไปจูงมืออาอีกสองคนมาดูแมว พอซย่าจื้อกับซย่าเจวี้ยนเห็นแมวดำตัวนั้นก็หันไปมองพี่สาวอย่างตกตะลึง
ก่อนหน้านี้พี่ใหญ่เคยพูดไม่ใช่หรือว่าคนยังได้กินไม่อิ่มท้อง จะเลี้ยงสัตว์ไม่ได้
ซย่าหมิ่นยักไหล่ให้น้องๆ เป็นเชิงบอกว่าหลานอยากเลี้ยงก็ปล่อยให้เลี้ยงไป
แม้ซย่าเจวี้ยนจะไม่รู้ว่าหลานๆ ชอบแมวตัวดำมิดหมีเช่นนี้ได้อย่างไร แต่ตัวนางชอบแมวเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงดีใจมากที่ได้เลี้ยง
ซย่าจื้อนั้นไม่ชอบแมวดำเพราะเห็นว่าอัปมงคล แต่ขอแค่หลานๆ มีความสุขก็พอ “พี่ใหญ่ แล้วเจ้าแมวดำตัวนี้ชื่ออะไรเล่า”
“ชื่อหรือ…” ซย่าหมิ่นลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท จะให้เรียกแมวน้อยๆ ตลอดก็ใช่ที่