X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน แม่ทัพใหญ่ผู้นี้คือสามีข้า บทที่ 3-บทที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 11

บทที่ 3

ตอนนี้หลี่เยี่ยนเข้าใจแล้วว่าเหตุใดท่านอาหญิงถึงได้บอกว่าอีกไม่นานตนจะอยากยิ้มยิ่งกว่าเดิม ที่แท้ก็เป็นเพราะอย่างนี้เอง

เขาน่าจะคิดได้แต่แรก ท่านอาหญิงทั้งรักทั้งใส่ใจเขา มีหรือจะยอมให้กล้ำกลืนความคับแค้นใจเอาไว้ จะต้องหาทางเอาคืนให้เขาอย่างแน่นอน

เพราะอย่างนี้ตอนถูกรังแกเขาจึงไม่ปริปากพูด เนื่องจากไม่อยากทำให้นางเดือดร้อน

แต่ท่านอาหญิงเก่งกาจกว่าที่เขาคิดมากนัก

เสียงกระแอมเบาๆ ดังขึ้นสองที ดึงความสนใจเขาให้หันไปมอง ท่านอาหญิงเอนหลังพิงพนัก ชายกระโปรงยาวระพื้น กำลังทอดตามองเขาผ่านบานหน้าต่าง

ที่แท้ก็ถูกจับได้ตั้งแต่ต้นว่าเมื่อครู่เขาแอบดู

เด็กชายผลุบหายเข้าไปในห้องตนเองชั่วครู่ ก่อนจะเอามือเกาะขอบหน้าต่าง โผล่หน้าครึ่งเดียวมากะพริบตาปริบๆ ขยับปากพูดประโยคหนึ่งโดยไม่เปล่งเสียง

ทางฟากโน้น เขาเห็นท่านอาหญิงหัวเราะ

หลี่ชีฉือถือถ้วยชาที่ยังดื่มไม่หมดอยู่ในมือ อ่านรูปปากหลานชายได้อย่างชัดเจนว่าพูดประโยคที่นางบอกไปเมื่อคืน… ‘เงินเป็นของดีจริงๆ ด้วย’

อุตส่าห์แก้แค้นให้ กลับมาล้อเลียนกันเสียได้

นางกำลังจะค้อนขวับ เจ้าตัวดีก็ชิงปิดหน้าต่างผลุบหนีเข้าห้องไปเสียก่อน

นางวางถ้วยชาลงยิ้มๆ พอเงยหน้าขึ้นมาอีกที ซินลู่กับชิวซวงก็กลับมาแล้ว

สาวใช้ทั้งสองไม่เพียงส่งบ่าวสูงวัยผู้นั้นจากไป ยังตรวจนับของไถ่โทษที่ได้รับจากยงอ๋องซื่อจื่อมาเสร็จสรรพ แล้วรายงานให้นางฟังทีละรายการ

หลี่ชีฉือไม่ถูกใจของที่เด็กนิสัยเสียอย่างยงอ๋องซื่อจื่อส่งมากำนัลสักอย่าง จะหอบหิ้วไปด้วยก็มีแต่จะเป็นภาระเปล่าๆ จึงสั่งว่า “เอาไปให้หลงจู๊โรงเตี๊ยมเปลี่ยนเป็นเงินเสีย นอกเมืองมีผู้อพยพมากมาย แจกจ่ายเป็นทานให้พวกเขาเอาบุญดีกว่า”

ซินลู่รับคำสั่ง ทว่าขัดเคืองแทนอยู่ในใจ ทำดีได้ดีมีที่ใด เจ้านายกับซื่อจื่อของนางช่างแสนประเสริฐ แต่กลับต้องมาตกระกำลำบากอยู่ที่นี่ เจ้าเด็กร้ายกาจมากพิษสงผู้นั้นสมควรโดนสั่งสอนยิ่งนัก

หลี่ชีฉือบิดคอไปมา รู้สึกหนักๆ หัวชอบกล ในที่สุดก็นึกถึงปิ่นทองคำหนักอึ้งที่ปักอยู่บนเรือนผมขึ้นมาได้

นางดึงปิ่นยื่นให้ซินลู่ “ใช้ปิ่นนี่เป็นของขวัญแรกพบ ถือเทียบคารวะจากข้าไปหาอาจารย์คนใหม่ในเมืองมาให้ซื่อจื่อ”

สาวใช้เอื้อมมือไปรับปิ่น สบตากับชิวซวงทีหนึ่ง ก่อนจะออกไปทำตามคำสั่ง ต่างรู้ดีอยู่ในใจว่าผู้เป็นนายทำเช่นนี้หมายความว่าไม่คิดจะไปจากแดนเหนือในอนาคตอันใกล้

กว่าที่ในห้องจะเหลือเพียงหลี่ชีฉือผู้เดียว วันนี้ก็หมดไปค่อนวันแล้ว

หิมะเริ่มตกลงมาอีกครั้ง

นางวางแผนเตรียมการเข้าเมือง เนตรงามทอดมองหิมะที่โปรยปรายเป็นฝ้าขาวดุจขนห่านป่าอย่างคาดคะเนว่าเมื่อไรถึงจะหยุดตก

ลมพัดหวีดหวิว ต้นไม้ข้างหน้าต่างสะบัดกิ่งเรียวเล็กโยกไหวไปมาเหมือนจะหักได้ทุกเมื่อ

หลี่ชีฉือคิดในใจ ไม่รู้เหตุใดที่นี่จึงมีชื่อว่ากองบัญชาการฮั่นไห่ทะเลผืนกว้างกลายเป็นน้ำแข็งหนา มองไปทางใดก็เห็นแต่หิมะปลิวว่อน ลมกระโชกอย่างบ้าคลั่ง ต้นไม้ใบหญ้าตายเรียบ

ยิ่งนางนึกถึงกวงโจวที่งามตระการด้วยขุนเขาและลำน้ำ ฤดูทั้งสี่มีความแตกต่างชัดเจน ลมรำเพยอุ่นสบาย แล้วก็ให้สะท้อนใจอยู่ลึกๆ

กล่าวกันว่าภูมิประเทศหล่อหลอมคนให้มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น บุรุษผู้นั้นเหมือนอยู่คนละโลกกับนางโดยแท้

ทว่าจุดหมายปลายทางในครานี้ของนางก็คือจวนผู้บัญชาการกองทัพพิทักษ์อุดร

หลี่เยี่ยนไม่รู้ ซินลู่กับชิวซวงก็ไม่รู้ว่านางมาเพราะตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว

เสียงเป๊าะ…เป๊าะ…ดังขึ้นเบาๆ กิ่งไม้ข้างนอกถูกลมพัดจนหักจริงๆ

หลี่ชีฉือเอื้อมมือทำท่าจะปิดหน้าต่าง เสียงข้างนอกพลันดังขึ้นในจังหวะนั้น ลอยแว่วมาตามลมคล้ายอะไรบางอย่างถูกครูดถาก พร้อมกันนั้นยังมีเสียงอื่นดังมาด้วยแว่วๆ

เหมือนจะเป็น…เสียงม้าวิ่ง?

นางเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ เสียงม้าร้องพลันแหลมขึ้นมา จากนั้นก็เป็นเสียงกระแทกอะไรให้เปิดออก

หากฟังไม่ผิดน่าจะเป็นประตู

พอหันกลับมาอีกที เสียงเอะอะมะเทิ่งก็ดังขึ้นนอกห้อง แต่เพียงครู่เดียวก็สงบลงอีกครั้ง เหมือนถูกระงับยับยั้งลงดื้อๆ

จากนั้นเสียงฝีเท้าเร็วรัวทว่าพร้อมเพรียงก็ดังใกล้เข้ามาทุกขณะ ราวกับน้ำหลากที่สาดซัดปิดล้อมที่นี่เอาไว้

สิ่งที่ตามมาคือความเงียบสงัดอันยาวนาน ก่อนที่ใครบางคนจะตะโกนว่า…

“ห้องพักชั้นนอกยี่สิบแปดห้อง ห้องพักชั้นในสิบห้อง!”

“ค้นห้องพักชั้นนอกหมดแล้วแต่ไม่พบขอรับ!”

“ไปชั้นใน!”

หลี่ชีฉือได้ยินอย่างชัดเจนว่าคนเหล่านั้นกำลังมุ่งหน้ามาทางตน

น่ากลัวว่าจะต้องเปิดเข้ามาในห้องอย่างเลี่ยงไม่พ้น นางคิดแล้วหยิบหมวกม่านแพรบนโต๊ะเครื่องแป้งมาสวม ใจเพิ่งจะนึกไปถึงหลานชาย เสียงถีบประตูโครมก็ดังมาจากห้องข้างๆ เสียก่อน คนเหล่านั้นมาถึงแล้ว

ทางด้านหลี่เยี่ยนก็ได้ยินเสียงเช่นกัน ตอนแรกเด็กชายทำท่าจะเปิดประตูออกไปดูด้วยความตื่นตกใจ แต่นึกถึงคำสอนที่ท่านอาหญิงพร่ำบอกขึ้นมาได้ว่าแม้ประสบพบเจออะไรก็ต้องรักษาความสุขุมเยือกเย็นเยี่ยงเขาไท่ซานเขาจึงรั้งฝีเท้าเอาไว้

กระนั้นหัวใจก็ร้อนรุ่มไปหมด รู้อย่างนี้ตอนแรกไม่กระเซ้าผู้เป็นอาเล่นเสียก็ดี ไม่เช่นนั้นป่านนี้คงได้อยู่ข้างๆ มีอะไรยังพอช่วยเหลือกันได้

ประตูถูกผลักออกเบาๆ หวังหมัวมัวที่เป็นแม่นมเดินลงปลายเท้าย่องเข้ามาในห้อง เหงื่อแตกเต็มหน้าทั้งที่อยู่กลางฤดูหนาว รั้งแขนเขาไว้พลางว่า “ซื่อจื่ออย่าได้ออกไปเป็นอันขาดเชียวนะเจ้าคะ คนพวกนั้นถืออาวุธมาด้วย ท่าทางดุดันน่ากลัวยิ่งนัก”

“อะไรนะ” ไม่นึกเลยจริงๆ ว่าสถานการณ์จะร้ายแรงถึงเพียงนี้ ที่แดนเหนือนี่ยังมีกองโจรที่ไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตาด้วยหรือ

เสียงถีบประตูที่ว่าดังขึ้นในจังหวะนั้นพอดี เด็กชายสะดุ้งเฮือกอยู่ในใจ อาวุธไร้ตา หากเกิดอะไรขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่า

การเดินทางครานี้ไม่นับว่าราบรื่นนัก ระหว่างทางเจออุปสรรคเล็กบ้างใหญ่บ้างอยู่เนืองๆ แต่หากไม่ใช่เพราะเขาเป็นเหตุ มีหรือท่านอาหญิงจะต้องลำบากตรากตรำพาเขาระหกระเหินเดินทางไกลจากกวงโจว

คนพวกนั้นด่าว่าเขาเป็นดาวหายนะ ตัวเขาเองไม่ยักเจอโชคร้าย ดังนั้นจะให้ท่านอาหญิงที่คอยปกป้องมาโดยตลอดเดือดร้อนไม่ได้เป็นอันขาด

พอคิดมาถึงตรงนี้ หลี่เยี่ยนก็อยู่เฉยไม่ไหว สะบัดแขนเปิดประตูวิ่งออกไป

ประตูห้องของหลี่ชีฉือถูกถีบให้เปิดผาง คนกลุ่มหนึ่งวิ่งกรูเข้าไปข้างใน

ฉากบังตาตั้งอยู่ตรงมุมห้อง หลี่ชีฉือนั่งอยู่หลังฉาก

“ค้น!”

ทันทีที่สิ้นเสียงสั่ง คนเหล่านั้นก็กระจายตัวไปค้นตามจุดต่างๆ ในห้องทันที

“ช้าก่อน”

เสียงเบาๆ ที่ดังขึ้นทำให้ทุกคนหยุดชะงักโดยไม่รู้ตัว มาตระหนักเอาตอนนี้เองว่าห้องนี้มีสตรีอยู่คนหนึ่ง

หลี่ชีฉือเพิ่งจะเติมน้ำร้อนใส่ถ้วยชาเพื่อถือไว้ให้มืออุ่น

นางไม่ทันได้ปิดหน้าต่าง ลมหิมะพัดกรูเกรียวเข้ามาหนาวบาดจิต จะต้านอย่างไรก็ต้านไม่อยู่ ไม่ผิดอะไรกับคนกลุ่มนี้

“พวกเจ้าเป็นใคร”

ชายหนุ่มผู้หนึ่งเอ่ยตอบ “ไม่ต้องถาม แค่ให้เราค้นห้องแต่โดยดีก็พอ”

หลี่ชีฉือกล่าว “หากแสดงหลักฐานยืนยันว่าเป็นเจ้าหน้าที่ทางการมาตรวจค้น ข้าย่อมไม่คัดค้าน แต่นี่พวกเจ้ามารื้อค้นกันดื้อๆ ห้องพักชั้นในมีแต่สตรีกับเด็ก หากเกิดเหตุผิดพลาดใดขึ้น พวกเจ้ารับผิดชอบไม่ไหวแน่”

ฝ่ายตรงข้ามเดาะลิ้นคล้ายรำคาญเต็มแก่ “เกิดเหตุด่วน ไม่มีหลักฐานมาแสดงหรอก”

“เช่นนั้นก็ออกไป”

คนหนุ่มผู้นั้นชะงัก เหมือนจะอึ้งงันไปเล็กน้อย ก่อนจะงึมงำกับตนเอง “เอาเถิด จะเถียงกับสตรีผู้หนึ่งให้ได้อะไรขึ้นมา…”

พูดจบเขาก็สั่งเสียงดัง “ค้นๆๆ! ให้ไวด้วยล่ะ!”

หลี่ชีฉือใช้ปลายนิ้วสองนิ้วลูบไล้ขอบถ้วยชาไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า พอเห็นว่ามีคนทำท่าจะเดินเข้ามาหลังฉากบังตา นางก็สะบัดข้อมือโยนถ้วยชาใส่

ถ้วยกระเบื้องตกแตกดังเพล้ง คนผู้นั้นชะงักเท้า แล้วถอยกลับออกไปด้วยความตกใจ

ชายหนุ่มข้างนอกอุทานออกมาด้วยความทึ่ง “หึ! อารมณ์ร้ายเสียด้วย”

พูดจบเขาก็ทำท่าจะเดินเข้ามาตรวจดูด้วยตนเอง แต่ยังไม่ทันได้เฉียดใกล้ฉากบังตา เสียงตวาดก็ดังขึ้น “โอหัง!”

นี่เป็นเสียงของหลี่เยี่ยน

เนื่องจากมีฉากบังตาขวางกั้น หลี่ชีฉือจึงไม่ทันมองว่าร่างของหลานชายเข้ามาในห้องได้อย่างไร เห็นเพียงแต่ว่าชายหนุ่มผู้นั้นผลักเขาให้พ้นทาง น้ำเสียงฟังดูหงุดหงิดรำคาญใจยิ่งกว่าเก่า “เด็กที่ใดทะเล่อทะล่าเข้ามาเนี่ย พวกเราไม่มีเวลาจะเล่นกับเจ้าหรอกนะ!”

คำพูดสะดุดลงเพียงเท่านั้น พร้อมกับที่สรรพเสียงรอบตัวเงียบหายในทันใด

คนหนุ่มผู้นั้นร้องออกมาว่า “พี่สาม เหตุใดถึงเข้ามาเองเลยเล่า”

ใครอีกคนเดินเข้ามาในห้อง ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นสามสี่ก้าว

คนที่อยู่หน้าฉากบังตาขยับตัวเปิดทางให้ผู้มาใหม่

หลี่เยี่ยนแผดเสียงเกรี้ยวกราดขึ้นมาอีก “โอหัง! ใครอนุญาตให้เจ้าเข้ามาในนี้” ทว่าน้ำเสียงสั่นพร่าคล้ายหวาดกลัว ยังไม่ทันได้ทำอะไร ก็ถูกอีกฝ่ายรั้งแขนเอาไว้

“มีแต่ในนั้นที่ยังไม่ได้ค้น” คนหนุ่มผู้นั้นบอก

หลี่ชีฉือเบือนหน้าหนีเมื่อเห็นเงาร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาใกล้ได้รางๆ

นางรู้แต่แรกแล้วว่าอาจห้ามคนพวกนี้ไม่ได้ จึงชิงสวมหมวกม่านแพรปิดบังใบหน้าไว้ก่อน

คนผู้นั้นเดินวนรอบตัวนางสักพัก สุดท้ายก็หยุดยืนห่างออกไปไม่กี่ก้าว

นางหลุบตาต่ำ มองลงไปจากชายผ้าแพรเห็นแค่เพียงรองเท้าหุ้มแข้งสีดำที่เย็บจากหนัง กระชับรอบท่อนขาแข็งแรงกำยำของอีกฝ่าย

แสงเย็นเยียบพลันสว่างวาบ ปลายกระบี่เล่มหนึ่งจ่อเข้ามาตรงหน้า ทีนี้นางเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเมื่อครู่หลี่เยี่ยนถึงได้มีท่าทางหวาดกลัว เป็นเพราะคนผู้นี้ถือกระบี่เดินเข้ามาในห้องนี่เอง

ปลายกระบี่เลิกชายผ้าแพรคลุมหมวกขึ้น จากนั้นคางมนก็เย็นวาบเมื่อถูกอาวุธโลหะช้อนขึ้นให้แหงนเงย

หลี่ชีฉือประจันหน้ากับฝ่ายตรงข้ามอย่างเลี่ยงไม่ได้ นางหลุบตามองปลายจมูกตนเองและกลั้นหายใจ

กระบี่ถูกดึงกลับไป

แต่ก็หลังจากนั้นสักอึดใจหนึ่ง

หญิงสาวยกมือกุมปลายคาง มืออีกข้างดึงแพรคลุมหมวกลงมาใหม่ แล้วผินหน้าไปด้านข้างอีกครั้ง

ดีที่คนผู้นี้มือนิ่ง ปลายกระบี่จึงไม่ทำให้นางได้แผล

ชายหนุ่มที่อยู่ข้างนอกรีบถามขึ้นเพราะเห็นท่าทางผิดปกติ “อย่าบอกนะว่าเป็นนาง”

ประโยคนั้นทำให้คนที่เหลือแตกฮือ กรูเข้าใส่ฉากบังตาพร้อมกัน

หางตาแลเห็นไวๆ ว่าคนที่อยู่ตรงหน้ายกมือปราม หลี่ชีฉือจึงเหลือบตามอง พบว่าเขามีฝักกระบี่เปล่าๆ ห้อยอยู่ข้างเอว ทั้งเนื้อทั้งตัวไร้เครื่องประดับอื่น

ร่างของกลุ่มคนที่อยู่ข้างนอกหยุดชะงัก ไม่ได้เข้ามาใกล้กว่านี้

คนผู้นั้นเดินไปเดินมาอยู่ข้างๆ สองสามก้าว แต่นางจงใจเบือนหน้าหลบ จนแล้วจนรอดก็ไม่หันไปมอง

จากนั้นเขาก็เดินออกไป

เมื่อหลี่ชีฉือมองไปอีกครั้งก็เห็นว่าเขาเหมือนจะหยุดยืนตรงหน้าหลี่เยี่ยนครู่หนึ่ง

“ไป” เขาโพล่งขึ้น

คนหนุ่มผู้นั้นปล่อยแขนหลานชายนางเดินตามไป คนที่เหลือก็กรูกันออกไปเช่นกัน

หลี่เยี่ยนวิ่งเข้ามาด้านหลังฉากบังตาแล้วทิ้งตัวลงซบตักนาง “ท่านอาหญิง บาดเจ็บตรงที่ใดหรือไม่ขอรับ”

หลี่ชีฉือจับมือหลานเอาไว้ ถอดหมวก ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ ยังพูดอะไรไม่ออก

แม้จะแอบทำการค้าลับๆ มานานปี แต่นางไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกใครถือกระบี่ช้อนคางเช่นนี้มาก่อน

ความขึงขัง เฉียบขาด รวบรัดฉับไวเมื่อครู่ดูเป็นวิสัยนายทหารทุกประการ

ทหารแดนเหนือทั้งหมดล้วนอยู่ในสังกัดกองทัพพิทักษ์อุดร

หรือจะเป็น…

หญิงสาวขมวดคิ้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าตนเองเดาถูกหรือไม่

กว่าซินลู่กับชิวซวงจะจัดการงานที่ผู้เป็นนายมอบหมายให้เรียบร้อยแล้วกลับโรงเตี๊ยม ก็จวนใกล้ถึงเวลาปิดประตูเมืองเต็มที

ระหว่างทางทั้งคู่เห็นคนกลุ่มหนึ่งพกอาวุธขี่ม้าออกจากเมือง มุ่งหน้าไปทางที่พักของพวกตน

ซินลู่ผู้ซึ่งมีความคิดอ่านละเอียดถี่ถ้วนกว่าพูดขึ้นกับชิวซวง “หวังว่าจะไม่ไปยุ่มย่ามกับโรงเตี๊ยมนะ”

ชิวซวงหาว่านางตีตนไปก่อนไข้ หากคนกลุ่มนี้เป็นคนร้าย ตอนพกอาวุธขี่ม้าผ่านมาคงปล้นชิงรถม้าไปแล้ว แต่นี่ไม่ชายตามองพวกนางสองคนด้วยซ้ำ แล้วจะบุกปล้นโรงเตี๊ยมได้อย่างไร

ปรากฏว่าทั้งคู่เพิ่งกลับมาถึงที่พัก ก็ได้ฟังเรื่องที่เกิดขึ้นจากหวังหมัวมัว มิน่าเล่าอยู่ๆ แขกในโรงเตี๊ยมถึงได้บางตาลงมาก คงหวาดกลัวจนหนีไปกันหมด

ซินลู่หันไปขึงตาใส่ชิวซวง ทว่าชิวซวงก็กำลังขึงตามองนางอยู่เช่นกัน

นางหาว่าชิวซวงชะล่าใจ ส่วนชิวซวงก็หาว่าเป็นเพราะนางพูดจาไม่เป็นมงคล

ในห้องพักของโรงเตี๊ยม หลี่ชีฉือกินข้าวเย็นเรียบร้อยแล้ว

หลายชั่วยามมานี้ หลี่เยี่ยนคอยเฝ้าตามติดนางไม่ยอมห่าง

จนบัดนี้หลี่ชีฉือก็ยังไม่ได้ว่ากล่าวหลานชายแม้แต่คำเดียว ด้วยเหตุกะทันหันที่เกิดขึ้นในวันนี้ ความจริงนางควรต้องตำหนิติเตียนความมุทะลุบุ่มบ่ามของเขาบ้าง แต่ลองคิดๆ ไป ยากยิ่งที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้สักครั้ง แล้วยังต้องตำหนิเขาไปไยเล่า

ช่างเถิด…

ซินลู่กับชิวซวงรีบร้อนเดินเข้ามาดู พอเห็นว่าผู้เป็นนายทั้งสองปลอดภัยดีก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

เพิ่งจะยืนพักกันได้ไม่ทันไร เสียงม้าร้องก็พลันดังขึ้นข้างนอก ทำเอาทุกคนตกใจกันถ้วนหน้า

“เกิดอะไรขึ้น นี่ประตูเมืองก็ปิดแล้ว ยังจะมีใครมาที่นี่อีกหรือ”

ซินลู่เดินฉับๆ ออกไปดู ที่หน้าประตูโรงเตี๊ยมมีกองทหารขี่ม้าเข้ามาตั้งแถวสองแถว ดูแตกต่างจากกลุ่มเมื่อตอนกลางวัน เพราะแต่ละคนแต่งชุดเครื่องแบบ ถือคบไฟในมือ เห็นชัดว่าเป็นทหารในกองทัพ

ตรงกลางระหว่างแถวทหารคือรถม้าเทียมอาชาสีขาวปลอดสี่ตัว

คนหนุ่มผู้หนึ่งชักม้าออกจากแถว ตวัดตัวลงจากหลังม้าก่อนจะเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยม

ซินลู่เห็นอีกฝ่ายเดินดุ่มๆ มาทางนี้ก็รีบวิ่งกลับห้องไปรายงานผู้เป็นนาย

“นายหญิง เขาเดินตรงมาทางห้องพักของนายหญิงเจ้าค่ะ”

หลี่ชีฉือนิ่งคิด “ขออย่าให้เป็นคนเดิมอีกก็แล้วกัน”

หลี่เยี่ยนได้ยินดังนั้นก็เดินออกไปดูตรงประตู เห็นชายผู้นั้นเดินอาดๆ มาทางนี้ ท่านอาหญิงทายถูก เป็นบุรุษคนเดียวกับที่บุกเข้ามาเมื่อตอนกลางวันจริงๆ

เด็กชายเบิกตากว้าง “เหตุใดถึงเป็นเจ้าอีกแล้ว!”

คนผู้นั้นเห็นเขาเข้าก็หลบตาวูบ ใช้นิ้วลูบจมูกเก้อๆ ไม่ส่งเสียง

จวบจนเดินมาถึงหน้าประตูจึงค่อยถลกชายเสื้อคลุมทรุดตัวลงคุกเข่าข้างเดียว ประสานมือคำนับ “ข้าน้อยหลัวเสี่ยวอี้ มาที่นี่เพื่อน้อมส่งเซี่ยนจู่เข้าจวนโดยเฉพาะขอรับ”

หลี่ชีฉือที่อยู่ในห้องได้ยินอย่างชัดเจน “รับคำสั่งใครมา”

“ท่านผู้บัญชาการแห่งกองบัญชาการฮั่นไห่ขอรับ”

นางบอกไม่ถูกว่าควรรู้สึกอย่างไรดีที่ดันบังเอิญทายถูก คนเหล่านี้เป็นทหารของกองทัพพิทักษ์อุดรจริงๆ

บางทีอาจไม่เพียงเท่านั้น

“ครานี้คงมีหลักฐานยืนยันเสียทีกระมัง”

หลัวเสี่ยวอี้ชะงัก ก่อนจะหน้าม้านเมื่อนึกถึงถ้อยคำที่นางพูดเมื่อตอนกลางวันขึ้นมาได้ จึงเสกระแอมแห้งๆ “ครานี้มีแล้วขอรับ คนที่เดินเข้าไปด้านในฉากบังตา…คือตัวท่านผู้บัญชาการเอง”

 

บทที่ 4

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนในที่นั้นก็หันไปมองหน้ากัน ต่างจับต้นชนปลายไม่ถูก

อยู่ๆ ก็อ้างถึงท่านผู้บัญชาการเสียอย่างนั้นหรือ

หลี่เยี่ยนแอบเหลือบมองผู้เป็นอา นางนั่งตัวตรงสง่า ใบหน้าสะคราญไม่มีความประหลาดใจฉายอยู่แม้แต่นิดเดียว

เหมือนอย่างตอนกลางวันที่คนกลุ่มนั้นถืออาวุธบุกเข้ามาในห้อง นางก็เผชิญหน้าด้วยการนั่งหลังฉากบังตาอย่างสงบเยือกเย็น

ความจริงแล้วหลี่ชีฉือแค่กำลังคิดว่า…ที่แท้เขาก็ยังจำข้าได้

วันวิวาห์ได้พบกันลวกๆ เพียงครู่เดียว เนื่องจากมีจารีตประเพณีล้อมกรอบไว้อยู่ นางจึงเห็นเขาแค่รางๆ

ภายหลังพี่ชายนางสิ้นลม ตัวเขาเองก็รีบร้อนเดินทางกลับแดนเหนือในคืนนั้น อีกทั้งไม่มีโอกาสได้พบกันอีก ใครเลยจะคาดคิดว่าเมื่อได้เจอกันโดยบังเอิญ เขาจะสามารถจำนางได้ในปราดเดียว

“ท่านผู้บัญชาการอยู่ที่ใด” นางถามหลังจากที่เงียบไปสักพัก

หลัวเสี่ยวอี้ตอบ “ยังคงนำกำลังพลไล่ตามจับสายลับชาวทูเจวี๋ย จำนวนหนึ่งที่หลบหนีไปขอรับ ที่เข้าค้นโรงเตี๊ยมเมื่อตอนกลางวันจนเผลอล่วงเกินเซี่ยนจู่ก็เพราะเหตุนี้ ใช่ว่ามีเจตนาจาบจ้วง”

มีเหตุผลรองรับหนักแน่น หากนางนำมาเป็นประเด็นต่อว่าต่อขาน จะกลายเป็นไม่ให้ความสำคัญกับงานหลวง

จากนั้นซินลู่ก็ถูกเรียกให้เดินกลับเข้ามาในห้อง รับคำสั่งสองสามคำจากนาง ก่อนจะเดินออกไปพูดกับหลัวเสี่ยวอี้ว่า “ต้องรบกวนให้ท่านขุนพลรอสักครู่ ขอพวกบ่าวประทินโฉมให้เซี่ยนจู่ก่อนค่อยออกเดินทางกัน”

ชายหนุ่มรับคำแล้วลุกขึ้นยืนพลางบ่นในใจ สมแล้วที่เป็นหญิงมีสายเลือดราชวงศ์ ช่างแก่พิธีรีตองเหลือเกิน

อันที่จริงหลี่ชีฉือไม่ได้ประทินโฉมอะไร แค่แกล้งปล่อยให้หลัวเสี่ยวอี้แกร่วรอสักพักเท่านั้น

พอประตูห้องปิดลง นางก็ปลอบโยนหลานชายด้วยสายตา แล้วบอกให้เขาดื่มชาร้อนๆ สักถ้วย

ระหว่างช่วงเวลานี้ซินลู่กับชิวซวงก็ช่วยกันเก็บข้าวของเท่าที่เก็บได้

ส่วนหลัวเสี่ยวอี้ถูกปล่อยให้ตากลมรออยู่ข้างนอกเป็นนาน ฟังแค่เสียงฝีเท้าหน้าประตูก็รู้ว่าเขาเดินกลับไปกลับมามากกว่าสิบรอบ

จนภายหลังหลี่ชีฉือชักใจอ่อน เห็นว่าแกล้งจนพอหอมปากหอมคอแล้ว นางถึงได้ยอมพยักหน้าสั่งการให้ออกเดินทาง

พอเปิดประตูเดินออกไป หลัวเสี่ยวอี้ก็รีบปรี่เข้ามาหา

ตอนกลางวันมีฉากบังตาขวางอยู่จึงเห็นไม่ชัด เขาเพิ่งจะมีโอกาสแอบมองฮูหยินผู้บัญชาการผู้ไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อนก็ตอนนี้เอง

หลี่ชีฉือสวมเสื้อคลุมกันลมแบบมีหมวก สิ่งที่มองเห็นชัดที่สุดใต้แสงคบไฟคือเรือนร่างอ้อนแอ้นอรชร

หลัวเสี่ยวอี้ยิ้มยิงฟันพลางนึกในใจ สมกับเป็นสตรีที่ถูกหล่อเลี้ยงมาด้วยลุ่มน้ำแดนใต้ ช่างอ่อนช้อยนุ่มละมุนเหมือนกิ่งหลิวไม่ผิดเพี้ยน

พอกำลังจะนำทาง หลี่ชีฉือก็ดึงหลี่เยี่ยนที่จูงมืออยู่ออกมา พูดกับเขาว่า “ลืมบอกเจ้าไป คนที่ถูกเจ้าผลักเมื่อตอนกลางวันคือหลานชายข้า ผู้สืบทอดตำหนักกวงอ๋อง”

นายทหารหนุ่มตัวแข็งทื่อ เหลือบมองหลี่เยี่ยนที่หนึ่ง ก่อนจะกลอกตาไปมาสองตลบแล้วยิ้มแห้งๆ “เช่นนั้นเรียกผลักได้อย่างไรกันเล่าขอรับ ข้าตั้งใจจะประคองเขาต่างหาก”

พูดจบก็เอื้อมมือมาจะประคองหลี่เยี่ยนจริงๆ แต่ถูกเด็กชายเบี่ยงตัวหลบ

หลี่ชีฉือเอ่ย “ไปกันเถิด”

หลัวเสี่ยวอี้เหมือนยกภูเขาออกจากอก “ขอรับๆ ไปเดี๋ยวนี้”

 

โคมไฟส่องสว่างตามรายทาง ประตูเมืองเปิดออกในยามวิกาลเพียงเพื่อต้อนรับนายหญิงที่เพิ่งมาถึง

ในเมื่อแดนเหนือมีสมญานามว่าแปดกองพลสิบสี่เมือง กองบัญชาการกองทัพพิทักษ์อุดรจึงมีกองกำกับการของแปดกองพลสิบสี่เมืองอยู่ใต้อาณัติ กองบัญชาการฮั่นไห่คือที่พำนักของผู้บัญชาการสูงสุด เป็นจวนผู้บัญชาการ

ฟังแค่ชื่อก็ทรงอำนาจเหลือเกินแล้ว ซินลู่กับชิวซวงกระซิบกระซาบกันบนรถไม่ยอมหยุด ต่างคิดตรงกันว่าจวนแห่งนั้นต้องไม่ธรรมดา

หลี่เยี่ยนเองก็เคยร่ำเรียนเรื่องเหล่านี้มาก่อน นั่งรถม้าไปได้สักพักจึงเข้าไปร่วมวงสนทนากับพวกนางอย่างอดไม่ไหว “ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้นจริงหรือ”

“แน่นอนสิเจ้าคะ ดูแค่ส่งกองทหารมารับนายหญิงอย่างวันนี้ก็นับว่ายิ่งใหญ่มากแล้ว”

เด็กชายนึกถึงการล่วงเกินเมื่อตอนกลางวัน คิดในใจว่าหากไม่ทำเช่นนี้ เห็นทีท่านอาหญิงคงไม่ยอมขึ้นรถม้ามาด้วยเป็นแน่

หลี่ชีฉือฟังทั้งสามพูดกันคนละทีสองที ทว่าหัวใจกลับกระหวัดนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อบ่าย

หากรู้แต่แรกว่าเป็นเขา นางคงเหลือบตาขึ้นมองอย่างเปิดเผยไปแล้ว

ผู้บัญชาการกองทัพพิทักษ์อุดรถือกระบี่มาพบภรรยา ช่างเหี้ยมหาญเสียนี่กระไร

นางคิดๆ ไปก็ยกยิ้มตรงมุมปากโดยไม่รู้ตัว

ซินลู่แอบดึงแขนเสื้อซื่อจื่อของตนชี้ชวนให้มอง พร้อมกระซิบเบาๆ “เห็นหรือไม่เจ้าคะ นายหญิงก็อารมณ์ดีเช่นกัน”

หลี่เยี่ยนงึมงำ “อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นก็คง…เป็นเรื่องดีกระมัง”

สัญญาณคำสั่งดังกังวาน รถม้าหยุดลง

ทหารอารักขาทั้งสองกองไม่ส่งเสียงใดๆ ทั้งสิ้นตลอดทาง พอสั่งให้หยุดก็หยุดยืนเรียงแถวเรียบร้อยเป็นเส้นตรง

หลัวเสี่ยวอี้ร้องบอกอยู่ข้างนอก “ถึงแล้วขอรับ”

ม่านหน้ารถถูกแหวกออก หลี่ชีฉือก้าวลงจากรถม้า ดึงหมวกขึ้นคลุมศีรษะ ทอดตามองประตูคฤหาสน์ตรงหน้า

ใบหูพลันแว่วเสียงหลัวเสี่ยวอี้กระซิบสั่งสารถีอยู่ข้างหลัง “อย่าลืมเอาม้าไปคืนที่กองทัพล่ะ”

นางนึกเอะใจ พอหันไปมอง นายทหารหนุ่มก็เดินยิ้มเข้ามาผายมือเชื้อเชิญ นำทางพวกนางเข้าจวนแล้ว

ตัดสินจากแค่ประตูหน้า จวนผู้บัญชาการนับว่าโอ่อ่ายิ่งใหญ่เอาการ ป้ายเหนือประตูเขียนด้วยลายมือหนักแน่นทรงพลัง น่าจะเป็นตัวอักษรสายสกุลเหยียนแห่งแคว้นหลางหยา

หลี่ชีฉือรู้รายละเอียดเกี่ยวกับฝูถิงเพียงน้อยนิด เป็นต้นว่าตอนแต่งงานกัน บิดามารดาของเขาจากโลกไปแล้วทั้งคู่

ไม่ผิดจากที่คิดไว้ เมื่อเดินเข้าไปข้างในก็พบบรรยากาศอ้างว้างเงียบเหงาจริงๆ

คฤหาสน์ที่ไม่มีญาติผู้ใหญ่หรือเจ้าบ้านคอยดูแลก็เป็นเช่นนี้ นางคุ้นเคยดี เพราะตำหนักกวงอ๋องไม่ผิดจากที่นี่นัก

ด้านหน้าเป็นเรือนกำกับดูแลงานทั่วไป ไม่ได้จุดโคมไฟและไม่มีบ่าวไพร่โผล่มาให้เห็น อาศัยเพียงคบไฟที่หลัวเสี่ยวอี้ฉวยมาจากมือทหารก่อนเดินเข้ามาข้างในส่องทางให้

เมื่อมาถึงเรือนชั้นในจึงค่อยเจอบ่าวไพร่ยืนก้มหน้าประสานมือรออยู่สองสามคน ในเรือนจุดไฟสว่าง

หลัวเสี่ยวอี้จะเข้าไปด้วยก็ไม่งาม จึงส่งคบไฟให้ข้ารับใช้ผู้หนึ่งแล้วเอ่ยลา

“คืนนี้ท่านผู้บัญชาการจะกลับจวนหรือไม่” หลี่ชีฉือโพล่งถามออกมา

ปลายเท้าของนายทหารหนุ่มหยุดชะงัก รอยยิ้มรู้ทันคลี่ตัวบนใบหน้า “ข้าจะรีบไปเร่งให้เดี๋ยวนี้ขอรับ”

พูดจบเขาก็ประสานมือคำนับหันหลังเดินออกไปทันที

หลี่ชีฉือขยุ้มเสื้อคลุมเม้มปากเบาๆ อันเป็นกิริยาบ่งบอกความประหม่า นางไม่ได้ถามเพราะร้อนใจอยากพบหน้าชายผู้นั้นโดยเร็ว แต่ฟังจากคำตอบอีกฝ่าย แสดงว่าตีความไปคนละทาง

หญิงสาวจูงมือหลี่เยี่ยนเดินเข้าเรือนชั้นใน ซินลู่กับชิวซวงล่วงหน้ามาจัดเตรียมห้องหับให้ก่อนแล้ว พอนางเดินมาถึงที่หมาย สาวใช้ทั้งสองก็เดินหน้าเฝื่อนออกมาจากข้างในพอดี

“นายหญิง รีบเข้ามาดูเถิดเจ้าค่ะ”

หลี่ชีฉือเดินเข้าเรือน ถอดเสื้อคลุมกันลมออก กวาดตามองไปโดยรอบ “มีอะไรหรือ”

ข้างนอกลมแรง พัดกรอบหน้าต่างฉลุลายกระเทือนกึงๆ แสงไฟสว่างไม่พอเพราะจุดตะเกียงไว้เพียงดวงเดียวเท่านั้น บริเวณที่แสงส่องไปถึงตกแต่งไว้อย่างเรียบง่าย ซ้ำยังเก่าโทรม

เตียงนอนไร้ม่านแพรบดบัง ภาพเขียนบนฉากบังตาสีซีดกะดำกะด่าง

หลี่เยี่ยนเดินเข้าไปลูบเก้าอี้ขาไขว้แบบพับได้ตัวหนึ่งแล้วหันมามองนาง “ท่านอาหญิง ที่นี่ออกจะ…”

ซอมซ่อ

หลี่ชีฉือต่อคำให้ในใจเงียบๆ แล้วหมุนตัวเดินออกจากเรือน ดึงคบไฟที่หลัวเสี่ยวอี้ทิ้งไว้ให้จากมือข้ารับใช้ ถือเดินไปยังห้องโถงด้านหน้าพลางส่องไฟดูบริเวณโดยรอบไปด้วยตลอดทาง

หิมะหยุดตกไปในตอนเย็น แล้วตกใหม่อีกครั้งในยามวิกาล

ท่ามกลางเกล็ดขาวโปรยปราย ม้าหลายตัวพ่นลมหายใจออกมาทางจมูก ใช้เท้าตะกุยพื้นหิมะเบาๆ ไม่วิ่งเตลิดไปแม้ไม่ได้ล่ามไว้

ห่างออกไปร้อยก้าว บนพื้นหินระเกะระกะ กองไฟเริ่มมอดลงช้าๆ

ฝูถิงนั่งอยู่บนก้อนหิน คิ้วและขนตามีปุยหิมะจับบางๆ

ตรงข้ามเขามีทหารนั่งเกาะกลุ่มเบียดกันผิงไฟหลายคน ฟันกระทบกันกึกๆ ด้วยความหนาว

ทั้งหมดล้วนเป็นทหารองครักษ์ส่วนตัวของเขาทั้งสิ้น

ชายหนุ่มปักกระบี่ลงกลางหิมะ ล้วงถุงสุราที่ทำจากหนังในอกเสื้อมากรอกใส่ปากอึกหนึ่งแล้วโยนออกไป

ใครผู้หนึ่งรับไว้ ก่อนจะประสานมือคำนับอย่างยินดี “ขอบคุณท่านผู้บัญชาการ!”

มีคนเดินเข้ามาใกล้ ได้ยินเสียงฝีเท้าย่ำพื้นหิมะดังแซ่กๆ หลัวเสี่ยวอี้ตามมาสมทบแล้วนั่นเอง

“วันนี้ท่านผู้บัญชาการกำลังอารมณ์ดีที่ฮูหยินมา เลยตกรางวัลเป็นสุราให้พวกเจ้าดื่ม” ฝ่ายนั้นกระเซ้าเมื่อเดินมาถึงกองไฟ แล้วโยนเนื้อแห้งห่อใหญ่ไปให้พรรคพวก

คนที่รับห่อเนื้อเอาไว้พูดขึ้น “ท่านเลยกลายเป็นคนแรกที่ได้เห็นฮูหยินท่านผู้บัญชาการไปเสียได้”

หลัวเสี่ยวอี้เอ็ดเบาๆ “ใช่เสียเมื่อไร หากท่านผู้บัญชาการของเราไม่เคยเห็น จะจำได้ตั้งแต่แวบแรกได้อย่างไรเล่า”

ฝูถิงนั่งนิ่ง เขาไม่มีท่าทีใดๆ ทั้งนั้น

ระหว่างที่พูดหลัวเสี่ยวอี้ก็เดินเข้ามาหาเขาแล้วส่งเนื้อแห้งให้ชิ้นหนึ่ง “พี่สามวางใจได้เลย ข้าพานางไปส่งที่จวนให้เรียบร้อยแล้ว”

ฝ่ายตรงข้ามรับเนื้อไปฉีกพลางเหลือบมองเขา หลัวเสี่ยวอี้รีบยกมือปราม “แผลบนคอท่านยังไม่หาย พูดให้น้อยหน่อยดีกว่า ฟังข้าพูดก็พอ ไม่มีอะไรหรอก พี่สะใภ้เซี่ยนจู่ผู้นั้นไม่ได้เอาแต่ใจอย่างที่พวกเราคิด ไม่ทำตัวเป็นปัญหา เว้นเสียแต่ปล่อยให้ข้ายืนตากลมหนาวแกร่วรออยู่ครู่หนึ่ง คาดว่าคงเอาคืนให้หลานชายนั่นล่ะ”

“กวงอ๋องซื่อจื่อ” ฝูถิงโพล่งขึ้น

“ใช่ๆ ซื่อจื่อน้อยแห่งตำหนักกวงอ๋อง เจ้าเด็กนั่นน่ะ…” หลัวเสี่ยวอี้ยิ่งพูดยิ่งออกนอกเรื่อง

ฝูถิงเอาเนื้อแห้งใส่ปากเคี้ยวกินพลางนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวัน

เขาจำหน้าหลี่ชีฉือได้แม่นทีเดียว เพราะตอนที่กวงอ๋องอาการทรุดหนักในคืนวิวาห์ เขาเองก็ไปดูเช่นกัน

เวลานั้นนางก็หลุบตาต่ำ ไม่ต่างจากตอนที่ถูกเขาใช้กระบี่ช้อนปลายคางวันนี้นัก ผิดกันตรงที่มีน้ำตาไหลรินลงมาสองสาย

หลังจากนั้นเขาก็เร่งรุดเดินทางกลับแดนเหนือ นับดูแล้วก็ไม่ได้พบกันนานมากจริงๆ

ตอนนั้นเขาถือกระบี่ใช้เวลาเพ่งพิศอยู่สักพักด้วยกลัวว่าตนเองจะตาฝาด

ส่วนนาง…ไม่มองเขา ทว่าก็ไม่ได้ตระหนกลนลาน

ถุงสุราถูกเวียนไปจนครบรอบแล้วส่งกลับมาให้ฝูถิงอีกครั้ง แต่หลัวเสี่ยวอี้เอามือกดมันลงไปพร้อมเย้าเขาว่า “พี่สามนี่ช่างแน่จริง ข้าเห็นพี่สะใภ้แล้วล่ะ นางสมกับที่เป็นเชื้อพระวงศ์ ดูนุ่มละมุนไปหมดราวกับว่าทั้งเนื้อทั้งตัวทำจากน้ำก็มิปาน หลังแต่งงานท่านทิ้งนางไว้ในกวงโจวมานานน่ะช่างเถิด เวลานี้คนเขาพาตัวมาประเคนถึงมือ จนป่านนี้ก็ยังรออยู่ในที่ที่มีแต่หิมะเช่นนี้ ตามหลักต้องควรรีบกลับไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงสักยกถึงจะถูก”

คนไร้ชาติตระกูลที่เป็นทหารอยู่ในกองทัพมักพูดจาคึกคะนองโดยไม่ระวังปากเช่นนี้เสมอ

หลัวเสี่ยวอี้หัวเราะหึๆ พลางตบปากตนเองหนึ่งที “ดูปากข้าสิ ระดับพี่สามแค่ยกเดียวเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว มันต้องหลายๆ ยกต่างหาก!”

ฝูถิงกรอกสุราใส่ปากอึกหนึ่ง ลูกกระเดือกกระเพื่อมไหว สุราร้อนแรงไหลลงท้อง ช่วยให้ร่างกายอุ่นขึ้นได้เล็กน้อย

เขาใช้นิ้วโป้งปาดคราบสุราบนริมฝีปากช้าๆ

รสชาติของสตรีผู้นั้นเป็นอย่างไร เขายังไม่ได้ลิ้มลอง

ไม่ว่ามองจากมุมใด การจับคู่วิวาห์ครั้งนี้ก็เป็นการเอื้อมของสูงสำหรับเขา นับตั้งแต่เป็นทหาร เขาไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าวันหนึ่งตนเองจะได้แต่งงานกับสตรีสูงศักดิ์ที่เป็นถึงเชื้อพระวงศ์

และยิ่งไม่คาดคิดว่าวันหนึ่งนางจะดั้นด้นรอนแรมมาที่นี่เองอย่างปุบปับ

แดนแปดกองพลสิบสี่เมืองแห่งนี้มีแต่พื้นที่รกร้างกับอากาศหนาวเย็นขั้นโหดร้าย มิหนำซ้ำจวนผู้บัญชาการก็มีสภาพเช่นนั้น

ต่อให้หญิงเชื้อพระวงศ์ผู้บอบบางมาถึงที่นี่ ทว่าจะทนอยู่ได้สักกี่น้ำกันเชียว

 

“นี่น่ะหรือจวนผู้บัญชาการอันยิ่งใหญ่ของผู้บัญชาการกองทัพพิทักษ์อุดรแห่งแดนแปดกองพลสิบสี่เมือง?”

ภายในจวนผู้บัญชาการ หลี่เยี่ยนร้องออกมาอย่างเหลือเชื่อ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรสร้างความขุ่นใจให้ท่านอาหญิงจะดีกว่า จึงทำแก้มป่องและไม่พูดอะไรอีก

ความจริงซินลู่และชิวซวงต่างก็รู้สึกเช่นเดียวกัน

ขามายังสู้คิดไปว่าจวนแห่งนี้จะต้องโอ่อ่ายิ่งใหญ่ไม่มีใครเทียม ปรากฏว่าเพิ่งจะติดตามผู้เป็นนายเดินสำรวจรอบจวนจนทั่ว ก็พบว่าไม่ได้เป็นดังที่คิดเลยสักนิด

โอ่โถงกว้างใหญ่น่ะใช่ เพียงแต่เก่าโทรมเหลือแสนจนข้าวของเครื่องใช้จำนวนมากใช้งานไม่ได้แล้ว

หลี่ชีฉือส่งคบไฟในมือไปให้ซินลู่หาอะไรมาปักไว้ ขอแค่ให้มีแสงส่องสว่างภายในเรือนเป็นใช้ได้

จากนั้นก็ให้คนไปตามพ่อบ้านประจำจวนมาพบ

เวลานี้ดึกมากแล้ว นางเพิ่งมาถึง คงต้องยุ่งอีกนาน จึงตั้งใจจะให้หวังหมัวมัวพาหลานชายไปหาเรือนสักหลังพักผ่อนก่อน

แต่มีหรือหลี่เยี่ยนจะยอมไป สภาพแวดล้อมเวลานี้เป็นสิ่งแปลกใหม่ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน ทำให้เขายิ่งอยากอยู่กับผู้เป็นอา ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้างจนกลมดิก ดูกระฉับกระเฉงตื่นตัวอย่างยิ่ง

หลี่ชีฉือเลยต้องตามใจหลาน

ไม่นานซินลู่ก็พาชายสูงวัยผู้หนึ่งเดินเข้ามา

นายหญิงที่เพิ่งมาถึงนี้ ผู้ชราเพิ่งเคยได้พบเป็นครั้งแรก จึงคุกเข่าค้อมคำนับกับพื้นเต็มรูปแบบ

หลี่ชีฉือเองก็สั่งให้ซินลู่มอบเงินจำนวนหนึ่งให้อีกฝ่ายเป็นของพบหน้า พอถามไถ่ถึงได้รู้ว่าที่แท้ชายชราผู้นี้ไม่ใช่พ่อบ้าน

ชิวซวงกระซิบตรงริมหูนางว่าปกติท่านผู้บัญชาการกินนอนอยู่ในกองทัพ ไม่ใคร่กลับจวนสักเท่าไร จวนแห่งนี้จึงไม่มีพ่อบ้าน ผู้ชราตรงหน้าถูกย้ายมาอยู่ที่นี่เพราะอายุมากกว่าใครก็เท่านั้น

หลี่ชีฉือบรรลุแจ้ง แสดงว่าที่นี่เป็นจวนผู้บัญชาการแต่ในนาม เขาทำอะไรหรือมีใครอยู่ข้างนอกย่อมไม่มีผู้ใดรู้

อย่าว่าแต่หลี่เยี่ยนไม่เคยพบเจอที่เช่นนี้เลย กระทั่งตัวนางเองก็ยังไม่เคยประสบมาก่อนเช่นกัน

นางไต่ถามชายสูงวัยเกี่ยวกับเรื่องภายในจวนจนพอเข้าใจคร่าวๆ ก่อนจะสั่งให้ชิวซวงส่งเขาออกจากเรือน พร้อมทั้งแวะตรวจสอบบัญชีรายชื่อบ่าวไพร่ด้วยในคราวเดียว

จากนั้นก็สั่งให้ซินลู่เตรียมกระดาษพู่กันเพื่อเขียนรายการข้าวของ เตรียมให้คนออกไปซื้อหามาในวันพรุ่ง

หลี่เยี่ยนไม่แปลกใจแม้แต่นิดเดียว แต่เดิมท่านอาหญิงของเขาดูแลตำหนักกวงอ๋องได้ดีพร้อมไม่มีที่ติอยู่แล้ว เมื่อมาถึงจวนผู้บัญชาการซึ่งเป็นดังคฤหาสน์ร้างจึงจัดการเรื่องต่างๆ ได้อย่างคล่องมือ

เบื้องหน้ามีโต๊ะไม้จันทน์หอมตัวเล็ก พื้นผิวมีแต่รอยขูดขีด แต่อายุเก่าแก่ของมันกลับยิ่งทำให้เนื้อไม้ส่งกลิ่นหอมรวยรื่น

หลี่ชีฉือคลี่กระดาษลงบนนั้น ถือพู่กันจุ่มน้ำหมึก คิดไปเขียนไป

หลานชายที่ยืนดูอยู่ข้างๆ ถามอย่างอดไม่ได้ “ท่านอาหญิงขอรับ ท่านว่าเหตุใดที่นี่ถึงได้ยากจนนัก”

มือเรียวที่ถือพู่กันชะงัก นางหวนนึกถึงประโยคที่หลัวเสี่ยวอี้แอบกระซิบกับสารถีแล้วขมวดคิ้วอย่างห้ามไม่อยู่

กระทั่งม้าเทียมรถก็ยังต้องขอยืมมาจากกองทัพ?

ชายคนนั้นล่วงเกินนางเมื่อตอนกลางวัน เลยต้องหาทางชดเชยให้นางอย่างนั้นหรือ

“อาจะไปทราบได้อย่างไรเล่า” นางส่ายหน้า

แต่สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาที่แก้ไขด้วยเงินได้ทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใด

ส่วนเรื่องอื่น…ไว้ค่อยว่ากันอีกที

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 1 .. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 11

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: