X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน แม่ทัพใหญ่ผู้นี้คือสามีข้า บทที่ 7-บทที่ 8

หน้าที่แล้ว1 of 12

บทที่ 7

อากาศหนาวเหน็บ พื้นดินกลายเป็นน้ำแข็ง แม้แต่เสียงไก่ขันยังไม่มีให้ได้ยิน

ฝูถิงตื่นนอนเวลาเดิมทุกวัน อันเป็นนิสัยที่ปฏิบัติประจำมานานหลายปี

เขายืนตรงริมหน้าต่าง เอามีดเล่มเล็กจุ่มน้ำเย็นถากปลายคาง

เข้าฤดูเหมันต์ทีไร ลมหิมะจะพัดกระโชกไปทั้งแดนเหนือ เขาจึงไม่ชอบไว้เคราเพราะเห็นว่าติดหิมะน่ารำคาญ

ระหว่างโกนหนวดพลันนึกขึ้นมาได้ว่าฮ่องเต้พระองค์ปัจจุบันเลี้ยงหนวดเคราขาวโพลน เหล่าราชบัณฑิตและขุนนางระดับสูงในราชสำนักจึงนิยมไว้หนวดเคราสั้นบ้างยาวบ้างตามไปด้วย บางทีพวกเชื้อพระวงศ์อาจชอบเช่นนั้นมากกว่า

ชายหนุ่มวางมีดเล่มเล็กลง เม้มปากเยาะตนเอง จะคิดเรื่องพวกนี้ไปไย นางชอบแบบใด ข้าก็จะยอมปล่อยให้นางจูงจมูกอย่างนั้นหรือ

ข้ารับใช้ส่งเสียงรายงานอยู่หน้าห้องว่าขุนพลหลัวมารอข้างนอกแล้ว

เขาใช้ผ้าเช็ดคางลวกๆ หยิบกระบี่คู่ใจมาห้อยเอว คว้าแส้ม้าและเดินออกไป

หิมะเกล็ดเล็กละเอียดโปรยปรายอยู่ในแสงรำไรของวันใหม่

หลัวเสี่ยวอี้นั่งอยู่บนหลังม้าในท่าโน้มตัวลงไปแนบคออาชา ท่านี้ช่วยให้ไม่หนาวเกินไปนัก และนั่งนานๆ ได้ไม่เมื่อย

พอเห็นฝูถิงเดินออกมาจากจวน เขาก็รีบนั่งตัวตรง โยนบังเหียนม้าอีกตัวไปให้

ฝูถิงรับบังเหียน เอาเท้าเหยียบโกลนปีนขึ้นหลังม้า

หลัวเสี่ยวอี้ชะโงกหน้าเข้ามาสังเกตสังกาก็ไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะดูผิดปกติตรงที่ใด แสดงว่าเรื่องที่เล่าให้ฟังอย่างตรงไปตรงมาเมื่อคืนไม่ได้ทำให้เซี่ยนจู่ผู้นั้นหนีไปอย่างนั้นหรือ

ผู้บังคับบัญชาถาม “มองอะไรของเจ้า”

หลัวเสี่ยวอี้ทำทะลึ่งทะเล้นขึ้นมาอีกครั้งด้วยการจุปาก “พี่สามดูกระปรี้กระเปร่าดีนี่นะ กลับจวนมาครานี้เหมือนไม่ได้ใช้แรงออกเหงื่อแต่อย่างใด อย่าบอกนะว่าเป็นเพราะพี่สะใภ้ของข้าสูงส่งบอบบาง ท่านเลยไม่กล้าใส่ไปเต็มที่”

ฝูถิงตวัดตามองอีกฝ่าย

หลัวเสี่ยวอี้รีบโบกมือสองข้าง “แผลท่านยังไม่หาย อย่าพูดอะไรมากเลย เดี๋ยวข้าพูดของข้าเอง”

อันที่จริงหลัวเสี่ยวอี้กลัวจะถูกแส้ม้าในมือเขาหวดเอามากกว่า

ฝูถิงยกมือปาดเกล็ดหิมะออกจากหน้า แล้วเหลือบมองเข้าไปในจวน

แววตายามนางแหงนหน้าขึ้นมองเขาตอนนั้นผุดขึ้นในมโนนึก นางทำเหมือนไม่มีอะไรทั้งสิ้น แค่เดินชดช้อยมาหาตามที่เขาเรียก

ท่าทางสำรวม รู้จักวางตัว แต่ความจริงแล้วไม่ใช่สตรีที่จะยอมถูกบังคับง่ายๆ

เขาแต่งงานกับนางแล้ว ย่อมไม่บังคับฝืนใจกัน ในเมื่อนางไม่เต็มใจ เขาก็จะไม่แตะต้อง

ชายหนุ่มดึงสายตากลับมา กระทุ้งขาเข้ากับสีข้างม้าและควบทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว

หลัวเสี่ยวอี้รีบเฆี่ยนม้าตามไปข้างหลัง “นี่! พี่สาม รอข้าด้วย!”

กระถางไฟในห้องเพิ่งจะมอด ไออุ่นยังไม่จางหาย

ระหว่างแต่งตัวให้ผู้เป็นนาย ซินลู่เล่าให้ฟังว่าท่านผู้บัญชาการออกไปกองทัพแต่เช้าตรู่

หลี่ชีฉือไม่แปลกใจแม้แต่นิดเดียว ห้องหนังสืออยู่ไม่ไกลจากห้องนี้ นางจึงได้ยินเสียงรองเท้าขี่ม้าของชายผู้นั้นกระทบพื้นเฉลียงทางเดินตั้งแต่รุ่งสางแล้ว

ซินลู่ผูกผ้าคาดเอว แล้วหยิบเสื้อคลุมกันลมเนื้อหนามาสวมให้เพื่อกันหนาว พอพิจารณาใบหน้าผู้เป็นนายอย่างถ้วนถี่แล้วก็ต้องเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “ไม่สบายหรือไม่เจ้าคะ เหตุใดปากแห้งถึงเพียงนี้”

หลี่ชีฉือผิวขาวผ่องเนียนนุ่มไร้ตำหนิราคี กลีบปากเป็นสีท้อชุ่มชื้นเปล่งปลั่ง ไม่เคยแห้งแตกเช่นนี้มาก่อน

ท่าทางเคร่งเครียดของซินลู่ทำให้หลี่ชีฉือนั่งลงส่องกระจก และพบว่าปากค่อนข้างแห้งจริงๆ

นางเม้มปากเบาๆ “ไม่มีอะไรหรอก ทางเหนืออากาศแห้งก็อย่างนี้ล่ะ”

ทว่าซินลู่ไม่เห็นด้วย เวลานี้ผู้เป็นนายของนางอยู่กับท่านผู้บัญชาการ ต้องให้ความสำคัญกับรูปโฉมยิ่งกว่าแต่ก่อนถึงจะถูก คิดแล้วนางก็รีบเดินออกไปหาสีผึ้งสำหรับช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้อีกฝ่าย

ซินลู่เพิ่งจะเดินออกไป ชิวซวงก็เข้ามาในห้องแทน นางสวมเสื้อคลุมคอกลมเยี่ยงบุรุษตามเคย

สาวใช้ผู้นี้คล่องแคล่วโผงผางกว่า หลี่ชีฉือจึงให้คอยช่วยดูแลการค้า มักจะออกไปทำงานข้างนอกอยู่เสมอ เช่นวันนี้ก็ออกไปแต่เช้าตรู่เพื่อสำรวจตลาดละแวกใกล้เคียง

“นายหญิง บ่าวได้ข่าวมาเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ” ชิวซวงเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้ามีลับลมคมใน แล้วเล่าเรื่องที่ได้ยินมาโดยละเอียด

เพิ่งจะผ่านไปไม่กี่วัน เรื่องของยงอ๋องซื่อจื่อก็กระจายไปทั่วแล้ว

เห็นว่ายงอ๋องจ่ายเงินก้อนใหญ่เพื่อไถ่ของกลับมา แล้วเฆี่ยนบุตรชายเสียปางตาย

แต่กระนั้นก็ยังไม่วายถูกชาวบ้านร้านตลาดหัวเราะเยาะหยันว่านอกจากจะเลี้ยงลูกไม่เอาไหน ยงอ๋องยังตกต่ำถึงขนาดต้องเอาเครื่องประดับพระชายาไปจำนำเลี้ยงชีพ

หลี่ชีฉือรับฟังเหมือนเป็นเรื่องขบขันสักเรื่องแล้วกล่าวยิ้มๆ “หวังว่ายงอ๋องซื่อจื่อจะจำไว้เป็นบทเรียน ต่อไปไม่เที่ยวก่อเหตุแบบไม่คิดหน้าคิดหลังอีก”

ต้องสั่งสอนให้เด็กคนนั้นได้รู้ว่าอย่าได้ล่วงเกินคนบางคนตามใจชอบ

ชิวซวงที่กำลังสะใจยิ้มรับ “จริงอย่างที่นายหญิงกล่าว เวลานี้ซื่อจื่อมาอยู่จวนผู้บัญชาการกองทัพพิทักษ์อุดร ต่อไปย่อมไม่มีใครกล้าข่มเหงรังแกง่ายๆ อีก”

แน่นอนสิ หลี่ชีฉือคิดในใจ ไม่เช่นนั้นจะลำบากลำบนดั้นด้นมาอยู่ที่นี่เพื่ออะไรเล่า

เรื่องของหลานชายนั้น มีครั้งแรกเดี๋ยวก็มีครั้งที่สองตามมา นางจำต้องมองให้ไกล

เทียบกับกวงโจวอันอุ่นสบาย แดนเหนือไม่ใช่ที่ที่ดีนักจริงๆ แต่ที่นี่มีสามีนาง อีกทั้งยังมีกำลังทหารในกองทัพภาคที่เขาควบคุมอยู่

ก็เหมือนอย่างทำการค้านั่นล่ะ สิ่งเหล่านี้…ล้วนเป็นต้นทุนทั้งสิ้น

น่าเสียดายก็แต่…สามีนางไม่สนใจไยดีนางเลยแม้แต่น้อย

พอคิดมาถึงตรงนี้ หลี่ชีฉือก็ขุ่นมัวในอารมณ์อย่างไร้สาเหตุขึ้นมาอีก

ฝูถิง…นางส่องกระจก ใช้นิ้วลูบปอยผมตรงข้างหู นึกถึงปลายคางคมสันราวกับแกะด้วยดาบของเขาพร้อมรำพึงในใจ ท่าน…ราวกับก้อนหินอย่างไรอย่างนั้น

ดวงหน้างามผินมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วบอกชิวซวงว่า “คอยดูเวลาให้ดี ประตูเมืองปิดเมื่อไรต้องมาบอกข้า”

สาวใช้รับคำทั้งที่ไม่เข้าใจ

หิมะโปรยปรายลงมาบางๆ สักพักก็หยุด

กลองลั่นสามครั้ง เป็นสัญญาณปิดประตูเมือง

ยามนี้ฝูถิงกลับมาแล้ว

หลัวเสี่ยวอี้เดินเข้าประตูจวนตามหลังมาด้วย หลังส่งม้าให้บ่าวพาไปกินหญ้าก็ถูมือที่หนาวจนแข็งเข้าหากันพลางพูดยิ้มๆ “พี่สาม ข้ารู้อยู่หรอกว่าไม่ควรมารบกวนท่านกับพี่สะใภ้ แต่ก็อยากจะเข้ามานั่งผิงไฟที่นี่สักนิดแล้วค่อยกลับ”

ถ้าถือโอกาสได้กินข้าวสักมื้อก่อนกลับด้วยก็ดี นางบอกเองนี่ว่านางจ่ายไหว

เขายอมรับว่าตนเองหน้าด้านได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ ไม่เหมือนพี่สามของเขา

ฝูถิงไม่สนใจ เพราะหลัวเสี่ยวอี้เข้านอกออกในจวนนี้จนชินแล้ว ได้แต่บอกว่า “อย่าเข้าไปถึงเรือนใหญ่อีกแล้วกัน”

เขาไม่อยากให้นางมองว่าคนสนิทของเขารุ่มร่ามไร้มารยาท

“ขอรับ ข้ารู้แล้วนี่ว่าพี่สะใภ้อยู่ที่นั่น จะยังเข้าไปอีกได้อย่างไรเล่า”

ว่ากันว่าแม้แต่ลูกหมาป่ายังรู้จักหวงอาหาร บัดนี้พี่สามของเขาก็หวงอาหารเป็นแล้วเช่นกัน หลัวเสี่ยวอี้แอบเก็บคำพูดของอีกฝ่ายมาตีความไปอีกทาง

เขาเห็นซินลู่โผล่หน้าออกมาจากประตูเรือนชั้นในอยู่ไกลๆ พอเห็นว่านางยกกระถางไฟที่ตนคิดถึงทั้งเช้าเย็นมาด้วย หลัวเสี่ยวอี้ก็ชะลอฝีเท้า แล้วเดินเข้าไปหา

ซินลู่ย่อตัวคำนับเขา จากนั้นก็กระซิบเบาๆ “นึกแล้วเชียวว่าท่านขุนพลต้องกลับมากับท่านผู้บัญชาการด้วย นายหญิงเลยเตรียมกระถางไฟไว้รอเจ้าค่ะ”

หลัวเสี่ยวอี้ประหลาดใจเป็นล้นพ้น ไม่นึกเลยว่าพี่สะใภ้เซี่ยนจู่จะอ่านใจคนเก่งถึงเพียงนี้

สวรรค์ อย่าบอกนะว่านางเป็นผู้หยั่งรู้?

 

หลี่ชีฉือที่ถูกมองเป็น ‘ผู้หยั่งรู้’ ไปแล้วกำลังยืนอยู่ตรงประตูห้องหนังสือ

นางสั่งให้ชิวซวงคอยดูโมงยาม ครั้นพอถึงเวลาก็เดินมา ลองนับๆ ดู นางยืนรออยู่ตรงนี้มาพักใหญ่แล้ว

เนื่องจากยืนรอจนเบื่อ หลังจุดไฟเสร็จ นางจึงละมือข้างหนึ่งออกจากเตาอังมือที่อุ้มไว้ไปเลื่อนดาลประตู

เลื่อนไปเลื่อนมา ประตูห้องพลันเปิดออก

นางเงยหน้า เห็นฝูถิงยืนอยู่ตรงนั้นพอดี

แผงไหล่กว้างของเขาเหมือนบังนางไว้จนมิด

ชายหนุ่มหยุดยืนไม่พูดไม่จา เอาแต่หลุบตามองนาง

หลี่ชีฉือไม่ได้คาดหวังให้เขาพูดอะไรอยู่แล้ว จะตั้งตารอให้คนเงียบขรึมกึ่งๆ เป็นใบ้ช่างพูดช่างเจรจาขึ้นมาอย่างไรได้

นางวางเตาอุ่นมือไว้บนเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ แล้วใช้นิ้วสองนิ้วดึงตะขอโลหะห้อยกระบี่ที่อยู่ตรงเอวเขา

“ที่ผ่านมาไม่เคยได้ปรนนิบัติท่านอย่างใกล้ชิด นับแต่วันนี้ไปข้าจะทำหน้าที่ภรรยาชดเชยให้ดี” นางก้มหน้านุ่มนวล ขณะบิดข้อมือเบาๆ จนได้ยินเสียงแกร๊ก

ฝูถิงคว้ากระบี่ที่กำลังจะร่วงตกพื้นเอาไว้

กระบี่เล่มนี้หนักเกินไป หากเขารับไว้ไม่ทัน นางย่อมถือไม่ไหว

ดวงตาคมตวัดผ่านสีหน้านอบน้อมของหญิงสาว ก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้าห้อง

เขาไม่เจนจัดธรรมเนียมของพวกชนชั้นสูง ทั้งยังไม่ใส่ใจนัก

ชายหนุ่มวางกระบี่ลงบนโต๊ะ แล้วหันกลับมามองฝ่ายตรงข้าม

หลี่ชีฉือรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังใช้สายตาค้นหาว่าถ้อยคำที่นางเอ่ยออกไปมาจากใจจริงหรือเสแสร้ง

ตามธรรมเนียมแล้ว เช้าวันที่สองหลังแต่งงานกัน นางควรปรนนิบัติดูแลเขาลุกจากที่นอนมาแต่งตัว พอกลับถึงจวนก็ช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ ทว่าเป็นสามีภรรยากันแต่ในนามมานาน นางเพิ่งเคยทำหน้าที่ตนเองก็วันนี้

หญิงสาวก้าวช้าๆ เข้าไปอยู่ตรงหน้าเขา กวาดตามองไปทั่วร่างสูงใหญ่ แล้วเอื้อมมือไปหาแขนเสื้อ

เครื่องแบบทหารจะมีสายรัดชายแขนเสื้อไว้อย่างแน่นหนา เขาเป็นถึงผู้บัญชาการ แต่กลับรัดชายแขนเสื้อด้วยเชือกผ้าชนิดธรรมดาสามัญที่สุด พันเชือกทบไปทบมาสิบกว่ารอบ นางค่อยๆ แก้ออกทีละรอบจนหมด จากนั้นก็จัดการกับชายแขนเสื้ออีกข้าง

ฝูถิงจ้องมองนางตลอดเวลาระหว่างนั้น

มวยผมหญิงสาวขดเกลียวซ้อนกันเหมือนก้อนเมฆ ดำขลับเป็นเลื่อมมันขับผิวหน้าผากเกลี้ยงเกลา

เขากัดฟันคิดกับตนเอง…หัวใจของนางก็เป็นเกลียวซับซ้อนวกวนไม่ต่างจากเรือนผมใช่หรือไม่ เมื่อคืนยังปฏิเสธเขาอยู่เลยแท้ๆ ตอนนี้กลับมาทำเอาใจ

สายตาของเขาเหลือบไปเห็นกลีบปากแห้งผากคู่นั้นโดยบังเอิญ

อากาศแดนเหนือคงโหดร้ายทารุณเกินไปสำหรับนางจริงๆ

หลี่ชีฉือคลายเชือกรัดชายแขนเสื้อทั้งสองข้างจนเสร็จ ก็เริ่มถอดเข็มขัดเขา

เข็มขัดเส้นนี้ทำจากหนัง แต่ไม่รู้ว่าบุอะไรไว้ข้างในถึงได้แข็งนัก หัวเข็มขัดกอดกันอย่างแน่นหนา ขนาดออกแรงแล้วก็ยังแกะไม่ออก

ฝูถิงเห็นหัวคิ้วนางมุ่นเข้าหากันน้อยๆ ตาจ้องหัวเข็มขัดเขม็ง ก็เอาลิ้นดุนแก้มยกยิ้มตรงมุมปากทีหนึ่ง

จากนั้นเขาก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นจับมือนางออกแรงกระตุก เท่านี้หัวเข็มขัดก็หลุดออกจากกัน

หลี่ชีฉือช้อนตาขึ้นมอง เขาเอามือออกแล้วถูปลายนิ้วตนเอง ก้าวเท้าออกไปก้าวหนึ่ง แล้วดึงเข็มขัดออกจากเอวพลางว่า “ข้าทำเองได้”

เครื่องแบบทหารเช่นนี้เป็นชุดสำหรับรบทัพจับศึก เน้นความรัดกุมแน่นหนาเป็นสำคัญ จะรุ่มร่ามไม่ได้ นางแกะไม่ออกก็เป็นเรื่องธรรมดา

เขาถอดเสื้อผ้าอย่างคล่องแคล่วเมื่อพูดจบ เปลื้องเครื่องแบบทหารสองชั้นนอกสุดไปวางไว้อีกทาง แล้วหยิบชุดลำลองบนราวหน้าแผนที่แขวนผนังมาสวม

ถ้าพูดแล้วเอ่ยวาจาไม่น่าฟังเช่นนี้ สู้ไม่พูดเสียดีกว่า

หลี่ชีฉือนึกค่อนอยู่ในใจ หากแต่ก็เอื้อมมือไปอีกครั้งเพื่อผูกผ้าคาดเอวให้ “ธรรมเนียมจะละเว้นไม่ได้ ท่านไม่สนใจ แต่ข้าต้องทำให้ครบ”

ว่าแล้วนางก็ก้มหน้าผูกเงื่อนอย่างพิถีพิถัน

ฝูถิงไม่ว่ากระไร ทว่าถูปลายนิ้วอีกสองครั้ง มือนางนุ่มละมุนดุจหิมะแดนเหนือ เพียงแต่ไม่เย็นเช่นนั้น

ชิวซวงยกกระถางไฟเข้ามาวางให้ ตอนปิดประตูห้องก็แอบมองทีหนึ่ง

ท่านผู้บัญชาการองอาจหล่อเหลา ผู้เป็นนายของนางงดงามสะคราญโฉม ยืนเคียงคู่เช่นนี้ยิ่งมองก็ยิ่งสมกัน

มิเสียแรงที่ผู้เป็นนายอุตส่าห์มารอปรนนิบัติท่านผู้บัญชาการ เอาใจใกล้ชิดถึงเพียงนี้ บุรุษใดเล่าจะต้านทานได้

มองอยู่ดีๆ ชิวซวงก็หน้าถอดสี หวีดร้องออกมา “นายหญิง!”

หลี่ชีฉือผูกผ้าคาดเอว ทันใดนั้นของเหลวอุ่นๆ พลันหยดใส่หลังมือ พอเงยหน้าขึ้นก็รู้สึกร้อนวาบตรงปลายจมูก

นางผงะ แล้วยกมือขึ้นจับ เห็นเลือดอุ่นๆ อาบอยู่บนปลายนิ้ว

ชิวซวงวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหา

“อย่าขยับ!” ฝูถิงโพล่งขึ้น

สาวใช้ชะงัก แล้วดึงมือที่จะยื่นไปประคองผู้เป็นนายกลับมา

เขาก้มลงช้อนร่างหลี่ชีฉือขึ้นมาไว้ในวงแขน ก่อนจะถีบประตูห้องให้เปิดออก “เสี่ยวอี้!”

หลัวเสี่ยวอี้กำลังผิงไฟอยู่ในเรือนชั้นนอก ได้ยินเสียงพี่สามตะโกนเรียกเหมือนเกิดเหตุขึ้นก็รีบวิ่งมาหา

ฝูถิงเดินย้อนกลับเข้ามาในห้อง อุ้มหลี่ชีฉือไปนั่งด้วยกันที่ตั่งแล้วโอบนางไว้ ให้นางก้มตัวไปข้างหน้าน้อยๆ พลางใช้มือกดหน้าผากมนและร้องสั่งว่า “ไปต้มยา!”

หลัวเสี่ยวอี้แค่กวาดตามองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น จึงรีบวิ่งออกไปจัดการโดยไม่เสียเวลาตอบผู้บังคับบัญชา

อากาศแดนเหนือไม่เหมือนที่อื่น ยิ่งกลางฤดูหนาวเช่นนี้จะยิ่งแห้งกว่าที่ใดทั้งนั้น

ในกองทัพมักมีทหารใหม่จากถิ่นอื่นเพิ่งเข้ามาอยู่ในค่ายได้ไม่นานก็เลือดกำเดาไหลโกรก บางรายอาการหนักถึงขั้นหน้ามืดหมดสติไปยังมี

ดังนั้นฝูถิงและหลัวเสี่ยวอี้ที่ทำศึกมานานจึงคุ้นเคยกับวิธีแก้ปัญหานี้เป็นอย่างดี

หากจัดการช้าเกินไปก็จะยุ่งยากหน่อย แต่ถ้าแก้ไขทันท่วงที แค่ใช้สมุนไพรท้องถิ่นรักษาก็หายแล้ว

หลี่ชีฉือนั่งพิงร่างฝูถิง เลือดกำเดายังไม่หยุด ดูท่าเหมือนจะไหลต่อไปอีกสักพัก

ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ เมื่อเช้าตอนที่ซินลู่ทักว่าปากแห้ง นางไม่ได้สนใจ ไม่นึกเลยว่าจะกลายเป็นเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ นางไม่อยากให้ฝูถิงเห็นตนเองในสภาพไม่น่ามอง จึงยกมือขึ้นผลักเขาออกห่าง

เขาจับแขนนางไว้โดยแรง “อยู่นิ่งๆ”

ข้าเป็นทหารใต้บังคับบัญชาท่านหรือไร นางคิดฉุนๆ

ชายหนุ่มสั่ง “ไปเอาผ้าชุบน้ำเย็นมา”

ชิวซวงกำลังลนลานทำอะไรไม่ถูกอยู่พอดี ได้ยินดังนั้นก็รีบวิ่งออกไป

ยาสมุนไพรต้มให้สุกสักครึ่งหนึ่งก็ใช้ได้แล้ว ดังนั้นหลัวเสี่ยวอี้จึงยกชามยากลับเข้ามาภายในเวลาไม่นาน

ซินลู่รีบรุดมาดูเมื่อรู้เรื่อง แล้วก็ให้ตกใจจนหน้าซีดเมื่อเห็นผู้เป็นนายเสื้อผ้าเปื้อนเลือด จมูกยังมีเลือดไหลโกรก

ฝูถิงเอื้อมมือไปรับชามยามาจ่อปากหลี่ชีฉือ

นางขมวดคิ้ว แค่ได้กลิ่นยาฉุนเฉียวแสบจมูกก็รู้แล้วว่าต้องขมอย่างไร้คำบรรยาย

ซินลู่ปราดเข้ามารับชามยา “บ่าวจะเอาไปเติมหญ้าหวานให้นะเจ้าคะ”

“ห้ามเติม” ฝูถิงบอก

สาวใช้ผงะ ก่อนจะถอยหลังกลับไป

ฝูถิงหลุบตามองหญิงสาวในวงแขนพลางสั่งคนอื่นๆ “ออกไป”

หลัวเสี่ยวอี้ออกไปแต่แรกแล้วเพราะรู้ว่ามองมากจะเสียมารยาท

ซินลู่มองคนสั่งอย่างหวาดๆ ก่อนจะเบนสายตาไปทางผู้เป็นนายที่มีท่าทางขุ่นเคือง แล้วเดินออกไปช้าๆ

เมื่อในห้องไม่มีคนอื่นแล้ว เขาก็ยกชามยาจ่อปากนาง

หลี่ชีฉือจ้องอีกฝ่ายเขม็ง จมูกของเขาโด่งตรงเป็นสัน ริมฝีปากหุบเข้าหากันสนิท เห็นรอยแผลวอมแวมตรงข้างคอ

เขาเองก็กำลังจ้องตานางอย่างไม่ลดละเช่นกัน จากนั้นมือใหญ่ข้างหนึ่งก็เอื้อมมาหาปลายคางมน บีบปากให้อ้าออก มืออีกข้างกระดกขึ้น

เมื่อยาต้มเข้าไปในปาก มือข้างนั้นก็ลูบไปตามลำคอระหง ให้ยาไหลลงคอ

หลี่ชีฉือขมวดคิ้ว ยานี้ขมจนสุดพรรณนา นางพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว

เนิ่นนานเสียงของชายหนุ่มก็ดังเข้าหู “ทีนี้รู้หรือยังว่าแดนเหนือร้ายกาจเพียงไร”

รู้แล้ว…นางนั่งตัวอ่อนระทวยซบอกเขา โต้กลับในใจ ความร้ายกาจของบุรุษเช่นท่าน ข้าก็รู้แล้วเช่นกัน

บทที่ 8

หลี่เยี่ยนเพิ่งจะเลิกเรียนก็ได้ฟังจากหวังหมัวมัวว่าเกิดเหตุขึ้นที่เรือนชั้นใน ดูเหมือนท่านอาหญิงของเขาจะมีเรื่อง

เด็กชายรีบวางหนังสือวิ่งมาดูด้วยความตกใจ

พอมาถึงกลางทาง เขาเจอหลัวเสี่ยวอี้ยืนอยู่ที่เฉลียง กำลังมองไปทางห้องหนังสือเช่นกัน เห็นดังนั้นความกังวลในใจของเขายิ่งเพิ่มพูน จึงเร่งฝีเท้าวิ่งไปให้เร็วกว่าเดิม

“ท่านอาหญิง!” เขาร้องเรียกอย่างร้อนรน แต่พอเข้าไปในห้อง น้ำเสียงก็พลันสะดุดหาย

ท่านอาหญิงนอนอยู่บนตั่ง ท่าทางปลอดภัยดี มีผ้าโปะหน้าผาก ซินลู่กับชิวซวงยืนเฝ้าอยู่อีกทางอย่างใส่ใจ ข้างตั่งมีร่างสูงใหญ่ของชายผู้หนึ่งยืนอยู่อีกคน

หลี่เยี่ยนผงะไปเพียงเล็กน้อยก็จำได้ ตอนอยู่ในโรงเตี๊ยม ชายผู้นี้ถือกระบี่เข้าไปหาท่านอาหญิงด้านหลังฉากบังตา ก่อนเดินกลับออกไปยังหยุดสายตามองเขาโดยเฉพาะครู่หนึ่ง

ซื่อจื่อแห่งตำหนักกวงอ๋องย่อมรู้ธรรมเนียมมารยาทดี เขาถลกชายเสื้อคลุมทรุดตัวลงคุกเข่าคำนับ “ท่านอาเขย”

ฝูถิงอดไม่ได้ที่จะมองเด็กชายนานเป็นพิเศษ ด้วยเป็นครั้งแรกที่ได้ยินคำเรียกขานนี้ จากนั้นก็มองไปยังหลี่ชีฉือ

เขาออกจะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง แต่เพราะสตรีที่อยู่บนตั่ง เด็กผู้นี้จึงกลายเป็นหลานชายเขาไปด้วย

“อืม” เขาตอบรับพลางยกมือควานอก ตั้งใจจะมอบของขวัญแรกพบให้สักชิ้น ทว่าตอนนี้เขาเปลี่ยนชุดแล้ว ในอกเสื้อไม่มีอะไรสักอย่าง

ในเครื่องแบบทหารอาจมีบ้าง แต่ฝ่ายตรงข้ามเป็นชินอ๋องซื่อจื่อ ของที่มีอาจไม่ดีพอที่จะมอบให้

สุดท้ายเขาจึงดึงมือออกมาเฉยๆ อย่างนั้น

ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนถูกมอง พอหันไปก็ประสานสายตาเข้ากับหลี่ชีฉือ

แววตานางวาบไหวเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ พลิกตัวหันหลังให้

รสขมจัดยังติดอยู่ตรงปลายลิ้น ที่จริงหลี่ชีฉือยังรู้สึกไม่สบายตัวอยู่มาก แต่พอหันหลังให้เขา รอยยิ้มกลับผุดขึ้นตรงมุมปาก ด้วยเห็นกิริยาที่ชายหนุ่มขยับมือควานอกตั้งแต่ต้นทีเดียว

ต่อให้บุรุษผู้นี้เก่งกาจสามารถเพียงไร ก็มีอยู่อย่างหนึ่งที่สู้นางไม่ได้

“เรียนถามท่านผู้บัญชาการ ยังมีสิ่งใดต้องคอยระวังอีกหรือไม่เจ้าคะ” ชิวซวงที่อยู่อีกทางถามขึ้น

ฝูถิงนิ่งคิด เมื่อครู่เขาให้นางปล่อยเลือดข้นไหลออกมาและกินยาเรียบร้อยแล้ว ไม่น่าจะมีอะไรอีก

“นอนพักก็พอแล้ว” สายตาคมอ้อยอิ่งอยู่บนแผ่นหลังหลี่ชีฉือครู่หนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้อง

หลี่เยี่ยนมองตามจนชายหนุ่มลับตัวไป ถึงค่อยลุกขึ้นจากพื้น

พอถามซินลู่กับชิวซวงก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าท่านผู้บัญชาการดูแลแก้ไขอาการท่านอาหญิงแล้ว ในเมื่อท่านผู้บัญชาการบอกว่าไม่มีอะไรก็แสดงว่าไม่มีอะไร เด็กชายได้ยินดังนั้นถึงค่อยโล่งอก

เขาเข้าไปเกาะขอบเตียง ทำอึกๆ อักๆ อยู่นานกว่าจะเอ่ยออกมา “ท่านอาหญิง ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด หลานถึงรู้สึกว่าท่านอาเขยไม่อยากคุยกับหลานเอาเสียเลย เขารังเกียจที่หลานตามมาอยู่ที่นี่ด้วยหรือไม่ขอรับ”

ตั้งแต่ต้นจนจบเอ่ยว่า ‘อืม’ แค่คำเดียว ราวกับไม่มีแรงจะพูดได้ยืดยาวกว่านั้น

แต่ก่อนหลี่เยี่ยนถูกรังแกอยู่บ่อยครั้งจนกลายเป็นคนอ่อนไหวง่าย ยิ่งเมื่อรู้ว่ายามนี้สถานการณ์แดนเหนือไม่สู้ดี ก็ยิ่งอดไม่ได้ที่จะคิดมากว่าตนเองอาจกลายเป็นภาระของที่นี่

ผู้เป็นอาตอบเสียงแผ่วเพราะยังไม่หายสนิท “เขาเป็นของเขาเช่นนี้ เจ้าไม่ต้องใส่ใจหรอก”

หลี่เยี่ยนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “หลานแค่กังวลว่าเขาจะไม่ชอบหลานน่ะขอรับ”

“ไม่ต้องคิดมาก” หลี่ชีฉือยิ้มบางๆ พลางยกมือขึ้นจับผ้าบนหน้าผาก แล้วพูดต่อในใจ…ต่อให้ไม่ชอบแล้วอย่างไร ข้าจะทำให้เขาชอบให้ได้

 

หลัวเสี่ยวอี้ที่แกร่วรออยู่ตรงเฉลียงเห็นฝูถิงเดินมาทางนี้ได้แต่ไกล เสื้อผ้ายังเปื้อนหยดเลือดเล็กน้อย เห็นแล้วนึกถึงท่าทางเฉียบขาดฉับไวตอนที่เจ้าตัวช่วยหญิงสาว

“พี่สามกอดเสียแน่นเชียวนะ ข้าว่าน่าจะไม่อยากปล่อยมือเลยกระมัง สามีภรรยาร้างไกลหวานชื่นยิ่งกว่าคู่แต่งงานใหม่ กอดเท่าไรก็ไม่เต็มอิ่มใช่หรือไม่” เขากระเซ้าอย่างอดปากไม่ได้

ฝูถิงรู้อยู่แล้วว่าฝ่ายตรงข้ามจะต้องทะลึ่งทะเล้นขึ้นมาอีก เลยเงื้อเท้าถีบเข้าที่น่องไปทีหนึ่ง

ก็นั่นคือคนที่เขาแต่งงานด้วย กอดแล้วจะอย่างไรกัน

หลัวเสี่ยวอี้แยกเขี้ยวสูดปากเอามือกุมน่องกระโดดเหยงๆ สองที

ฝูถิงเอื้อมมือออกไปคว้าหมับเข้าที่ด้านหลังคอเสื้ออีกฝ่าย มืออีกข้างสอดเข้าไปในอกเสื้อ ล้วงถุงสุราออกมา

ฤดูเหมันต์หนาวจัด พวกเขาไม่ใช่คนขี้สุรา แต่ต้องพกสุราร้อนแรงไว้กินให้ตัวอุ่นจนเป็นนิสัย

หลัวเสี่ยวอี้ปล่อยมือจากหน้าแข้งยืนเต็มสองเท้าพลางงึมงำ “ไฉนดื่มสุราเสียล่ะนี่”

ฝูถิงดึงฝาจุกถุงหนัง เทสุราใส่ปากอึกหนึ่งแล้วโยนถุงคืนให้

ฟ้ามืดนานแล้ว โคมไฟที่แขวนไว้ตามเฉลียงแกว่งไกวตามสายลมแรง ร่างกายถูกพัดเสียเย็นเฉียบจนไร้ความรู้สึก

เขายกมือข้างหนึ่งลูบคอ ลูกกระเดือกกระเพื่อมไหวเมื่อกลืนสุรา

หลัวเสี่ยวอี้รับถุงสุรากลับมา แล้วเพิ่งสังเกตเห็นว่าสีหน้าอีกฝ่ายไม่สู้ดี พอชะโงกเข้าไปเพ่งมองใกล้ๆ ก็เบิกตากว้าง “พี่สาม! แผลท่าน”

ฝูถิงดึงมือออก เห็นเลือดติดมาจนชุ่ม เขาขมวดคิ้วแล้วเอามือป้ายขา “ไม่เป็นไร”

ปากแผลปริเสียแล้ว ไม่รู้ว่าถูกกระเทือนตอนอุ้มหญิงสาวหรือตอนตะโกนเรียกหลัวเสี่ยวอี้กันแน่

ความจริงเขาเริ่มรู้สึกนิดๆ ตั้งแต่ตอนที่เดินออกจากห้องเมื่อครู่

หลัวเสี่ยวอี้ทำท่ายกมือปาดคอตนเอง “ตะขอนั่นแทบเกี่ยวทะลุคอหอยอยู่รอมร่อ ยังจะบอกว่าไม่เป็นไร”

พูดแล้วก็นึกถึงช่วงที่ไล่ล่าพวกสายลับทูเจวี๋ยอยู่หลายวัน

กองบัญชาการฮั่นไห่มีการป้องกันอย่างเข้มงวดแน่นหนามาโดยตลอด สายลับพวกนั้นถูกจับได้คาหนังคาเขาแล้วหนีไปอย่างรวดเร็ว ความจริงงานนี้อยู่ในความรับผิดชอบของเขาซึ่งเป็นขุนพล นึกไม่ถึงว่าพี่สามจะนำกององครักษ์ส่วนตัวไปไล่ล่าด้วยตนเอง

ตอนแรกทุกคนนึกว่าอีกฝ่ายเป็นบุรุษทั้งหมด ระหว่างประมือกันหลัวเสี่ยวอี้จึงไม่ทันระวังสตรี ยังคิดไปว่านางเป็นหญิงชาวบ้านที่หนีเปิดเปิงด้วยความเสียขวัญ จนกระทั่งแม่เสือชาวทูเจวี๋ยผู้นั้นกระโจนเข้าใส่ เกือบใช้ตะขอเกี่ยวหน้าเขาอยู่รอมร่อ

โชคดีที่ฝูถิงเข้ามาบังไว้ให้ ตะขอแหลมคมนั้นจึงเกี่ยวเข้าที่คอ หวุดหวิดจะเฉือนทะลุใต้กราม ส่วนพวกมันก็สบโอกาสหนีไปได้

ตอนนี้มองแผลไม่ค่อยเห็นแล้ว ช่วงวันแรกๆ เจ้าตัวพูดไม่ได้แม้แต่คำเดียว จะกินจะดื่มลำบากไปหมดทุกอย่าง

หากไม่เพราะเหตุนี้ ตอนเข้าค้นโรงเตี๊ยมคงไม่บุกเข้าไปค้นถึงห้องพักชั้นในที่มีแต่สตรีหรอก

หลัวเสี่ยวอี้หวนคิดถึงเหตุการณ์ตอนนั้น พี่สามเข้าไปด้านหลังฉากบังตาอยู่นานจนเขาคิดว่าจับสายลับได้จริงแล้วเสียอีก

ถ้าพี่สามไม่ยกมือปรามไว้อย่างทันท่วงที ทุกคนคงชักดาบบุกตามเข้าไปแล้ว

ใครเลยจะคาดคิดว่าคนที่อยู่หลังฉากบังตาไม่ใช่สายลับ แต่เป็นภรรยาของอีกฝ่าย

เขาชะโงกหน้าเข้าไปดูแผลเลือดอาบบนคอฝูถิงใกล้ขึ้นอีกนิดแล้วขมวดคิ้ว “พี่สาม ข้าว่าเจียดเงินสักก้อนไปซื้อยาชั้นดีที่ว่านั่นดีกว่า ท่านเป็นถึงผู้บัญชาการนะ จะปล่อยให้มีแผลเรื้อรังต่อไปได้อย่างไร”

พวกเขาหาหมอมารักษาแต่แรกแล้ว แต่หมอบอกว่าถ้าอยากหายเร็วต้องใช้ตัวยาหายากสองสามชนิด

ยาแพงๆ มีแค่ตามเมืองเฟื่องฟู อย่าว่าแต่ค่ายาเลย แค่ค่าขนส่งมาที่แดนเหนือก็ต้องใช้เงินไม่น้อยแล้ว

พี่สามของเขามีเงินเท่าไรก็ถมใส่กองทัพหมด ไม่ยี่หระกับอาการบาดเจ็บของตนเอง ใช้แค่ยารักษาบาดแผลทั่วๆ ไป ผ่านไปไม่กี่วันก็กลับมาดื่มสุรากินเนื้อตามปกติ

หากเขาไม่คอยจับตาดูไม่ให้เจ้าตัวพูดหรือขยับมาก น่ากลัวว่าอาการคงยิ่งร้ายแรงหนัก

ทว่า…ตอนนี้ปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว

ฝูถิงใช้มือกดแผลเอาไว้เพราะสัมผัสได้ว่าเลือดยังไม่หยุดไหล ได้ยินดังนั้นก็ตวัดตามองฝ่ายตรงข้าม

หลัวเสี่ยวอี้ล้วงตราประทับของเขาออกจากอกเสื้อ แล้วพูดอย่างตัดสินใจเด็ดขาด “พี่สะใภ้ไม่รับเงินจากท่าน ถ้าอย่างไรเอาเงินก้อนนี้ไปซื้อยามาก่อนดีกว่า”

เขารู้นิสัยฝูถิงดี ที่จริงไม่อยากบอกเรื่องนี้ให้รู้เลย แต่ตอนนี้จะมัวพะวักพะวนไม่ได้

อีกอย่างคนเขาก็เป็นสามีภรรยากัน ไม่เห็นจะมีอะไรน่าปิดบังเสียหน่อย

คิดเอาไว้ไม่ผิด พอฝ่ายตรงข้ามเห็นตราประทับเข้าก็ทำหน้าบึ้ง “เจ้าไม่ได้ให้นางหรือ”

หลัวเสี่ยวอี้รีบอธิบาย “พี่สะใภ้มีเงิน ไม่คิดเล็กคิดน้อยหรอก”

“นางไม่คิดเล็กคิดน้อยก็ใช้เงินนางอย่างไร้ยางอายได้หรือ” ฝูถิงเอื้อมมือไปแย่งตราประทับมา

หลัวเสี่ยวอี้ลูบจมูก ไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่แอะเดียว

 

ห้องหนังสือจุดตะเกียงเพิ่มอีกสองดวง

ถึงอย่างไรหลี่เยี่ยนก็เป็นเด็กหัวอ่อนว่าง่าย หลี่ชีฉือปลอบโยนอยู่สองสามคำก็ยอมกลับเรือนตนเองไป

ซินลู่กับชิวซวงยังไม่กล้าให้ผู้เป็นนายเคลื่อนไหวมากนัก เลยไปหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้นางเปลี่ยนในห้องนี้

หลี่ชีฉือมองพวกนางหอบเสื้อผ้าเปื้อนเลือดออกไป ชุดนั้นยับยู่ยี่จนดูไม่ได้เพราะโดนทับจนยับตอนที่ชายผู้นั้นกอดนางไว้ในวงแขนแน่น

นางเอนตัวพิงตั่ง ในมือถือถ้วยชาที่เพิ่งต้มใหม่ร้อนๆ ยกขึ้นจิบเป็นระยะ

ในที่สุดรสขมของยาที่ถูกฝูถิงจับกรอกปากก็ถูกล้างให้หมดไปได้เสียที

นางรู้สึกว่าตนเองดีขึ้นมากแล้วจึงคิดจะกลับเรือน แต่มีคนเดินเข้ามาจากข้างนอกเสียก่อน

หลี่ชีฉือเงยหน้าขึ้นมอง เห็นฝูถิงก้าวเข้ามาในห้อง ท่อนขาเรียวยาวแข็งแรง ช่วงเอวสอบกระชับ ทอดเงาดำยาวเหยียดใต้แสงตะเกียง

หลัวเสี่ยวอี้ตามหลังมาติดๆ ด้วยฝีเท้าเร่งร้อน ขาข้างหนึ่งก้าวเข้ามาข้างในแล้ว แต่รีบเอามือเกาะขอบประตูยั้งตนเองไว้ก่อน จากนั้นก็ชะโงกหน้าเข้ามามอง แล้วหดคอกลับออกไปเงียบๆ

นางเห็นเข้าอย่างจัง ก่อนจะเงยหน้าเบนสายตามามองสามี

เขายืนตระหง่านตรงหน้า เอามือควานเอวทีหนึ่งแล้วยื่นบางอย่างมาให้ ตราประทับของเขานั่นเอง

หลี่ชีฉือเอื้อมแขนออกไปใช้สองนิ้วคีบของที่อยู่บนฝ่ามือเขาพลางถาม “ให้ข้าหรือ”

ฝ่ายตรงข้ามตอบ “ใช้ของสิ่งนี้ไปเบิกค่าใช้จ่ายของเจ้าได้”

หญิงสาวปรายตามองไปทางประตู ทีนี้นางเข้าใจแล้วว่าเหตุใดหลัวเสี่ยวอี้ถึงได้มีกิริยาแบบเมื่อครู่

เขาไม่ตระหนี่ถี่เหนียวกับสตรีที่แต่งเข้าตระกูล พอคิดเช่นนี้ก็มองเห็นข้อดีของเขาได้อย่างหนึ่ง

นางกลั้นยิ้มตรงมุมปาก “มิเท่ากับว่าข้าใช้เงินของกองทัพหรือ”

หลัวเสี่ยวอี้ที่อยู่ตรงหน้าประตูร้องบอกโดยไม่รอให้ฝูถิงตอบ “ไม่ใช่แค่เงินที่พี่สามใส่ไว้ในกองทัพอย่างเดียวนะขอรับ ยังเป็นเงินที่เขาไม่ยอมเอาออกมาใช้ทั้งที่ตนเองมีแผลบาดเจ็บด้วย!”

ฝูถิงตวาดเสียงเข้ม “ไสหัวไป!”

ไม่รู้เหตุใดหลี่ชีฉือจึงนึกถึงแผลที่เห็นบนลำคอเขาขึ้นมาทันที

นางช้อนตามอง รอยแผลที่คอเสื้อของเขาปิดไว้พาดเฉียงจากล่างขึ้นบนไปจนถึงใต้คาง ลักษณะเหมือนรอยแผลใหม่จริงๆ

ไม่รู้ว่าใต้คางเขาใช้แผ่นหนังบางๆ ปิดทับไว้อยู่ตั้งแต่เมื่อไร ตรงกลางแผ่นหนังมีรอยยาขี้ผึ้งสีดำเป็นดวงเล็กๆ

ชะรอยจะไปใส่ยามาเมื่อครู่กระมัง

นางถามเสียงดังว่า “แผลอะไร”

คนถูกถามคือหลัวเสี่ยวอี้

เสียงตอบดังมาจากข้างนอก “กลัวว่าเล่าแล้วพี่สะใภ้เซี่ยนจู่จะเสียขวัญเอาน่ะสิ เป็นแผลถูกตะขอเกี่ยวเนื้อฉีกขอรับ หวุดหวิดจะเกี่ยวเข้าไปในคอพี่สามอยู่แล้ว มีไม่กี่คนหรอกที่ทนได้!”

ฝูถิงหน้าตึง เม้มปากแน่นเป็นเส้นตรง หากไม่เพราะสตรีตรงหน้าอยู่ด้วย ป่านนี้เขาเดินออกไปถีบหลัวเสี่ยวอี้กระเด็นแล้ว

หลี่ชีฉือยกถ้วยชาจรดริมฝีปากบังลำคอโดยไม่รู้ตัว

เมื่อครู่เขาตรึงนางไว้ในอ้อมกอดเสียแรง หากหลัวเสี่ยวอี้ไม่บอก ใครเล่าจะรู้ว่าเขาเพิ่งผ่านประสบการณ์เฉียดตายเช่นนั้น แค่ฟังนางก็เจ็บแล้ว

หญิงสาวเหลือบมองสามี คิดในใจว่า ร่างกายเขาคงทำจากเหล็กกระมังถึงทนแผลใหญ่เพียงนี้ได้

“เหตุใดถึงไม่ยอมรักษา”

หลัวเสี่ยวอี้ตอบ “เพราะถ้าอยากหายเร็วต้องใช้ตัวยาหายากราคาแพงสองสามชนิดขอรับ!”

ฝูถิงกัดฟันกรอด หมายใจว่าอีกเดี๋ยวค่อยออกไปจัดการคนสนิท ก่อนจะเอ่ยเสียงเข้ม “ข้าจะจัดการเอง ให้ของเจ้าก็รับไปเถิดน่า”

ประโยคนี้พูดกับหลี่ชีฉือ

ปลายนิ้วที่คีบตราประทับไว้ทั้งเรียวยาวและขาวผ่อง เขามองซ้ำอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหลังทำท่าจะเดินออกไป ทว่าแขนเสื้อพลันรั้งแน่น เพราะถูกหลี่ชีฉือดึงชายแขนเอาไว้

“ท่านจะแยกบ้านกับข้าหรือ”

ฝูถิงนิ่งชะงัก

หลี่ชีฉือใช้มือดึงแขนเสื้อพลางจ้องเขาเขม็ง ดวงหน้าเนียนซีดขาวเพราะเพิ่งเสียเลือด ร่างละมุนเอนตัวพิงตั่งของเขา ปลายนิ้วที่ดึงแขนเสื้อไว้ก็ไม่ใคร่มีแรงนัก

เขาเหลือบมองภาพนั้นซ้ำสอง ลูกกระเดือกกระเพื่อมทีหนึ่งอย่างไร้สาเหตุ ก่อนจะตอบไปว่า “ไม่ใช่”

หลี่ชีฉือคาดคั้น “ในเมื่อไม่ได้อยากแยกบ้าน เหตุใดต้องแบ่งแยกกันถึงเพียงนี้ด้วยเล่า”

ฝูถิงไม่เอ่ยตอบ

แม้ว่าชาติกำเนิดจะต่ำต้อย แต่เขามีร่างกายเป็นทุนรอน ไม่เคยคิดจะอาศัยเส้นสายฝ่ายภรรยาไต่เต้าเพื่อความก้าวหน้า คู่สมรสครานี้หากไม่ใช่เพราะฮ่องเต้พระราชทานให้ เขาก็ไม่มีวันใฝ่สูงเรียกร้อง

หลี่ชีฉือเป็นเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์ที่เคยชินกับความสุขสบายฟุ้งเฟ้อ แม้ฐานะเขาจะไม่ร่ำรวย แต่ในเมื่อแต่งนางเข้าตระกูลมาแล้ว เขาก็จะไม่ปล่อยให้นางทนหิวทนหนาวเด็ดขาด

แล้วจะให้เขาใช้เงินนางได้อย่างไร

ชายหนุ่มทำหน้าเคร่งเครียด เดาไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่ กระนั้นหลี่ชีฉือก็ยังดึงชายแขนเสื้อเขาแน่นขึ้นอีกนิดพลางทอดถอนใจเบาๆ “ไม่นึกเลยว่าข้าเป็นถึงเซี่ยนจู่ เป็นถึงฮูหยินผู้บัญชาการ แค่อยากจะจ่ายเงินใช้สอยในบ้านยังทำไม่ได้”

ฝูถิงมองนางอย่างอดไม่อยู่ แววตาของนางเปิดเผยจริงใจ กลับกลายเป็นเหมือนเขาไร้เหตุผลไปเสียอย่างนั้น

นางพูดจามีน้ำหนัก เขาเม้มปากแน่น แย้งกลับไปไม่ออกแม้เพียงครึ่งคำ

หลี่ชีฉือพูดอย่างที่อยากพูด และคิดว่าเขาคงคัดค้านไม่ได้ จึงดึงแขนเสื้อเขาลุกขึ้นมานั่งตัวตรง ยัดตราประทับใส่ผ้าคาดเอวชายหนุ่มดังเดิมอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง

แม้จะมีเนื้อผ้าขวางกั้นอยู่สองชั้น แต่ปลายนิ้วที่สอดเข้าไปก็ยังสัมผัสได้ถึงความแข็งแน่นของกล้ามเนื้อ

นางดึงนิ้วออกเบาๆ แล้วชักมือกลับมาลูบผมข้างใบหูโดยไม่รู้ตัว

ฝูถิงจับตราประทับในผ้าคาดเอวพลางจ้องมองนางอยู่นาน จนแล้วจนรอดก็ยังไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว จึงหมุนตัวเดินออกจากห้องไป

หลัวเสี่ยวอี้ที่อยู่ข้างนอกรีบชิงหลบไปก่อน ไม่ยอมเปิดโอกาสให้เขาเล่นงาน

แต่เพียงครู่เดียวก็ย้อนกลับมาตรงหน้าประตูใหม่ เอ่ยขอบคุณหลี่ชีฉืออย่างเป็นจริงเป็นจัง “ขอบคุณพี่สะใภ้เซี่ยนจู่มากนะขอรับ ต้องพี่สะใภ้นี่ล่ะถึงจะกำราบพี่สามอยู่”

หลี่ชีฉือต่างหากที่นึกขอบคุณเขา ชายผู้นั้นปากหนักเหมือนเป็นใบ้ ไม่ยอมพูดอะไรทั้งสิ้น โชคดีที่มีคนช่างเจรจาอยู่ใกล้ตัว ทำให้นางได้รู้อะไรต่อมิอะไรไม่น้อย นางถามขึ้น “เหตุใดเจ้าถึงเรียกเขาว่าพี่สามตลอดเลยเล่า”

“ข้าติดตามท่านผู้บัญชาการมาหลายปีจนร่วมสาบานกัน เลยเรียกขานเป็นพี่เป็นน้อง”

หลี่ชีฉือคิดในใจ มิน่าถึงได้อยู่ด้วยกันไม่ห่างราวกับเงาตามตัว

จากนั้นก็ถามต่อ “แล้วพี่ใหญ่กับพี่รองเล่า”

หลัวเสี่ยวอี้หัวเราะ “พี่สะใภ้เข้าใจผิดแล้ว ไม่มีพี่ใหญ่กับพี่รองหรอกขอรับ พี่สามมีชื่อเล่นว่าซานหลางข้าเลยเรียกเขาว่าพี่สาม”

ซานหลาง หลี่ชีฉือเอ่ยนามนั้นในใจ เกิดความรู้สึกสนิทสนมใกล้ชิดขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุจึงไม่คิดต่อ

นางสงบสติอารมณ์ “ตัวยาหายากที่เขาต้องใช้มีอะไรบ้าง บอกข้ามาให้หมด”

หลัวเสี่ยวอี้โผล่หน้าเข้ามาด้วยความประหลาดใจ “พี่สะใภ้?”

“ข้าจะรักษาเขาเอง” นางเอ่ยยิ้มๆ

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 5 .. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 12

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: