X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน แม่ทัพใหญ่ผู้นี้คือสามีข้า บทที่ 9-บทที่ 10

หน้าที่แล้ว1 of 10

บทที่ 9

ท้องฟ้าหลังหิมะหยุดเป็นสีครามอร่าม ร้านสมุนไพรในเมืองเปิดขายตั้งแต่เช้าตรู่

หลงจู๊ของร้านออกมายืนตรงหน้าประตู ชะเง้อคอมองไปข้างนอกเป็นระยะ ไม่นานนักเสียงรถม้าแล่นกลุกๆ ก็ดังขึ้นข้างนอก มีคนมาถึงแล้ว

สาวใช้สองคนที่สวมเสื้อคลุมคอกลมเยี่ยงบุรุษเดินเข้าประตูมาก่อน จากนั้นก็หันไปรอรับคนที่อยู่ข้างหลังเข้ามาในร้าน

หลงจู๊ประสานมือคำนับโดยไม่รอช้า “ฮูหยินมาได้จังหวะ เตรียมของเสร็จเรียบร้อยพอดีเลยขอรับ”

หลี่ชีฉือที่สวมเสื้อคลุมกันลมเนื้อหนากับหมวกม่านแพรพยักหน้า

ชิวซวงกับซินลู่เดินตามนางเข้าไปในห้องเล็กด้านข้างที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว

นางมีกิจการใต้ชื่อตนเองมากมายก็จริง แต่การค้าสมุนไพรนั้นไม่ใคร่ได้ทำนัก เหตุผลที่ซื้อร้านนี้เอาไว้หมาดๆ ก็เพื่อความสะดวกในการรวบรวมยาเท่านั้น

วันนี้หลงจู๊ส่งข่าวมาแจ้งแต่เช้าว่าได้ของครบแล้ว ตัวยาเหล่านี้สูงค่ายิ่งยวด ต้องเชิญนางมาตรวจดูด้วยตนเอง นางถึงได้ออกจากจวนมา

ในห้องเล็ก กล่องเจ็ดชั้นเขียนสีลงลายทองใบหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ

ชิวซวงเดินเข้าไปค่อยๆ เปิดกล่องออกทีละชั้น ทุกชั้นมียาสมุนไพรที่มัดไว้อย่างดีบรรจุอยู่

สมุนไพรเหล่านี้ล้วนแต่ราคาแพงลิบลิ่ว จำต้องเก็บแยกกัน เพราะหากใส่รวมกันอาจทำให้ฤทธิ์ยาเพี้ยน

หลี่ชีฉือถอดหมวกกับเสื้อคลุมกันลมส่งไปให้ซินลู่แล้วทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะ ตรวจดูสมุนไพรทุกชนิดอย่างเบามือ ก่อนจะเอ่ยถามว่า “มีขาดไปบ้างหรือไม่”

ชิวซวงส่ายหน้า “เสาะหาสมุนไพรตามรายชื่อที่ขุนพลหลัวบอกมาไว้ที่นี่หมดแล้วเจ้าค่ะ แต่หลงจู๊เล่าว่าสมุนไพรที่ชื่อ ‘ตำรับสวรรค์’ นั้นหายากยิ่ง สุดท้ายไปได้ยินมาว่าจะพบได้เฉพาะในเครื่องราชบรรณาการที่อาณาจักรหนานเจ้าส่งเข้าวังหลวงเท่านั้น พยายามกันแทบตาย ในที่สุดก็ได้มาเสียที แต่ก็เสียเงินไปไม่น้อย”

นางติดตามรับใช้หลี่ชีฉือมานาน เห็นโลกมามาก ซ้ำยังไม่ใช่คนตระหนี่ถี่เหนียว ในเมื่อออกปากว่า ‘เสียเงินไปไม่น้อย’ ก็ย่อมหมายความว่า ‘ไม่น้อย’ จริงๆ

กระนั้นหลี่ชีฉือฟังแล้วก็ยังส่งเสียงรับรู้แค่อืมคำเดียว แค่หามาได้ก็พอแล้ว ส่วนจะใช้เงินไปเท่าไรนางไม่สนใจนัก ขอเพียงรักษาชายผู้นั้นได้ย่อมเป็นเรื่องดี

ชิวซวงแอบสบตากับซินลู่ที่อยู่ข้างๆ

ลำพังแค่เสาะหาสมุนไพรยังพอว่า แต่ยังเร่งจัดส่งทั้งกลางวันกลางคืนมายังแดนเหนือจนม้าเหนื่อยตายไปหลายตัว ทั้งของทั้งแรงงานคน ทุกอย่างล้วนมีค่าใช้จ่ายก้อนโตทั้งสิ้น

นายหญิงช่างยอมทุ่มให้ท่านผู้บัญชาการเสียจริงๆ

เมื่อได้สมุนไพรมาครบแล้ว หลี่ชีฉือจึงสั่งให้สาวใช้ทั้งสองไปช่วยหลงจู๊บดทำเป็นผ้ายา จะได้ปิดแผลสะดวก

ระหว่างนั่งรออยู่ในห้องปีก เสียงม้าร้องพลันดังขึ้นข้างนอก จากนั้นใครคนหนึ่งก็ตะโกนโหวกเหวก “เถ้าแก่ เถ้าแก่!”

เสียงนั้นคุ้นหูเป็นที่สุด

นางเดินไปที่ประตูห้อง ค่อยๆ เปิดประตูออกเป็นช่องเล็กๆ

หลัวเสี่ยวอี้กำลังก้าวเข้ามาในร้านพอดี

หญิงสาวมองเลยไปข้างหลังเขาทันที แทบจะเหมือนถูกสั่งการด้วยจิตใต้สำนึกอย่างไรอย่างนั้น

ไม่ผิดจากที่คิด ฝูถิงเดินเข้าร้านตามหลังมาด้วย

เขาแต่งเครื่องแบบทหารรัดกุม สวมปลอกหนังไว้บนท่อนแขนขวา ลักษณะเหมือนเครื่องป้องกันเวลาถืออาวุธ เห็นก็รู้ว่าจะต้องไปกองทัพมาอีกแน่

ตอนที่นางมองไป เขากำลังเหน็บแส้ม้าที่ถืออยู่ไว้ตรงบั้นเอว ร่างด้านข้างที่หันมาทางนางสูงตระหง่านกำยำ ท่อนขาที่อยู่ในรองเท้าหุ้มแข้งเหยียดตรงแข็งแรง

หลี่ชีฉือมองเหม่อ แล้วพลันคิดในใจว่าในบรรดาบุรุษทั้งหมดที่นางเคยเห็นมา เขาน่าจะเป็นคนที่องอาจหล่อเหลาที่สุดแล้ว

ฝูถิงถูกหลัวเสี่ยวอี้ลากมาทำแผลที่ร้านขายยา เนื่องจากเข้ากองทัพวันนี้ ปากแผลปริอีกแล้ว

ที่จริงเขาไม่ใส่ใจ แต่ทนรำคาญความพูดมากของคนสนิทไม่ไหว ฝ่ายนั้นหาว่ายารักษาแผลที่เขาใช้อยู่แต่เดิมไม่ได้ผล แล้วลากเขามาที่นี่เพื่อเปลี่ยนยาสูตรใหม่ประทังอาการไปก่อน

หลัวเสี่ยวอี้ยังคงส่งเสียงตะโกนเอะอะเรียกหลงจู๊

ฝูถิงยืนยกมือข้างหนึ่งลูบคอ มืออีกข้างหมายจะหยิบถุงสุรา แต่พอล้วงเข้าไปในอกเสื้อก็ชะงัก ก่อนจะดึงกลับออกมามือเปล่า

สุราร้อนแรงช่วยเบี่ยงเบนความสนใจได้ก็จริง ทว่าเขาไม่อยากพึ่งวิธีนี้จนติด

ยามนี้เองหางตาพลันสังเกตเห็นอะไรบางอย่างได้ไวๆ แสงกล้าวาบขึ้นในนัยน์ตาคม ฝูถิงเอามือกุมคอหันขวับไปมอง

ประตูห้องปีกเปิดแง้มอยู่นิดๆ ไม่มีสรรพเสียงใดดังลอดออกมาทั้งสิ้น

หลี่ชีฉือแอบมองแค่นิดเดียว ไม่นึกเลยว่าคนเป็นทหารจะมีสัญชาตญาณฉับไวถึงเพียงนี้ เกือบถูกเขาจับได้แล้ว

นางยืนขันอยู่ตรงประตู เป็นสามีภรรยากันแท้ๆ แต่กลับทำลับๆ ล่อๆ ราวกับหัวขโมยก็มิปาน

จังหวะที่หมุนตัว ประตูที่อยู่ข้างหลังพลันถูกเปิดออก หญิงสาวหันไปมอง เงาร่างสูงตระหง่านเคลื่อนเข้ามาปกคลุมนางเอาไว้ กดดันให้นางถอยหนีจนหลังชนผนัง

ฝูถิงชะโงกตัวเหนือร่างแบบบาง สายตาแข็งกร้าวเย็นชาค่อยนุ่มนวลขึ้น ขณะดึงมือออกจากด้ามกระบี่ที่ห้อยอยู่ตรงเอว “เจ้านั่นเอง”

เขาประหลาดใจเช่นกัน เพราะตอนแรกนึกว่ามีสายลับแฝงตัวเข้ามาในเมืองอีกแล้ว

หลี่ชีฉือเหลือบตามองเขาผ่านๆ แล้วขยับตัวทีหนึ่ง ก่อนจะบอกเสียงแผ่ว “ท่านทับข้าอยู่นะ”

ฝูถิงเพิ่งสังเกตว่าแผ่นหลังนางเบียดชิดผนัง ดวงหน้าสะคราญแทบแนบติดอกเขา สีแดงเรื่อฉีดซ่านอยู่ใต้ผิวหน้าขาวละเอียด

เครื่องแบบทหารตัดเย็บจากผ้าเนื้อหยาบ เขานึกกังวลขึ้นมาอย่างจริงจังว่าหากเสียดสีแก้มเนียนจะทำให้ผิวเนียนถลอกปอกเปิกเอาได้

เขาใช้นิ้วถูปาก นึกเยาะตนเองที่ระมัดระวังเกินเหตุ ชายหนุ่มยืนเต็มสองเท้าอย่างมั่นคงแล้วเอื้อมมือไปเปิดประตูออกจนสุด ส่งเสียงร้องบอกข้างนอกว่า “ไม่มีอะไร”

เสียงข้างนอกเงียบไปนานแล้ว เพราะหลัวเสี่ยวอี้ได้รับสัญญาณจากฝูถิงจึงระวังตัวเตรียมพร้อม พอเห็นว่าคนที่อยู่ในห้องปีกเป็นใครก็ค่อยเบาใจ “ที่แท้ก็พี่สะใภ้นี่เอง”

ฝูถิงนึกถึงรถม้าที่จอดอยู่หน้าร้านตอนเดินเข้ามาแล้วหันไปถาม “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”

นับตั้งแต่ที่นางเลือดกำเดาไหลคราวก่อน เขาก็ไม่ได้ไปถามไถ่อีกเลยว่านางเป็นอย่างไรบ้าง เพิ่งจะฉุกคิดตอนนี้เองว่าหรือนางจะยังไม่หาย

ภาพที่หญิงสาวดึงชายแขนเสื้อเขาไว้พลางถามว่าคิดจะแยกบ้านกับนางหรือไม่พลันผุดขึ้นมาในมโนนึก หากนางยังไม่ดีขึ้นเพราะเหตุนั้นก็เท่ากับเป็นความผิดของเขาแล้ว

พอคิดมาถึงตรงนี้ ฝูถิงก็ยกมือลูบคออย่างห้ามไม่อยู่พลางนึกบริภาษตนเอง…เป็นบุรุษเสียเปล่า จะทะเลาะกับสตรีด้วยเรื่องเงินเล็กๆ น้อยๆ ไปด้วยเหตุใด

หลี่ชีฉือเดินออกไปมองหลัวเสี่ยวอี้ตรงประตู

ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจได้ในทันที จึงพูดแทรกขึ้นมาว่า “พี่สามถามมากไปแล้ว พี่สะใภ้มาที่นี่ก็ต้องมาซื้อยาให้ท่านน่ะสิ”

ฝูถิงหันไปมองหญิงสาว

นางสบตากับหลัวเสี่ยวอี้แวบหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าได้สูตรยามาตำรับหนึ่ง เห็นว่ารักษาบาดแผลได้ชะงัดนัก แต่ไม่รู้ว่าท่านจะกล้าใช้หรือไม่”

หลัวเสี่ยวอี้ชิงตอบแทนให้เอง “พี่สามน่ะระดับใด แผ่นดินนี้ไม่มียาที่เขาไม่กล้าใช้หรอกขอรับ”

ฝูถิงตวัดตามอง วันนี้เจ้าบ้านี่พูดมากเป็นพิเศษ ตัวเขาเอง…ไม่ได้เอ่ยอะไรทั้งสิ้น

ซินลู่กับชิวซวงอุ้มกล่องใบนั้นเดินตามกันออกมา เห็นท่านผู้บัญชาการยังนึกว่าอีกฝ่ายมารับผู้เป็นนายตน จึงหันไปมองหน้ากันอย่างแปลกใจ

หลัวเสี่ยวอี้ไม่อยากซื้อยาใดๆ แล้ว “กลับกันเถิดขอรับ พี่สะใภ้ออกมาอย่างนี้คงเพลียแล้วกระมัง”

ฝูถิงเหลือบมองหลี่ชีฉือ ก่อนจะเบนสายตาไปยังกล่องใบนั้น แล้วเดินออกไปแก้เชือกผูกม้าโดยไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว

หลี่ชีฉือสั่งซินลู่ให้หยิบผ้ายาในกล่องมาชุดหนึ่ง พอหันไปเห็นว่าหลัวเสี่ยวอี้ยังมองตนเองอยู่ก็พยักหน้าให้ยิ้มๆ ความหมายคือให้เขาวางใจได้

หลัวเสี่ยวอี้ประสานมือคำนับนางทันที “พี่สะใภ้เหมือนเป็นพระโพธิสัตว์มาโปรด หากรักษาพี่สามให้หายได้จริง ท่านจะเป็นพี่สะใภ้แท้ๆ ของข้า!”

ประโยคนี้เอ่ยออกมาจากความรู้สึกที่แท้จริง เพราะพี่สามเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเขาไว้

หากตะขอเหล็กในตอนนั้นเกี่ยวกะซวกใบหน้า เขาต้องตายหรือไม่ก็พิการ ต่อให้มีตำแหน่งเป็นขุนพลก็ยากจะหาสตรีมาแต่งงานด้วย พี่สามทำให้เขารอดมาได้ เขายังรู้สึกผิดไม่หายมาจนบัดนี้

วันนั้นที่พี่สะใภ้เซี่ยนจู่บอกว่าจะรักษาพี่สามให้หาย เขาจึงมองเป็นบุญคุณอันยิ่งใหญ่

หลี่ชีฉือเดินออกไปขึ้นรถม้า พอทรุดตัวลงนั่งเรียบร้อยก็เลิกม่านหน้าต่างมองออกไปข้างนอก

ฝูถิงชักม้าไปสั่งองครักษ์ส่วนตัวให้แยกย้าย จากนั้นก็กระตุกบังเหียนขี่ย้อนมาทางรถม้า แล้วหยุดลงตรงหน้าต่างรถ

ทำเช่นนี้คือรอให้นางกลับไปก่อนนั่นเอง

หลี่ชีฉือชิงเอ่ย “ขึ้นมาใส่ยาก่อนแล้วค่อยเข้ากองทัพเถิด”

ฝูถิงมองหลัวเสี่ยวอี้ที่รออยู่อีกทาง เขาไม่มีอะไรต้องพูดมาก ก็แค่ใส่ยา ไม่เห็นจะน่ากลัวตรงที่ใด อย่างไรเสียก็คงไม่ถึงขั้นลองยาผิดขนานจนมีอันเป็นไปหรอกกระมัง

ฝูถิงตวัดตัวลงจากหลังม้า ดึงชายเสื้อคลุมมาเหน็บเอวไว้ แล้วก้าวขึ้นรถไปนั่งลงตรงหน้านาง

หลี่ชีฉือยื่นมือออกจากแขนเสื้อ กลางฝ่ามือคือยาขี้ผึ้งอ่อนนุ่มที่เพิ่งปรุงเสร็จใหม่ๆ ป้ายอยู่บนผ้าสีขาวหลายชั้น

รูปร่างที่สูงใหญ่กว่ามากนักของเขาทำให้นางปิดผ้ายาได้สะดวกขึ้น

นางโน้มตัวเข้าไปใกล้ เห็นใต้สันกรามคมไม่มีแม้แต่แผ่นหนังที่ใส่ยาปิดไว้ก่อนหน้า ก็นึกติงอยู่ในใจว่า ช่างไม่ห่วงชีวิตเอาเสียเลย มิน่าเล่าถึงได้ถูกหลัวเสี่ยวอี้ลากมาร้านยา

ส่วนรอยแผลนั้นนางไม่กล้ามองมากนัก ได้แต่ก้มหน้าก้มตาดึงผ้ายาให้เรียบตึงเสมอกัน

พอจะเอาผ้าปิดลำคอแกร่ง มืออีกข้างก็พลันเอื้อมออกไปจับมือที่เขาวางบนหัวเข่าเอาไว้

ฝูถิงเหลือบตามองหญิงสาวเมื่อสัมผัสได้ถึงความนุ่มเนียนบนหลังมือตนเอง พร้อมกับที่ลำคอเจ็บระบม

หลี่ชีฉือปิดผ้ายาลงไปแล้ว

ยาขนานนี้ทำให้เจ็บปวดเหมือนถูกเจาะกระดูก

มือขาวที่วางทาบหลังมือเขาไว้ถูกดึงกลับไป

ฝูถิงขมวดคิ้วมองหญิงสาวตรงหน้า มวยผมดำขลับที่เป็นเกลียวขดซ้อนกันบดบังดวงหน้างามไว้ เห็นแต่เพียงปลายคางเรียวเล็ก ทว่านางเอาแต่จ้องผ้ายาบนคอ ไม่ยอมมองหน้าเขา

เขาข่มความเจ็บปวด คิดในใจว่า ที่แท้เมื่อครู่ก็แค่เบี่ยงเบนความสนใจข้าเท่านั้นกระมัง

“เรียบร้อย” หลี่ชีฉือเอามือออก

ฝูถิงกดผ้ายาให้แนบลำคอเอง มองนางซ้ำอีกครั้ง ก่อนจะแหวกม่านก้าวลงจากรถม้า

ซินลู่กับชิวซวงเพิ่งจะกล้าขึ้นรถก็ตอนนี้

หลี่ชีฉือเลิกม่านหน้าต่างมองออกไปอีกครั้ง เขาดึงคอเสื้อขึ้นมาปิดผ้ายาเอาไว้ แล้วตวัดตัวขึ้นหลังม้า ควบตะบึงออกไปโดยไม่หันมามอง

นางลดม่านลง ค่อยๆ หดมือกลับเข้าไปในแขนเสื้อช้าๆ

มือของชายหนุ่มใหญ่กว่านางมากเสียจนเมื่อครู่แทบจับไว้ไม่อยู่

นางรู้สึกอยากยิ้ม แต่ก็ต้องห้ามตนเองเอาไว้เพราะสาวใช้ทั้งสองกำลังมองมา

 

ตอนแรกฝูถิงไม่ใส่ใจยาเทียบนี้นัก แต่หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วยาม เขาก็รับรู้ได้ถึงความแตกต่าง

เมื่อกลับมาถึงจวนในตอนค่ำ…

ห้องหนังสือจุดตะเกียงสว่างไสว ตั้งกระถางไฟไว้ให้ความอบอุ่น

ฝูถิงก้าวเข้าไปในห้อง ปลดกระบี่กับแส้ม้าออก มือหนึ่งดึงเข็มขัด อีกมือยกขึ้นลูบคอ ตอนนี้บาดแผลไม่มีความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น ราวกับว่าความเจ็บปวดตอนนั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

วันนี้ทั้งวันระหว่างอยู่ในกองทัพ เขาแทบไม่ได้นึกถึงแผลเลยด้วยซ้ำ

ใครคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องทางด้านหลังเขา

ฝูถิงหันไปมอง เห็นหญิงสาวยืนอยู่ตรงหน้าประตู

หลี่ชีฉือสวมกระโปรงยาวระพื้น ยืนกุมมือทอดตามองเขานิ่งจากตรงนั้น

นางดูเรียบๆ เรื่อยๆ เหมือนรอเขากลับจวนมานานแล้ว

ฝูถิงกระชับเข็มขัดที่ดึงออกมาแล้วกลับไปเกี่ยวหัวเข้าด้วยกันใหม่

หลี่ชีฉือรอเขาอยู่จริงๆ พอได้ยินเสียงในห้องนี้ก็รีบมาทันที “ข้ามาเปลี่ยนผ้ายาให้”

นางพูดพลางเดินเข้ามาดูผ้าบนคอเขา เนื้อยาซึมออกมาข้างนอก เปื้อนผ้าขาวเป็นดวง

หลี่ชีฉือก้มหน้า ยื่นมือที่ถือผ้ายาผืนใหม่ออกจากแขนเสื้อ

ทั้งคู่ยืนอยู่ด้วยกันในระยะประชิด ฝูถิงได้กลิ่นหอมรวยรินโชยออกมาจางๆ คล้ายกลิ่นดอกไม้บางอย่าง

เป็นกลิ่นหอมจากเรือนผมนาง

แดนเหนือมีดอกไม้น้อย เขาบอกจากกลิ่นไม่ได้ว่าเป็นดอกไม้ชนิดใด

“เห็นว่ายาเทียบที่สองจะแรงกว่า” นางโพล่งขึ้น

ฝูถิงดึงผ้ายาบนลำคอออกด้วยตนเอง “ไม่เป็นไร”

เขาทนพิษบาดแผลมาจนป่านนี้ ไม่มีอะไรที่ทนไม่ได้อีก นอกจากนั้นตอนยาเทียบแรกปิดลงบนคอก็ทรมานไม่น้อย เขาจึงเตรียมใจเอาไว้แล้ว

หลี่ชีฉือไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่ยกมือขึ้นปิดผ้ายาลงไป

ชายหนุ่มเกร็งไปทั้งตัวพร้อมกัดฟันแน่น นางไม่ได้พูดเกินจริง ยาเทียบนี้แรงกว่าเทียบแรกไม่รู้กี่เท่า เจ็บปวดเหมือนถูกแล่เนื้อทั้งเป็นอย่างไรอย่างนั้น

เขาผินหน้าไปด้านข้าง แต่ถูกหลี่ชีฉือจับไว้แน่น “อยู่นิ่งๆ”

น้ำเสียงที่ใช้ช่างคุ้นหูยิ่งนัก ชายหนุ่มนึกออกในทันทีว่าตอนจับนางกรอกยา ตนเองก็พูดเช่นเดียวกันไม่ผิดเพี้ยน

ที่รอข้าเพื่อการนี้หรือ

ชายหนุ่มกัดฟัน ร่างในเครื่องแบบทหารเกร็งเครียด

หลี่ชีฉือ…นึกว่าเจ้าเป็นแค่หญิงเชื้อพระวงศ์ผู้หนึ่ง ทว่าผิดถนัด เจ้ามีไหวพริบเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวกว่าที่คิดไว้มากนัก

เขากัดฟันทนความเจ็บปวดราวกับถูกแล่เนื้อเถือหนัง ขณะที่มือเล็กยังกดลำคอเอาไว้

หลี่ชีฉือแหงนหน้า ไล่สายตาจากแผลขึ้นมามองหน้าเขา ปลายคางคมสันเกร็งแน่น สองตามองตรง ใบหน้าได้รูปประหนึ่งสลักเสลาด้วยดาบ

นางนึกในใจ ช่างทนเก่งเหลือเกิน ยาขนานนี้เห็นผลเร็ว แต่ได้ยินว่าทรมานยิ่งนัก กลับไม่ร้องแม้แต่คำเดียว

หลี่ชีฉือกล่าว “เดี๋ยวก็ดีขึ้น”

“เจ้าใช้ยาอะไร” ฝูถิงพลันเอ่ยถาม

ต่อเมื่อเอ่ยปากถึงได้รู้ว่าตอนแรกเขาอดทนอย่างยากลำบากเพียงใด สุ้มเสียงถึงได้แหบพร่าไปหมด

หลี่ชีฉือไม่คิดโกหก เพราะเห็นว่าถึงอย่างไรก็ปิดไม่มิด หลังจากที่ใช้ความคิดเล็กน้อย นางก็ตอบอ้อมๆ “ไม่ว่ามันจะเป็นยาชนิดใด รักษาท่านให้หายได้ย่อมเป็นยาดี”

ฝูถิงจ้องหน้านางเขม็ง แต่ดูจากท่าทางเหมือนจะเข้าใจ

ที่จริงเขาพอจะมองออกเลาๆ ตั้งแต่เห็นหลัวเสี่ยวอี้กับนางพูดจารับส่งกันดี

ทว่าตอนนี้เจ็บจนแทบทนไม่ไหว ไม่มีอารมณ์จะพูดอะไรทั้งนั้น

หลี่ชีฉือหลบตาเขาด้วยการหันกลับมามองแผล ตรวจดูว่าปิดผ้ายาสนิทหรือไม่

จากนั้นฝูถิงก็รับรู้ได้ถึงลมอ่อนที่เป่ากระทบใบหู เมื่อนางขยับปากเอ่ยเอื้อนประโยคหนึ่ง

มีบ่าวเดินเข้ามาร้องถามท่านผู้บัญชาการอยู่หน้าห้อง “จะรับข้าวเลยไหมขอรับ”

หลี่ชีฉือลดมือลง ใช้แพรพกเช็ดนิ้วสองสามที ก่อนจะหมุนตัวเยื้องย่างออกไปอย่างแช่มช้า

ฝูถิงยืนนิ่งอย่างนั้นอยู่นาน จวบจนบ่าวหน้าห้องร้องถามซ้ำอีกครั้ง ถึงค่อยก้าวเท้าออกเดิน

ทว่าสองตายังมองไปที่ประตู

เมื่อครู่หลี่ชีฉือกระซิบถามตรงริมหูเขาเบาๆ ว่า ‘หากข้ารักษาท่านจนหาย ช่วยพูดกับข้าให้มากกว่านี้ได้หรือไม่’

เขายกมือลูบคอพลางคิด ประโยคนี้ของนางมาแบบไม่ให้ตั้งตัวเอาเสียเลย

บทที่ 10

ตอนที่หลี่ชีฉือเดินกลับเรือน หลี่เยี่ยนก็นั่งอยู่ในนั้นแล้ว วันนี้เด็กชายสวมเสื้อนวมสีฟ้าอ่อน ใบหน้าขาวอมชมพูระเรื่อประหนึ่งแกะสลักขึ้นจากหยก ดูราวกับก้อนหิมะแดนเหนืออย่างไรอย่างนั้น

เขาตั้งใจมากินข้าวเป็นเพื่อนอาสาวหลังเลิกเรียน

หลี่ชีฉือเห็นหลานชายอยู่ด้วยก็ยกแขนเสื้อขึ้นป้องปาก บดบังรอยยิ้มบางๆ ที่ได้มาจากห้องหนังสือเอาไว้

ซินลู่กับชิวซวงเดินเข้ามาจัดโต๊ะอาหาร

หลี่เยี่ยนนั่งนิ่ง จนป่านนี้ก็ยังไม่เรียก ‘ท่านอาหญิง’ สักคำ เอาแต่ก้มหน้าน้อยๆ ท่าทางใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

หลี่ชีฉือสังเกตเห็นว่าหลานชายแปลกไป พอนั่งลงจึงเอ่ยถาม “มีอะไรหรือ”

ซินลู่รีบก้าวเข้ามากระซิบกระซาบเบาๆ ข้างหู

นางฟังแล้วหัวใจพลันหนักอึ้ง

ระหว่างเสาะหาสมุนไพรให้ฝูถิงครานี้ ฮ่องเต้ประกาศแต่งตั้งอ๋องสองคนพอดี ข่าวนี้มาพร้อมกับคนส่งยาจนรู้ถึงหูหลี่ชีฉือ ดังนั้นนางจึงรู้แต่แรกแล้ว

ปรากฏว่าวันนี้ซินลู่กับชิวซวงพูดคุยเรื่องดังกล่าวกันในห้อง แล้วหลี่เยี่ยนเดินมาได้ยินเข้าพอดี

ฮ่องเต้ปล่อยตำแหน่งกวงอ๋องให้ว่างเว้น เอาแต่ผัดผ่อนไม่แต่งตั้งหลี่เยี่ยนขึ้นสืบทอด แต่กลับไปประกาศแต่งตั้งคนอื่นแทน จะให้กวงอ๋องซื่อจื่ออย่างเขารู้สึกเช่นไร

หลังโต๊ะจัดเสร็จแล้ว อาหารถูกยกมาวางครบครัน หลี่ชีฉือหยิบตะเกียบขึ้นมาพลางว่า “ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอะไรอยู่ได้ กินข้าวเถิด”

หลี่เยี่ยนเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นอาแล้วทำคอตกดังเดิม สีหน้าของเขาไม่อาจเรียกได้ว่า ‘หน้านิ่วคิ้วขมวด’ เพียงแต่ติดจะเศร้าหมองเท่านั้น “หลานแค่คิดว่าท่านพ่อกับท่านอาหญิงทุ่มเทแรงกายแรงใจรักษาตำหนักกวงอ๋องไว้อย่างยากลำบาก แต่พอตกมาถึงรุ่นหลานกลับสืบทอดต่อไปไม่ได้ คิดแล้วก็ให้ละอายนัก”

หลี่ชีฉือถือตะเกียบค้าง หลานชายโตจนรู้ความแล้วว่าอะไรเป็นอะไร แน่นอนว่านางนึกสงสารเขา แต่ใบหน้ากลับคลี่ยิ้ม

ถึงอย่างไรเขาก็ยังเยาว์ด้วยวัย จึงไม่ตระหนักถึงความใจดำของโอรสสวรรค์

นับตั้งแต่ตัดสินใจมาอยู่ข้างกายชายผู้นั้นที่นี่ นางก็ไม่คาดหวังความเมตตาจากฮ่องเต้อีกต่อไปแล้ว

หากประสงค์สิ่งใด มีแต่ต้องอาศัยมือตนเองไขว่คว้ามาครองเท่านั้น

อย่างน้อยตำแหน่งกวงอ๋องก็ยังอยู่ หากมีแรงค้ำจุนจากขุนศึกฝ่ายเหนือหนุนหลัง สักวันโอกาสต้องมาถึง นางจะได้ไม่ผิดต่อคำฝากฝังก่อนตายของพี่ชาย

ขอเพียง…ได้หัวใจชายผู้นั้นมาครอง…

หลี่ชีฉือมองหลานชาย แสร้งทำหน้าเฉียบขาด “ว่าไปแล้วก็ต้องโทษซินลู่กับชิวซวงที่ปากมาก วันนี้อาเห็นจะต้องทำโทษพวกนางสักที”

สาวใช้ทั้งสองได้ยินผู้เป็นนายกล่าวเช่นนั้นก็ทิ้งตัวลงคุกเข่า เอ่ยรับอย่างพร้อมเพรียงทันที “จริงเจ้าค่ะ ต้องโทษที่พวกบ่าวปากเปราะจนทำให้ซื่อจื่อหม่นหมองในอารมณ์เช่นนี้”

หลี่เยี่ยนมีนิสัยอารีอารอบเหมือนอย่างผู้เป็นอา รู้ว่าท่านอาหญิงจงใจพูดให้ตนคลายความหดหู่ จึงรีบลุกไปประคองทั้งสองขึ้นจากพื้น

“ไม่ใช่เสียหน่อย ท่านอาหญิงอย่าตำหนิพวกนางเลยขอรับ หลานไม่คิดแล้วก็ได้” พูดจบเขาก็กลับมานั่ง หยิบตะเกียบขึ้นมาอย่างว่าง่าย

หลี่ชีฉือค่อยยอมคีบอาหารต่อ

เด็กชายกินผักไปสองคำ ผักจานนี้ใช้มีดฝานเป็นแผ่นแล้วแกะสลัก จับวางตั้งเป็นชิ้นๆ บนจาน รูปร่างเหมือนง้าวทอง เห็นแล้วอดจะนึกไปถึงชายหนุ่มผู้เป็นอาเขยไม่ได้

ไม่ทันไรหลี่เยี่ยนก็เรียกกำลังใจกลับคืนมาพลางเอ่ยว่า “ท่านอาหญิงวางใจเถิดขอรับ ต่อไปหากสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นจริงๆ หลานจะมุมานะจนได้ตำแหน่งคืนมาทีละนิดเหมือนอย่างท่านอาเขย”

หลี่ชีฉือยิ้ม “ขอเพียงเจ้ายังแซ่หลี่ก็ไม่มีวันต้องบากบั่นสร้างตัวจากมือเปล่าหรอก อีกประการหนึ่ง…”

ประโยคขาดตอนแค่นั้น ไม่ได้พูดต่อจนจบ

อันที่จริงนางตั้งใจจะพูดว่า ‘อีกประการหนึ่ง คนเก่งอย่างท่านอาเขยของเจ้านั้น นานปีถึงจะหาได้สักคน’

เป็นทหารตั้งแต่อายุน้อยๆ แล้วสร้างผลงานด้วยการออกศึกสงครามสู้รบกับศัตรู ได้เลื่อนตำแหน่งแบบก้าวกระโดดสามขั้นในปีเดียว จนถึงปัจจุบันก็มีเพียงผู้บัญชาการกองทัพพิทักษ์อุดรผู้นี้คนเดียวเท่านั้นที่ทำได้

ไม่มีใครรู้ว่าเขาต้องผ่านอะไรมาบ้างกว่าจะมีวันนี้

นางคลึงตะเกียบระหว่างปลายนิ้ว หวนนึกไปถึงใบหน้าเครียดขรึมเกร็งแน่นที่ได้เห็นในห้องหนังสือ

ความคิดเริ่มเตลิดล่องลอยอย่างไร้จุดหมาย แววตาไหวระริกโดยไม่รู้ตัว

นึกไม่ออกจริงๆ ว่าวันหนึ่งเมื่อบุรุษเช่นเขาตกอยู่ในอ้อมกอดสตรีจะเป็นเช่นไร

ฝูถิงตื่นนอนแต่เช้าตามปกติ

เขาหยิบเครื่องแบบทหารมาสวม ก่อนจะหันไปยกน้ำเย็นที่กินเหลือบนโต๊ะมาสาดใส่กระถางไฟ

เมื่อดับไออุ่นร้อนในห้องให้ลดเลือนลงแล้วก็ยกมือลูบคอ

หลังความเจ็บปวดราวกับถูกแล่เนื้อทั้งเป็นผ่านพ้น เขาก็นอนหลับสนิททั้งคืน เวลานี้กำลังเป็นเหมือนเมื่อวาน คือรอยแผลไม่มีความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น

สายลมพัดกระโชกอยู่ข้างนอก ฟังราวกับเสียงครวญคร่ำ คาดว่าหิมะน่าจะตกลงมาในไม่ช้า

เขาใช้เวลาไม่นานก็แต่งตัวเสร็จ แล้วยกแขนขึ้นจ่อปาก ใช้ฟันช่วยผูกสายรัดปลายแขนเสื้อ มือข้างที่ว่างเอื้อมไปเปิดหน้าต่าง

พอบานหน้าต่างถูกผลักออกก็เห็นหิมะบางๆ โปรยปรายอยู่ข้างนอกจริงๆ

ผืนฟ้ามัวซัวเป็นฉากหลังขับหิมะโปรยให้เห็นชัด ร่างอ้อนแอ้นของสตรีนางหนึ่งกำลังยืนพิงเสา

พอได้ยินเสียงเปิดหน้าต่าง หลี่ชีฉือก็หันมามอง ประสานสายตากับเขา แล้วขยับตัวยืนตรง นางยืนตรงนี้นานจนเมื่อย จึงพิงเสาโดยไม่รู้ตัว

“เปลี่ยนผ้ายาเถิด” หลี่ชีฉือเอ่ยอย่างไม่อ้อมค้อม เดินมาเปิดประตูก้าวเข้ามาในห้อง

ตอนแรกฝูถิงยืนอยู่ตรงริมหน้าต่าง เห็นนางเดินเข้ามาหาก็ชิงนั่งลงบนตั่งก่อน

เขาไม่ได้เอ่ยอะไรทั้งสิ้น แต่นึกในใจว่างานเช่นนี้ให้บ่าวไพร่ทำก็ได้ เหตุใดนางถึงต้องมาจัดการเองกับมือทุกครั้ง

ชายกระโปรงกระเพื่อมไหวอยู่ข้างตัวเมื่อหลี่ชีฉือนั่งลงใกล้ๆ เขา มือทั้งสองข้างยื่นออกจากชายแขนเสื้อ นอกจากผ้ายาผืนใหม่ยังมีผ้าร้อนอีกผืน

ฝูถิงลอกผ้ายาผืนเก่าบนคอออกเองเรียบร้อยแล้ว เนื้อยาบนนั้นแห้งหมดหลังจากปิดมาทั้งคืน

ผ้าร้อนถูกถือไว้นานจนเหลือไอร้อนแค่ครึ่งเดียว หลี่ชีฉือช่วยเช็ดคราบต่างๆ บริเวณรอบแผลให้จนสะอาด พอยกผ้ายาผืนใหม่ทำท่าจะปิดลงบนคอแกร่งก็ชะงักค้างไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยว่า “อาจจะยังเจ็บอยู่นะ”

นัยน์ตาฝูถิงขรึมเข้ม “ไม่เป็นไร”

นางจึงปิดผ้ายาลงไป

ท่อนแขนกำยำที่เจ้าของวางอยู่บนหัวเข่าทั้งสองข้างเกร็งเครียดขึ้นมาอย่างเตรียมพร้อม ปรากฏว่ากลับไม่เจ็บอย่างที่คาดไว้ เขาเหลือบตามองสตรีที่อยู่ตรงหน้า

หลี่ชีฉือเอ่ยถาม “ไม่เจ็บหรอกหรือ แสดงว่ายาดีกว่าที่คิดกระมัง”

ทุกคำเอ่ยเอื้อนออกมาอย่างจริงใจและไร้เดียงสายิ่ง

ฝูถิงเม้มปาก แก้มกระตุกสองที แต่ไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้น ต่อให้นางจงใจแกล้งเขาจริง เขาจะต่อล้อต่อเถียงกับนางหรือไร

แม้จะแกล้งเขาเล่น หลี่ชีฉือก็ยังไม่ลืมที่จะปิดผ้ายาให้แน่นหนา ค่อยๆ ใช้มือกดผ้าให้แนบไปกับต้นคอเขา

คนเป็นทหารต้องกรำแดดกรำฝน มือของนางจึงขาวเนียนกว่าหน้าเขามาก หญิงสาวแอบพิจารณาเสี้ยวหน้าหล่อเหลาด้านข้าง ตาเป็นตา จมูกเป็นจมูก กรามเป็นสันคมจรดใบหู ไม่ว่ามองส่วนใดก็บึกบึนคร้ามเข้มราวกับแกะขึ้นจากคมดาบ

มือเล็กเลื่อนไปหาลูกกระเดือก อ้อยอิ่งบนจุดนูนตรงนั้นอยู่ครู่หนึ่งถึงค่อยดึงกลับมา

ลูกกระเดือกกระเพื่อมไหว ฝูถิงเอามือกดผ้ายาจ้องมองนาง ก่อนจะดึงคอเสื้อขึ้นมาปิดบริเวณที่ได้แผลเอาไว้

ยามนี้เองเสียงเรียกพี่สามก็ดังขึ้นข้างนอก หลัวเสี่ยวอี้มาแล้ว

หลี่ชีฉือก้มหน้าเช็ดปลายนิ้ว ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปเหมือนอย่างที่ทำเมื่อวาน

เพิ่งจะก้าวพ้นประตูห้องก็ได้ยินเสียงกลองประโคมรัว ดังขาดๆ หายๆ อยู่ในลมหิมะ

หลัวเสี่ยวอี้เดินมาตามเฉลียงแล้ว ปากยังร้องเรียกไม่หยุด “พี่สาม เกิดเหตุด่วนขึ้นในเมือง!”

ฝูถิงลุกพรวดขึ้นยืนทันที

ตอนที่หลี่ชีฉือหันไปมอง เขากำลังคว้าแส้ม้าเดินออกจากห้อง สาวเท้าก้าวยาวๆ ไปตามเฉลียง เพียงครู่เดียวก็ลับสายตาไปอย่างรวดเร็ว

นางยังยืนอยู่ตรงริมเฉลียง เงี่ยหูฟังเสียงกลองอย่างตั้งอกตั้งใจ แล้วพบว่าไม่ใช่กลองสัญญาณแจ้งข่าวทางการศึก

ลานด้านล่างมีร่างคนวิ่งไปมา ชิวซวงเดินลิ่วๆ เข้ามาตรงหน้าแล้วโน้มตัวกระซิบริมหูนางว่าร้านค้าในแถบนี้ของนางหลายร้านถูกคนบุกรุก ข่าวนี้ส่งมาจากนอกเมือง

“หากไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ก็ส่งคนอื่นไปจัดการแทน” หลี่ชีฉือครุ่นคิดพลางสั่งว่า “หากผ่านไปสามเค่อ* ยังเป็นเช่นนี้อยู่ค่อยมาบอกข้าอีกที”

ชิวซวงเอ่ยรับคำสั่ง

หลี่ชีฉือเดินกลับเข้าห้อง ตอนแรกตั้งใจจะนอนสักงีบ เมื่อเช้านางนอนไม่อิ่มเพราะต้องรีบลุกมารอฝูถิงตื่น แต่พอได้ฟังเรื่องที่ชิวซวงรายงานก็ล้มเลิกความคิดที่จะนอน เปลี่ยนใจมาสำรวจความเรียบร้อยของเสื้อผ้าหน้าผมตนเองแทน

นางมีกิจการมากเกินกว่าจะสนใจความเสียหายหยุมหยิมแค่นี้ แต่ในเมื่อถึงขนาดทำให้ชิวซวงนำมารายงานได้ย่อมแสดงว่าต้องเป็นเรื่องด่วน

หลี่ชีฉือคาดเดาได้ถูกต้อง เพราะสามเค่อให้หลังชิวซวงก็เดินเข้ามาอีกครั้ง

“นายหญิง เกรงว่าหลงจู๊เหล่านั้นจะรับมือไม่ไหวเจ้าค่ะ เมื่อครู่ก็ได้ยินเสียงกลองแจ้งเหตุร้ายดังขึ้นในเมือง”

พอรู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเสียงกลอง นางก็ลุกขึ้นมาสวมเสื้อคลุมกันลมทันที

 

ตอนที่หลี่ชีฉือตัดสินใจออกจากจวน หิมะหยุดตกแล้ว ลมนิ่งสงบเหมาะแก่การสัญจรพอดี

นางให้ชิวซวงติดตามไปด้วยแค่คนเดียว เพราะเป็นเรื่องที่ต้องแอบจัดการเงียบๆ ไม่ให้ใครรู้

รถม้าแล่นออกจากจวนได้ไม่ทันไร ถนนหนทางก็สัญจรลำบากขึ้นเรื่อยๆ

พอใกล้จะถึงประตูเมือง รถก็ต้องจอดสนิทเพราะไม่มีช่องว่างให้แล่นได้ต่อ

หลี่ชีฉือที่นั่งบนรถได้ยินเสียงผู้คนเอะอะเซ็งแซ่ บ่งบอกว่าข้างนอกแออัดเนืองแน่นเพียงใด

สารถีปลอบม้าไม่ให้ตื่นแล้วกระโดดลงจากรถม้า เดินเบียดกลุ่มคนเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะนำข่าวกลับมาบอกชิวซวง

สาวใช้ส่งเสียงรายงานผ่านม่านหน้ารถม้า “ประตูเมืองถูกปิดแล้วเจ้าค่ะ เสียงกลองสัญญาณเมื่อครู่ดังมาจากบริเวณนี้”

ไม่รู้เพราะเหตุใดอยู่ๆ ผู้อพยพนอกเมืองถึงได้ก่อความวุ่นวายขึ้นมา มิน่าเล่าร้านรวงทั่วไปในบริเวณนี้ถึงได้รับผลกระทบกันหมด

หลี่ชีฉือนึกถึงกลุ่มผู้อพยพที่เคยเห็นนอกเมือง พวกเขาก็แค่อยากมีชีวิตรอด ไม่ใช่คนร้าย และยิ่งไม่ใช่กบฏ ตามหลักแล้วไม่ควรเป็นเช่นนี้เลย

นางหยิบหมวกม่านแพรมาสวมก่อนจะก้าวลงจากรถม้า ย่างเท้าลงบนพื้นแล้วทว่าแทบขยับต่อไม่ได้ รอบตัวเบียดเสียดยัดเยียดจนไม่มีช่องว่าง แต่เหตุวุ่นวายที่แท้จริงอยู่ข้างนอก ถึงต้องปิดประตูเมืองสกัดไว้

หลี่ชีฉือกับชิวซวงมองไปโดยรอบ เพิ่งจะลงมายืนกลางฝูงชนได้เต็มเท้าก็ได้ยินเสียงม้าควบตะบึงกึกก้องดุจฟ้าคำรนดังมาจากข้างหลัง

ผู้คนบนถนนรีบเปิดทางให้ม้าวิ่งผ่าน

นางถูกเบียดจนลงมายืนริมถนนไปด้วย พอหันไปมองผ่านฝุ่นทรายที่ฟุ้งขึ้นมาเป็นชั้นบางๆ เสียงสายฟ้าเมื่อครู่ก็มาอยู่ตรงหน้าแล้ว

ใครคนหนึ่งขี่อาชาสูงใหญ่ควบเข้ามาเร็วรี่ มีทหารม้าสองแถวตามมาข้างหลัง แต่ละนายถืออาวุธครบมือ เมื่อมาถึงประตูเมืองเขาก็รั้งบังเหียน จ้องมองประตูบานยักษ์นั่นด้วยแววตาเคร่งเครียด

คนผู้นี้คือฝูถิงนั่นเอง

ครั้งก่อนที่นางเห็นทหารม้ากองทัพพิทักษ์อุดรคือตอนที่เขารับนางเข้าจวน

กองทหารที่ได้เห็นอีกครั้งในครานี้เคลื่อนไหวแคล่วคล่องฉับไวยิ่งกว่าครั้งก่อน ท่วงท่าขึงขังพร้อมเพรียงเป็นระเบียบอย่างที่ไม่เคยพบเห็นที่ใด

หลี่ชีฉือมองบุรุษบนหลังม้าพลางใช้มือข้างหนึ่งแหวกแพรคลุมหมวกออกนิดๆ นางรู้มานานแล้วว่ากองทัพใต้อาณัติของเขามีแต่ทหารเก่งกาจแกล้วกล้าเป็นที่เลื่องลือ

ฝูถิงชักม้าให้เดินย่ำไปย่ำมา เครื่องแบบแนบกระชับไปกับเรือนร่างบึกบึนแข็งแรง มือหนึ่งถือบังเหียน มือหนึ่งวางอยู่บนเอว ขณะจ้องประตูเมืองเขม็ง

หลี่ชีฉือสังเกตเห็นว่าอาวุธที่ห้อยเอวชายหนุ่มไม่ใช่กระบี่ที่พกประจำ แต่เป็นดาบใบกว้างเท่าฝ่ามือเล่มหนึ่ง มือใหญ่ของเขากุมด้ามดาบที่ยังซ่อนอยู่ในฝัก

นางมองอยู่สักพัก ประตูเมืองก็พลันเปิดออก

ม้าตัวหนึ่งควบทะยานเข้ามา จากนั้นประตูเมืองก็ปิดลงใหม่

ผู้มาคือหลัวเสี่ยวอี้นั่นเอง เขากลับมาหลังจากที่ขี่ม้าออกไปคนเดียว

หลัวเสี่ยวอี้ขี่ม้าเข้ามาหยุดอยู่ข้างกายฝูถิง แล้วโน้มตัวไปกระซิบกระซาบสองสามคำ

ฝูถิงไม่เอ่ยอะไรทั้งสิ้น ได้แต่พยักหน้า

พริบตาต่อมาเสียงลั่นกลองเร็วรัวก็ดังขึ้นจากบนกำแพงเมืองอีกชุด

มือใหญ่ที่อยู่บนด้ามดาบกระชับแน่นขึ้นจนเส้นเลือดบนหลังมือปูดนูน

พวกชาวบ้านที่มามุงดูได้ยินเสียงกลองครานี้เห็นท่าไม่ดี ก็รีบหนีเปิดเปิงไปคนละทิศละทาง ท้องถนนสับสนอลหม่านยกใหญ่

หลัวเสี่ยวอี้กวักมือเรียกผู้ใต้บังคับบัญชาสามสี่คนชักม้าเข้าไปควบคุมสถานการณ์

ขุนพลหนุ่มตาไวนัก เหลือบไปเห็นหลี่ชีฉือทั้งที่นางยังไม่ทันได้ขยับตัว แล้วเบิกตากว้างกวาดมองนางขึ้นๆ ลงๆ

หลัวเสี่ยวอี้มองไปทางซ้ายทีทางขวาทีก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางถึงมาอยู่ตรงนี้ จะให้ร้องถามต่อหน้าฝูงชนก็ไม่ได้เสียด้วย

สุดท้ายจึงได้แต่ทำท่ากดมือลงต่ำ ขยับปากพูดโดยไม่ออกเสียงให้นางอยู่นิ่งๆ อย่าไปที่ใด จากนั้นก็รีบขี่ม้าย้อนกลับไปหาพี่สามของตน

ต่อให้หลี่ชีฉืออยากหลบก็สายเกินไปเสียแล้ว นางเอามือจับหมวกบนศีรษะ ถอยหลังเลี่ยงฝูงชนจนมาอยู่ตรงมุมกำแพง พอเงยหน้ามองไปอีกทีก็พบว่าชายหนุ่มบนหลังม้าหันมามองตนแล้ว

จากนั้นเขาก็กระตุกบังเหียนขี่ม้ามาทางนี้

หญิงสาวยืนนิ่งงัน

ฝูถิงชักม้าเข้ามาหยุดลงตรงหน้า จ้องมองนางผ่านผืนแพรคลุมหมวกพร้อมเอ่ยถาม “เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่”

เขาไม่ยักเคยได้ยินว่าชนชั้นสูงหรือเชื้อพระวงศ์ก็ชอบสอดรู้สอดเห็นอยากดูเรื่องตื่นเต้นเหมือนชาวบ้านทั่วไปเช่นกัน

หลี่ชีฉือยังไม่ทันได้พูดอะไร ชิวซวงที่ยืนอยู่ข้างรถม้าก็ร้องบอกก่อน “ท่านผู้บัญชาการโปรดอภัยด้วยเจ้าค่ะ บ่าวออกมาซื้อของแต่เช้าแล้วยังไม่กลับจวนเสียที นายหญิงเป็นห่วงจึงมาตาม เลยได้มาเจอท่านผู้บัญชาการเข้าที่นี่”

ได้ฟังดังนั้นฝูถิงก็ไม่ได้ถามอะไรอีก เพียงเอ่ยว่า “กลับไปก่อน”

หลี่ชีฉือพยักหน้า “ข้าก็กำลังจะกลับอยู่แล้ว”

ดูก็รู้ว่าวันนี้คงออกไปนอกเมืองไม่ได้ มีแต่ต้องกลับจวนเท่านั้น

ฝูถิงหันไปมองถนน ยามนี้ฝูงชนเนืองแน่น เบียดเสียดกันสับสนวุ่นวายจนฝุ่นตลบ น่ากลัวว่าหากไม่ให้หลัวเสี่ยวอี้นำกำลังพลไปคอยคุม ป่านนี้คงเกิดเหตุไปแล้ว

เสียงกลองยังดังรัวไม่หยุด เวลานี้ที่นี่ไม่ปลอดภัยอย่างยิ่ง

รถม้าของหลี่ชีฉือถูกเบียดจนไหลไปอยู่ตรงริมทาง สารถีกับชิวซวงที่เดินกลับมาติดแหง็กอยู่ตรงนั้นทั้งคู่ ได้แต่ชะเง้อคอมอง แต่เดินมาหานางไม่ได้

ขนาดหลัวเสี่ยวอี้ขี่ม้า กว่าจะเข้ามาถึงตัวได้ยังลำบากลำบนเต็มที “พี่สาม ให้พี่สะใภ้รีบกลับจวนเถิด ปะเหมาะเคราะห์ร้ายเกิดอะไรขึ้นจะแย่เอา”

ใครคนหนึ่งเซล้มจนเกือบชนหลี่ชีฉือ ฝูถิงยื่นแขนไปบังไว้ให้ ตวัดตัวลงจากหลังม้าแล้วส่งบังเหียนให้นางแทน “ขี่ม้ากลับไป”

ขี่ม้าคือวิธีที่เร็วที่สุดในยามนี้จริงๆ

หลี่ชีฉือรับบังเหียนมาถือ แต่กลับยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเขา “ข้าขึ้นม้าไม่ไหว”

“เอาเท้าเหยียบโกลนปีนขึ้นไปก็ได้แล้ว” เขาบอกนาง

นางรีบแย้ง “ก็ม้าท่านสูงเกินไป”

ฝูถิงรู้ว่านางบอบบาง จะต้องไม่เคยขี่ม้าเป็นแน่ ทว่าเสียงกลองบนกำแพงเมืองดังขึ้นอีกครั้งแล้ว เขาจึงเอามือรั้งเอวคอด อุ้มนางขึ้นหลังม้าอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง

ร่างอ้อนแอ้นนุ่มละมุนของหญิงสาวร่วงจากอ้อมแขนเขาไปอยู่บนหลังอาชา ก่อนที่เขาจะจับเท้านางเสียบเข้ากับโกลน

“ฮูหยินผู้บัญชาการกองทัพพิทักษ์อุดรจะขี่ม้าไม่เป็นได้อย่างไร” พูดจบเขาก็จับบังเหียนยัดใส่มือนางอีกครั้ง

หลี่ชีฉือรับไว้ นางกระตุกบังเหียน หนีบเข่าเข้ากับสีข้างม้าเบาๆ พลางเอ่ย “ก็ถูกของท่าน”

อาชาตัวงามที่อยู่ใต้ร่างเยาะย่างไปข้างหน้าสองสามก้าว

หญิงสาวหันกลับมา ยกมือขึ้นแหวกผืนแพรคลุมหมวกทอดสายตามองเขา

ฝูถิงยืนนิ่ง ตอนนี้เขาดูออกแล้วว่านางขี่ม้าเป็นชัดๆ

“พี่สาม” หลัวเสี่ยวอี้ร้องเรียกอยู่ไกลๆ

ผู้บัญชาการหนุ่มดึงสายตาออกจากแผ่นหลังบอบบาง แล้วหมุนตัวเดินไปหาอีกฝ่าย

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 7 .. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 10

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: