บทที่ 11
มู่ฝูหลันเข้าเรือนไปก็พูดกับแม่นมมู่ที่ออกมาต้อนรับตนสองสามคำแล้วกลับห้อง
สาวใช้รู้ว่านางจะผลัดชุดหลังกลับมาจากข้างนอกจนเป็นนิสัย จึงหยิบอาภรณ์ที่นางสวมใส่อยู่กับเรือนเป็นประจำมาเตรียมไว้ให้โดยไม่ต้องสั่ง
มู่ฝูหลันเดินอ้อมไปข้างหลังฉากกั้น สาวใช้ก็ช่วยนางเปลื้องเสื้อคลุมตัวนอกออกเหลือแต่เอี๊ยมบนตัว
เสื้อแนบกายทำจากผ้าทอสีแดงเลือดนกนุ่มนิ่มห่อหุ้มทรวดทรงของหญิงสาวอย่างมิดชิด มีเพียงแผ่นหลังกับท่อนแขนขาวผ่องสองข้างที่โผล่พ้นออกมา ช่วงลำตัวลงมาสวมกระโปรงแบบไม่บุซับในสีฟ้าอ่อน เงาร่างด้านหลังอรชรอ้อนแอ้น เอวเล็กคอดกิ่ว
นางดูใจคอไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว ก้มหน้าลงเผยลำคอเรียวขาวนวลเนียน ครุ่นคิดความในใจพลางเหยียดแขนจะสวมอาภรณ์
แต่เพิ่งสอดแขนเข้าแขนเสื้อ ประตูห้องก็ถูกคนเปิดผลัวะออก
นางเบือนหน้าไปเห็นเซี่ยฉางเกิงเดินตรงดิ่งเข้ามา
ชะรอยจะคิดไม่ถึงว่านางเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ ชั่วขณะที่สายตาหยุดอยู่ที่ตัวนาง เขาจึงชะงักฝีเท้ากึกหยุดนิ่งตรงข้างฉากกั้น
พวกสาวใช้รีบหมุนกายไปคารวะเขา
เขาไม่ได้ก้าวเท้าเข้าข้างในต่อ ทว่าก็ไม่ถอยหลัง ยืนอยู่ที่เดิมอ้าปากสั่งให้คนอื่นออกไป
พวกสาวใช้เห็นเขาสีหน้าไม่ดีก็มองมู่ฝูหลันแวบหนึ่ง เห็นนางไม่มีทีท่าทัดทานจึงพากันค้อมกายถอยออกจากห้อง
มู่ฝูหลันตั้งสติได้แล้วเบือนหน้ากลับ นางหันหลังให้เขาพลางแต่งกายต่อด้วยตนเองจนเรียบร้อย จับสาบเสื้อปิดเข้าหากันแล้วผูกสายรัดเอว
เขาพยายามข่มใจสุดความสามารถแล้วแต่ใบหน้ายังคงขึงตึง แววตาทะมึนตั้งเค้าพายุอารมณ์รำไร
นางรู้จักเซี่ยฉางเกิงดีกว่าใครๆ ท่าทางนี้ของเขาคนอื่นอาจดูไม่ออก แต่นางมองปราดเดียวก็รู้แล้ว
ตอนนี้เขากำลังโกรธจัด ต้องเกิดเรื่องไม่ดีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับนางเป็นแน่
นางยังคงหันหลังดังเก่า ในหัวขบคิดถึงเรื่องที่น่าจะยั่วโทสะเขาได้ถึงเพียงนี้อย่างรวดเร็วตลบหนึ่ง
เป็นเรื่องที่นางพบกับจางปันเมื่อตอนกลางวันแพร่งพรายออกไป?
หรือเขารู้ว่ามีเด็กชื่อซีเอ๋อร์ที่เรียกขานนางว่า ‘ท่านแม่’
หากเป็นสองเรื่องนี้ล่ะก็ มีโอกาสสร้างความเดือดดาลให้เขาได้มากเพียงนี้จริงๆ
กระนั้นนางยังคงปัดความคิดนี้ทิ้งไปทันที
นางทำสองเรื่องนี้ด้วยความระมัดระวังยิ่ง และต่อให้รู้สึกระแคะระคายก็ไม่มีทางที่เขาจะจับได้รวดเร็วปานนี้เป็นอันขาด
แต่ถ้าเป็นเรื่องอื่น…เช่นนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เมื่อนิ้วมือเรียวสวยจับสายรัดเอวผูกเสร็จแล้ว หญิงสาวก็หมุนกายหันหน้าไปหาเขาอย่างเอื่อยเฉื่อย
ทั้งคู่ยืนประจันหน้าห่างกันไม่กี่ก้าว
นางเหลือบตาขึ้นมองเขาแล้วคิดจะลองหยั่งเชิงชายหนุ่มตรงหน้า แต่เขาอ้าปากพูดเน้นเสียงหนักทีละคำเสียก่อน “มู่ซื่อ ในเมื่อเจ้าอยากหย่าร้าง เช่นนั้นก็ให้เจ้าได้สมปรารถนา ข้าจะไปเขียนหนังสือหย่าให้เจ้าประเดี๋ยวนี้เลย จะได้ไม่เป็นก้างขวางคอขัดขวางความสุขของเจ้ากับบุรุษในดวงใจ กลางวันแสกๆ ต่อหน้าธารกำนัลยังกล้ามาที่นี่เพื่อส่งสารถึงกันเยี่ยงนี้!”
เขากล่าวจบก็ขว้างกระดาษที่ดูเหมือนซองสารใบหนึ่งไปตรงหน้านางแล้วหันหลังออกจากห้อง ร่างสูงหายลับไปพร้อมกับเสียงฝีเท้าในเวลาอันสั้น
แผ่นกระดาษร่วงหล่นลงบนพื้นข้างเท้านาง
มู่ฝูหลันนิ่งงันไป นางก้มตัวลงเก็บ
มันเป็นซองใส่สารที่เขียนถึงนางจริงๆ ไม่ลงนามผู้ส่ง แต่ไล่สายตาอ่านเนื้อความของสารผาดๆ ก็รู้ว่ามาจากจ้าวซีไท่ซื่อจื่อแห่งวังฉีอ๋อง
จ้าวซีไท่บอกว่าหลังจากเมื่อวานได้พบนางอีกครั้งที่วัดฮู่กั๋วแล้วกลับไป เขาก็หวนประหวัดถึงอดีต จิตใจสับสนว้าวุ่นจนข่มตานอนไม่หลับ แล้วเมื่อคืนนี้เขายังบังเอิญได้ยินฉีอ๋องผู้เป็นบิดากับที่ปรึกษาสนทนากัน ล่วงรู้ว่าตอนนี้หลิวไทเฮายังไม่แตะต้องแคว้นฉางซาเพียงชั่วคราวเท่านั้น อย่างไรวันหน้าก็ยังต้องโดนเล่นงานอยู่ดี เขาถึงตั้งใจส่งสารมาบอกนางเพื่อเตือนพี่ชายของนางให้ระวังป้องกันไว้
เขาบอกว่าตนเป็นห่วงสภาพการณ์ในยามนี้ของนางเหลือเกิน เซี่ยฉางเกิงมีอดีตเป็นโจรร้าย ต่ำช้าเลวทรามไร้ยางอาย บัดนี้เขาเป็นมีดสังหารคนในมือหลิวไทเฮา คนถ่อยเรืองอำนาจ ช้าเร็วคงทอดทิ้งนางดุจไม้กวาดเก่าๆ ในสักวัน ไม่อาจเป็นที่พึ่งพาได้
ตอนท้ายเขายังบอกว่าหลังจากนี้ถ้านางพบปัญหาต้องบอกให้เขารู้ ไม่ว่าเรื่องใดเขาจะทุ่มเทแรงกายแรงใจช่วยนางเต็มที่
มู่ฝูหลันอ่านสารจบแล้วครุ่นคิดเล็กน้อยก็กระจ่างแจ้ง
คนที่โผล่มาบอกว่าตนเองมาส่งสารให้ชายาฉีอ๋องเมื่อครู่นี้ แท้จริงแล้วเป็นจ้าวซีไท่ส่งมา
ก่อนจะมาส่งสารที่มีใจความเหล่านี้ จ้าวซีไท่น่าจะพูดย้ำสำทับกับคนของเขาว่าต้องหลบหลีกหูตาของเซี่ยฉางเกิงแล้วส่งให้ถึงมือนาง
มิน่าตอนนั้นพอคนส่งสารเห็นเซี่ยฉางเกิงกลับมาก็วิ่งหนีไปทันควันโดยไม่กล้าหยิบสารออกมา
มู่ฝูหลันไม่ทันคิดว่าไฉนสุดท้ายสารฉบับนี้กลับมาตกอยู่ในมือเซี่ยฉางเกิง
นางถือสารยืนอยู่ที่เดิม ตกอยู่ในภวังค์ความคิด
แม้มีจางปันช่วยเหลืออยู่ แต่พูดตามสัตย์จริงนางยังไม่มั่นใจเต็มที่ว่าจะสามารถยืมแรงจางปันคลี่คลายเรื่องนี้ได้เฉกเช่นเดียวกับวิกฤตของแคว้นฉางซาคราวก่อน
เรื่องในคราวนี้ต่างออกไปเพราะมีเซี่ยฉางเกิงอีกคนซึ่งพลิกผันสถานการณ์ได้
เขาเป็นสามีของนาง ส่วนหลิวไทเฮาต้องการกักนางเป็นตัวประกัน ไม่ว่าจะไตร่ตรองในมุมใด จำเป็นต้องพูดกับเขาซึ่งๆ หน้าเพื่อให้เขาแสดงท่าทีออกมา
สำหรับนางแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่หลวงที่เกี่ยวพันถึงความเป็นความตาย แต่กับเซี่ยฉางเกิงแล้วจะเป็นไปในทางใดล้วนไม่สำคัญ ด้วยมันไม่มีผลได้ผลเสียต่อเขาโดยตรงสักเศษเสี้ยว
สัญชาตญาณของมู่ฝูหลันบอกว่าเฉาจินเป็นคนของเซี่ยฉางเกิงอย่างแน่นอน เขามีหูตาคู่หนึ่งนี้อยู่ในวังหลวง เมื่อจางปันช่วยพูดให้นาง เกรงว่าคงปิดบังเขาไม่ได้ และหากเขาหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง จางปันน่าจะทำได้สำเร็จ นางก็จะรอดตัวไปได้อย่างราบรื่น
แต่ถ้าเขาไม่พอใจนางจนถึงขั้นขุ่นเคืองแล้วจงใจขัดแข้งขัดขา ต่อให้จางปันออกหน้าช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้นางเพียงไร เกรงว่าคงยากมากที่จะประสบผล
ตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนที่นางคิดว่าจะใช้ประโยชน์จากจางปันเช่นไร ก็ใคร่ครวญไปด้วยพร้อมกันว่าจะอุดช่องโหว่ทางด้านนี้ด้วยวิธีใด
นางไม่ตั้งความหวังว่าเซี่ยฉางเกิงจะช่วยพูดกับหลิวไทเฮาให้ ขอแค่เขาไม่ขัดขวางเวลาที่จางปันช่วยแก้ปัญหาให้นางเท่านั้นเป็นพอ
ช่วงแรกที่นางเพิ่งฟื้นคืนชีพ ความชอกช้ำเจ็บแค้นเต็มอกเป็นเหตุให้มัวแต่คิดจะตัดขาดกับเขาให้เร็วที่สุด ไม่ต้องพบต้องเจอกันอีกในชาตินี้
แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปไม่หยุดหย่อน นางเริ่มตระหนักได้ถึงจุดหนึ่งทีละน้อย จริงๆ แล้วด้วยความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเขา อีกทั้งใคร่ครวญถึงฐานะในตอนนี้ของเขากับสถานการณ์ของแคว้นฉางซา หลายๆ เรื่องที่นางอยากกระทำนั้นไม่อาจมองข้ามเขาไปได้โดยสิ้นเชิง
การเอาแต่ตั้งตนเป็นศัตรูและคิดเอาเองว่าจะไม่พบหน้ากันอีกในชาตินี้หาได้แก้ปัญหาไม่
นางจำเป็นต้องสร้างไมตรีกับเขาใหม่
ถึงการกระทำนี้จะฝืนความรู้สึกของนางสุดประมาณ แต่นางจำต้องเผชิญหน้ากับมันและยอมรับในจุดนี้ให้ได้
ระหว่างทางที่กลับจากการไปพบจางปันวันนี้ นางยังคิดอยู่ว่าควรคลี่คลายความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับเขาอย่างไรดี คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องนี้ขึ้นเสียแล้ว
ดูท่าทางแล้วไม่เข้าทีอย่างมาก เคราะห์ซ้ำกรรมซัดแท้ๆ คาดว่าสารฉบับนี้คงสร้างความไม่พอใจให้เขาถึงขีดสุด ถึงได้ออกปากพูดเรื่องตกลงหย่าร้างกับนางแล้ว
แต่คิดในทางกลับกัน นี่มิใช่โอกาสที่ประจวบเหมาะพอดีหรอกหรือ
มู่ฝูหลันคิดทบทวนครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
นางรับปากซีเอ๋อร์ที่เพิ่งกลับมาหานางว่าจะกลับไปอยู่กับเขาโดยเร็วที่สุด
นางจะถูกกักตัวอยู่ที่นี่ไม่ได้
ผ่านมานานหลายปีแล้วนับตั้งแต่ที่บันดาลโทสะจนสังหารคนเพราะล้างแค้นให้บิดาตอนอายุสิบสี่ พาชีวิตเข้าตาจน จำต้องออกไปผจญภัยเสี่ยงอันตรายเพื่อความอยู่รอดแล้ว ไม่ว่าเรื่องใดเซี่ยฉางเกิงก็ไม่เคยโกรธเกรี้ยวถึงขั้นควบคุมอารมณ์ไม่อยู่เช่นนี้อีก
กระนั้นมิใช่เพราะถ้อยความว่าร้ายเขาในสารฉบับนั้นแต่อย่างใด หากเขาใส่ใจเรื่องพวกนี้คงไม่ได้นั่งอยู่ในตำแหน่งเช่นทุกวันนี้
สิ่งที่ทำให้เขาโมโหโกรธาคือการเป็นปฏิปักษ์อย่างรุนแรง รวมถึงการทรยศและหยามศักดิ์ศรีเขาหนแล้วหนเล่าของมู่ซื่อต่างหาก
หากเป็นในกาลก่อนก็แล้วกันไปเถอะ เพราะการเกี่ยวดองนี้เกิดขึ้นจากการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ของสองฝ่าย นางต้องเชื่อฟังคำสั่งของบิดาฝืนใจแต่งงานกับเขา นางจะเคยปล่อยเนื้อปล่อยตัวก่อนออกเรือนก็มิใช่เรื่องแปลก
ทว่ายามนี้อยู่ในเมืองหลวงแล้ว นางกลับไม่รู้จักสำรวมตัวต่อหน้าผู้คนแม้แต่น้อย ก่อนหน้านี้พบกันที่วัดฮู่กั๋วก็ยั่วยวนให้จ้าวซีไท่หลงเสน่ห์จนเขียนสารลับถึงนางเช่นนี้ในชั่วราตรีเดียว แม้ไม่พูดอย่างโจ่งแจ้ง แต่ก็แสดงความพึงใจหลงใหลไว้ในทุกถ้อยทุกคำ ช่างไม่กริ่งเกรงใครหน้าไหนถึงเพียงนี้
เซี่ยฉางเกิงไปถึงห้องหนังสือก็หยิบพู่กันเขียนหนังสือหย่า
เขาเขียนอักษรตัวสุดท้ายเสร็จ กำนิ้วทั้งห้าเข้าหากันสุดแรงจนด้ามพู่กันไม้มะเกลือที่แข็งแรงทนทานในมือหักเป็นสองท่อน เขาโยนมันทิ้งแล้วลุกขึ้นเดินไปเปิดหน้าต่าง ยืนหันหน้าไปข้างนอกชั่วครู่ สีหน้าถึงผ่อนคลายลง
ชายหนุ่มย้อนกลับไปที่ข้างโต๊ะ จะเปล่งเสียงเรียกคนให้นำหนังสือหย่าที่เขียนเรียบร้อยแล้วไปมอบแก่นาง กลับได้ยินเสียงเคาะประตูสองที
เขาเบนสายตาไปเห็นประตูถูกผลักเปิด เงาร่างสายหนึ่งยืนอยู่ข้างนอก
มู่ซื่อมาพบเขาด้วยตนเอง นางก้าวข้ามธรณีประตูเดินมาหาเขา
เขาเลื่อนแผ่นกระดาษไปเบื้องหน้านางแล้วสาวเท้าออกนอกห้องทันที
“ท่านพี่เซี่ยหยุดก่อนเจ้าค่ะ”
เสียงร้องเรียกดังขึ้นด้านหลัง
ชายหนุ่มทำท่าราวกับไม่ได้ยิน
มู่ฝูหลันไล่ตามไป
เซี่ยฉางเกิงชะงักเท้า ปรายตามองหญิงสาวที่ยืนขวางหน้าตนเอง กล่าวอย่างปึ่งชา “มู่ซื่อ สิ่งที่เจ้าต้องการข้าเขียนให้แล้ว ต่อแต่นี้ไปก็ระวังรักษาตนเองให้ดี”
เขาย่างเท้าจะออกเดิน แขนเสื้อก็ถูกดึงไว้อีก จึงหยุดฝีเท้ามองดูมือข้างที่นางยื่นมาจับแขนเสื้อตนเองไว้ไม่ยอมปล่อยอย่างประหลาดใจ จากนั้นใบหน้าก็เผยแววรังเกียจชิงชังทันใด
มู่ฝูหลันปล่อยมือออก ไม่หันมองกระดาษที่คราบหมึกยังไม่แห้งซึ่งวางแผ่อยู่บนโต๊ะ นางมองตาเขาพร้อมพูด “ท่านฟังข้าพูดได้หรือไม่ ข้าคิดว่าท่านจะเข้าใจผิดแล้ว ข้ากับบุตรชายฉีอ๋องไม่เกี่ยวข้องอันใดต่อกันนอกจากได้พบหน้ากันในวังหลวงสมัยวัยเยาว์ ตลอดเวลาที่ผ่านมาข้ามิเคยไปมาหาสู่กับเขาเลย เมื่อวานเจอกันที่วัดฮู่กั๋วเป็นความบังเอิญจริงๆ มิใช่ข้าลักลอบนัดพบเขาอย่างเด็ดขาด สำหรับสารฉบับนั้นข้ายิ่งไม่รู้เรื่องรู้ราวสักน้อยนิด ที่นี่เป็นเมืองหลวง ถึงข้าจะไม่รู้ความปานใด เมื่อมาแล้วย่อมไม่กล้ากระทำเรื่องคบชู้สู่ชาย ต่อให้ไม่เห็นแก่หน้าท่าน ข้าก็ต้องคำนึงถึงเกียรติของแคว้นฉางซา”
เซี่ยฉางเกิงไม่มีท่าทีใด เพียงจับแขนเสื้อที่โดนนางดึงให้เข้าที่ด้วยสีหน้าเฉยชา
มู่ฝูหลันมองเขาพลางกล่าวต่อเสียงนุ่มนวล “ท่านใกล้จะจากไปแล้ว เมื่อเช้าไทเฮาทรงเรียกตัวข้าเข้าวัง ไต่ถามว่าข้าจะไปอยู่ที่ใด แต่ท่านไม่เคยเอ่ยกับข้าสักครึ่งคำ อันที่จริงใจข้าหวาดหวั่นนัก…”
เสียงพูดของหญิงสาวเบาลงทุกที นางหลุบตาลงช้าๆ ยืนนิ่งเงียบอยู่ตรงหน้าเขา
ผ่านไปนานกว่าเซี่ยฉางเกิงจะเอ่ยปากขึ้นในที่สุด
“มู่ซื่อ วันนั้นข้าไปรับเจ้าที่เมืองเยวี่ย เจ้ายังยืนกรานจะตัดความสัมพันธ์กับข้าอยู่เลยมิใช่หรือ ตอนนี้ข้าให้เจ้าได้สมปรารถนาแล้ว ข้าไปเหอซี เจ้าก็กลับแคว้นฉางซาของเจ้าไปเสีย”
มู่ฝูหลันกล่าว “ไทเฮาทรงเห็นแคว้นฉางซาของข้าเป็นศัตรูเรื่อยมา ในเมื่อพระนางเรียกข้ามาเมืองหลวง รอเมื่อท่านไปแล้วมีหรือจะปล่อยข้ากลับไปง่ายๆ เรื่องที่ถามข้าเมื่อเช้าพวกนั้นเป็นเพียงการหยั่งดูท่าทีเท่านั้น คนอื่นอาจไม่รู้ แต่ท่านพี่เซี่ยจะไม่รู้เชียวหรือ”
เซี่ยฉางเกิงเอ่ยด้วยหน้าตาไร้ความรู้สึก “นี่มีอะไรยากเล่า ข้าไปแล้ว มิใช่ยังมีบุตรชายฉีอ๋องอยู่หรือ เขาต้องช่วยเจ้าแน่”
“เขาไร้ความสามารถ ไม่ว่าผู้ใดก็ช่วยข้าไม่ได้”
นางส่ายหน้า
“ท่านพี่เซี่ย บัดนี้ข้าเพิ่งรู้ว่าในแผ่นดินนี้คนที่คุ้มครองข้าได้มีแต่ท่านเพียงผู้เดียวแล้ว”
มู่ฝูหลันช้อนดวงตาคู่งามขึ้นช้าๆ เพ่งมองเซี่ยฉางเกิงที่อยู่เบื้องหน้าและกล่าวด้วยสุ้มเสียงแผ่วเบา
หลังสิ้นเสียงนาง ภายในห้องหนังสือตกอยู่ในความเงียบฉับพลัน
เซี่ยฉางเกิงนิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนเอ่ยขึ้น “มู่ซื่อ ตอนเจ้าอยากปลดเปลื้องพันธะจากข้า เคยเห็นข้าอยู่ในสายตาสักนิดบ้างหรือไม่เล่า ครั้นเวลานี้จะใช้ประโยชน์จากข้าก็พูดจาเสียหวานหูเพียงนี้”
เขาเหยียดยิ้ม น้ำเสียงแฝงรอยเยาะหยัน
“เจ้าเห็นข้าเซี่ยฉางเกิงเป็นอะไร ปล่อยให้เจ้าบงการได้ตามใจชอบ?”
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน เมษายน 64)
Comments
comments
No tags for this post.