บทที่ 1
เยี่ยเฟิงเป็นเด็กกำพร้า นางถูกเลี้ยงมาโดยจอมยุทธ์ท่านหนึ่ง นางกราบเขาเป็นอาจารย์และร่ำเรียนวรยุทธ์กับเขามาตั้งแต่เล็ก ครั้นอายุครบสิบแปดปีนางก็กราบลาอาจารย์ ลงเขาพเนจรไปเรื่อย นางทนไม่ได้ที่ต้องเห็นชาวบ้านทนทุกข์ นางจึงตั้งปณิธานอันแรงกล้า ระดมกำลังหนุ่มวัยฉกรรจ์ที่เป็นคนยากคนจนไปลักขโมยสมบัติของขุนนางทุจริตเพื่อมาช่วยเหลือคนจน
นางเฉลียวฉลาดและมีใจกล้าหาญทั้งยังรู้จักการวางแผน ยิ่งนานวันคนที่ติดตามนางก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น นางนำพาพี่น้องไปสร้างค่ายบนภูเขาที่มีรั้วรอบขอบชิดเพื่อจัดเตรียมกำลังพลให้พร้อม และท้ายที่สุดก็ตั้งเป็น ‘ค่ายอูเจียง’
ค่ายอูเจียงมีกำลังพลสองร้อยกว่าคน เดิมทีพวกเขาเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ใช้ชีวิตอยู่ในกฎระเบียบ แต่เป็นเพราะสภาพอากาศที่แห้งแล้งทำให้พวกเขามีชีวิตแร้นแค้นอดอยากติดต่อกันมาหลายปี ซ้ำยังไม่ได้รับเสบียงช่วยเหลือจากทางการ ขุนนางท้องที่ก็ละโมบโลภมาก ยังคงเก็บภาษีอย่างหน้าเลือด ขูดรีดพวกเขา ท้ายที่สุดบรรดาชาวบ้านก็ทนไม่ไหว พวกเขาคิดว่าจะไม่อดกลั้นอีกต่อไป ในเมื่อขุนนางบีบคั้น ชาวบ้านก็ต้องต่อต้าน จึงรวมตัวกันกลายเป็นโจรออกลักขโมยไปทั่ว
สำหรับเหล่าชาวบ้านแล้วเยี่ยเฟิงคือวีรสตรีที่คอยช่วยเหลือคนยากคนจน แต่ในสายตาของขุนนางท้องที่ พวกเขากลับเห็นนางเป็นหัวหน้าโจรที่คอยหาเรื่องอยู่ร่ำไป
ศึกครั้งนี้เหล่าพี่น้องในค่ายอูเจียงบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน ส่วนตัวนางเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส
ร่างกายของเยี่ยเฟิงมีบาดแผลถูกดาบฟันโดนกระบี่แทงนับไม่ถ้วน โลหิตไหลนอง ยามนี้นางยังพอมีลมหายใจอยู่บ้างจึงยืนหยัดด้วยจิตใจอันแน่วแน่ แม้จะมาถึงขีดสุดแล้วนางก็ยังคงอยากประคองร่างกายต่อไปให้ได้
ทว่าร่างนางไม่ได้ทำด้วยเหล็ก ยามนี้แขนขาล้วนด้านชาไร้ความรู้สึกเพราะสูญเสียเลือดมากเกินไป ร่างนางค่อยๆ รู้สึกหนาวยะเยือก เหลือเพียงสติที่ยังประคองไว้ได้ นางยังไม่ยอมแพ้ พยายามลืมตาขึ้น ไม่ยินยอมที่จะตายจากไปเช่นนี้
“พาเหล่าพี่น้อง…ถอยไปก่อน…หนี…หนีไป”
นางออกคำสั่งสุดท้ายด้วยลมหายใจที่ยังเหลืออยู่ แม้กำลังจะสิ้นใจนางก็ยังคงเป็นห่วงในความเป็นความตายของพี่น้องในค่าย
เหล่าพี่น้องในค่ายล้วนโอบล้อมอยู่รอบกายหัวหน้าใหญ่ที่บาดเจ็บสาหัสโดยมีหัวหน้ารองอยู่ด้านหน้า ทุกคนล้วนตาแดงก่ำ พวกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหัวหน้าใหญ่ซึ่งใจกล้าเด็ดเดี่ยวกำลังจะจากพวกเขาไป
หัวหน้ารองมีนามว่าสือโม่เฉิน เขากุมมือนางไว้แน่น เอ่ยด้วยเบ้าตาที่แดงก่ำ “หัวหน้าใหญ่ ท่านวางใจ ข้าจะพาพี่น้องเราถอยออกไป จะไม่ทิ้งไว้แม้แต่คนเดียว”
เยี่ยเฟิงมองสือโม่เฉินก่อนเอ่ยคำออกมาอย่างยากลำบาก
“อย่าแก้…แค้น…”
พอเหล่าพี่น้องที่อยู่โดยรอบได้ยินเข้าก็ล้วนคัดค้านทั้งสิ้น
“หัวหน้าใหญ่ พวกเขาโหดร้ายเกินไป ทั้งที่ตกลงกันอย่างชัดเจนแล้วว่าขอเพียงพวกเรายอมแพ้ต่อทางการก็จะเว้นโทษให้และรับพวกเราไปเป็นทหาร ใครจะไปคิดว่าพวกเขาล้วนตระบัดสัตย์ คิดแต่จะสังหารพวกเรา หากแค้นนี้ไม่ได้ชำระก็นับว่าข้าไม่ใช่คน!” หัวหน้าสามมีนามว่าไฉหลางเอ่ยด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน
นางคว้าสาบเสื้อของไฉหลางดึงเขามาเบื้องหน้า ถลึงตามองอย่างแข็งกร้าวทันที
“ห้ามเด็ดขาด!” นางข่มขู่เขาอย่างน่าสะพรึง “ห้ามแก้แค้น ได้ยินหรือไม่ พาพี่น้องทั้งหมดไปหาที่ซ่อน หากพวกเจ้ากล้าฝ่าฝืนคำสั่งของข้า ข้าจะนอนตายตาไม่หลับ ถึงข้าจะเป็นผีเป็นวิญญาณ ข้าก็จะไม่ไปที่ใด จะมาคิดบัญชีกับพวกเจ้า เข้าใจหรือไม่”
“แต่หัวหน้าใหญ่…”
“เข้าใจหรือไม่ ตอบข้ามา!”
ไฉหลางกัดฟันกรอด “ข้า…เข้าใจแล้ว!”
“สาบาน!”
ไฉหลางเม้มริมฝีปากแน่น ไม่เอ่ยวาจาสักคำ ท่าทางเช่นนี้เห็นชัดว่าเขาจะไม่ยอมรามือ
เยี่ยเฟิงรู้ดีว่าไฉหลางเป็นคนหุนหันพลันแล่น เมื่อเห็นเขาไม่ยอมสาบานนางก็อยากจะบังคับเขา ทว่าลำคอพลันร้อนผ่าว กระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง
“หัวหน้าใหญ่!”
ครั้นสือโม่เฉินเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ตัดสินใจฉับพลัน ดึงมือไฉหลางมาวางบนมือเยี่ยเฟิง มือของทั้งสามคนวางทับกัน สาบานด้วยเสียงดังลั่นว่า “พวกเราขอสาบานต่อฟ้า พวกเราจะพาพี่น้องทั้งหมดไปหาที่ซ่อน ไม่แก้แค้นแน่นอน!”
ไฉหลางมองไปทางพี่รองอย่างตื่นตระหนก ซ้ำยังถูกเหล่าพี่น้องจ้องเขม็งเป็นการเตือนจึงทำได้เพียงอดกลั้น กล้ำกลืนคำพูดลงไป
หัวหน้ารองมีนิสัยสุขุมเงียบขรึมมาโดยตลอด สามารถอดกลั้นได้เป็นอย่างดี ไม่เหมือนหัวหน้าสามที่มีนิสัยเลือดร้อน มีหัวหน้ารองคอยควบคุมหัวหน้าสามไว้ ในที่สุดเยี่ยเฟิงก็วางใจลงได้
“จำไว้นะ ห้ามแก้แค้นเด็ดขาด พวกเจ้าสู้พวกเขาไม่ได้หรอก อย่าสละชีวิตไปอย่างเปล่าประโยชน์ ตราบใดที่ขุนเขาเขียวขจียังอยู่ อย่าได้กลัวไม่มีฟืนเผา…จำไว้ ห้ามแก้แค้น…”
เยี่ยเฟิงมองพวกเขา ไม่เอ่ยวาจาใดๆ อีก ในที่สุดดวงตาซึ่งกลอกไปมาก็นิ่งงัน สงบราวสายน้ำที่หยุดนิ่ง
“หัวหน้าใหญ่?!” ไฉหลางตะโกนอย่างไม่อยากเชื่อ
มือของสือโม่เฉินสั่นเทาเล็กน้อย เขาค่อยๆ ยื่นมือไปอังที่จมูกนางพบว่าไม่เหลือพลังชีวิตใดอยู่แล้ว ม่านตาของเขาพลันหดลง เม้มริมฝีปากแน่น หัวใจเจ็บปวดรวดร้าวราวถูกบีบรัด
“นางจากไปแล้ว” สือโม่เฉินเอ่ยเสียงเรียบ
ไฉหลางและพี่น้องคนอื่นๆ กลั้นน้ำตาลูกผู้ชายต่อไปไม่ไหว ร้องไห้โฮออกมา
หัวหน้าใหญ่จากไปแล้วแต่กลับยังไม่ยอมหลับตา ช่วงสุดท้ายของชีวิตนางยังคงพะวงในความเป็นตายของพี่น้องทุกคน
สือโม่เฉินออกคำสั่งด้วยเสียงเข้มพลางมองดวงหน้าอันซีดเซียวของนาง
“น้องสาม พาพี่น้องหนีไปเดี๋ยวนี้”
“ไม่ ถ้าจะหนีก็หนีไปด้วยกัน จะทิ้งศพของหัวหน้าใหญ่ไว้ในป่าไม่ได้!” ไฉหลางตะคอกใส่
หลังจากเศร้าโศกเสียใจจนถึงขีดสุดก็แทบจะควบคุมไฟโทสะต่อไปไม่ได้ หัวหน้าใหญ่ต้องสิ้นชีวิตด้วยน้ำมือของทหาร ไฉหลางเดือดดาลจนตาแทบถลน
ยามนี้เสียงฟาดฟันของดาบและกระบี่กำลังใกล้เข้ามา เสียงการเข่นฆ่าดังมาตลอด เหล่าทหารที่มาปราบโจรใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
สือโม่เฉินตะคอกออกไป “น้องสาม รีบหนีไป!”
“ไม่ ข้าไม่ไป ข้าไม่อาจทิ้งหัวหน้าใหญ่ไว้ที่นี่ได้!”
สือโม่เฉินตบเขาฉาดหนึ่งอย่างแรง ตำหนิด้วยเสียงดังลั่น
“เจ้าลืมคำสาบานเมื่อครู่ไปแล้วหรือ อยากให้หัวหน้าใหญ่นอนตายตาไม่หลับหรืออย่างไร ข้าจะคิดหาวิธีซ่อนร่างนางเอง เจ้าพาพี่น้องหนีไปก่อน จะปล่อยให้พวกทหารทำสำเร็จไม่ได้ รีบหนีไป!”
ไฉหลางกัดฟันกรอด พี่รองพูดถูก พวกเขาสูญเสียหัวหน้าใหญ่ไปแล้วจะฝ่าฝืนคำสัญญาที่มีต่อนางไม่ได้ ต้องทำตามคำสั่งเสียสุดท้ายของนางให้สำเร็จ
“พี่น้องทุกคนตามข้ามา!”
ไฉหลางตะโกนออกคำสั่งด้วยเบ้าตาที่แดงก่ำ เขาชูดาบยักษ์ขึ้นพลางปล่อยพลังออกมาด้วยท่าทางคล้ายกระหายเลือด เร่งรีบพาเหล่าพี่น้องบุกทลายเส้นทางสายเลือดนี้ออกไป
พี่น้องหลายคนต่างชูดาบยักษ์ขึ้นสูง บุกออกไปด้วยความเดือดดาลเลือดร้อนพลางคำราม
หลังจากที่ทุกคนจากไปแล้วก็เหลือเพียงบุรุษผู้หนึ่งและสตรีนางหนึ่งบนพื้นหิมะ
สือโม่เฉินจ้องสตรีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เขาค่อยๆ ช้อนตัวนางขึ้นมาไว้ในอ้อมกอด โอบอุ้มร่างนางคล้ายกับโอบกอดสมบัติทั้งหมดเอาไว้
มีเพียงช่วงเวลานี้เท่านั้นที่เขาปิดบังความปรารถนาในดวงตาไม่มิด
“ข้าไม่เคยอยากให้ท่านตายเลย” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำแหบพร่า “แต่คิดไม่ถึงว่าท่านจะทุ่มสุดตัวเช่นนี้ ท่านไม่คำนึงถึงชีวิตตัวเองเลยแม้แต่น้อย”
เขาประทับจูบลงบนริมฝีปากนางพลางลูบไล้ไปบนเรือนร่าง แม้นางจะตายจากไปแล้ว ทว่าร่างกายนางยังคงอุ่น
เขาเฝ้าฝันอยากจะโอบกอดนางไว้เช่นนี้นานแล้ว ในความฝันเขาทำกับนางมากกว่านี้อีก ทว่าในโลกแห่งความเป็นจริงเขาไม่เคยมีโอกาสได้แตะต้องนางเลย
เพราะนางไม่อนุญาตให้เขาทำ
นางไม่รู้ว่าเขาปรารถนาในตัวนางมากเพียงไร เพื่อให้ได้นางมาเขาสามารถทำได้ทุกอย่าง
“ทั้งๆ ที่ท่านกำลังจะสิ้นใจแต่ก็มัวพะวงถึงพี่น้องในค่าย ท่านมีเพียงความกล้าหาญและน้ำใจอันเต็มเปี่ยม ในใจท่านเคยมีที่ว่างสำหรับข้าบ้างหรือไม่ เคยมีความรู้สึกทิ้งข้าไม่ลงสักนิดหรือไม่ ท่านจะสวามิภักดิ์ต่อทางการ ข้าก็ทำให้ท่านได้สมดั่งใจ แต่ยามที่ภารกิจสำเร็จท่านอยากถอยออกไป ต้องการออกพเนจรไปเพียงคนเดียว เรื่องนี้ข้าไม่อนุญาต”
ความปรารถนาในใจเขาโดนความชั่วร้ายเข้าครอบงำนานแล้ว เพียงแต่เขาเก็บงำไว้ลึกเกินไป ลึกจนหัวใจเขาเจ็บแปลบ คล้ายหนอนพิษคอยกัดกร่อนเลือดเนื้อของเขาทุกคืนวันทำให้เขานอนไม่หลับ ทนทุกข์ทรมานราวกัดกร่อนไปถึงกระดูก มีเพียงการครอบครองและช่วงชิงมาเท่านั้นจึงจะชดเชยความว่างเปล่าในหัวใจได้
เขากอดจูบพลางพยายามจะฉีกเสื้อผ้านางออก แม้ว่าทั่วร่างนางจะมีโลหิตไหลนองแต่เขาก็ยังปรารถนาในตัวนาง
จากนั้นเขาก็ต้องตกตะลึงโดยพลัน เงยหน้าขึ้นจ้องไปยังเบื้องหน้าอย่างตื่นตระหนก ไม่รู้ว่าที่ตรงนั้นมีบุรุษผู้หนึ่งมายืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไร อีกฝ่ายกำลังจ้องมองมาทางเขาอย่างเงียบสงบ
บุรุษผู้นี้ยืนอยู่บนยอดหญ้าอย่างไร้สุ้มไร้เสียง พายุหิมะค่อยๆ โหมกระหน่ำขึ้นอย่างรุนแรง อาภรณ์ของเขาปลิวไปตามสายลม แต่เขากลับยืนนิ่งราวขุนเขา ยืนตระหง่านราวต้นสน เห็นชัดว่ากำลังภายในของบุรุษผู้นั้นไม่ด้อยไปกว่าตนแน่
สือโม่เฉินสีหน้าบึ้งตึง มองฝ่ายตรงข้ามด้วยแววตาโหดเหี้ยม
ฉู่เหิงจือขมวดคิ้วมุ่น จ้องมองบุรุษที่แผ่ความชั่วร้ายออกมาทั่วร่างผู้นี้ ริมฝีปากเขาเปื้อนเลือด สตรีในอ้อมกอดเขาเสื้อผ้าหลุดลุ่ย ภาพนี้ชวนให้นึกถึงสัตว์ร้ายที่กระหายเลือดแล้วกำลังดูดเลือดสดของสตรีนางนั้น
จากสายตาของฝ่ายตรงข้าม ฉู่เหิงจือก็ตระหนักได้ว่าตนเองไปขัดจังหวะเข้าแล้ว อีกฝ่ายเริ่มเกิดความอาฆาตมาดร้าย
“ควรให้ความเคารพต่อผู้ตาย เจ้าไม่ควรทำให้ร่างนางแปดเปื้อน”
ฉู่เหิงจือกล่าวเตือนอย่างเย็นเยียบ แม้พายุหิมะจะถาโถม ทว่าน้ำเสียงของเขาราวกับเอ่ยอยู่ข้างหู การใช้กำลังภายในถ่ายทอดเสียงเช่นนี้ก็หมายจะเตือนอีกฝ่ายว่าก่อนจะลงมือควรใคร่ครวญให้รอบคอบเสียก่อน
สือโม่เฉินจ้องเขาอย่างน่าสะพรึง ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ลงมือต่อสู้กัน ทั้งสองฝ่ายต่างข่มขู่กันผ่านอากาศ
สือโม่เฉินตระหนักดีว่าบุรุษผู้นี้คงจะรับมือได้ยาก หากผลีผลามลงมือไม่แน่ว่าจะได้เปรียบ
เสียงเข่นฆ่าของเหล่าทหารดังมาอีกครา อีกชั่วครู่ก็คงจะโอบล้อมพื้นที่ตรงนี้ไว้ สือโม่เฉินยิ่งมีสีหน้าบูดบึ้ง ในเมื่อถูกสถานการณ์บีบคั้น เขาก็ทำได้เพียงถอยออกไปให้เร็วที่สุด
เขาปล่อยร่างสตรีในอ้อมกอดลง เงาร่างพลันแฉลบไป ประเดี๋ยวเดียวก็กลายเป็นเงาดำทะมึนหายวับไป
สตรีนางนี้นอนนิ่งท่ามกลางพื้นหิมะอย่างสงบ นางหน้าตาสะสวย เรือนผมยาวสยายราวกับเส้นไหม สีแดงสดทั่วร่างสะท้อนกับหิมะขาวโพลนราวดอกเหมยที่ออกดอกท่ามกลางพื้นหิมะก่อให้เกิดความงดงามโดดเด่น
ฉู่เหิงจือถอดเสื้อกันลมบนร่างออก ย่อตัวลงและคลุมบนร่างนางด้วยตัวเอง
เขามองตรวจสอบร่างนาง ผู้ตายจากไปแล้วแต่กลับไม่ยอมหลับตาลง เห็นชัดว่ายามที่จากไปยังมีเรื่องพะวงอยู่
เขายื่นมือไปปิดตานาง ทว่าผู้ตายกลับไม่ยอมหลับตา เขาจึงถอนหายใจออกมา
“เสียดายที่ข้ามาช้าไปก้าวหนึ่ง ไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับเจ้า หากเจ้าถูกใส่ร้ายหรือมีเรื่องที่ยังทำไม่สำเร็จ ข้าจะลอบตรวจสอบให้ชัดแจ้ง มอบความเป็นธรรมให้กับค่ายของเจ้า เจ้าจงวางใจ จากไปเสียเถิด”
ครั้นกล่าววาจานี้จบลงเขาก็ยื่นมือไปปิดตานางอีกครา ราวกับวิญญาณมีจริง ดวงตาคู่นั้นปิดลงในที่สุด คล้ายได้รับการปลอบโยน ไม่ยึดติด หลับไปอย่างสบาย
เยี่ยเฟิง…หัวหน้าใหญ่แห่งค่ายอูเจียงนำพาพี่น้องสองร้อยกว่าคนไปสวามิภักดิ์ต่อทางการ ทว่าระหว่างทางเสียชีวิตในวงล้อมของเหล่าทหาร อายุยี่สิบปี ยังไม่ได้ออกเรือน
สามวันหลังจากที่หัวหน้าใหญ่แห่งค่ายอูเจียงเสียชีวิต กวนอวิ๋นซี บุตรสาวที่เกิดจากภรรยาเอกสกุลกวนก็กระโดดน้ำฆ่าตัวตาย
“คุณหนู!”
สาวใช้นามว่าจิ่นเซียงคุกเข่าร้องไห้โฮอยู่ริมทะเลสาบดึงดูดสายตาชาวบ้านที่เดินผ่านไปมาอยู่ไม่น้อย พวกเขาล้อมเข้ามาดูและชี้ไม้ชี้มือวิเคราะห์กันไปต่างๆ นานา
ที่แท้สตรีที่กระโดดน้ำมีฐานะไม่ธรรมดา เป็นบุตรสาวจากภรรยาเอกของใต้เท้าผู้ตรวจการประจำท้องที่ นางมีนามว่ากวนอวิ๋นซี แม้จะถูกช่วยชีวิตขึ้นมาบนฝั่งได้ทันเวลาแต่ก็คล้ายจะหมดลมเสียแล้ว
บุรุษที่ช่วยสตรีนางนี้ขึ้นมาบนฝั่งขมวดคิ้ว เขาแนบฝ่ามือกับแผ่นหลังของนาง ถ่ายทอดพลังแท้ช่วยชีวิตนาง เสียดายที่ถ่ายทอดพลังเข้าไปหลายครั้งก็ยังไร้การตอบสนอง ดูท่าคงหมดหวังแล้ว
“ไยเจ้าจึงคิดสั้นเช่นนี้เล่า” ฉู่เหิงจือถอนใจเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา วาจานี้คล้ายกับกล่าวกับสตรีนางนั้น ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ได้ยิน
“คุณชาย โปรดช่วยคุณหนูของบ่าวด้วยเถิดเจ้าค่ะ!”
จิ่นเซียงขอร้องพลางร่ำไห้ สีหน้านางตระหนกตกใจจนซีดเผือด
ฉู่เหิงจือส่ายหน้าให้นาง “นางหมดลมแล้ว”
“ไม่ ไม่นะเจ้าคะ คุณชายโปรดลองอีกสักครั้งเถิดเจ้าค่ะ! ขอร้องท่านเถิดเจ้าค่ะ!”
จิ่นเซียงโขกศีรษะไม่หยุด หากคุณหนูสิ้นไป ชีวิตน้อยๆ ของนางก็คงจะไม่รอด
แม้ว่าฉู่เหิงจือจะเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์จากตระกูลเสนาบดี ทว่าเขาก็พอเข้าใจความลำบากของบ่าวไพร่
เจ้านายฆ่าตัวตาย สาวใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายไม่ได้ทำหน้าที่อารักขาอย่างดี หลังกลับไปถ้าไม่โดนเฆี่ยนจนตายก็อาจจะถูกขายไปยังหอนางโลม
แม้จะเวทนาทว่าเขาก็ช่วยอะไรไม่ได้ คนตายไปแล้วเทพก็ไร้หนทางช่วยเหลือ เขาเพียงแต่คิดไม่ถึงว่าแม่นางกวนจะคิดไม่ตกมากระโดดน้ำฆ่าตัวตายเช่นนี้ จะดีจะเลวอย่างไรก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา เขาจะพยายามอีกสักครั้งก็แล้วกัน
“ข้าจะลองดูอีกสักครั้ง”
ครานี้เขาวางฝ่ามือลงบนหน้าท้องของอีกฝ่าย แม้จะมีคนกล่าวไว้ว่าบุรุษสตรีไม่ควรแตะต้องตัวกัน ทว่าในภาวะคับขันก็ไม่ควรคิดเล็กคิดน้อยแล้ว
เขาเดินพลังภายใน ส่งพลังผ่านฝ่ามือไปอย่างแผ่วเบา เพียงครู่เดียวสตรีนางนี้ก็พ่นน้ำออกมาซึ่งเป็นน้ำทะเลสาบที่อยู่ในท้องนาง
“แค่ก…”
“อ้า! คุณหนูตอบสนองแล้วเจ้าค่ะ คุณชาย คุณหนูขยับตัวแล้วเจ้าค่ะ!”
ฉู่เหิงจือประหลาดใจมาก เห็นชัดว่านางหมดลมไปแล้ว ทว่านางยังสามารถกลับมามีลมหายใจได้อีกครา เขาเดินพลังเพิ่มไปที่ฝ่ามือทันที ออกแรงกดหน้าอกนาง สตรีนางนี้ก็พ่นน้ำที่สะสมเอาไว้ออกมามากขึ้นตามคาด ขณะเดียวกันนางก็กระแอมกระไอออกมาหลายครั้ง นี่เป็นการฟื้นขึ้นมาจากความตายอย่างแท้จริง
เขาแอบถอนหายใจโล่งอก
ไม่ตายก็ดีแล้ว มิเช่นนั้นการที่นางมากระโดดน้ำเช่นนี้เขาก็ไม่รู้จะบอกกล่าวแก่สกุลกวนและสกุลฉู่อย่างไร หากนางเสียชีวิตขึ้นมาจริงสกุลฉู่ก็จะกลายเป็นขี้ปากชาวบ้านไม่มากก็น้อย
แม้เริ่มแรกท่านปู่ของทั้งสองตระกูลจะหมั้นหมายกันผ่านทางวาจาเท่านั้น ไม่ได้แลกเทียบกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ทว่าพอมีคนได้ยินเข้าก็มักจะตำหนิทางสกุลฉู่ว่าตระบัดสัตย์ ไม่รักษาคำมั่นสัญญา
ฉู่เหิงจือมองบุตรสาวของสกุลกวนที่อยู่เบื้องหน้า ว่าที่ภรรยาในนามที่ไม่มีทีท่าว่าจะเป็นไปได้ของเขา แล้วเขาเองก็ไม่ได้มีความรู้สึกต่อนางสักเท่าไร เนื่องจากนับแต่เข้าสู่วัยฉกรรจ์เขาก็ใช้ชีวิตอยู่ทางซีเป่ยเสียหลายปี ไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กับนาง มีวาสนาพบหน้ากันเพียงครั้งเดียวในงานฉลองวันเกิดครบสิบห้าปีของนาง
ผ่านมาสองปี เขาจำได้เพียงว่านางเป็นสตรีที่อ่อนโยนขี้อาย คิดไม่ถึงว่าครั้งที่สองที่ได้พบหน้าจะเป็นวันนี้
หากไม่ใช่เพราะเขาเดินทางผ่านมาแล้วบังเอิญพบเรื่องนี้เข้านางอาจจะตายไปแล้วก็ได้ นี่เกรงว่านางจะจงใจกระโดดทะเลสาบริมถนนที่เขาเดินทางผ่าน
ครั้นใคร่ครวญถึงจุดนี้ดวงตาเขาก็ดำมืด รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
หากนางจงใจกระโดดน้ำตอนที่เขาเดินทางผ่าน บังคับให้เขาต้องช่วยชีวิต ชาวบ้านมากมายต่างก็ต้องรับรู้เรื่องนี้ เรียกได้ว่าสตรีนางนี้แผนสูงนัก
เดิมทีการถอนหมั้นนั้นเป็นความตั้งใจของท่านแม่ เขาก็ไม่ได้มีความเห็นขัดแย้งแต่อย่างใด การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ ต้องให้บิดามารดาเป็นผู้ตัดสินใจ ในเมื่อการหมั้นหมายเป็นเรื่องเมื่อสิบปีที่แล้ว ท่านปู่และผู้อาวุโสอีกฝ่ายหมั้นหมายกันเพียงลมปาก สำหรับเขาแล้วไม่ว่าจะสู่ขอหรือถอนหมั้นล้วนต้องให้บิดามารดาเป็นผู้จัดการ
บัดนี้บุตรสาวของสกุลกวนกลับมากระโดดน้ำเช่นนี้ เดิมทีเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็ก มีคนล่วงรู้ไม่มาก ยามนี้เกรงว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่แล้ว สตรีกระโดดน้ำเพราะถูกถอนหมั้นจะเป็นผลเสียต่อชื่อเสียงสกุลฉู่ แล้วยังจะทำให้ท่านพ่อโดนศัตรูในราชสำนักโจมตีและเล่นงานจุดอ่อนได้ จะทำอะไรก็ยากลำบากยิ่ง
คิดมาถึงตรงนี้ฉู่เหิงจือก็พลันแสดงสีหน้าบึ้งตึง
เรื่องการถอนหมั้น แม้ฝ่ายเขาจะทำไม่ถูกอยู่ก่อน ทว่าในเมื่อสองตระกูลไม่ได้หมั้นหมายกันอย่างเป็นทางการกอปรกับผ่านมาหลายปีแล้ว บิดามารดาใคร่ครวญถึงเกียรติของฝ่ายสตรี เดิมทีคิดว่าจะจัดการอย่างเงียบๆ ไม่ทำให้เป็นเรื่องราวใหญ่โต เพียงส่งคนไปแจ้งเท่านั้น ใครจะคิดว่าบุตรสาวสกุลกวนจะมากระโดดน้ำ
นี่เท่ากับบีบบังคับให้สกุลฉู่ยอมรับการหมั้นหมายครั้งนี้ แม้เดิมทีฉู่เหิงจือจะไม่มีความรู้สึกใดๆ ต่อกวนอวิ๋นซี ทว่ายามนี้เขากลับเกิดความรังเกียจนางขึ้นมา
ครั้นเห็นนางค่อยๆ ลืมตาขึ้น เริ่มได้สติ สีหน้าเขาก็มืดครึ้มโดยพลัน
“ฟื้นแล้วหรือ”
เมื่อเห็นว่านางจู่ๆ ก็เบิกตาจ้องมองเขา เขาก็ร้องฮึเสียงเย็น เอ่ยด้วยเสียงเข้มว่า “บิดามารดาเป็นผู้มอบร่างกาย เรือนผม ผิวพรรณให้แก่เจ้า…”
เขายังกล่าวไม่ทันจบเสียง ‘ผัวะ’ ก็ดังขึ้น กำปั้นหนึ่งชกมาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว โจมตีเขาจนทำอะไรไม่ถูก แม้เขาจะมีวรยุทธ์สูงส่งแต่ก็คิดไม่ถึงเลยว่าสตรีอ่อนแอที่เพิ่งฟื้นมาจากประตูผีจู่ๆ จะมาชกหน้าเขาได้ พลังของกำปั้นนี้ไม่เบาเลยทีเดียว
ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนตะลึงงัน จิ่นเซียงยิ่งตื่นตระหนกจนไม่กล้าขยับ จ้องไปที่ดวงหน้างดงามอ่อนโยนซึ่งค่อยๆ มีเลือดไหลออกมา สีหน้าที่เคยสุภาพเรียบร้อยมาตลอดกลับค่อยๆ เปลี่ยนเป็นดุร้าย
ฉู่เหิงจือคาดไม่ถึงเลยว่าเขาที่เป็นถึงคุณชายผู้สูงศักดิ์จะถูกสตรีนางหนึ่งชกเข้า นี่นางกล้าเนรคุณหรือ คิดจะต่อต้านกันชัดๆ
“เจ้ากล้าชกข้า?”
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาทว่ากลับเต็มไปด้วยความอันตรายราวกับพายุฝนที่กำลังตั้งเค้า ดวงตาคู่นั้นคล้ายพายุที่กำลังรวมตัวกันราวกับเทพเจ้าแห่งความตายกำลังจับจ้องอยู่
กวนอวิ๋นซีชี้หน้าเขาด้วยไฟโทสะพุ่งพรวด
“แน่จริงก็มาสู้กันซึ่งๆ หน้า อย่ามาลอบยิงธนูทำร้ายผู้อื่น!” พวกทหารชั่ว อย่าคิดว่าจะฉวยโอกาสสังหารยามที่ข้าสลบได้เลย อยากจะให้ข้าตาย มันไม่ง่ายถึงเพียงนั้นหรอก!
ฉู่เหิงจือตะลึงตาค้าง เขาตื่นตระหนกกับท่าทางของนางที่เกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผล
“เจ้าพูดอะไรออกมา”
สู้กันซึ่งๆ หน้า? ลอบยิงธนูทำร้ายผู้อื่น? นางกำลังพูดอะไรอยู่
เพียงแต่เขายังไม่ได้ถามให้ชัดเจน สตรีนางนี้ก็ตาเหลือกและล้มลงไป
ครั้นกวนอวิ๋นซีล้มลง จิ่นเซียงที่เดิมทีกำลังตระหนกตกใจก็ร่ำไห้ด้วยความร้อนใจอีกครา
เมื่อครู่เขาสัมผัสได้ถึงพลังบ้าเลือดของนาง และคำพูดของนางก็ชวนให้เขานึกสงสัย หรือว่าที่นางกระโดดน้ำเพราะถูกคนอื่นทำร้าย?
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะต้องสืบให้รู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เขาตีหน้าขรึมโดยพลัน ออกคำสั่งกับบ่าวไพร่ข้างกาย “ยกร่างแม่นางกวนขึ้นรถม้า ส่งนางกลับจวนสกุลกวน”
ครั้นเยี่ยเฟิงฟื้นขึ้นมาก็พบว่าวิญญาณตนมาอยู่ในร่างของผู้อื่น ร่างนั้นยังเป็นสตรีผู้อ่อนแอ นางงามหยาดเยิ้มมีชาติตระกูล แบกอะไรก็ไม่ได้ ถือของนิดหน่อยก็ไม่ไหว เดินเพียงไม่กี่ก้าวก็หอบ
เดิมทีนางเป็นโจรภูเขาที่ทางการหมายหัว ทว่ากลับต้องมามีชีวิตใหม่ในร่างของบุตรสาวขุนนางนามว่ากวนอวิ๋นซี
หลังจากที่ตื่นตระหนกนางก็สงบจิตสงบใจลงโดยเร็ว
นางเป็นคนใจกล้า มีวรยุทธ์สูงส่งมาตลอด นางไม่เคยตอบสนองต่อเหตุการณ์ด้วยการตระหนกตกใจ ยิ่งอยู่ในสถานการณ์อันตรายนางยิ่งสุขุมเยือกเย็น
หลังจากผ่านพ้นความงงงันนั้นมานางก็ยอมรับความจริงได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะมีชีวิตใหม่ในร่างใดก็ล้วนไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือนางมีชีวิตรอดกลับมา ส่วนภารกิจที่ยังไม่สำเร็จนางก็ต้องมาจัดการต่อให้ลุล่วง
อย่างแรกต้องทำความเข้าใจกับฐานะใหม่ของนางเสียก่อน
กวนอวิ๋นซี อายุสิบเจ็ดปี เป็นบุตรสาวคนโตของใต้เท้าผู้ตรวจการในเมืองฉางโจว เพราะถูกตระกูลเสนาบดีฉู่ถอนหมั้นจึงคิดไม่ตกไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย
“เจ้าว่าอะไรนะ” กวนอวิ๋นซีประหลาดใจยิ่งนัก
จิ่นเซียงเห็นคุณหนูหน้าถอดสีจึงเพิ่งรู้ตัวว่าตนพลั้งปากไป รีบคุกเข่าลงยอมรับผิด
“บ่าวพลั้งปากไปเจ้าค่ะ บ่าวไม่ควรพูดถึงเรื่องถอนหมั้นอีก ทำให้คุณหนูเสียใจ ขอคุณหนูโปรดลงโทษบ่าวเถิดเจ้าค่ะ” จิ่นเซียงเอ่ยพลางร่ำไห้ น้ำมูกน้ำตาไหล
กวนอวิ๋นซีโบกมือโดยพลัน “ไม่ใช่เรื่องนี้ ประโยคก่อนหน้าที่จะถอนหมั้น เจ้าพูดใหม่อีกรอบซิ”
จิ่นเซียงตะลึงงัน ครุ่นคิดไปมาแล้วพึมพำว่า “ว่าที่สามีของคุณหนูคือคุณชายฉู่…”
“ประโยคก่อนหน้านั้นอีก”
“เอ่อ…ตระกูลเสนาบดี?”
“ใช่ ประโยคนี้ เจ้าบอกว่ากวน…ข้าหมายความว่าข้าหมั้นหมายไว้กับตระกูลเสนาบดี?”
“ใช่เจ้าค่ะ…”
กวนอวิ๋นซีกะพริบตาปริบๆ ที่แท้นางก็ฟื้นคืนมาในร่างของบุตรสาวของกวนปัง แล้วยังหมั้นหมายไว้กับคุณชายตระกูลเสนาบดีด้วย?
ดีเลย! สวรรค์มีตาโดยแท้ ให้โอกาสนางได้มีชีวิตใหม่ในสกุลกวน นี่ไม่เท่ากับช่วยเหลือนางหรือ นางมีฐานะใหม่ก็จะกระทำการใหญ่ได้อีกครั้ง ช่างประเสริฐนัก
“ไม่สิ ผู้ตรวจการเป็นเพียงแค่ขุนนางขั้นหก เป็นขุนนางตัวเล็กๆ ตัดสินใจทำเรื่องใหญ่ไม่ได้หรอก อย่างมากก็เป็นได้เพียงหมากของผู้อื่นเท่านั้น หากเป็นขุนนางใหญ่ขั้นสามขึ้นไปก็ดีน่ะสิ แต่ไม่เป็นไร ตระกูลเสนาบดีเป็นถึงขุนนางใหญ่ขั้นสอง…ช้าก่อน…” นางหันไปถามจิ่นเซียง “เจ้าว่าข้าถูกถอนหมั้น คนจากตระกูลเสนาบดีนึกเสียใจจึงไม่มาสู่ขอข้า?”
จิ่นเซียงขอโทษขอโพย นางอยากจะร้องไห้แต่ร้องไม่ออก “จิ่นเซียงพลั้งปากไปแล้วเจ้าค่ะ…”
“อย่าเพิ่งพูดเรื่องพลั้งปาก พูดมาตามตรงก็พอ ข้าถูกถอนหมั้นจริงๆ หรือ”
จิ่นเซียงไม่กล้าปิดบังนางจึงพูดไปตามจริงอีกรอบ ในใจคิด คุณหนูคงได้รับความกระทบกระเทือนจริงๆ ด้วย จนถึงบัดนี้นางยังยอมรับเรื่องถอนหมั้นไม่ได้ คุณหนูทั้งรักและนับถือคุณชายฉู่มานานหลายปี …
ครั้นได้ยินเรื่องถอนหมั้น กวนอวิ๋นซีเพียงแต่รู้สึกเสียดาย
“ไยไม่ให้ข้าไปมีชีวิตใหม่ในร่างนางสนม”
หากนางได้มีชีวิตใหม่อยู่ข้างกายฮ่องเต้ นางก็จะได้ใช้อำนาจรังแกคนอื่นได้…จู่ๆ นางก็รู้สึกถึงแววตาที่คอยสอดส่องจากด้านข้าง ครั้นหันไปก็สบตาเข้ากับจิ่นเซียงที่กำลังมองตรวจสอบอยู่
“คุณหนู ท่านจำไม่ได้หรือเจ้าคะ”
กวนอวิ๋นซีปิดบังความเจ้าเล่ห์ในดวงตาไว้ เอ่ยอย่างไร้เดียงสา “ไม่มีอะไร ตั้งแต่ตอนที่ข้ากระโดดน้ำจนถึงยามนี้สมองยังคงเลอะเลือน ลืมไปหลายเรื่อง กวน…ท่านพ่อคงเสียใจมากกระมัง”
น่าแปลก บุตรสาวของตนกระโดดน้ำ มารดามาเยี่ยมเยียนแล้ว ไยจึงไม่เห็นว่าบิดาจะเป็นห่วงเลย
“นายท่านไปหาคุณชายฉู่เจ้าค่ะ”
“คุณชายฉู่คือใคร”
พอโพล่งวาจานี้ออกไปนางก็เห็นจิ่นเซียงอ้าปากค้าง กวนอวิ๋นซีตระหนักได้ว่าตนพูดผิดอีกแล้ว รีบยื่นมือไปดันคางจิ่นเซียงให้ปิดปาก
“เฮ้อ เจ้าคงไม่รู้ การกระโดดน้ำจะกระทบกระเทือนไปถึงสมอง เจ้าลองเล่ามาให้ข้าฟังทีละเรื่อง ไม่แน่ว่าคุณหนูของเจ้าอาจจะฟื้นฟูความจำได้ กลับมาแข็งแรงโดยเร็ว”
โชคดีที่จิ่นเซียงไม่เฉลียวฉลาดและไม่มีไหวพริบเอาเสียเลย คุณหนูก็หุนหันพลันแล่น สาวใช้ข้างกายก็ทึ่มเข้าไปอีก มิน่าเล่าถึงได้กระโดดน้ำ คิดจะจบชีวิตน้อยๆ นี้ลง
จากการชักนำของนาง จิ่นเซียงก็เล่าเหตุที่กวนอวิ๋นซีกระโดดน้ำและผลที่ตามมารอบหนึ่ง ทั้งยังเล่าถึงความสัมพันธ์ของสกุลกวนและสกุลฉู่จากรุ่นปู่จนมาถึงรุ่นนี้ แม้จะไม่ได้พูดถึงรายละเอียดใหญ่น้อย ทว่าก็เล่าประเด็นสำคัญส่วนใหญ่
เยี่ยเฟิงที่ได้ฟื้นคืนชีพมาใหม่ ตั้งแต่นี้ต่อไปนางก็จะกลายเป็นกวนอวิ๋นซี นางไม่แยแสว่าจะถูกถอนหมั้นหรือไม่ และไม่สนฐานะคุณหนูในตระกูลขุนนางแม้แต่น้อย ยิ่งไม่สนว่าว่าที่สามีจะรักใคร จะสู่ขอใคร สิ่งที่นางสนใจก็คือฐานะใหม่นี้จะทำให้นางทำภารกิจได้สะดวกและมีเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์
จากวาจาของจิ่นเซียงก็พอรู้ว่ากวนอวิ๋นซีเป็นสตรีที่อยู่แต่ในเรือน อารมณ์อ่อนไหว และดื้อดึงทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง เช่นนั้นจึงไปกระโดดน้ำเพียงเพราะถูกบุรุษถอนหมั้น
แผ่นดินกว้างใหญ่ ไม่มีลูกท้อลูกนี้ก็ไปเด็ดลูกพลับอีกลูกแทน ไม่มีดอกโบตั๋นดอกนี้ก็เปลี่ยนเป็นดอกกล้วยไม้แทนก็ได้!
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความคิดของหัวหน้าใหญ่ค่ายอูเจียงเท่านั้น นางไม่มีทางจะเข้าใจความอ่อนไหวและเปราะบางในใจของคุณหนูผู้สูงศักดิ์ผู้นี้ว่ารักลูกท้อหรือดอกโบตั๋นนั้นมากเพียงใด
หัวหน้าใหญ่จากค่ายบนภูเขาไม่เคยยึดติดกับเรื่องเล็กน้อย นางรู้เพียงว่าการสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้คือสิ่งที่สำคัญที่สุด
กวนอวิ๋นซีฉวยโอกาสหลายวันนี้แกล้งป่วยพักผ่อนอยู่ในห้อง นางต้องทำความเข้าใจกับร่างนี้ว่าจะใช้สอยอะไรได้บ้าง
กวนอวิ๋นซีอายุน้อยกว่านางสามปี เตี้ยกว่าครึ่งศีรษะ เอวก็บางกว่าหนึ่งชุ่นเท้าก็เล็กกว่าครึ่งชุ่น
พลังช่วงกลางของร่างกายไม่เพียงพอ จุดตันเถียนตื้นเขิน อ่อนกำลัง ปกติใช้ชีวิตอยู่แต่ในเรือน ไม่ได้ออกกำลัง ยามเดินพลังจึงเปลืองเวลากว่าปกติสองเค่อเรื่องเหล่านี้นับว่ายังไม่เร่งด่วน เรื่องเดียวที่ต้องรีบก็คือวรยุทธ์ ครั้นพูดถึงเรื่องนี้นางก็อยากด่าคนนัก
ร่างใหม่นี้สวยสดงดงามแล้วมีประโยชน์อะไร ยามนี้วรยุทธ์ของนางเหลือเพียงเจ็ดส่วนเท่านั้น
เจ็ดส่วน! ลดลงไปตั้งสามส่วน! สามส่วนคือเท่าไร! ข้าต้องใช้เวลาฝึกทักษะถึงห้าปีเชียว!
เดิมทียามนางเดินพลังก็สามารถโค่นต้นไม้ขนาดสองคนโอบลงได้ แต่ยามนี้โค่นได้เพียงต้นไม้ต้นเล็กๆ เท่านั้น
เดิมทีวิชาตัวเบาของนางสามารถกระโดดไปได้สูงถึงห้าฉื่อยามนี้เหลือเพียงสามฉื่อครึ่ง
แต่ก่อนนางสามารถกระโดดไปไกลถึงห้าจั้งยามนี้กระโดดได้แค่เพียงสามจั้ง
เดิมทีนางยกก้อนหินก้อนใหญ่ได้ ยามนี้ต้องระวังว่าจะถูกก้อนหินทับเอา
ขณะที่ขว้างอาวุธลับไป ความแม่นยำนั้นไม่มีพลาด แต่ระยะทางกลับไปไม่ถึง ผลไม้บนต้นไม้ยังแขวนอยู่ที่เดิม ทว่าอาวุธลับกลับโดนรังผึ้งที่อยู่ด้านล่าง ทำให้นางแทบหนีไม่ทัน
กวนอวิ๋นซีขมวดคิ้วมุ่นพลางใคร่ครวญอย่างหนัก ในที่สุดนางก็คิดตก เกิดเป็นคนมักต้องมีได้มีเสีย ฐานะบุตรสาวตระกูลขุนนางนี้เป็นประโยชน์ต่อตัวนาง ทว่าก็ต้องแลกมากับร่างที่เปราะบางเกินไปร่างนี้
คิดไปในทางที่ดี อย่างน้อยที่สุดก็ยังมีตามีจมูก เรื่องวรยุทธ์ค่อยฝึกใหม่ก็แล้วกัน
ในเวลากลางวันนางจะเงียบไม่พูดไม่จา อย่างมากก็เรียกจิ่นเซียงสาวใช้ข้างกายมาสอบถามเรื่องราว ถ้ามีคนมานางก็จะแสร้งทำเป็นอ่อนแอต้องพักผ่อนเพื่อไม่ให้ใครพบเห็นความผิดปกติ
ยามค่ำคืนนางสกัดจุดหลับของสาวใช้แล้วย้ายร่างอีกฝ่ายขึ้นเตียง หลังจากปล่อยผ้าม่านลงมานางก็แอบหนีออกไป แสดงวิชาตัวเบาเหาะขึ้นไปบนหลังคา ทว่านางกลับคว้าไม่ถึงขอบหลังคา พลาดไปไม่กี่ชุ่น คล้ายกับวานรแขวนค้างอยู่ที่ชายคาแกว่งไปมา จากนั้นนางก็ใช้ทั้งสองมือปีนป่ายขึ้นไปจนสำเร็จ
ครั้นออกมานอกกำแพงสูงของจวนสกุลกวนนางก็ปิดบังร่องรอยมาตลอดทาง หลบหลีกพวกลาดตระเวนพวกเฝ้าประตูเมืองเข้าไปในอี้จวง
อี้จวงก็คือสถานที่ใช้จัดเก็บศพโดยเฉพาะ นางสืบข่าวมาแล้วว่าร่างเดิมของนางถูกเก็บไว้ที่นี่
ภายในเรือนมืดครึ้ม มีศพตั้งเรียงอยู่มากมาย นางค่อยๆ เดินคลำทางไปพลางจุดกลักไฟขึ้น ตรวจสอบทีละศพอย่างละเอียด
เมื่อเห็นศพของพี่น้องในหลายวันก่อน ดวงตานางก็แสดงความปวดใจออกมา
ศพของพี่น้องจากค่ายบนภูเขาห้าหกศพที่สละชีวิตนอนเรียงรายอยู่บนพื้น ทุกคนล้วนต่อสู้มากับนาง เนื่องจากเสียชีวิตมายังไม่เกินสามวันกอปรกับยามนี้เป็นฤดูเหมันต์ ดังนั้นศพจึงยังคงไม่เน่าเปื่อย ไม่ส่งกลิ่นเหม็น
กวนอวิ๋นซีหลับตาลง หลังจากสงบใจได้นางก็ลืมตาขึ้น ในสายตานางล้วนเป็นภาพที่สงบและเงียบงัน
นางเลิกเสื่อฟางขึ้นมา มองไปทีละศพ เมื่อนางหาศพตนเองพบก็ตะลึงงันไปในทันใด
นี่คือความรู้สึกที่ประหลาดนัก แทบไม่อยากเชื่อแต่ก็เศร้าใจอยู่บ้าง
นางมองดูตนเองนอนหลับตาอยู่ตรงนั้นอย่างสงบคล้ายว่าหลับไปกระนั้น เรื่องราวในอดีตราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ครั้นฟื้นขึ้นมาอีกคราทุกสิ่งล้วนแปรเปลี่ยน นางกลับกลายเป็นอีกคนหนึ่งไปแล้ว
กวนอวิ๋นซีมองร่างของตนที่นอนอยู่ตรงนั้นด้วยความหนาวยะเยือก หลังจากเงียบไปได้ชั่วครู่นางก็สูดหายใจเข้าลึกๆ
ช่างเถิด เป็นเพียงศพเท่านั้น ถือเสียว่าเปลี่ยนเรือนที่พักแล้วกัน! ตอนนี้นางยังมีเรื่องสำคัญต้องจัดการ
เมื่อนางเลิกเสื่อฟางขึ้นทั้งหมดก็ต้องตกตะลึงอีกครา
เดิมทีนางเลิกเสื่อฟางเพียงเล็กน้อย เห็นเพียงดวงหน้ายังไม่เห็นเรือนร่าง ยามนี้จึงพบว่าร่างนางถูกห่อคลุมด้วยเสื้อกันลมสีดำ
นี่คือเสื้อกันลมของบุรุษ ปกเสื้อปักด้วยขนหมาป่าอย่างดีไว้โดยรอบ เนื้อผ้าชั้นดี แล้วยังปักลวดลายดอกกล้วยไม้ไว้ที่ปลายปกเสื้อ
น่าแปลก หลังจากที่นางตาย ใครกันที่ห่อร่างนางด้วยเสื้อกันลมชั้นดีเช่นนี้ ราวกับว่ากำลังแสดงถึงความเคารพและรักทะนุถนอมต่อผู้ตายกระนั้น
นางยื่นมือไปลูบเนื้อผ้าอย่างเบามือ เป็นเนื้อผ้าชั้นดีจริงๆ ช่างอบอุ่นเหลือเกิน มันห่อหุ้มร่างเดิมของนางไว้ ทว่าก็เผื่อแผ่ความอบอุ่นมายังหัวใจในร่างใหม่นี้ด้วย
นางยกมุมปาก ในใจคิดว่าหรือจะมีใครแอบหลงรักนางอยู่
นางเผลอยิ้มออกมาพลางส่ายหน้า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องขอบคุณคนผู้นั้นที่ยังรักษาเกียรติไว้ยามที่นางตาย
นางคลำไปบนร่าง เพียงชั่วครู่ก็เจอสิ่งที่ตามหาพลันถอนหายใจโล่งอก โชคดีที่ของสิ่งนี้ยังอยู่ คืนนี้นับว่ามาไม่เสียเที่ยว
เหตุที่นางมาที่นี่ก็เพื่อจะเอาตราประทับหินอันนี้กลับไป
ตราประทับหินนี้ถูกแกะสลักขึ้นเป็นพิเศษและเป็นสิ่งของแทนตัวนาง นางเย็บติดด้านในกางเกงตรงช่วงเอว โชคดีที่ไม่มีใครพบเห็น ครั้นมีตราประทับหิน นางก็จะมีจุดเชื่อมโยงกับตนเองในชาติก่อนได้ สามารถจัดการเรื่องราวได้สะดวกขึ้น
นางห่อตราประทับหินไว้ในผ้าอย่างระมัดระวัง บรรจุลงในกล่อง จากนั้นก็ใส่ลงไปในถุงผ้าที่เอว
แสงไฟสั่นไหวเล็กน้อยคล้ายกับมีลมพัด นางตกตะลึงโดยพลันจึงหันหน้าไปทันที ทันใดนั้นก็เห็นเงาร่างสูงเพรียวยืนอยู่ที่หน้าประตู และแววตาเฉียบคมคู่นั้นกำลังจ้องมาที่นางอย่างเย็นเยียบ
บทที่ 2
“เจ้าเป็นใคร”
น้ำเสียงของบุรุษผู้นี้ช่างทุ้มต่ำและมีพลัง เสียงนั้นดังมาในค่ำคืนอันมืดมิด ดังก้องราวเสียงของหินที่โยนลงไปในบ่อน้ำเก่าๆ
กวนอวิ๋นซีร่ำร้องในใจว่าแย่แล้ว นางตกใจแทบแย่ ดึกดื่นเช่นนี้ยังมีคนไม่หลับไม่นอนแล้วมาที่อี้จวง? หากไม่เห็นว่าเขามีเงานางคงจะนึกว่าเจอผีเข้าจริงๆ เสียแล้ว
นางขมวดคิ้วมองตรวจสอบฝ่ายตรงข้าม บุรุษผู้นี้สวมอาภรณ์สีขาวสะอาดทั้งยังสวมหน้ากากสีเงินอีกด้วย เมื่อเทียบกับนางที่แต่งกายด้วยอาภรณ์และหน้ากากสีดำทะมึนช่างดูต่างกันโดยสิ้นเชิง หากมีบุคคลที่สามอยู่ในเหตุการณ์ ไม่แน่ว่าคนผู้นั้นอาจจะนึกว่านางและเขาเป็นยมทูตขาวดำก็เป็นได้!
นางเพิ่งจะรู้สึกตัวตอนที่เขาเข้ามาด้านในแล้ว เห็นได้ชัดว่าสัมผัสทั้งหกของนางแย่ลงมาก
กวนอวิ๋นซียื่นมือไปหยิบเสื่อฟางขึ้นมาคลุมร่างเดิม ถึงอย่างไรนางก็ได้ของที่ต้องการแล้ว จุดประสงค์ของการมาในคืนนี้สำเร็จลุล่วง ดังนั้นก็ฉวยโอกาสหนีดีกว่า
“คิดจะหนีหรือ”
ฉู่เหิงจือตะคอกเสียงเย็น ตัวเขายังมาไม่ถึง ทว่าพลังกระบี่โจมตีมาก่อน
กวนอวิ๋นซีรีบหลบเป็นพัลวัน บนไหล่รู้สึกเจ็บแปลบ พลังกระบี่กรีดเสื้อขาด ฝากรอยแผลไว้หนึ่งรอย
นางยังไม่ทันได้หอบหายใจพลังกระบี่ของอีกฝ่ายก็มาถึงตัว ภายใต้ภาวะคับขันทำให้นางต้องรีบชักดาบออกมารับมือ
ภายในอี้จวง ทั้งสองคนต่อสู้ฟาดฟันด้วยดาบและกระบี่
สถานการณ์เช่นนี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อนางเลย วรยุทธ์ของนางเหลือเพียงเจ็ดส่วน กำลังภายในเองก็ไม่เพียงพอ ตอนนี้นางกำลังพยายามปรับตัวกับร่างนี้อยู่ คล้ายกับว่าสวมรองเท้าที่ไม่พอดีกับเท้าอย่างไรอย่างนั้น ยามต้องการจะแสดงเพลงดาบออกมา ถ้าไม่คาดคะเนระยะใกล้ไปหนึ่งชุ่นจนฟันไม่โดนก็เคลื่อนไหวช้าไปเล็กน้อย
นางร่ำร้องในใจว่าแย่แล้วอีกครั้ง สมองนางยังจำกระบวนท่าได้แล้วจะมีประโยชน์อะไร นางทำเหมือนเดิมทุกอย่าง กระบวนท่าทั้งหมดถูกต้อง แต่กำลังไม่เพียงพอ!
ปากเสือ* ด้านชา ดาบในมือนางถูกปัดตกลงไปทันใด ปลายกระบี่อันเย็นยะเยือกจี้มาถึงลำคอ
“บอกชื่อเจ้ามา มิเช่นนั้นกระบี่ของข้าจะไม่ปรานีเจ้า” เขาเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“ท่านจอมยุทธ์ ผู้น้อยมีนามว่าหลี่ซื่อ อาศัยในหมู่บ้านสกุลหวัง อยู่ในลำดับที่แปด ปกติขายไข่เลี้ยงชีพ ท่านโปรดปรานีผู้น้อยด้วยเถิด!” นางเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า
“ดึกดื่นป่านนี้เจ้ามายังอี้จวงด้วยเหตุใด”
“ท่านจอมยุทธ์ ในอี้จวงล้วนมีแต่คนตาย ผู้น้อยคงไม่อาจมาขโมยเงินที่นี่ได้กระมัง”
ฉู่เหิงจือหรี่ตาจ้องฝ่ายตรงข้าม สายตาอันเฉียบคมเหลือบไปมองด้านข้างแวบหนึ่ง มือที่ถือพัดจีบไว้ยื่นไปทางศพนั้น เขาอยากจะเลิกเสื่อฟางขึ้นมา ครั้นกวนอวิ๋นซีเห็นถึงสถานการณ์ ทั้งสองมือก็รีบยื่นมากดเสื่อฟางเอาไว้
“ห้ามดูนะ!”
เมื่อครู่นางรีบร้อนจึงไม่ได้คลุมเสื้อกันลมให้กับศพเรียบร้อยดี!
ฉู่เหิงจือเห็นนางลุกลี้ลุกลนเช่นนี้ก็ยิ่งแน่ใจว่าต้องมีปัญหา เมื่อครู่นางต้องค้นศพนี้แน่ แล้วถ้าเขาอยากจะดู ใครก็ห้ามไม่ได้ทั้งนั้น
ครั้นเขาโบกพัดในมือ สายลมแรงก็พัดไป แค่เสื่อฟางคงทนต่อการทำลายล้างของกำลังภายในไม่ได้จึงแหลกสลายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเผยให้เห็นศพสตรีที่อยู่เบื้องล่าง
ฉู่เหิงจือตะลึง นึกไม่ถึงว่าเบื้องล่างเสื่อฟางผืนนั้นจะเป็นร่างของสตรีในสภาพเกือบเปลือยเปล่า เขารู้จักนาง นางก็คือหัวหน้าใหญ่แห่งค่ายอูเจียง
“ลามก…”
เสียงกรีดร้องของสตรีทำให้ฉู่เหิงจือตกใจแทบแย่ ตัวกระบี่สั่นเทาทำให้เล็งไม่แม่น
กวนอวิ๋นซีฉวยโอกาสนี้รีบหยิบเสื่อฟางด้านข้างมาม้วนศพนั้น แล้วแบกศพกำลังจะวิ่งหนี นี่คือการปล้นศพชัดๆ
ฉู่เหิงจือหยิบก้อนหินก้อนเล็กขึ้นมาดีดไปโดนเส้นเอ็นที่ข้อพับขานางพอดี ฝ่ายตรงข้ามร้องออกมาพลางล้มลง ศพสตรีที่กอดไว้ก็ร่วงลงบนพื้นกลิ้งไปรอบหนึ่ง
เขาเดินมายังเบื้องหน้า ใช้กระบี่จี้ลงไปที่ตัวนาง
“เจ้าเป็นใคร ไยมาขโมยศพในอี้จวงในยามค่ำคืนเช่นนี้”
กวนอวิ๋นซีบันดาลโทสะทันที พูดก็พูดสิ ข้ากลัวใครที่ใดกัน!
นางกระโดดลุกขึ้นจากพื้น ไม่แยแสต่อปลายกระบี่ของเขา ดึงผ้าดำที่ใช้ปิดหน้าลงเผยให้เห็นดวงหน้าที่แท้จริง
ฉู่เหิงจือประหลาดใจยิ่ง เขาจ้องนางอย่างไม่อยากเชื่อ
แสงไฟสะท้อนดวงหน้าที่งดงามนั้น เป็นนางจริงๆ ด้วย!
เขาคาดไม่ถึงจริงๆ และด้วยเหตุนี้ทำให้กวนอวิ๋นซีได้ที นางลงมืออย่างรวดเร็ว ดึงหน้ากากของเขาลงมาด้วย
ครั้นเห็นหน้าตาที่แท้จริงของฝ่ายตรงข้าม นางก็จ้องเขาอย่างงงงัน
เบื้องหลังหน้ากากนั้น ใบหน้าอันหล่อเหลาสะท้อนเข้าสู่ดวงตานาง สิ่งที่ดึงดูดสายตาไม่ใช่คิ้วที่คมเข้ม ดวงตาที่เป็นประกาย จมูกที่โด่งเป็นสัน หรือริมฝีปากบางอันน่าหลงใหล ทว่าเป็นรอยช้ำวงใหญ่ตรงกลางใบหน้า
นางกระจ่างแจ้งในทันใดแล้วเอ่ยกับเขาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “การถูกทำให้เสียโฉมไม่ใช่ความผิดของท่าน ครั้งนี้ข้าล่วงเกินท่านแล้ว ข้าขอคืนหน้ากากให้ท่าน” ที่แท้เขาก็ใช้หน้ากากปิดบังความอัปลักษณ์
แววตาอันเฉียบคมของฉู่เหิงจือราวกับอยากฆ่าคน “ข้าก็ต้องขอขอบคุณในฝีมือของแม่นางกวน”
นางประหลาดใจยิ่ง “ท่านรู้จักข้าด้วย?”
“แล้วเจ้าว่าอย่างไรเล่า” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าสะพรึง
นางมองตรวจสอบเขาพลางพึมพำ “ข้าก็รู้สึกว่าคุ้นหน้าท่านอยู่บ้าง”
ฉู่เหิงจือยิ้มเย็น “กวนอวิ๋นซี เจ้ากลับแสร้งเป็นไม่รู้ ข้าฉู่เหิงจือคงมองเจ้าผิดไปแล้ว”
ฉู่เหิงจือ? นางรู้สึกประหลาดใจอีกครา มิน่าเล่านางถึงรู้สึกคุ้นหน้า ที่แท้รอยช้ำดวงนี้เป็นผลงานยิ่งใหญ่ชิ้นแรกของนางหลังจากที่ฟื้นคืนชีพมาอีกครั้ง
“ที่แท้ท่านก็คือคุณชายฉู่นี่เอง! หึ กลางค่ำกลางคืนไม่นอน ท่านจะมาเล่นสนุกอะไรหรือ”
นางรู้เรื่องราวทั้งหมดหลังจากฟื้นขึ้นมาจากจิ่นเซียงแล้ว ทั้งยังรู้ว่ากวนอวิ๋นซีตัวจริงกระโดดน้ำเพราะถูกทางตระกูลเสนาบดีขอถอนหมั้น
นางไม่ได้มีแผลใจหรือภาระทางใจกับบุรุษผู้นี้ แล้วนางก็ไม่เชื่อว่าเขาจะกล้าสังหารนาง
ฉู่เหิงจือตีหน้าขรึม นึกไม่ถึงว่าคนที่ประมือกับตนจะเป็นกวนอวิ๋นซี เขายิ่งแปลกใจว่านางก็มีวรยุทธ์ด้วย? ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าแม่นางกวนฝึกวรยุทธ์ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่านางจะบุกอี้จวงในยามวิกาล
กวนอวิ๋นซีไม่รอให้ฉู่เหิงจือเอ่ยปาก นางชิงเตือนขู่ขวัญเขาก่อน
“ปิดตาเสีย ห้ามแอบดู!”
นางเดินลากขาที่ด้านชาไปรีบเก็บศพของตนเอง ซวยจริงๆ ทั้งตายทั้งสูญเสียพรหมจรรย์แล้วก็ช่างเถอะ นี่ยังมาล้มไม่เป็นท่าอีก
ฉู่เหิงจือหันหน้าหนีพลางเก็บดาบ ขมวดคิ้วมุ่น เขารู้สึกว่าสตรีนางนี้จัดการยากอยู่บ้าง จู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าจะจัดการนางเช่นไรดี ยิ่งสงสัยในการปรากฏตัวของนางด้วย
แม้พวกเขาทั้งสองจะถูกคลุมถุงชน ทว่าฉู่เหิงจือใช้ชีวิตอยู่ในเมืองอื่นมาหลายปี กลับมายังเมืองหลวงน้อยครั้ง ด้วยเหตุนี้จึงไม่คุ้นเคยกับกวนอวิ๋นซีผู้เป็นว่าที่ภรรยา รู้แต่เพียงว่านางก็เหมือนบุตรสาวขุนนางคนอื่นๆ ใช้ชีวิตอยู่แต่ในเรือนมาตั้งแต่เล็ก เขารู้จักนางเพียงเท่านี้ แต่ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่านางมีวรยุทธ์
ทว่าตั้งแต่วันที่เขาถูกนางชกโดยไม่มีสาเหตุ เขาก็จำนางได้ขึ้นใจ
กวนอวิ๋นซีเก็บศพของตนเองแล้วยกขึ้นไปวางบนกระดานไม้ ครั้นหันมาก็ยังคงเห็นฉู่เหิงจือจ้องมาที่นางอย่างเย็นเยียบ นางก็ถลึงตากลับอย่างไม่กลัวเกรง
“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าโจรที่บุกมาที่อี้จวงในยามวิกาลก็คือคุณหนูสกุลกวน และที่เกินความคาดหมายยิ่งกว่าก็คือแม่นางกวนมีวรยุทธ์ด้วย”
“ข้าก็คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะมีพวกบ้ากามบุกรุกเข้ามาในอี้จวงยามวิกาล ที่แท้ก็เป็นคุณชายฉู่ และที่ยิ่งเกินความคาดหมายก็คือคุณชายฉู่ต้องการจะลวนลามศพสตรี”
ฉู่เหิงจือหน้าถอดสีในทันที เอ่ยด้วยสุ้มเสียงน่าสะพรึง
“เจ้าพูดบ้าอะไร”
“ข้าพบคนเช่นไรก็พูดจาเช่นนั้น ที่ท่านเห็นร่างเกือบเปลือยเปล่าของสตรีก็แย่อยู่แล้ว นี่ยังอยากจะลูบคลำอีก”
“เหลวไหล!”
“ในเมื่อเหลวไหล ท่านก็อย่าไปมองอย่าไปลูบคลำสิ!” นั่นคือเรือนร่างของนางที่เกือบจะเปลือยเปล่า นางเสียเปรียบโดยแท้
“เจ้าอย่าเปลี่ยนเรื่อง ข้าถามเจ้า เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
“ข้าสงสัย มาดูไม่ได้หรือ แล้วท่านมาทำอะไรที่นี่ อยากปล้ำศพหรือ”
สีหน้าของฉู่เหิงจือเปลี่ยนเป็นน่าสะพรึงกลัว “จะพูดจาอะไรก็ระวังด้วย”
“ท่านสิที่ต้องระวัง ถ้าท่านกล้าแตะต้องตัวนางอีก ข้าจะตัดมือท่านเสีย!”
ฉู่เหิงจือขมวดคิ้ว สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายโมโหมากจริงๆ
อี้จวงแห่งนี้เก็บศพของพวกโจรภูเขาที่ถูกปราบไปเมื่อหลายวันก่อน เขามาที่นี่ก็เพื่อสืบคดี ส่วนนางมาทำอะไรกันแน่ พอนึกได้ว่านางเป็นห่วงศพนั้นเช่นนี้ก็อดสงสัยไม่ได้
“เจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกับสตรีนางนั้น”
“เกี่ยวอะไรกับท่านด้วย”
“ที่นี่ล้วนมีแต่ศพโจรภูเขา เจ้ากลับเข้ามาในยามวิกาล ตีองครักษ์ที่เฝ้าอี้จวงสลบ ด้อมๆ มองๆ พลิกศพนั้นศพนี้ ทำให้คนต้องสงสัยว่าเจ้ามีความสัมพันธ์กับคนเหล่านี้ หากเรื่องนี้ลือออกไปเกรงว่าพอถึงเวลานั้นใต้เท้ากวนจะเป็นที่สงสัยว่ามีส่วนรู้เห็นกับโจร”
เดิมทีคิดว่าถ้าเอ่ยเช่นนี้จะเห็นภาพนางตื่นกลัว ใครจะไปรู้ว่านางไม่ลุกลี้ลุกลนสักนิด เอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเนิบช้า “สกุลกวนมีส่วนรู้เห็นกับโจรผู้ร้าย เรื่องนี้ไม่แปลกเท่าไร แต่ถ้าหากสกุลฉู่มีส่วนรู้เห็นกับพวกโจร นั่นสิถึงจะเป็นข่าวใหญ่!”
ครั้นเอ่ยถึงตรงนี้ก็เห็นดวงตาของฉู่เหิงจือแฝงด้วยรังสีอำมหิตไว้ตามคาด ทว่านางยิ่งยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“บิดาของท่าน ใต้เท้าเสนาบดีคงมีศัตรูในราชสำนักไม่น้อยกระมัง หากโดนฝ่ายศัตรูจับจุดอ่อนนี้ได้ใต้เท้าเสนาบดีก็คงจะต้องปวดหัวเป็นแน่”
“ดูท่าแม่นางกวนจะเป็นน้ำนิ่งไหลลึก ข้าคงประเมินเจ้าต่ำไป”
ยามนี้กวนอวิ๋นซีเผชิญหน้ากับเขาที่โทสะกำลังพลุ่งพล่านแต่ก็ไม่เกรงกลัวสักนิด นางต่อสู้ฟาดฟันมาเป็นแรมปี ไยจะต้องตื่นตระหนกกับเรื่องแค่นี้เล่า
ถึงจะโดนฉู่เหิงจือจับได้ที่ตนแอบย่องออกมาจากจวนในยามวิกาลแล้วอย่างไร เขาสงสัยนางแล้วอย่างไร เรื่องเหล่านี้ไม่ต้องกังวลใจเสียด้วยซ้ำ
ทั้งสองประจันหน้ากันครู่หนึ่ง บรรยากาศคล้ายเครื่องสายที่ขึงตึง ต่างก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน สีหน้าเขาเปลี่ยนไปในทันใด ไม่จำเป็นต้องพูดจา เขายื่นมือออกไปอย่างรวดเร็วหมายจะควบคุมตัวนาง ปิดปากนางไว้ แล้วรีบแฉลบกายไปซ่อนตัวในที่ลับ
กวนอวิ๋นซีไม่ดิ้นรนแม้แต่น้อย ไม่ต้องเอื้อนเอ่ยนางก็รู้ว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ฉู่เหิงจือต้องสัมผัสได้ถึงความผิดปกติเล็กน้อยด้านนอกแน่ แม้นางจะไม่รู้สึกถึงอะไรเลย แต่นางก็พอดูการเคลื่อนไหวของเขาออกอยู่บ้าง
ฉู่เหิงจือสัมผัสได้ว่ามีคนมาจริง เดิมคิดว่านางจะขัดขืน ในยามคับขันอาจจะต้องตีนางจนสลบ แต่กลับคิดไม่ถึงว่านางจะยอมร่วมมือโดยง่าย
นางสะกิดหลังมือเขาที่ปิดปากนางอยู่อย่างไม่พอใจ บอกเป็นนัยให้เขาเอามือออก เขาเหลือบมองนางปราดหนึ่งจึงยอมเอามือออกอย่างเงียบกริบ ทว่ามืออีกข้างหนึ่งยังคุมตัวนางไว้
ยามที่นางนำผ้าสีดำมาปิดหน้าตนเองเขาก็สวมหน้ากากกลับคืนเช่นกัน ทั้งสองคนล้วนจับจ้องไปที่ประตู น่าแปลก ยามนี้นอกจากพวกเขาแล้วยังมีใครที่ว่างงาน ลอบเข้ามาในอี้จวงเพื่อดูศพอีก
เพียงชั่วครู่ประตูก็ค่อยๆ เปิดออก เงาดำทะมึนลักลอบเข้ามา คนผู้นั้นสวมเสื้อผ้าสีดำ คาดผ้าสีดำไว้บนใบหน้า
กวนอวิ๋นซีสัมผัสได้ถึงแววตาอันเฉียบคมที่ยิงตรงมา ไม่ต้องอธิบายนางก็รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ดวงตาเขากำลังเอ่ยว่าบุรุษชุดดำคนนั้นเป็นพวกเดียวกับนาง
นางถลึงตาใส่เขาเป็นการคัดค้าน ใครบอกว่าใส่ชุดดำเหมือนกันต้องเป็นพวกเดียวกัน ไม่แน่ว่าคนคนนั้นอาจซื้อชุดมาจากร้านเดียวกันก็ได้!
เห็นเงาสีดำนั้นเข้ามาด้อมๆ มองๆ พลางยื่นมือไปเลิกเสื่อฟาง มองไปทีละศพ ทำเช่นเดียวกับนาง
ฉู่เหิงจือหรี่ตาจ้องนางราวกับกำลังพูดว่าเจ้ายังมีอะไรจะแก้ตัวอีกหรือไม่
นางค้อนขวับ คร้านจะไปสนเขา แต่ก็รู้สึกว่าน่าแปลก
นางมาเพื่อหาตราประทับหินของตน คนชุดดำที่กำลังเลิกเสื่อฟางหาศพคนนั้นเขากำลังหาอะไรอยู่
ช้าก่อน เขาพลิกหาศพไปเช่นนี้ ไม่ใช่จะพลิกมาถึงร่างข้าหรือ แล้วบนร่างข้าเสื้อผ้าขาดวิ่น…
ฉู่เหิงจือก็กำลังจ้องคนผู้นั้น นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ สตรีข้างกายจะตะโกนแหกปาก
“ห้ามแตะต้องนะ!”
เสียงนี้สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ฉู่เหิงจือจนมือเขาที่กำด้ามกระบี่สั่นเทา สตรีข้างกายนางนี้ไม่คำนึงถึงคำเตือนของเขาเลย ชี้ไปที่คนชุดดำพลางด่ากราด
“ถ้าเจ้ากล้าแตะต้องนาง ข้าจะจิ้มตาเจ้าให้บอด!”
ฉู่เหิงจือกระตุกมุมปาก เขาคว้าตัวสตรีที่ควบคุมตัวเองไม่อยู่นางนี้อย่างจนปัญญา พูดตามจริง เขามองนางไม่ออกเลย
หลังจากที่คนชุดดำตะลึงพรึงเพริด ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรก็อุ้มศพสตรีที่เป็นหัวหน้าใหญ่แห่งค่ายอูเจียงแล้ววิ่งหนีไป
มาขโมยศพอีกคนแล้ว
ฉู่เหิงจือถอนใจ เขารู้สึกกังวลอยู่บ้าง ทว่าฝีเท้ากลับไม่ช้าลงสักนิด ตามอีกฝ่ายไปติดๆ ราวกับลมพายุ
กวนอวิ๋นซีระเบิดอารมณ์ทันใด ถึงกับมีคนกล้ามาขโมยร่างนาง? ถึงจะเป็นร่างที่มีบาดแผลพรุนไปทั่วตัว แต่นั่นก็ศพของนางนะ! นางจะทนเห็นตนเองที่ตายแล้วยังไม่สงบสุขได้หรือ นางรีบตามหลังฉู่เหิงจือไปทันที
นางก่นด่าอยู่ในใจ ถ้านางรู้ว่าคนที่มาขโมยร่างนางเป็นใคร นางจะซัดอีกฝ่ายจนสะบักสะบอม เปลื้องผ้าให้หมดแล้วแขวนอยู่ที่หน้าประตูหอนางโลมให้ผู้คนได้ชื่นชมพลางชี้ไม้ชี้มือ
เห็นชัดว่าฝ่ายตรงข้ามเตรียมการมาเป็นอย่างดีซ้ำยังมีคนรับช่วงต่อ อีกคนสกัดฉู่เหิงจือไว้แล้วต่อสู้ฟาดฟันกับเขา
ครั้นกวนอวิ๋นซีตามมาถึงก็เห็นภาพที่ฉู่เหิงจือฟาดฟันกับคนชุดดำอย่างดุเดือด ส่วนคนชุดดำอีกคนก็กำลังอุ้มร่างนางวิ่งหนีไปอีกทาง นางรีบก้าวขาวิ่งตามไปทันที
แม้วิชาตัวเบาของนางจะเหลือเพียงแค่เจ็ดส่วนจากของเดิม ทว่าอีกฝ่ายแบกร่างของนางทำให้ฝีเท้าช้าลง ดังนั้นนางจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กระโจนตัวไปไม่กี่ครั้งก็ตามคนผู้นั้นจนทัน
นางยกเท้าถีบหลังของอีกฝ่ายอย่างไร้ปรานีทำให้กำลังภายในของอีกฝ่ายติดขัดแล้วตกลงมาจากกลางเวหา
กวนอวิ๋นซีร่ำร้องในใจว่าแย่แล้ว นางลืมไปว่าร่างของตนเองยังอยู่ในกำมือของฝ่ายตรงข้าม ร่วงลงไปเช่นนี้เกรงว่าร่างนั้นคงแหลกไม่เป็นชิ้นดี เป็นศพที่ไม่ครบสามสิบสอง
นางกำลังนึกโมโหอยู่ แต่กลับพบว่าก่อนที่จะร่วงลงถึงพื้นคนชุดดำคนนั้นก็กอดร่างนางแน่นไม่ยอมปล่อย ทั้งยังใช้ร่างของตัวเองรองรับร่างนางไว้ยามที่ตกถึงพื้น เขาถึงกับยอมแลกชีวิตเพื่อปกป้องร่างนาง
กวนอวิ๋นซีร่อนลงสู่พื้นอย่างปลอดภัย นางจ้องคนชุดดำอย่างอึ้งๆ จู่ๆ ก็รู้สึกคุ้นหน้าเป็นอย่างยิ่ง เห็นว่าฝ่ายตรงข้ามลุกขึ้นมาโดยเร็ว เขาจ้องนางอย่างระแวดระวังแล้วยังไม่ลืมปกป้องร่างนั้นราวสิ่งล้ำค่าคล้ายกลัวนางจะขโมยไป
เนื่องจากทั้งคู่ต่างปิดบังใบหน้าดังนั้นจึงไม่เห็นหน้าตาของอีกฝ่าย เบาะแสเดียวที่เหลือคือดวงตา กวนอวิ๋นซีจ้องอีกฝ่ายนิ่งแล้วหยั่งเชิงเรียกชื่อเขา
“อาไฉ?”
ครั้นอีกฝ่ายได้ยินเสียงเรียกจากนางก็เบิกตากว้าง เพราะอาไฉคือชื่อเล่นของเขา บนโลกนี้คนที่จะเรียกเขาเช่นนี้มีเพียงสองคนคือหัวหน้าใหญ่และหัวหน้ารอง
“เจ้าคือไฉหลางจริงหรือ”
มีเพียงหัวหน้าใหญ่ที่เรียกเขาว่าไฉหลาง เขาเบิกตากว้างราวเห็นผี
“เจ้าเป็นใคร”
เป็นเสียงของน้องสาม เป็นเขาจริงๆ ด้วย! กวนอวิ๋นซีเบิกบานใจยิ่งนัก
“ฮา! ที่แท้ก็เป็นเจ้า ไยไม่บอกข้าแต่แรก”
กวนอวิ๋นซีประหลาดใจระคนดีใจ และในขณะเดียวกันก็กระจ่างแจ้ง น้องสามมาเพื่อเก็บศพให้นาง เช่นนั้นนางก็รู้แล้วว่าคนชุดดำอีกคนคือใคร
“มีเพียงเจ้ากับหัวหน้ารองหรือ โซ่วโหวกับพั่งหู่มาด้วยหรือไม่”
ไฉหลางได้ยินนางเรียกชื่อตนก็ตะลึงจะแย่อยู่แล้ว คิดไม่ถึงว่านางจะเรียกชื่อพี่รองและคนอื่นๆ ด้วย
“เจ้าเป็นใครกันแน่”
“ข้าคือ…”
กวนอวิ๋นซีชะงักทันที นางคงจะเอ่ยออกไปไม่ได้ว่านางคือหัวหน้าใหญ่ที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ ถ้าเขาไม่คิดว่าเป็นผีสิแปลก นางเปลี่ยนความคิดโดยพลัน ดึงผ้าดำที่ปิดหน้าลง ฉีกยิ้มกว้างให้เขา
“ข้าเป็นน้องสาวร่วมสาบานกับหัวหน้าใหญ่”
ไฉหลางตะลึงไปอีกครา คิดไม่ถึงว่าพอนางดึงผ้าดำลงจะเผยให้เห็นดวงหน้างดงามอ่อนหวาน รูปร่างน่าดึงดูดใจ ดวงตาเป็นประกายราวสายธารา ดูคล้ายคุณหนูผู้งามหยาดเยิ้มที่อยู่แต่ในเรือน
เขาแสดงสีหน้าสงสัย “น้องสาวร่วมสาบาน? ไยข้าจึงไม่เคยได้ยินหัวหน้าใหญ่พูดถึง”
“เพราะว่านี่เป็นความลับระหว่างข้ากับนางอย่างไรเล่า ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ พวกเจ้ามาเพื่อเก็บศพหัวหน้าใหญ่หรือ”
“ใช่แล้ว พวกเรามาที่นี่เพื่อขโมยศพของหัวหน้าใหญ่ ไม่ให้ศพของนางถูกทิ้งอยู่ภายนอก”
กวนอวิ๋นซีรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่ง ไม่เสียแรงที่เป็นพี่น้อง ไม่เสียแรงที่ชีวิตก่อนนางยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อพวกเขา ช่างมีน้ำใจและจงรักภักดียิ่งนัก
ในเมื่อน้องรองและน้องสามมา เรื่องราวทั้งหมดก็จัดการได้ง่ายขึ้น
“ประเสริฐนัก เช่นนั้นเจ้าถอดเสื้อของเจ้าออก” นางออกคำสั่ง
ไฉหลางอึ้งไปโดยพลัน “อะไรนะ”
“เสื้อผ้าของหัวหน้าใหญ่ขาดวิ่น ยามนี้ใช้เพียงเสื่อฟางห่อร่างเอาไว้ เป็นการไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เจ้าจงถอดเสื้อออกมาให้นางสวม”
ครั้นไฉหลางได้ฟังก็รู้สึกว่ามีหลักการ ขณะที่เขากำลังจะถอดเสื้อจู่ๆ ก็อึ้งไป ในใจรู้สึกว่าน่าแปลกนัก ไยพอนางเอ่ยวาจาเขาก็ทำตามเช่นนี้เล่า
เขาชะงักเพียงชั่วครู่แล้วก็ถอดเสื้อต่อ กำลังจะเลิกเสื่อฟางขึ้นก็โดนนางห้ามปรามทันควัน
“ช้าก่อน”
“มีอะไรอีก” เขาขมวดคิ้ว
“เจ้าเป็นบุรุษ หรือเจ้าอยากจะสวมเสื้อให้นาง?” กวนอวิ๋นซีถลึงตาใส่เขา
ไฉหลางอึ้งไป ไม่รอให้เขาได้ตอบสนองนางก็รับเสื้อไปพลางออกคำสั่ง
“หันหน้าไป ห้ามแอบมองนะ”
เขาอ้าปากอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นนางยิ่งเบิกดวงตากว้างขึ้น จ้องมาด้วยโทสะ คำพูดก็ติดอยู่ที่คอหอยอย่างประหลาด
“ยังไม่หันไปอีก? อะไรที่ไม่สมควรดูก็อย่าดู เข้าใจหรือไม่”
จากการที่นางถลึงตาใส่ เขาจึงทำได้เพียงหันหลังให้อย่างเก้อเขิน ในใจคิดว่าสตรีนางนี้หัวแข็งพอตัว แล้วก็นึกแปลกใจ ไยตนเองจึงเชื่อฟังนางเช่นนี้ ทั้งๆ ที่เพิ่งพบหน้ากันเป็นครั้งแรก
ครุ่นคิดไปมาจู่ๆ เขาก็กระจ่างแจ้งแก่ใจ จริงสิ สตรีนางนี้พูดจาและถลึงตาใส่เหมือนหัวหน้าใหญ่ไม่มีผิด
ไฉหลางมีรูปร่างสูงใหญ่ เสื้อของเขาก็มีขนาดใหญ่ไปด้วย พอสวมไปก็ปกปิดร่างนางได้ ในที่สุดกวนอวิ๋นซีก็ถอนหายใจโล่งอก จะดีเลวอย่างไรก็ต้องรักษาชื่อเสียงของร่างนี้ไว้ ถึงจะตายไปแล้วความบริสุทธิ์ก็ยังสำคัญยิ่งนัก ยามตายสวมแค่ผ้าขาดวิ่นเป็นการเสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างยิ่ง
“เสร็จแล้ว เจ้ายกร่างของหัวหน้าใหญ่กลับไปยังค่ายบนภูเขาก่อน ฝังในผืนดินที่อุดมสมบูรณ์ตรงหลังเขา ที่ที่ดูเทียนสือ* ที่ครั้งก่อนเจ้าพนันจิ่วไผ** แพ้แล้วไปกระโดดน้ำ”
ไฉหลางตะลึงงัน “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
กวนอวิ๋นซียิ้มเจ้าเล่ห์ “ข้ายังรู้ด้วยว่าครั้งนั้นที่เจ้าแพ้ เจ้าถอดกระทั่งกางเกง! ซ้ำถูกหัวหน้าใหญ่ใช้เท้าถีบลงน้ำ”
ไฉหลางอ้าปากกว้าง ชี้ไปที่นางอย่างไม่อยากเชื่อ
“นางบอกเจ้าแม้กระทั่งเรื่องนี้หรือ”
“ข้าไม่ใช่เพิ่งบอกไปหรือว่าข้าเป็นน้องสาวร่วมสาบานกับหัวหน้าใหญ่ นางบอกข้าทุกอย่าง แม้แต่เรื่องที่เจ้ามีปานดำที่ก้นนางยังบอกข้าเลย”
นางไม่ได้มองไปที่ไฉหลางที่ตาแทบจะถลนออกมา สั่งการต่อไปว่า “จำไว้ว่าจะต้องฝังตรงนั้น เพราะเบื้องหลังเป็นขุนเขา เบื้องหน้าเป็นสายน้ำ ทอดสายตามองไปยังภูเขาหิมะได้ ชมสายฝนและเมฆา ต้นไม้ใหญ่ปกคลุมเย็นสบาย เป็นสถานที่ที่หัวหน้าใหญ่ชื่นชอบเป็นที่สุด เข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจแล้ว…”
เดิมทีไฉหลางยังระแวงอยู่บ้าง ครั้นได้ยินว่านางรู้กระทั่งว่าเขามีปานดำที่ก้นก็ไม่นึกสงสัยอีกต่อไป รับคำอย่างว่าง่าย ต่อมาก็อึ้งไปอีก ไยตนต้องเชื่อฟังนางอีกแล้วเล่า
“เอาล่ะ จัดการตามนี้ เจ้าพาร่างหัวหน้าใหญ่หนีไปก่อน ข้าจะไปล่ออีกคนให้หัวหน้ารองปลีกตัวมาได้” พอโพล่งวาจานี้ออกไปกวนอวิ๋นซีก็หมุนกายเดินกลับ ไม่สนว่าไฉหลางจะตกลงหรือไม่
ยามที่นางเดินกลับไปก็เห็นว่าสองคนนั้นกำลังฟาดฟันกันอยู่ รอบด้านมีใบไม้ร่วงหล่น กิ่งไม้ลำต้นขาดสะบั้น ประมือกันราวเพลิงปะทุ
กวนอวิ๋นซีหลบอยู่ในที่ลับแล้วมองไป ในใจคิดว่าฉู่เหิงจือผู้นี้เป็นน้ำนิ่งไหลลึกเช่นกัน แม้นางจะเป็นหัวหน้าใหญ่ ทว่าอันที่จริงวรยุทธ์ของน้องรองเหนือกว่านาง เขาคือมือหนึ่งของค่ายอูเจียง ทว่าสามารถประมือกับฉู่เหิงจือได้แค่เสมอเท่านั้น หากยังดึงดันต่อไปจนพวกทหารเข้ามาร่วมด้วยน้องรองคงจะปลีกตัวได้ยาก นางต้องออกโรงช่วยน้องรองสักหน่อย
นางหยิบก้อนหินก้อนเล็กมาจากพื้นแล้วโยนขึ้นลงอยู่ในมือ
นางยังจำได้ว่าเมื่อครู่มีคนเล่นงานนางก่อนทำให้นางล้มไม่เป็นท่า ทำมาอย่างไรก็ต้องตอบแทนกลับไปเช่นนั้น แล้วนางจะไม่ตอบแทนได้อย่างไรกัน
นางเล็งไปที่แผ่นหลังของฉู่เหิงจือแล้วดีดนิ้วออกไป
ฉู่เหิงจือพลันรู้สึกว่าแผ่นหลังด้านชา เนื่องจากตื่นตระหนก คนทั้งสองที่เดิมทีประมือเสมอกัน เพราะเหตุนี้ทำให้เขาตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ฝ่ายตรงข้ามจึงได้ทีฉวยโอกาสนี้ซัดพลังฝ่ามือมาที่เขา ส่วนเขาเองก็ต้องรับพลังฝ่ามือนั้นอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว กำลังภายในกระแทกเข้าหากัน ตัวเขากระเด็นไปหลายจั้ง
เขารีบทำให้ร่างของตนสงบลงโดยไว เดินพลังเพื่อกดพลังภายในช่องท้องเอาไว้ เมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังจะหนีเขาก็คิดจะไล่ตามไปอีกครา ทว่าอาวุธลับอีกอย่างหนึ่งก็พุ่งมาทันควัน
เขารับอาวุธลับนั้นไว้ด้วยมือข้างเดียว เป็นก้อนหินก้อนหนึ่ง แววตาที่อยากสังหารคนยิงตรงไปทางอาวุธลับนั้นอย่างดุดัน แฉลบกายพุ่งไปทางคนที่ลอบโจมตี
กวนอวิ๋นซียืนรอเขาอย่างสงบ ไม่หลบไม่หนี นางเท้าสะเอวรอเขาอยู่
ครั้นฉู่เหิงจือมองเห็นชัดเจนว่าเป็นนาง กระบี่ในมือก็เอียงเฉียดดวงหน้านางไปอย่างน่าหวาดเสียว แทงไปที่ต้นไม้ด้านข้าง ลำต้นนั้นส่งเสียงและหักสะบั้นลงในที่สุด
เขาพลิกตัวไม่กี่ครั้งก็ลงถึงพื้น เก็บกำลังภายใน จับจ้องนางด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ
“เจ้าลอบโจมตีข้า?”
“ใช่” นางตอบอย่างไม่กลัวเกรง
“เจ้าเป็นพวกเดียวกันจริงๆ ด้วย”
“ใช่”
เขากระเถิบเข้ามาใกล้นางในทันใด พลังอันน่าเกรงขามครอบคลุมรอบตัวนาง น้ำเสียงน่าสะพรึงกลัว แฝงด้วยคำเตือนให้ระวังชีวิต
“อย่านึกว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้านะ”
ลมหายใจของเขาเข้ามาใกล้นาง กลิ่นอายทั่วร่างเย็นยะเยือก ทว่าในเมื่อกวนอวิ๋นซีกล้ายอมรับก็กล้ารับผลที่จะตามมา
“หากข้าคิดจะทำร้ายท่านจริงคงไม่ใช้เพียงก้อนหินหรอก แต่คงจะใช้ดาบแทน และจะเล็งไปยังจุดตาย ไม่ใช่แค่เส้นเอ็น”
เขาถลึงตาจ้องนาง แม้จะเดือดดาล แต่เขาก็ตระหนักได้ว่าที่นางพูดเป็นความจริง เมื่อครู่นางมีโอกาสทำร้ายเขาได้ และเพราะนางไม่ได้ทำ ดังนั้นเขาจึงไม่ลงมือกับนาง
“พวกนั้นคือใคร”
“พวกเขามาเก็บศพแค่ศพเดียวเท่านั้น ท่านก็อย่าคิดเล็กคิดน้อยกับคนตายเลย” พอกวนอวิ๋นซีพูดจบ นางก็หมุนกายเตรียมจากไป
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
กวนอวิ๋นซีชะงักฝีเท้า หันหน้ามามองเขา รอคอยด้วยความสงบ
“เจ้ายังไม่ได้อธิบายให้ข้าฟังเลยว่าคืนนี้เจ้าลอบเข้ามายังอี้จวงด้วยเหตุใด แล้วเจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกับศพสตรีนั่น”
“ศพสตรีนั่นคือเยี่ยเฟิง หัวหน้าใหญ่แห่งค่ายอูเจียง นางถูกขุนนางทุจริตทำร้ายและปรักปรำ”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร”
“ข้ายังรู้อีกว่าโจรภูเขาในค่ายอูเจียงเตรียมที่จะสวามิภักดิ์ต่อทางการ และในวันนั้นเยี่ยเฟิงก็พาพี่น้องโจรภูเขามาต้อนรับพวกทหาร ใครจะไปคิดว่าทหารเหล่านั้นไม่ได้มาเพื่อรับพวกเขาเข้ากอง แต่จะมาฆ่าปิดปากต่างหาก”
ฉู่เหิงจือหรี่ตาลง ถามซ้ำอีกครั้ง “แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไร”
นางยกมุมปากยิ้ม “เพราะวันนั้นข้าอยู่ในเหตุการณ์ด้วย”
ฉู่เหิงจือประหลาดใจโดยพลัน จ้องไปที่นางอย่างไม่อยากเชื่อ
“เจ้าอยู่ในเหตุการณ์ด้วย?”
“ใช่! สำหรับทุกคนในค่ายอูเจียงแล้ววันนั้นถือเป็นวันที่เต็มไปด้วยความหวัง เดิมทีพวกเขาก็เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาที่อยู่ในกฎระเบียบ แต่ขุนนางท้องที่กลับรับสินบน ทำผิดกฎหมาย ทำให้พวกเขายากจนข้นแค้น ผู้คนมากมายไม่มีข้าวจะกิน เก็บภาษีแพง และบีบคั้นจนผู้คนอดอยากปากแห้ง ต้องขายที่ดิน ขายบ้าน ท้ายที่สุดก็ต้องขายภรรยาและลูก บีบบังคับจนชาวบ้านอยู่ต่อไปไม่ได้ จึงต้องรวมตัวกันเป็นโจรไปลักขโมยข้าวสารอาหารแห้งจากขุนนาง นี่เรียกว่าขุนนางบีบคั้น ชาวบ้านต่อต้าน หากพวกเขากินอิ่มนอนหลับใครจะอยากเป็นโจร”
กวนอวิ๋นซีเห็นฉู่เหิงจือแสดงสีหน้าไม่คาดฝันก็ยิ้มเย็นพลางเอ่ยต่อไปว่า “เดิมทีนึกว่าพอเปลี่ยนขุนนางแล้วพวกเขาจะดีกับชาวบ้านสักหน่อย ขุนนางคนนั้นยังบอกว่านี่ล้วนเป็นความผิดของขุนนางคนก่อน ขอเพียงบรรดาโจรยอมสวามิภักดิ์ต่อทางการ ทางการก็จะยอมให้ความยุติธรรมแก่ชาวบ้าน ใครจะไปรู้ว่าหมาป่าตัวหนึ่งเพิ่งจากไปก็มีเสืออีกตัวมาอีก ขุนนางคนก่อนเพียงละโมบอยากได้เงินของชาวบ้าน แต่คนนี้กลับต้องการชีวิตพวกเขา”
ครั้นกวนอวิ๋นซีเอ่ยมาถึงตรงนี้นางก็จ้องมองฉู่เหิงจือ ไม่พูดอะไรอีก หมุนกายเตรียมจะจากไป
ที่นางเล่าเรื่องเหล่านี้ให้ฉู่เหิงจือฟังเพราะนางมีเหตุผล
ข้อแรก นางเดาว่าที่ฉู่เหิงจือมายังอี้จวงในยามวิกาล เขาจะต้องกำลังสืบอะไรอยู่แน่ ภายในอี้จวงล้วนมีแต่ศพของบรรดาพี่น้องโจรภูเขา ดังนั้นนางเดาว่าสิ่งที่ฉู่เหิงจืออยากจะตรวจสอบจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับการปราบกลุ่มโจรในครั้งนี้
ข้อที่สอง นางได้พึ่งฐานะของคุณหนูสกุลกวน ทำให้นางได้รู้ว่าบิดาของฉู่เหิงจือยังเป็นเสนาบดีกรมอาญา ขุนนางขั้นสอง…
เหตุที่ฉู่เหิงจือมาสำรวจในอี้จวงยามค่ำคืนอาจจะเป็นคำแนะนำจากใต้เท้าฉู่ นี่ก็เป็นอีกเหตุผลที่นางเล่าเรื่องเหล่านี้ให้ฉู่เหิงจือฟัง
ยามที่นางยังเป็นหัวหน้าใหญ่ นางไม่มีปัญญาเล่าเรื่องเหล่านี้ให้ขุนนางฟัง ยามนี้นางกลายเป็นคุณหนูสกุลกวนแล้ว เช่นนั้นนางก็จะใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบนี้
“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าบุตรสาวสกุลกวนจะติดต่อกับหัวหน้าใหญ่ของโจรด้วย?”
นางชะงักฝีเท้า ไม่ได้หมุนกายมา เพียงหันหน้ามามองเขาแล้วยิ้มเย็นพลางเอ่ย “ในสายตาราชสำนัก นางเป็นแค่โจร แต่ในสายตาของชาวบ้าน ข้อแรก นางไม่ลักขโมยของชาวบ้าน ข้อที่สอง นางไม่ทำร้ายชาวบ้าน สมบัติที่นางขโมยล้วนเป็นของขุนนางทุจริตที่มั่งคั่งร่ำรวยเพราะยึดสิ่งเหล่านั้นมาจากชาวบ้าน นางแค่ใช้อุบายแย่งชิงกลับมาให้ก็เท่านั้น แต่คนที่สวมหมวกขุนนางสวมชุดขุนนางพวกนั้นกลับมาขูดรีดเลือดเนื้อ ใช้อำนาจรังแกผู้อื่น ท่านว่าใครกันแน่ที่เป็นโจรตัวจริง”
ครั้นเห็นว่าเขามองมาที่นางอย่างเงียบงันไม่พูดไม่จาอะไร นางก็ไม่คิดจะแยแสเขาอีก เดินจากไปเสียเอง
ฉู่เหิงจือไม่พูดอะไรอีก ภายใต้ดวงจันทรา เงาร่างสองร่าง คนหนึ่งเดินอยู่ด้านหน้า อีกคนหนึ่งเดินอยู่ด้านหลัง เดินตามกันไปอย่างเงียบๆ
เขาทอดสายตามองเงาของนางแล้วดำดิ่งเข้าสู่การใคร่ครวญ
เขาไม่เอ่ยปาก นางก็ไม่มีใจจะไปสนเขา ค่ำคืนนี้เป้าหมายของนางสำเร็จลุล่วงแล้ว
ทั้งสองคนหลีกจากพวกทหารลาดตระเวนกลับเข้ามาในตัวเมือง ยามที่นางนึกว่าเขาจะเงียบเช่นนี้ต่อไป จู่ๆ เขากลับเอ่ยปาก
“เจ้าไม่กลัวเรื่องคืนนี้จะถูกลือออกไปหรือ”
นางหันมามองเขา จู่ๆ ก็ยกมุมปากขึ้น เผยให้เห็นรอยยิ้มทรงเสน่ห์เป็นที่สุด
“หากลือออกไปข้าก็จะบอกทุกคนว่าคืนนี้ข้านัดคุณชายฉู่ออกมาพบตามลำพัง พลอดรักกันใต้แสงจันทร์”
ฉู่เหิงจือตะลึงงันไปพลันร้องฮึเสียงเย็น
“พูดแค่ปาก ไม่มีหลักฐาน เจ้าคิดว่าคนอื่นจะเชื่อหรือ”
“หากข้ามีหลักฐานเล่า ถึงจะไม่เชื่อก็ต้องมีคนสักแปดส่วนที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง” นางชูพัดในมือแกว่งไปมา
ครั้นฉู่เหิงจือเห็นพัดด้ามนั้นก็อดตื่นตระหนกไม่ได้ รีบคลำหาที่เอวของตัวเองทันที พัดจีบของเขาไปตกอยู่ในมือนางได้อย่างไร
“เจ้า…”
ก่อนที่เขาจะได้ลงมือนางก็แตะปลายเท้ากระโจนตัวขึ้นไปบนกำแพงสูงของจวนสกุลกวนแล้ว นางเผยรอยยิ้มอย่างอ่อนหวาน ชูพัดขึ้นสูง โบกไปทางเขาด้วยความรักอันลึกซึ้ง
“คุณชายฉู่วางใจ ข้าจะเก็บพัดเล่มนี้ไว้อย่างดี ขอบคุณคุณชายฉู่มากที่มาส่ง” พอพูดจบนางยังทำท่าทางเหนียมอาย เก็บพัดเข้าไปไว้ในอ้อมกอด
ใช่แล้ว นางเตรียมกลอุบายนี้ไว้แต่แรก วรยุทธ์ของนางอาจจะสู้เขาไม่ได้ ทว่าจะชิงอะไรบนร่างเขามานั้นไม่ใช่ปัญหาแน่นอน จนกระทั่งตอนนี้ถึงค่อยเปิดเผยออกมา เพราะรู้แล้วว่ายามนี้มาถึงจวนสกุลกวน แม้ฉู่เหิงจือจะเดือดดาลเพียงใดเขาก็คงไม่กล้ามาแย่งพัดจากนางแน่ นอกจากเขาจะอยากป่าวประกาศให้ผู้คนทั่วทั้งแผ่นดินได้รู้ว่าดึกดื่นค่ำมืดพวกเขาไม่ยอมหลับยอมนอน นัดพบกันข้างนอก แล้วยังจะดึงดันยื้อยุดกันเพียงเพื่อพัดเล่มเดียว พอถึงเวลานั้นถึงเขาจะกระโดดลงแม่น้ำเหลืองก็ชำระไม่หมด
คุณชายสูงศักดิ์อย่างเขาให้ความสำคัญกับเกียรติยศและชื่อเสียงเป็นที่สุด เขาคงต้องคำนึงถึงเรื่องนี้จึงทำได้เพียงจ้องมองนางอย่างเย็นเยียบ ไม่ได้เคลื่อนไหวแต่อย่างใด
ค่ำคืนนี้นางได้รับชัยชนะในการออกศึก เสร็จสิ้นภารกิจอันสำคัญ ในที่สุดนางก็ได้เวลานอนเต็มอิ่มแล้ว
ฉู่เหิงจือจ้องสตรีที่ยิ้มได้ใจนางนั้น ภายใต้แสงจันทร์ รอยยิ้มของนางทั้งเจ้าเล่ห์ งดงาม และน่าชิงชังเป็นที่สุด ทว่ากลับมีเสน่ห์ดึงดูดใจอย่างอธิบายไม่ได้
เขาทอดสายตามองนางอย่างเงียบงัน กระทั่งเงาร่างนั้นหายเข้าไปภายในกำแพง เขายืนอยู่ตรงนั้นอีกสักครู่แล้วค่อยหมุนกายเดินจากไป
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 25 ก.พ. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.