X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ใต้เท้าอย่ามาหยอก บทที่ 3-บทที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 14

บทที่ 3

หลังจากเหมียวลั่วชิงกินยาแก้พิษเข้าไป ผ่านไปเพียงวันเดียวตัวนางก็รู้สึกหายดีเป็นปกติ ทว่านางยังจะใช้โอกาสนี้พักผ่อนอีกสองวัน ข้อแรกคือนางไม่อยากพบหน้าหร่านเจียง ข้อสองนางต้องการครุ่นคิดว่าก้าวต่อไปจะเดินอย่างไร

ด้านหนึ่งนางคิดจะปกปิดไม่ให้หร่านเจียงล่วงรู้ฐานะนักฆ่าของตน อีกด้านหนึ่งก็ไม่อาจปล่อยให้ทางสำนักจับได้ว่าตนฝ่าฝืนคำสั่ง

ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด หากรู้ถึงเป้าหมายของนางแล้วล่ะก็ล้วนมีเพียงจุดจบเดียว…ตายอย่างน่าสมเพช!

เหมียวลั่วชิงไม่กลัวตาย แต่กลับหวาดกลัวว่าตอนตายจะต้องทนทรมาน ยิ่งไปกว่านั้นนางอยากเปลี่ยนโชคชะตาตนเอง จึงยิ่งเห็นคุณค่าชีวิตตนเองมากขึ้น

นางคิดได้แผนการหนึ่ง ในเมื่อทางสำนักก็ส่งอี้มาดักซุ่มอยู่ในจวน เช่นนั้นภารกิจการลอบสังหารก็ยกให้เป็นหน้าที่เขาแล้วกัน นางเพียงแต่ต้องคิดหาวิธีทำให้หร่านเจียงไม่พอใจในตัวนาง จะได้ย้ายนางไปทำงานยังส่วนอื่น ให้นางอยู่ห่างจากเขา

การออกห่างจากหร่านเจียงจะทำให้นางพลาดโอกาสลอบสังหารเขา เมื่ออ้างเหตุผลนี้แล้วทางสำนักก็จะไม่สงสัยในตัวนาง

ครั้นเหมียวลั่วชิงคิดวางแผนเสร็จสรรพ นางก็ ‘หายเป็นปกติ’ กลับไปปรนนิบัติอยู่ข้างกายหร่านเจียงตามเดิม

หร่านเจียง ‘ตกรางวัล’ ให้นางตามสัญญาจริงๆ เขาเรียกนางไปที่ห้องหนังสือ อยู่ต่อหน้าบ่าวไพร่ทุกคน แล้วสั่งให้พ่อบ้านใหญ่ยกกล่องไม้กล่องหนึ่งวางลงเบื้องหน้านาง

ยามที่กล่องไม้ใบนั้นถูกเปิดออก ภายในมีตำลึงทองวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบจำนวนยี่สิบก้อน ลำแสงระยิบระยับสะท้อนออกมา บ่าวไพร่ทุกคนที่ได้เห็นต่างดวงตาร้อนผ่าว

ในมุมมองของเหมียวลั่วชิง ตำลึงทองจำนวนยี่สิบก้อนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร นางเคยฟื้นคืนชีพขึ้นมาในชาติใดชาติหนึ่ง นางยั่วยวนหร่านเจียง ครานั้นเขาตกรางวัลนางด้วยปิ่นทองและกำไลหยกซึ่งมีค่าหนึ่งร้อยตำลึงทองเชียว

ทว่าในครานี้นางต้องการให้หร่านเจียงย้ายนางไปไกลๆ ดังนั้นนางจึงแสดงท่าทางอย่างคนเห็นแก่เงิน นางประคองกล่องไม้ใบนั้นด้วยสีหน้าเบิกบานลิงโลด

“ขอบพระคุณใต้เท้าเจ้าค่ะ บ่าวจะปรนนิบัติท่านเป็นอย่างดี ไม่ให้เสียแรงที่ใต้เท้าตกรางวัลมากมายแก่บ่าว บ่าวจะต้องแย้มยิ้มแม้แต่ในฝันเจ้าค่ะ”

นางกอดกล่องไม้ใบนั้นไว้ ทั้งโค้งกายคำนับ แสดงท่าทางประจบสอพลอราวกับว่า ‘เงินทองเป็นสิ่งล้ำค่า’ แล้ววาจาที่นางเอ่ยออกมา แม้ภายนอกจะแสดงความซาบซึ้งใจ ทว่าคนที่ได้ยินล้วนสัมผัสได้ว่าที่นางแสดงความจงรักภักดีอย่างสุดใจนั้นทำลงไปเป็นเพราะผลประโยชน์ทั้งสิ้น มิใช่ทำเพื่อใต้เท้า

เป็นไปตามคาด ครั้นนางเอ่ยวาจานี้ออกไป นางสังเกตเห็นโดยพลันถึงความเหยียดหยามที่แฝงอยู่ในแววตาหร่านเจียง

“พอได้แล้ว แยกย้ายกันไปทำงานได้” หลังจากที่หร่านเจียงโพล่งคำสั่งประโยคนี้ออกไป เขาก็หลุบตาลง ไม่แลมาที่นางอีก

“เจ้าค่ะ บ่าวขอบพระคุณใต้เท้าที่ตกรางวัลให้เจ้าค่ะ”

เหมียวลั่วชิงประคองกล่องไม้เดินออกไปอย่างยินดีปรีดา ครั้นนางหันหลังให้เขา สายตาอันเร่าร้อนคู่นั้นก็จ้องตามหลังนางมา จับจ้องเงาร่างลิงโลดของนางพลางครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง

เหมียวลั่วชิงตัดสินใจใช้หนทางที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมาที่สุดหมายจะออกห่างจากหร่านเจียง นางทำให้ตนเองถูกมองว่าเป็นสตรีธรรมดาที่เห็นแก่เงิน

หลังจากได้รับรางวัลนางก็ไม่ปิดบังความลำพองใจของตนเอง ต่อหน้าสาวใช้และบ่าวไพร่คนอื่นๆ นางแสดงความหยิ่งผยองออกมาอย่างไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย ทั้งยังเปิดเผยอย่างแสร้งทำเป็นไม่เจตนาว่ายามที่ใต้เท้ารักษาอาการบาดเจ็บให้นาง เขายังโอบกอดนาง ลูบไล้เรือนร่างนางด้วย นางโอ้อวดต่อหน้าทุกคน แสดงท่าทางกลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้ว่าใต้เท้าให้ความสำคัญกับตนเพียงใด

การลำพองตนในคุณงามความดีก็คือการแสดงของนาง

ทุกวันนางถึงขนาดจงใจมานับตำลึงทองในห้องสามครั้งตามเวลาอาหาร ก่อนนอนก็จะลูบคลำอีกครั้งหนึ่ง คล้ายกลัวที่สุดว่าคนจะมาขโมยตำลึงทองในขณะที่นางไม่ระวังตัว ให้ทุกคนในจวนลือกันในพฤติกรรมหน้าเงินของนาง

วันนี้ยามที่นางปรนนิบัติรับใช้หร่านเจียงอยู่ในห้องหนังสือ นางก็ไม่ทันระวังทำน้ำชาหกรดบนอาภรณ์ของหร่านเจียง เขาช้อนตาขึ้นมองนางราวสายฟ้าฟาดเกือบจะในขณะเดียวกัน

นางกรีดร้องเสียงหวานเสียงหนึ่ง ดวงหน้างดงามนั้นซีดเผือด นางคุกเข่าลง รีบร้อนหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดให้เขา

“บ่าวสมควรตาย ใต้เท้าโปรดให้อภัย บ่าวไม่ได้ตั้งใจเจ้าค่ะ” นางอ้อนวอนให้ยกโทษพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเสื้อคลุมของเขา

หร่านเจียงยังไม่ทันได้บันดาลโทสะ เพียงแต่แสดงแววตาสุขุม ไม่ยินดียินร้าย จับจ้องท่าทีลนลานทำอะไรไม่ถูกของนางพร้อมกับน้ำตาที่เอ่อล้นนัยน์ตาคู่งาม แต่ความลุกลี้ลุกลนบนดวงหน้านั้นกลับดูขัดแย้งกัน คล้ายว่าจะมีเสน่ห์พรั่งพรูออกมา

ผ้าเช็ดหน้าสีชมพูปักภาพดอกไม้ช่วยขับเน้นให้มือที่ขาวนวลราวงาช้างยิ่งดูเนียนนุ่มไร้กระดูก เพียงแต่มือข้างนั้นกลับเช็ดเข้าไปตรงระหว่างขาเขาดูราวกับบังเอิญ แต่ก็ดูจงใจในคราวเดียวกัน

หร่านเจียงนั่งนิ่งไม่ขยับ เพียงแต่จ้องนาง

เขาเคยเห็นกลอุบายที่สตรีใช้เอาอกเอาใจเขามาไม่น้อย หญิงสาวที่อยากขึ้นเตียงกับเขามีมากมาย เพียงแต่ที่ผ่านมาเขาไม่เคยแยแสสตรีที่พร้อมจะกระโจนเข้าสู่อ้อมกอดเขาเอง ถึงจะสนใจก็แค่เสแสร้งแสดงออกมา

ไม่มีใครรู้ว่าเขาถูกใจสตรีเช่นไร ยิ่งไม่มีใครรู้ว่าเขารังเกียจสตรีแบบใด มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้ สตรีที่มีแผนการ ใช้กลอุบายเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างกับเขา ก็คือสตรีในแบบที่เขาไม่ชอบที่สุด แม้แผนการของสตรีนางนั้นจะเป็นไปเพื่อมอบกายถวายชีวิตให้เขา แม้ว่านางจะงามสะพรั่งดั่งเทพธิดา ทว่าสำหรับหร่านเจียงแล้ว แค่วิธีคิดที่ฝ่ายตรงข้ามตั้งใจมอบกายให้ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาเย็นชาไปแล้วครึ่งหนึ่ง สุดท้ายความสนใจของเขาก็จะมาถึงจุดจบ

เขาอนุญาตให้อนุภรรยาในจวนแย่งกันเป็นที่รักได้ อนุญาตให้พวกนางครุ่นคิดสรรหาวิธีการต่างๆ นานาเพื่อให้ได้ตัวเขามา เมื่อปรนนิบัติเขาให้มีความสุขแล้วก็จะได้รางวัล เขาจงใจแสดงความรักใคร่ต่อฝ่ายตรงข้าม เพราะเขารู้ว่าความรักของบุรุษจะปลุกเร้าสตรีให้ยอมทำเพื่อเขามากขึ้น ยิ่งจะยอมสยบแทบเท้าเขา นี่คือสิ่งที่เขาปรารถนา แล้วเขาก็ตระหนักดีว่าตัวเขาไม่ใช่สิ่งที่ทำให้สตรีเหล่านี้มาสยบ แต่ต้องการอำนาจและฐานะที่เขาครอบครองต่างหาก

หากไร้ซึ่งผลประโยชน์เหล่านี้แล้วเหล่าสตรีก็จะเลิกทุ่มเทความรักให้แก่เขา ทุกๆ ครั้งที่เขาไปค้นบ้าน ยึดทรัพย์ สอบสวนคดี ท่ามกลางการแย่งชิงอำนาจ เขาพบเห็นเรื่องราวเช่นนี้มามากมาย

ความจงรักภักดีล้วนเป็นเพียงเรื่องตลกไม่มีอยู่จริง หากขัดแย้งกันทางผลประโยชน์แล้วความสัมพันธ์ชายหญิงก็คงได้รับผลกระทบ แม้จะเป็นสามีภรรยาก็ตาม

จะว่าไปเหมียวลั่วชิงก็ปรนนิบัติเขามาครึ่งปีแล้ว ครึ่งปีที่ผ่านมามีอยู่ครั้งเดียวที่นางช่วยชีวิตเขาจากแมงมุมพิษ ที่เขาได้มองนางอย่างเต็มตา พลันเกิดความรู้สึกสนใจในตัวนาง

ครานั้นเขากำลังหลับตาพักผ่อน ทว่าสัมผัสที่หกของเขายังแจ่มชัดนัก เขาย่อมสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ เพียงแต่กำลังรอคอย จนกระทั่งเขาได้ยินเสียงนางกรีดร้อง

เขาประหลาดใจยิ่ง ขณะที่เขาตกอยู่ในอันตราย สาวใช้ที่ดูอ่อนแอไม่มีแรงแม้แต่จะจับไก่นางหนึ่งกลับยอมสละชีวิตเพื่อช่วยเขา นี่ทำให้เขามองตรวจสอบนางใหม่อีกครั้ง

ความสนใจในตัวนางเพิ่งลุกโชนขึ้นก็ถูกดวงตาเห็นแก่เงินคู่นั้นดับมันลงทันใด ครานั้นเขายังคงรอยยิ้มไว้บนใบหน้า ทว่าแววตากลับเย็นยะเยือก

ที่แท้นางช่วยชีวิตเขาก็เพื่อหวังในผลประโยชน์นั่นเอง นางไม่ผิด เขาจึงตระหนักได้ว่าจิตใจมนุษย์นั้นย่อมขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์

ยามนี้นางกลับวาดฝันว่าจะได้ครอบครองตัวเขา กระทำเช่นเดียวกับสตรีอื่น เดิมทีตอนที่รู้ว่านางปฏิเสธต่อการขู่เข็ญของพ่อบ้านจ้าว เขายังนึกว่านางรักนวลสงวนตัว ทว่าเขาประเมินนางสูงเกินไปจริงๆ ที่แท้แล้วนางก็แค่ดูถูกฐานะและตำแหน่งของพ่อบ้านจ้าวเท่านั้น คนที่นางเฝ้าฝันจะครอบครองแท้จริงแล้วก็คือหร่านเจียง

เขาจับจ้องนางที่กำลังจงใจใช้เสน่ห์มารยามาประจบสอพลอ ดวงตาดำขลับอันเงียบงันยังคงสภาพราวน้ำนิ่งไหลลึก ไร้คลื่นอารมณ์โดยสิ้นเชิง

หลายวันนี้ข่าวลือที่นางคุยโวโอ้อวดก็ดังเข้าหูเขาอย่างไม่ขาดสาย…ดูท่าเขาคงต้องเปลี่ยนสาวใช้แล้ว

เหมียวลั่วชิงยังคงไม่ย่อท้อ นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาเป็นประกายเหลือบมองเขาด้วยความรักลึกซึ้ง แววตาราวกับว่า ‘ท่านจะต้องลงโทษข้าไม่ลงแน่’ ใช่หรือไม่ ใช่หรือไม่ ใช่หรือไม่

หร่านเจียงไม่พูดอะไรอีก เขาย้ายนางจากในเรือนไปนอกเรือน ตั้งแต่นี้ต่อไปไม่ต้องมาปรนนิบัติข้างกายเขาอีก

นางไม่เป็นที่โปรดปรานอีกต่อไปแล้ว

เดิมทีเหล่าบ่าวไพร่ภายในจวนต่างก็รู้กันทั่ว สาวใช้เหมียวลั่วชิงสละชีวิตช่วยใต้เท้า ดังนั้นใต้เท้าจึงโปรดปรานนางยิ่งขึ้น ทว่าใต้เท้าเป็นคนที่แบ่งแยกการตกรางวัลและลงโทษอย่างชัดเจน หลังจากที่นางทำน้ำชาหกรดเขาก็เลยโดนลงโทษย้ายไปกวาดพื้นที่นอกเรือน ซึ่งแสดงถึงทัศนคติของใต้เท้าอย่างแท้จริง เมื่อทำคุณงามความดีก็จะได้รางวัล เมื่อทำผิดก็ต้องโดนลงโทษ เรียบง่ายเช่นนี้เอง

“นางเป็นบ่าวรับใช้ ก็แค่โชคดีได้ทำคุณงามความดี ได้คืบจะเอาศอก หลงระเริงนัก คงนึกว่าตนเองเป็นขุนนางเป็นเจ้านายล่ะสิ!”

“ข้าว่านางจงใจต่างหาก นางทำน้ำชาหกรดใส่ใต้เท้าเป็นเพราะนางหวังว่าจะมีโอกาสได้เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ และจะได้ปีนขึ้นเตียงของใต้เท้าได้อย่างง่ายดายอย่างไรเล่า”

“ดูแผนการที่นางคิดสิ นึกว่าตนเองงามล่มเมือง มีสตรีงามที่ใดที่ใต้เท้าไม่เคยพบเห็นบ้าง นางรนหาที่เองแท้ๆ!”

สาวใช้หลายคนรวมตัวกับพวกบ่าวไพร่มาซุบซิบนินทาด้วยกัน หัวเราะเยาะเหมียวลั่วชิง ขัดหูขัดตาที่นางคุยโวโอ้อวดอยู่นาน ยามนี้พอรู้ว่านางถูกลงโทษให้ออกไปกวาดพื้นนอกเรือนก็ยินดีปรีดาจนอยากจะฉีกหน้านาง

เหมียวลั่วชิงแสร้งทำเป็นโกรธแค้นไปกับพวกวาจาเสียดสีถากถางที่ได้ทีขี่แพะไล่

ในสายตาผู้อื่น นางพ่ายแพ้ย่อยยับ

ทว่าในใจนาง ในที่สุดนางก็ชนะหมากตานี้

การที่นางถูกย้ายออกห่างจากหมาป่าตัวนั้นอย่างราบรื่นเป็นสิ่งที่นางปรารถนาที่สุด

ดวงตางดงามภายใต้ขนตางอนยาวเก็บซ่อนรอยยิ้มที่ผู้อื่นไม่มีวันล่วงรู้

 

วันที่นางถูกย้ายมานอกเรือน ค่ำคืนนี้นางนอนอยู่บนเตียง พอถึงยามจื่อก็ยังไม่ง่วง เพราะมีลางสังหรณ์ว่าอี้จะต้องมาหานางแน่

ครั้นนางสัมผัสได้ว่าภายในห้องมีอีกคนอยู่ด้วย นางก็มองเห็นอี้ทันที

บุรุษผู้นี้ยังคงสวมชุดดำ จงใจจะทำตัวกลมกลืนกับความมืด ทำให้คนเห็นรูปร่างหน้าตาของตัวเองไม่ชัด เขาปกปิดไว้ครึ่งหน้า เผยเพียงดวงตาอันเฉียบคมที่กำลังจับจ้องนางจากในความมืดมิด

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น” เขาซักถามด้วยเสียงเข้ม ประโยคฟังดูเรียบง่าย ไม่ต้องเอ่ยให้ชัดแจ้ง แต่ต่างก็รู้กันดีว่าเขากำลังถามเรื่องอะไร

เหมียวลั่วชิงเตรียมใจไว้ก่อนหน้าแล้ว รอเพียงให้อีกฝ่ายซักถาม

นางนั่งอยู่บนเตียง มองหน้าเขาด้วยสีหน้าเย็นชา

“เมื่อวานข้าปรนนิบัติเขาในห้องหนังสือ ฉวยโอกาสยั่วยวนเขาในขณะที่รอบตัวไม่มีใคร คิดไม่ถึงว่าเขาจะไม่หวั่นไหวเอาเสียเลย แต่เขากลับย้ายข้าออกมานอกเรือน”

“ปกติเจ้าดูระมัดระวังยิ่งนัก ไยเมื่อวานเจ้าจึงหุนหันพลันแล่น”

นางขมวดคิ้ว “เมื่อวานคือโอกาสอันดี เขากอดและลูบไล้ตัวข้าขณะรักษาอาการบาดเจ็บ เห็นชัดว่าเขามีใจให้ข้า แต่ติดที่ว่าข้ายังไม่หายดี จะต้องพักฟื้น จะตีเหล็กต้องฉวยโอกาสที่มันยังร้อน วันนี้มีเพียงแค่เขาและข้าในห้องหนังสือ บุรุษสตรีอยู่ด้วยกันตามลำพัง แน่นอนว่าข้าก็จะต้องฉวยโอกาสนี้แสดงความรู้สึกออกไป ทำให้เขาหลงใหลในตัวข้าจึงจะมีโอกาสลงมือ นี่เรียกว่าเล็งเวลาได้อย่างแม่นยำต่างหาก หุนหันพลันแล่นที่ใดกัน”

นางคิดทบทวนบทพูดนี้อย่างละเอียดทั้งหน้าและหลัง คิดว่าฟังดูมีเหตุมีผล ไร้ซึ่งช่องโหว่ นางเชื่อว่าจะสามารถเกลี้ยกล่อมฝ่ายตรงข้ามได้

อี้เงียบงันลง ดวงตาดำขลับที่ซ่อนไว้ในความมืดมิดนั้นประจันกับดวงตาโกรธเคืองเล็กน้อยของนางราวกับกำลังไตร่ตรองวาจาของนางอยู่

นางนั่งอยู่บนเตียง แสงจันทราอ่อนๆ หลายสายสะท้อนมาบนร่างนาง วาดแต่งลวดลายที่มีทั้งส่วนสว่างไสวและมืดครึ้ม ชุบเสน่ห์อันลึกลับให้กับนาง

เดิมทีนางก็เกิดมาหน้าตาสะสวย มีเสน่ห์เฉิดฉาย น่ารักไม่ธรรมดา ในยามที่นางทำสีหน้าเย็นชาย่อมทำให้คนที่ได้เห็นอยากเอาชนะความเย็นชานั้น

อี้จ้องนางไม่วางตา ในใจครุ่นคิดว่าทีแรกที่เบื้องบนเลือกนางเข้ามาในจวนสกุลหร่านก็เพราะพิจารณาในความงดงามและเล่ห์เหลี่ยมของนาง เชื่อว่าหร่านเจียงจะต้องสนใจนางแน่ แต่กลับคาดไม่ถึงว่าหร่านเจียงจะไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย

หลังจากที่อี้เงียบงันอยู่พักหนึ่งจึงเอ่ยอย่างเนิบช้าว่า “เขาย้ายเจ้าออกมา เจ้าก็พลาดโอกาสแล้ว”

“ข้ารู้” น้ำเสียงราบเรียบของนางเต็มไปด้วยความหงุดหงิดและนึกเสียดาย

“ไม่เป็นไร เรื่องราวต่อจากนี้ข้าจะจัดการเอง”

ครั้นเหมียวลั่วชิงได้ฟัง ใจนางก็สะท้านโดยพลัน “ท่านมีแผนการอะไร”

เขาไม่พูดมากความอีก เพียงเอ่ยมาประโยคเดียว “เมื่อโอกาสมาถึงก็ทำตามที่ข้าสั่งแล้วกัน”

ครั้นนางเห็นว่าเขากล่าวจบแล้วกำลังจะจากไปก็เรียกตัวเขาไว้ “รอเดี๋ยว”

เขาหันมามองนาง รอให้นางเอ่ยปาก

“คราวหน้าก่อนที่จะมาโปรดส่งเสียงให้ข้ารู้ก่อน เผื่อข้าไม่สะดวก” นางเอ่ย

อี้ร้องฮึเสียงเย็น “ไยต้องมีกฎเกณฑ์มากมายด้วย” พอเขากล่าวจบก็หายตัวไปในพริบตาราวภูตผีปีศาจเหมือนตอนที่มา

ครั้นเขาจากไป เหมียวลั่วชิงก็รีบลงจากเตียงไปตรวจสอบทันที

นางไม่รู้เช่นกันว่าบุรุษผู้นี้เข้ามาในห้องได้อย่างไร ไร้สุ้มไร้เสียง จนกระทั่งเขามายืนอยู่เบื้องหน้านางจึงค่อยเห็นตัวเขา ทำเช่นนี้ช่างเสียมารยาทนัก ถ้าหากวันใดนางกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือปลดทุกข์อยู่เล่า ถ้าเขาเห็นเข้าจะทำเช่นไร

นางเดินมาอีกฝั่งหนึ่งของห้อง สาวใช้ซุ่ยเอ๋อร์ก็นอนอยู่บนเตียงทางฝั่งนั้น นางไม่ได้ตื่นมาโดยตลอด น่าจะถูกสกัดจุดนอนหลับไว้

เหมียวลั่วชิงจ้องซุ่ยเอ๋อร์ปราดหนึ่งแล้วก็เดินกลับไปนอนที่เตียงของตนเอง

ถึงอย่างไรความโหดเหี้ยมชั่วร้ายของหร่านเจียงผู้นี้ก็ยังทำให้ผู้คนหวาดกลัวอยู่ดี แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเป็นบุรุษรูปงามทรงเสน่ห์ สตรีหลายคนลุ่มหลงในบุรุษเลวทรามเช่นนี้ หนึ่งในนั้นรวมถึงองค์หญิงเจ็ดด้วย

ทุกคนล้วนรู้ดีว่านางลุ่มหลงในตัวหร่านเจียง สำหรับองค์หญิงเจ็ดผู้หยิ่งยโส หากนางสามารถเอาชนะหร่านเจียงผู้หล่อเหลา ฉลาดหลักแหลม และเย็นยะเยือก ทำให้เขากลายเป็นขุนนางภายใต้อำนาจนางได้จะเป็นความสำเร็จอันใหญ่หลวงนัก

นางไม่เพียงลุ่มหลงหน้าตาของหร่านเจียงเท่านั้น ยังหลงใหลในรูปร่างสูงใหญ่บึกบึนของเขาด้วย องค์หญิงเจ็ดเชื่อว่าหร่านเจียงที่ไต่เต้าขึ้นมาจากการสอบขุนนางฝ่ายบู๊ย่อมดูดีกว่าพวกคุณชายบัณฑิตผู้เย่อหยิ่ง นางคลั่งไคล้ทหารผู้องอาจกล้าหาญตรงไปตรงมา โดยเฉพาะอย่างหร่านเจียงที่ยังแอบแฝงความโหดเหี้ยมเย็นชาไว้ด้วย องค์หญิงเจ็ดอยากรู้เหลือเกินว่าพอไปถึงบนเตียง หลังจากเปลื้องเสื้อผ้าอาภรณ์ออกแล้วเขาจะดุร้ายเยี่ยงสัตว์ป่าหรือไม่

ครั้นนึกถึงหร่านเจียงยามอยู่บนเตียงนอน องค์หญิงเจ็ดก็พลันร้อนผ่าวไปทั่วร่าง ดวงหน้ารูปไข่แดงระเรื่อ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสุราหรือเพลิงปรารถนากันแน่

วันนี้นางมาเป็นแขกที่จวนสกุลหร่าน ยามนี้กำลังชูจอกสุราดื่มกับหร่านเจียงด้วยเสียงหัวเราะและความสุขใจ

ไม่ว่านางจะแสดงออกอย่างเป็นนัยหรือโจ่งแจ้ง หร่านเจียงมักจะไม่ไว้หน้า ดูราวกับเขามีมารยาทและให้ความเคารพ ทว่าอันที่จริงคือรักษาระยะห่างกับนาง

บุรุษที่นางปรารถนาจะต้องเอามาไว้ในกำมือให้จงได้ นางจะต้องเอาชนะหร่านเจียงให้ได้

ครั้นองค์หญิงเจ็ดนึกถึงจุดประสงค์ที่มาเยือนในวันนี้ รอยยิ้มบนดวงหน้าก็ยิ่งคล้ายกับมึนเมา นางเหลือบมองไปที่นางกำนัลข้างกาย นางกำนัลผู้นั้นพยักหน้าให้นาง เสด็จแม่เป็นคนมอบนางกำนัลคนนี้ให้ ความสามารถเปี่ยมล้น สามารถช่วยให้นางทำการสำเร็จได้

“ใต้เท้าหร่าน ข้าขอคารวะท่านหนึ่งจอก” นางเอ่ยด้วยเสียงหวานหยาดเยิ้ม

หร่านเจียงจ้องมองดวงตาคู่งามขององค์หญิงเจ็ดซึ่งแฝงไปด้วยเสน่ห์และความเขินอาย ภายในดวงตาเขานั้นเผยรอยยิ้มบาง ชูจอกสุราขึ้น เอ่ยยิ้มๆ “มิกล้า ควรจะเป็นผู้น้อยดื่มคารวะองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ”

เขาชูจอกสุราขึ้นดื่ม องค์หญิงเจ็ดดื่มคารวะเขาจอกแล้วจอกเล่า เขาก็ดื่มไปจอกแล้วจอกเล่าเช่นกัน เมื่อประจันหน้ากับองค์หญิงเจ็ดเขาจะคงรอยยิ้มไว้ตลอด เขามองเห็นแผนการในแววตานางอย่างชัดเจน

องค์หญิงเจ็ดอยากใช้ฐานะแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งว่านางอยากกรอกสุราเขาจนเมามาย เขาเองก็ไม่รีบร้อน ดื่มเป็นเพื่อนนางต่อไป

หลังจากที่ดื่มสุราไหหนึ่งหมดเขาก็ยังไม่เมาสักที ทว่าองค์หญิงเจ็ดกลับทรงตัวไม่มั่นเสียแล้ว

หร่านเจียงวางจอกสุราลง เอ่ยด้วยเสียงราบเรียบให้บ่าวไพร่ไปตามขันทีและนางกำนัลมาพยุงองค์หญิง

“องค์หญิงทรงเมาแล้ว พยุงนางกลับวังไปพักผ่อนเถิด” เขาเอ่ยกับขันที

ขันทีโค้งกายไปทางเขา กำชับกับนางกำนัลสองนางว่า “ยังไม่ประคององค์หญิงกลับไปอีก”

นางกำนัลสองนางรับคำในทันใด พยุงร่างองค์หญิงขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ทว่าทันใดนั้นนางกำนัลที่ยืนอยู่ด้านซ้ายก็เดินเซไปชนไหสุราจนล้มคว่ำโดยไม่ทันระวัง น้ำสุราสีเหลืองอร่ามจึงหกรดอาภรณ์ขององค์หญิง

ครั้นขันทีเห็นสถานการณ์ก็ระเบิดอารมณ์ทันที “พวกเจ้าทำงานกันประสาอะไร สภาพเช่นนี้องค์หญิงจะออกไปได้อย่างไร หากใครมาเห็นเข้าจะไม่กลายเป็นเรื่องขำขันหรือ!”

นางกำนัลที่ทำผิดพลาดรีบคุกเข่าขอร้องอย่างลุกลี้ลุกลน ขันทีด่านางเพียงไม่กี่ประโยคแล้วก็ออกคำสั่ง “ยังไม่พยุงองค์หญิงไปเปลี่ยนอาภรณ์ในห้องอีก!”

นางกำนัลรีบพยุงองค์หญิง ยังไม่ทันถามเจ้าของจวนสักคำพวกเขาก็มุ่งหน้าไปยังห้องนอนของหร่านเจียงแล้ว

หร่านเจียงสีหน้าเรียบเฉย ออกคำสั่งทันที “ใครก็ได้พาองค์หญิงไปที่เรือนรับรองแขก”

พ่อบ้านใหญ่รู้ดีถึงความคิดของใต้เท้า รีบโค้งกายแล้วเดินขึ้นหน้าทันที จงใจขวางทางพวกเขาพลันยกมือขึ้น

“โปรดตามบ่าวมาทางนี้ขอรับ”

ขันทีและนางกำนัลสองนางนั้นได้รับสัญญาณจากองค์หญิงนานแล้วว่าจะต้องหาเหตุผลอยู่ที่นี่ต่อ เรือนรับรองแขกก็เรือนรับรองแขกเถอะ ไม่ว่าอย่างไรก็บรรลุตามจุดประสงค์ จึงพยุงองค์หญิงเดินตามพ่อบ้านใหญ่ไป

พวกเขาเอ่ยปากว่าจะให้องค์หญิงเปลี่ยนอาภรณ์ที่สะอาดสะอ้าน แต่ครั้นไปถึงเรือนรับรองแขก พวกเขาก็ยังไม่ยอมจากไป อ้างเหตุผลว่าพอองค์หญิงบรรทมแล้วก็ไม่ยอมตื่น หากมีใครไปรบกวนนาง นางจะบันดาลโทสะ ทำให้พวกบ่าวไพร่ล้วนไม่กล้ารบกวน

หลังจากที่หร่านเจียงฟังการรายงานของพ่อบ้านใหญ่ก็เพียงกำชับไปอย่างเรียบๆ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สั่งคนไปแจ้งบรรดาอี๋เหนียง* ให้ไปปรนนิบัติองค์หญิงที่เรือนรับรองแขกที”

ด้านหนึ่งหร่านเจียงสั่งบ่าวไพร่ให้ไปตามบรรดาอี๋เหนียงทั้งหมดไปยังเรือนรับรองแขก อีกด้านหนึ่งก็ส่งคนไปแจ้งข่าวในวังว่าองค์หญิงเจ็ดทรงเมา

เขาสั่งให้เหล่าอนุภรรยาไปปรนนิบัติองค์หญิง ส่วนตัวเองก็สั่งให้บ่าวไพร่ไปเตรียมรถม้า ออกจากจวนทันที

เขามองเห็นแผนขององค์หญิงเจ็ดอย่างทะลุปรุโปร่งมานานแล้ว นางเป็นถึงองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ เขาไล่นางกลับวังไม่ได้ ทว่าเขาออกจากจวนได้

ถึงองค์หญิงเจ็ดจะพักค้างคืนที่จวนของเขาแล้วอย่างไร ตัวเขาไม่ได้อยู่ในจวนสักหน่อย อนุภรรยาทั้งหมดที่อยู่ที่เรือนรับรองแขกเป็นพยานได้ ไม่เพียงรักษาความบริสุทธิ์ขององค์หญิง ยังดึงตนออกจากสถานการณ์ได้ด้วย เขาไม่ล่วงเกินองค์หญิง ซ้ำยังป้องกันไม่ให้คนอื่นหาช่องทางเล่นงานเขา นี่คือกลอุบายที่ได้ประโยชน์ทั้งสองทาง

รถม้าถูกจัดเตรียมอย่างรวดเร็ว จอดรออยู่ที่หน้าเรือนแล้ว

หร่านเจียงพาผู้ใต้บังคับบัญชาไปด้วยหกคน พอมาถึงด้านข้างรถม้า เขากำลังจะขึ้นรถกลับชะงักชั่วครู่ คิดไปคิดมาก็หันไปมองพ่อบ้านใหญ่ก่อนจะออกคำสั่งไปประโยคหนึ่ง

“ไปตามชิงเอ๋อร์มา”

พ่อบ้านใหญ่รับคำ หันไปสั่งบ่าวไพร่ให้ไปตามเหมียวลั่วชิงมาทันที

ยามนี้เหมียวลั่วชิงยังไม่รู้ว่าหายนะกำลังคืบคลานเข้ามา นางกำลังหลบซ่อนอยู่ในห้องตนอย่างสบายใจ

ครั้นนางได้ยินจากพ่อบ้านคนหนึ่งบอกว่าองค์หญิงเจ็ดเข้าจวนมาหาหร่านเจียง นางก็รู้ว่าต่อจากนั้นจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น

จากที่นางปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงมือในทุกชาติภพที่ผ่านมา บางเรื่องก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย ทว่าก็มีบางเรื่องที่ยังคงเป็นเหมือนในชาติก่อนๆ อย่างเช่นองค์หญิงเจ็ดลุ่มหลงในตัวหร่านเจียง ก็เป็นดังเช่นวันนี้ที่นางเป็นฝ่ายมาเยี่ยมเยียนเขาเสียเอง หร่านเจียงก็ต้องจัดงานเพื่อต้อนรับนาง

แต่นางเชื่อว่าเรื่องที่จะเกิดขึ้นหลังจากงานเลี้ยงจะต้องเหมือนในชาติก่อนเป็นแน่ เพราะนางไม่ได้อยู่ข้างกายหร่านเจียงแล้วจึงไม่ได้มีส่วนร่วมด้วย

คิดมาถึงจุดนี้นางก็เผยรอยยิ้มที่มุมปาก นั่งอยู่ในห้องดื่มชาต่อไป รู้สึกผ่อนคลาย เป็นตัวเองอย่างที่สุด ใครจะไปรู้ว่าพอนางเพิ่งวางใจลง ปัญหาก็มาเยือนถึงหน้าประตู

“ชิงเอ๋อร์อยู่หรือไม่”

มือของเหมียวลั่วชิงที่ยกถ้วยชาอยู่ชะงักค้าง นางวางถ้วยชาลงทันที เดินออกไปนอกห้อง

“ข้าอยู่นี่ มีอะไรจะสั่งข้าหรือ” นางรู้จักคนรับใช้หนุ่มคนนี้ เขาดูแลอยู่ที่ด้านหน้าเรือนหลัก

“ใต้เท้าเรียกหาเจ้า ตามข้ามาเถิด”

ครั้นนางได้ฟังก็ชะงักค้าง ลางร้ายสายหนึ่งปกคลุมหัวใจโดยพลัน

“พี่ชายท่านนี้ ใต้เท้าเรียกหาข้าไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรหรือ”

“ใต้เท้าจะออกจากจวน คงจะเรียกเจ้าให้เดินทางไปด้วยเพื่อปรนนิบัติท่าน”

แท้จริงแล้วนางหวาดกลัวอะไร มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น คนอื่นล้วนไม่รู้ที่มา แต่เหมียวลั่วชิงกลับรู้แจ้งเห็นจริง หร่านเจียงดื่มสุราคารวะจากองค์หญิงเจ็ด ยามนี้คงกำลังเดือดดาล หากนางไปอยู่ข้างกายเขาในเวลานี้ก็เท่ากับส่งตัวเองเข้าปากหมาป่าอย่างไม่ต้องสงสัย

นางไม่เข้าใจ หร่านเจียงจะให้ใครเดินทางไปด้วยก็ได้แต่ต้องไม่ใช่นาง นางเพิ่งหลุดจากการเป็นที่โปรดปราน ไยจู่ๆ เขาจึงนึกถึงนางเล่า

ไปไม่ได้! ไปไม่ได้เด็ดขาดนะ!

คนรับใช้ที่มาเรียกตัวนางเห็นนางไม่ขยับเขยื้อนจึงตะโกนเอ่ยว่า “เหม่ออะไรอยู่ ยังไม่รีบตามข้าไปยังหน้าเรือนหลักอีก เจ้าไม่กลัวใต้เท้าตำหนิ แต่ข้ากลัวนะ!”

เหมียวลั่วชิงพลันก้มหน้ารับคำ เดินตามหลังคนรับใช้คนนั้นไป นางกำหมัดแน่น ในใจรีบคิดหาทางรับมือทันที

จะทำเช่นไรดี จะทำเช่นไรดี หร่านเจียงมีอะไรผิดปกติหรือ ไฉนไม่ไปหาคนอื่น แต่กลับเรียกหาสาวใช้ที่เพิ่งล่วงเกินเขาไป หรือว่าค่ำนี้ข้าจะหนีจากหายนะไม่พ้นเสียแล้ว

ทุกย่างก้าวที่เหมียวลั่วชิงเยื้องย่างไปราวกับหนักอึ้ง นางต้องการเวลามาคิดหาวิธีใจจะขาด เพียงแต่คนรับใช้ที่รับคำสั่งมาห้ามไม่ให้นางทำเสียเวลา เร่งนางครั้งแล้วครั้งเล่าให้ก้าวเท้าเร็วขึ้น

ในที่สุดก็มาถึงด้านหน้าจวน ครั้นนางช้อนตาขึ้นก็มองเห็นรถม้าที่จอดรออยู่ตรงนั้น

“ใต้เท้า ชิงเอ๋อร์มาถึงแล้วขอรับ”

“ขึ้นมานี่” น้ำเสียงเนิบทุ้มของหร่านเจียงดังมาจากด้านในรถม้า มั่นคงมีพลัง ไม่ปล่อยให้นางสงสัย

เหมียวลั่วชิงค่อยๆ กำหมัดแน่น ก้มหน้าพลางเดินขึ้นหน้าไป นางเหยียบม้านั่งเพื่อก้าวขึ้นไปบนรถม้า ครั้นนางช้อนตาขึ้นก็ปะทะเข้ากับดวงตาลึกล้ำยากจะคาดเดา

แววตาของหร่านเจียงสุขุมน่าเกรงขามคล้ายกับพยัคฆ์หมาป่า

นางรีบก้มหน้างุดๆ เพื่อปิดบังดวงตาที่กำลังลุกลี้ลุกลนของตน ทว่านางกลับห้ามหัวใจที่เต้นรัวไม่ได้

บทที่ 4

รถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากจวนสกุลหร่าน ภายในรถม้าเงียบงันยิ่ง ได้ยินเพียงเสียงหายใจของคนทั้งสอง คนหนึ่งกำลังอึดอัด อีกคนหนึ่งกำลังหอบหายใจ

หร่านเจียงนั่งพิงผนังรถม้าอย่างเกียจคร้าน เหมียวลั่วชิงคุกเข่าอยู่ข้างเท้าเขาพลางก้มหน้าก้มตา สัมผัสได้ถึงแววตาลุกโชนจากด้านบน ในขณะที่หนังศีรษะตนนั้นด้านชาไปเสียแล้ว

หลังจากที่ขึ้นมาบนรถม้านางก็รักษาท่วงท่าคุกเข่าอยู่ตลอด ไม่เข้าไปประจบสอพลอ ไม่ส่งเสียง นิ่งไม่ไหวติงราวคนใบ้

เวลาผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป* ในที่สุดหร่านเจียงก็เอ่ยปาก

“มานี่” เขาเอ่ยอย่างเรียบง่ายเพียงสองคำ ทว่ากลับฟังออกถึงน้ำเสียงที่แฝงอยู่ในนั้น มันแหบพร่ากว่าเมื่อครู่หลายส่วน

ฤทธิ์ยากำเริบแล้ว!

เหมียวลั่วชิงยังคงก้มหน้าอยู่ไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด ความคิดยุ่งเหยิงวุ่นวายไปหมด ยังไม่ทันที่จะครุ่นคิดถึงต้นสายปลายเหตุ บุรุษผู้นั้นกลับทนรอไม่ไหวแล้ว ฝ่ามือใหญ่คว้าแขนของนางพลันดึงเข้ามาสู่อ้อมกอด ให้นางนั่งลงบนตักเขา

เหมียวลั่วชิงแข็งทื่อไปทั่วร่าง ต่อมาหน้าอกก็รู้สึกร้อนผ่าว ส่วนกลมกลึงด้านซ้ายถูกปกคลุมด้วยฝ่ามือใหญ่ เคลื่อนเข้าใกล้หัวใจนาง นวดคลึงความเอิบอิ่มนั้น

มือหนึ่งของหร่านเจียงกุมเอวคอดกิ่วของนางไว้ อีกมือหนึ่งก็นวดคลึงเนินอก แล้วลมหายใจที่ร้อนดั่งไฟแต่ไม่กระชั้นนั้นก็รดใส่ติ่งหูของนาง

เขาต้องการระบายไฟราคะใส่นางจริงๆ ด้วย หมายขจัดฤทธิ์ยาปลุกกำหนัดออกไป

เหมียวลั่วชิงเก็บกดโทสะเอาไว้ ในที่สุดการสัมผัสของเขาก็จุดไฟราคะในตัวนางราวกับปล้นสะดม

เรือนฝ่ายในของเขามีอนุภรรยามากมายเช่นนั้น เขาจะคว้าใครมาก็ได้ หรือไม่ก็ยังมีสาวใช้คนอื่นๆ อีก ไยจึงต้องเรียกหานางด้วยเล่า

เหมียวลั่วชิงพยายามอดกลั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ท้ายที่สุดก็ทนไม่ไหว ยื่นมือไปกดฝ่ามือใหญ่ที่กำลังลวนลามเนินอกของนาง

“ปล่อย” เขาออกคำสั่ง

นางไม่ฟัง ถึงตายก็ไม่ยอม

หร่านเจียงค่อยๆ ถอยออกมาเล็กน้อย จับจ้องนาง เห็นชัดว่าดวงตานางแฝงไว้ด้วยเพลิงปรารถนา ทว่ายามนี้นางกลับหรี่ตาลงอย่างเย็นชา

“เจ้าไม่ยินยอมหรือ”

แน่นอนว่านางไม่ยินยอม มือเล็กๆ ของนางกดมือใหญ่ไว้ ไม่ยอมประนีประนอมเด็ดขาด แม้นางจะไม่ได้เอ่ยปาก ทว่าท่าทีกลับปฏิเสธเขาอย่างเห็นได้ชัด

นึกไม่ถึงว่านางจะปฏิเสธเขา เหตุใดนางจึงกล้าปฏิเสธเขา

หร่านเจียงยิ่งทำหน้าบึ้งตึง “ก่อนหน้านี้ที่เจ้าประจบประแจงข้า เจ้าแสร้งทำหรอกหรือ”

“ครานั้นที่ใต้เท้าปฏิเสธข้าก็แสร้งทำเช่นกันหรือเจ้าคะ”

นางไม่เพียงปฏิเสธแต่ยังกล้ามาโต้เถียงกับเขา คงจะเบื่อชีวิตแล้วกระมัง ขณะที่หร่านเจียงอดกลั้นโทสะไว้ เขาก็ประหลาดใจในความกล้าของนางด้วย

เขารู้ว่าองค์หญิงเจ็ดสั่งคนให้ใส่ยาปลุกกำหนัดในสุรา เขาจงใจดื่มมันลงไป และจงใจเตรียมม้าออกจากจวน เลยถือโอกาสพาสตรีนางหนึ่งมาด้วย

ขณะที่กำลังใคร่ครวญว่าจะเลือกใครดี เขากลับนึกถึงเหมียวลั่วชิงขึ้นมา

สาวใช้นางนี้ไม่ใช่อยากปีนป่ายมาหาเขาหรือ เขาก็เลยอยากทำให้นางสมหวัง แล้วให้องค์หญิงเจ็ดตระหนักเอาไว้ว่าเขาหร่านเจียงไม่ใช่บุรุษที่จะยอมให้สตรีนางใดมาหลอกล่อด้วยแผนการได้ แม้ว่านางจะเป็นองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ก็ตาม เขาก็จะใช้ยาปลุกกำหนัดที่นางใส่ไว้ไประบายเพลิงปรารถนาบนร่างสาวใช้นางหนึ่ง เขาต้องการเพียงสาวใช้ กลับไม่สนใจไยดีต่อองค์หญิงเลย

ใครจะไปนึกว่าสาวใช้นางนี้จะกล้าปฏิเสธเขาอย่างไม่กลัวตาย

เหมียวลั่วชิงสิ้นหนทาง เพราะนางทนไม่ไหวแล้ว ชาติที่แล้วเขาก็ระบายเพลิงปรารถนาต่อนางบนรถม้า นั่นคือความทรงจำอันโหดร้ายและน่าสะพรึงกลัว นางฉวยโอกาสที่หร่านเจียงถูกองค์หญิงเจ็ดใส่ยาปลุกกำหนัดยั่วเย้าเขาได้สำเร็จ ประสานเพลิงปรารถนาเข้ากับเขา นางกระตุ้นอารมณ์เขาด้วยมารยาทั่วทั้งร่าง

ยิ่งไฟราคะของเขาพรั่งพรูออกมามากเท่าไร เขายิ่งใช้กำลังกับนางมากขึ้นเท่านั้น นางปล่อยให้เขาย่ำยี ระบายความปรารถนา ทว่ามือหนึ่งของนางกลับค่อยๆ คลำหาเข็มเงินในกลุ่มเส้นผม นางมองเขาหอบกระหายกลืนกินเรือนร่างนางจนแทบจะเข้าไปในกระดูก เข็มเงินในมือนางอยู่ห่างจากยอดศีรษะเขาเพียงหนึ่งชุ่น* ทว่านางกลับถูกเขาฟันข้อมือขาดอย่างเด็ดเดี่ยว

นางถลึงตามองด้วยความหวาดผวา มองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ

ดวงตาเฉียบคมเย็นชาไร้ความรู้สึกนั้นยังจะมีไฟราคาอะไรหลงเหลืออยู่อีก ยามนี้เหลือเพียงความเย็นยะเยือกอันโหดเหี้ยม รวมทั้งไอพิฆาตอันหนักอึ้ง ครานั้นความปรารถนาอันใหญ่หลวงของเขายังฝังอยู่ในทางบุปผาของนาง ส่วนนั้นของเขายังคงกระแทกกระทั้นอย่างรุนแรง

เขาฟันมือนางสองข้าง จับจ้องดวงตาหวาดผวาของนาง เผยยิ้มมุมปากอย่างชั่วร้าย เขากำลังหัวเราะเยาะนางที่ไม่รู้จักประมาณตน ที่แท้เขาก็มองกลอุบายของนางออกนานแล้ว แล้วนางยังนึกว่าตนเองยั่วเขาได้สำเร็จ อันที่จริงเขาแค่ขุดหลุมให้นางกระโดดลงไป

บุรุษผู้นี้ระบายเพลิงราคะใส่นางแล้วยังพึมพำคำหวานอยู่ข้างหูนาง

‘เจ้ามีเสน่ห์พอตัว เรือนร่างเร่าร้อนนัก ทำให้ข้าพอใจจริงๆ แต่เสียดายที่เจ้าเป็นนักฆ่า’

วาจาอันโหดร้ายในชาติก่อนคล้ายดังก้องอยู่ข้างหู กรีดหัวใจนางอย่างโหดเหี้ยม

ครานั้นมือที่ถูกฟันขาดก็ห้อยลงอย่างไร้เรี่ยวแรง เขาใช้ส่วนนั้นพุ่งชนเรือนร่างนางด้วยแรงมหาศาล ในดวงตาของนางเปี่ยมไปด้วยความอัปยศอดสูและความเกลียดชัง ทว่ากลับต้องเบิกตามองเขาย่ำยีร่างตัวเองอย่างไร้ความเห็นอกเห็นใจ จากนั้นชีวิตนางก็ดับสิ้นด้วยพลังฝ่ามือ ตอนตายร่างนางยังคงเปลือยเปล่า ไม่เหลือซึ่งศักดิ์ศรีใดๆ

ทุกครั้งที่เกิดใหม่ ความทรงจำที่เจ็บปวดรวดร้าวก็คอยกัดกินหัวใจคล้ายฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนนาง คอยทิ่มแทงหัวใจนาง ครั้นนึกถึงมัน นางก็จะรู้สึกเจ็บปวดแม้ในยามหายใจ

เมื่อหลายชาติก่อนนางถึงขนาดใช้เรือนร่างเป็นอาวุธเพื่อลอบสังหาร หวังเพียงจะทำให้ภารกิจเสร็จสิ้น ทว่าชาตินี้นางเพียงปรารถนาจะมีชีวิตต่อไป นางไม่อยากมอบชีวิตให้เขาอีก ไม่ว่าชีวิตในชาติก่อนหรือชีวิตนี้ นางไม่คิดจะย่ำบนรอยเท้าเดิม

นี่เป็นครั้งแรกที่นางท้าทายอำนาจเขา นางหัวแข็งอย่างที่สุด นางผลักเขาออก ทำให้นางไม่มีเวลามาครุ่นคิดว่าหลังจากที่ปฏิเสธเขาแล้วจุดจบจะลงเอยเช่นไร

หร่านเจียงหรี่ตามองตรวจสอบนาง แสงสว่างภายในดวงตานั้นวูบไหวไม่แน่นอน บรรยากาศภายในตัวรถม้าแข็งเกร็งราวกับลากสายของเครื่องสายจนถึงขีดสุด พร้อมจะขาดสะบั้นลงทุกเมื่อ

ทั้งสองคนต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน นางกำลังรอคอยให้เขาบันดาลโทสะ ทว่านอกจากแววตาที่จับจ้องอย่างเงียบงันราวสายน้ำนิ่งนั้นแล้ว เขาก็ไม่เอ่ยวาจาใดสักคำราวสัตว์ดุร้ายที่เก็บตัวเงียบอยู่ในความมืดมิด เงียบสงบจนน่าสะพรึง

จู่ๆ ราวกับมีสิ่งหนึ่งแวบผ่านเข้ามาในความคิดนาง ราวแสงแรกอันริบหรี่ยากที่จะจับต้องได้

ในเมื่อนางเป็นนักฆ่าที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี แต่ก็มีความรู้สึกไวดังเช่นสตรี คล้ายว่านางละเลยอะไรไป นางพยายามไขว่คว้าความคิดที่กำลังจะอันตรธานหายไปในชั่วขณะนั้น

จู่ๆ นางก็คิดได้!

นางตระหนักได้แล้วว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ…เขามีท่าทีสุขุมเกินไป

เขาถูกวางยาปลุกกำหนัด เดิมทีควรจะหน้าแดง หอบหายใจ พยายามสะกดกลั้นอารมณ์ ทั้งๆ ที่ยังคงโอบนางไว้ในอ้อมกอด ทว่าส่วนที่แข็งร้อนผ่าวที่ดันอยู่ที่สะโพกของนางนั้นกลับอ่อนตัวลงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

ความคิดหนึ่งแวบผ่านเข้ามาราวสายฟ้าฟาด นางตระหนักได้ในทันทีทันใด

เขาแสร้งทำต่างหาก!

ที่แท้เขาก็ไม่ได้โดนวางยาปลุกกำหนัด หรือไม่เขาก็คงโดนวางยาทว่ากินยาแก้ไปแล้ว หากเขาสามารถเดินพลังขับพิษให้นางได้ เช่นนั้นแล้วแค่ยาปลุกกำหนัดจะไปทำอะไรเขาได้

เขาเป็นคนที่เฉลียวฉลาดเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว จะโดนองค์หญิงเจ็ดวางยาปลุกกำหนัดได้อย่างไร นอกเสียจากว่าเขาจะยินยอมพร้อมใจเสียเอง แต่ที่เขาทำเช่นนี้มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว ก็คือทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นหลุมพรางที่เขาขุดไว้เอง

มิน่าเล่า…มิน่าเล่านางจึงจบชีวิตในชาติก่อนลงภายใต้ร่างของเขา มิน่าเล่าตัวนางเองจึงตกหลุมพรางที่เขาขุดไว้ เขาจะโดนวางยาได้อย่างไรกัน จะออกจากจวนเพื่อหลบองค์หญิงเจ็ดด้วยเหตุใดกัน ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องหลอกลวงทั้งเพ!

เขาขุดหลุมพรางไว้นานแล้ว เพียงรอให้เหยื่อมาติดกับดักเท่านั้น

เหมียวลั่วชิงรู้สึกหนาวยะเยือกจากก้นบึ้งหัวใจ ทั้งเนื้อทั้งตัวราวตกลงไปในอุโมงค์น้ำแข็งอย่างไรอย่างนั้น

เขาเคลือบแคลงในตัวนางหรือ ดังนั้นแม้ว่านางจะถูกย้ายออกไปแล้วเขาก็ยังคงเรียกนางกลับมา นี่ก็คือจุดประสงค์ที่แท้จริงที่เขาเลือกนางให้เดินทางมาด้วย

ความตระหนักรู้ที่มาช้าเกินไปทำให้โลหิตในตัวนางไหลทะลักขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หัวใจหดเกร็งอีกครา คล้ายถูกสกัดจุดตาย นางทำได้เพียงปล่อยให้ร่างกายแข็งทื่อ แขนขาด้านชาไปหมด

ภายใต้แววตาที่ลุ่มลึกและเงียบสงบ โลหิตในร่างกายนางเย็นยะเยือก หรือชีวิตนี้นางจะต้องตายอย่างน่าสมเพชด้วยกำมือเขาอีกแล้ว แม้ว่านางจะพยายามหลบหลีกอย่างไร ไม่ทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับเขา ล้มเลิกการลอบสังหารเขาแล้วก็ตาม จุดจบก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงหรือ

ความรู้สึกของนางในขณะนี้คือความสิ้นหวัง

นางตกอยู่ในความมืดมน ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง แล้วก็ไม่กล้าจะทำอะไรด้วย ทำได้เพียงตัวแข็งทื่อเช่นนี้ จนกระทั่งมีเสียงหนึ่งดังมา

“ใต้เท้า ถึงแล้วขอรับ”

เสียงนี้…ทำให้หัวใจที่เดิมทีกำลังจะตายของเหมียวลั่วชิงราวกับได้รับหยดน้ำชุบชีวิต

นางจำได้ว่านี่เป็นเสียงของอี้ หัวใจของนางที่เดิมทีคล้ายจะหยุดเต้นก็กลับมาเต้นอีกครั้ง เส้นประสาทที่ด้านชาก็กลับมามีความรู้สึกอีกครั้งเช่นกัน

‘เรื่องราวต่อจากนี้ข้าจะจัดการเอง’

วาจาของอี้ที่เคยกล่าวไว้ผุดขึ้นมาในความคิด นางเกิดความหวังที่เกือบจะดับสูญไปอีกครั้ง

“ลงไป!” หร่านเจียงออกคำสั่งด้วยเสียงเข้ม

นางช้อนตาขึ้นมาเห็นสายตาร้อนแรงดั่งเปลวเพลิงของเขาก็รีบลุกจากตัก คุกเข่าลงไปบนพื้นรถ ก้มหน้าลง ค้อมตัวลงต่ำคล้ายเป็นคนตัวเล็กอีกครั้ง

หร่านเจียงร้องฮึเสียงเย็น เปิดประตูและลงจากรถม้าไป

หลังจากนั้นนางที่กลับมาสงบนิ่งดังเดิมก็ลงจากรถม้าตามไปด้วย ขณะเดียวกันนางก็ช้อนตาขึ้นอย่างรวดเร็ว กวาดตามองบุรุษที่อยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง

บุรุษผู้นั้นแต่งกายเป็นองครักษ์กำลังยืนอยู่ด้านข้างรถม้ารอให้นางลงไป แล้วขณะที่นางมองไปทางเขา แววตาของคนทั้งสองประสานกันเพียงแวบเดียว เหมียวลั่วชิงก็รู้ว่าเขาคืออี้ และสารที่เขาส่งผ่านมาทางแววตาสื่อว่า…เขาจะลอบสังหารหร่านเจียงเอง!

เหมียวลั่วชิงหลุบตาลง เมื่อมองจากภายนอกแล้วดูคล้ายนางเงียบสงบไร้คลื่นอารมณ์ใดๆ แต่หัวใจนางคล้ายกับตกลงไปในคลื่นยักษ์ที่สูงเสียดฟ้า

อี้ใช้สายตาบอกนางว่ายามที่เขาลงมือ นางต้องเข้ามาร่วมมือกับเขาเมื่อสบโอกาส

นางจะทำเช่นไรดี นางไม่กล้าสังหารหร่านเจียง แต่ถ้าไม่สังหารเขา อี้คงจะไม่ปล่อยนางแน่

นางดูท่าสงบเยือกเย็น แต่อันที่จริงนางเยื้องย่างแต่ละก้าวอย่างเลื่อนลอย ทั่วทั้งร่างราวกับวิญญาณหลุดลอย นางช้อนตามองหร่านเจียงที่เดินอยู่เบื้องหน้า แม้เขาจะหันหลังให้นาง นางก็ยังคงสงสัยอยู่ดีว่าบุรุษผู้นี้มีตาที่สามอยู่ด้านหลังคอยควบคุมทุกสิ่ง ทำให้ไม่มีใครกล้าทำอะไรบุ่มบ่าม

หร่านเจียงมาถึงโรงเตี๊ยมเยวี่ยไหล พอเข้ามาด้านในเขาก็เดินไปนั่งตรงกลางห้องโถง ทั่วทั้งโรงเตี๊ยมเงียบกริบในทันใดเพราะท่วงท่าของเขา

“องครักษ์เสื้อแพรมาตรวจสอบคดี ทุกคนที่อยู่ในที่นี้ห้ามไปที่ใดทั้งนั้น!” ผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งประกาศขึ้นในห้องโถง

โรงเตี๊ยมทั้งด้านบนด้านล่าง ไม่ว่าจะเป็นหลงจู๊ เสี่ยวเอ้อร์ ชาวบ้านที่กินข้าวอยู่หรือหยุดพักผ่อนล้วนถูกเรียกตัวออกมายืนเรียงแถวทั้งหมด องครักษ์เสื้อแพรสอบสวนอย่างเข้มงวด เริ่มตรวจสอบตั้งแต่บรรพบุรุษแปดรุ่นของพวกเขา

องครักษ์เสื้อแพรตำแหน่งใหญ่โต ไม่มีใครกล้าคัดค้าน ทุกคนล้วนยืนรอพร้อมร่างกายที่สั่นเทิ้มด้วยความกลัว

เหมียวลั่วชิงยืนอยู่ข้างกายหร่านเจียง นางแอบเหลือบมองเขา ใบหน้าอันหล่อเหลาคล้ายยังคงแดงด้วยฤทธิ์ของยาปลุกกำหนัดที่หลงเหลืออยู่ ดวงตาคู่นั้นที่หรี่เพียงครึ่งคล้ายลอบอดกลั้นอารมณ์ไว้ คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อย

โรงเตี๊ยมเยวี่ยไหลตั้งอยู่บนถนนใหญ่ที่คึกคัก มีผู้คนสัญจรไปมาขวักไขว่ เขามาสืบคดีที่นี่จึงทำให้ชาวบ้านที่อยู่ในละแวกนั้นต่างรู้เรื่องนี้ แล้วจุดประสงค์ที่เขาทำเช่นนี้ก็เพื่อแสดงให้ทุกคนรู้ว่าถึงองค์หญิงเจ็ดจะอยู่ในจวน แต่ตัวเขากลับยุ่งกับการสืบคดีอยู่ภายนอก แม้จะทำพอเป็นพิธีเท่านั้น

หน้าตาเขาดูวุ่นวายใจ เหนื่อยหน่าย ไร้ความสนใจใดๆ เขาพาองครักษ์มาไม่มาก หากยามนี้จะสังหารเขา จะมองอย่างไรนี่ก็คือโอกาสที่พันปีจะเจอสักครั้ง

ทว่าสถานการณ์เป็นเช่นนี้จริงๆ หรือ ไม่ใช่สิ นางไม่เชื่อหรอก นี่คือหลุมพรางที่จะชักนำให้นักฆ่ากระโดดลงไป

ทันใดนั้นอี้ก็จู่โจมมาในท่วงท่าที่ต้องการสังหารหร่านเจียงให้ตาย เหมียวลั่วชิงเองก็ขยับตัวเช่นกัน ทว่านางไม่ได้จะเข้าช่วยอี้ แต่กลับใช้ร่างกายนางเป็นเกราะกำบัง อารักขาอยู่เบื้องหน้าหร่านเจียง ป้องกันกระบี่ที่แทงมาอย่างรวดเร็วราวดาวตก

ชั่วขณะที่กระบี่แทงเข้าสู่ร่าง นางก็รู้สึกทรมานอยู่เช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับการทรมานจากการตัดมือเท้าและเชือดคอแล้ว กระบี่นี้ก็ไม่นับว่าจะทำให้นางเจ็บปวดสักเท่าไร แม้มันจะแทงแทบทะลุร่างนางก็ตาม

นางเห็นสีหน้าของหร่านเจียงที่สุขุมดั่งขุนเขาเผยความตกตะลึงออกมา ดวงตาคู่นั้นที่ลึกล้ำสุดหยั่งตลอดมาในที่สุดก็เผยคลื่นอารมณ์ ทั้งประหลาดใจ งุนงง นึกไม่ถึง เพียงเพราะนางสละชีวิตเพื่อช่วยเขา

จู่ๆ เหมียวลั่วชิงก็เกิดความสุขใจ แล้วยังมีความเบิกบานใจที่ไม่สามารถอธิบายได้

ฮึๆ คงเดาไม่ออกกระมัง! มองไม่ออกล่ะสิ! ถึงท่านจะล่วงรู้ทุกสิ่งดั่งเทพเจ้า ปลิ้นปล้อนราวจิ้งจอกพันปี ข้าจะทำให้ท่านสับสนอย่างที่สุด!

 

วันนี้ในจวนสกุลหร่านคงถูกลิขิตไว้แล้วว่าจะต้องเป็นค่ำคืนแห่งความวุ่นวาย

หร่านเจียงออกไปสืบคดีแต่กลับถูกลอบสังหาร เรื่องนี้ลือเข้าไปในวังอย่างเร่งด่วน ในวันนั้นองค์หญิงเจ็ดไม่ได้ค้างคืนในจวนสกุลหร่านเพราะฝ่ายขันทีได้เชิญนางกลับวัง

เหตุที่หร่านเจียงถูกลอบสังหาร องค์หญิงเจ็ดก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบ หากไม่ใช่เพราะนางตั้งใจจะค้างคืนที่จวนสกุลหร่าน หร่านเจียงจึงต้องออกจากจวนทันทีเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย เช่นนั้นเขาคงเตรียมการป้องกันไว้รอบด้านแน่ หากไม่ใช่เพราะองค์หญิงเจ็ดใส่ยาปลุกกำหนัดในสุรา หร่านเจียงก็ไม่มีทางสติเลื่อนลอย ปล่อยให้นักฆ่ามีโอกาสลงมือได้

ขณะที่เขาถูกเหล่านักฆ่ารุมล้อม หากไม่ใช่เพราะเหมียวลั่วชิง สาวใช้ข้างกายเขาที่ใช้ร่างกายนางมารับกระบี่แทน ไม่แน่ว่าเขาอาจจะบาดเจ็บสาหัสหรือชีวิตดับสิ้นไปแล้วก็เป็นได้

เรื่องราวเหล่านี้ซึ่งเป็นความลับขององครักษ์เสื้อแพรก็ลือเข้าไปในวัง ฮ่องเต้ทรงพระพิโรธ เดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ และทรงลงโทษองค์หญิงเจ็ด ขณะเดียวกันก็ทรงตำหนิที่ฮองเฮาตามใจนาง

ครั้นผ่านพ้นภัยพิบัติในครั้งนี้ ถึงองค์หญิงเจ็ดอยากจะพัวพันกับหร่านเจียงอีกก็คงจะไม่มีโอกาสแล้ว วันถัดมาความจริงก็ได้รับการพิสูจน์ ฮ่องเต้ได้พระราชทานสมรสให้แก่องค์หญิงเจ็ดโดยเลือกราชบุตรเขยให้ สามเดือนต่อมานางก็ทรงอภิเษกกับบุตรชายของใต้เท้าเสนาบดีกรมทหาร

ส่วนเหมียวลั่วชิง เรื่องใหญ่โตภายนอกก็ไม่เกี่ยวพันอะไรกับนางเลย

กระบี่ของอี้แทบจะแทงทะลุร่างนาง หลังจากเหตุการณ์นั้นหมอก็รายงานว่าตัวกระบี่อยู่ห่างจากหัวใจนางเพียงชุ่นเดียว นางเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด แม้ว่าจะรักษาชีวิตไว้ได้ ทว่านางกลับบาดเจ็บสาหัส

หลังจากที่เหมียวลั่วชิงบาดเจ็บสาหัส บางครั้งนางก็สลบไสลไม่รู้ตัว บางครั้งก็คล้ายว่าจะมีสติอยู่บ้าง

ท่ามกลางความมืดสลัวนั้น คล้ายกับว่านางได้ยินบุรุษผู้หนึ่งออกคำสั่งด้วยความเดือดดาล

“ต้องช่วยนางให้รอด นางจะตายไม่ได้”

น้ำเสียงนั้นดุดันเด็ดขาด แฝงไปด้วยการข่มขู่

ถึงนางจะลืมตาไม่ขึ้นก็สามารถแยกเสียงของหร่านเจียงได้ นอกจากนี้นางยังได้ยินคนอื่นทำได้เพียงตอบรับเท่านั้น

“ใต้เท้า นางบาดเจ็บสาหัสนัก หยูกยาต่างๆ และการฝังเข็มคงช่วย…”

“หากนางตาย พวกเจ้าก็ตายตามไปด้วยแล้วกัน” สุ้มเสียงเย็นยะเยือกขั้นสุด แม้นางจะอยู่ในความฝันก็ยังสัมผัสได้ น้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยเพลิงโทสะและการคุกคามอันโหดเหี้ยม

นางรู้สึกตัว ทว่าหนังตากลับหนักอึ้ง ไม่สามารถลืมตาขึ้นได้ คล้ายว่าวิญญาณถูกขังอยู่ในร่างกาย ขยับเขยื้อนไม่ได้

ข้าจะตายหรือไม่ ไม่นะ ข้ายังไม่อยากตาย ที่นางช่วยหร่านเจียงก็เพื่อหาทางรอดให้กับตนเองโดยแลกกับเลือดเนื้อและชีวิต โดยการเปลี่ยนวิถีการเดินหมาก หากเพราะการช่วยชีวิตเขาเป็นการเสียสละชีวิตน้อยๆ ของนางโดยเปล่าประโยชน์แล้วล่ะก็ ช่างไม่คุ้มค่าเลยจริงๆ!

ข้าไม่ยอมนะ ข้าต้องการมีชีวิตอยู่ต่อไป ข้าจะไม่ยอมก้มหัวให้กับโชคชะตา!

เหมียวลั่วชิงไม่รู้หรอกว่าเป็นเพราะนางมีความตั้งใจที่แน่วแน่จึงทำให้ชีวิตของนางที่ใกล้จะดับสิ้นนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี

 

หร่านเจียงไม่แปลกใจที่พบนักฆ่า และรู้ด้วยว่าผู้ใดเป็นคนส่งมา

หนิงอ๋องมีอำนาจครอบครองพื้นที่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เขาลอบจัดตั้งกองทัพและสะสมทรัพย์สินเงินทองเอาไว้ เขาเป็นก้างขวางคอฮ่องเต้มาตลอด คนที่หร่านเจียงนำเหล่าองครักษ์เสื้อแพรไปค้นจวน ยึดทรัพย์ จับกุม สอบสวนล้วนเป็นเส้นสายและผู้ให้การสนับสนุนหนิงอ๋องในเมืองหลวง เหตุที่หร่านเจียงกระทำเช่นนี้ก็เพื่อช่วยฮ่องเต้กำจัดพวกคิดคดทรยศ ทำให้อำนาจในเมืองหลวงของหนิงอ๋องลดน้อยลง

หนิงอ๋องเป็นคนที่ใครดีมาดีตอบ ทว่าหร่านเจียงนั้นเป็นกรงเล็บที่ร้ายกาจและเป็นผู้จงรักภักดีข้างกายฮ่องเต้ เพื่อต่อต้านอำนาจกับฮ่องเต้แล้ว คนแรกที่หนิงอ๋องจะกำจัดก็คือเขา

หนิงอ๋องซื้อตัวนักฆ่ามา ทว่าหร่านเจียงไม่กลัวแม้แต่น้อย วิกฤตก็คือจุดเปลี่ยนไปในทางที่ดี เมื่อมีนักฆ่าก็ย่อมมีหลักฐาน เขาเกรงว่านักฆ่าจะไม่กล้ามาเสียมากกว่า!

เขาเตรียมการป้องกันไว้แต่แรกแล้ว วางแผนไว้อย่างละเอียดรอบคอบ ถึงขั้นซ้อนแผน หลอกใช้ความลุ่มหลงขององค์หญิงเจ็ด รอให้นักฆ่ามาติดกับดักเอง

แต่ถึงเขาจะไตร่ตรองสักพันสักหมื่นหนก็นึกไม่ถึงเหตุการณ์หนึ่ง…การที่เหมียวลั่วชิงยอมสละชีวิตเพื่อช่วยเขานั้นเกินความคาดหมายโดยสิ้นเชิง

เขาพบว่าตนเองมองสาวใช้นางนี้ไม่ออกอยู่บ้าง ที่แท้นางมีเจตนาหรือไม่มีเจตนากันแน่ นางมีใจให้เขาหรือไม่มี นางอยากจะครอบครองตัวเขาเพื่อหวังในทรัพย์สินเงินทองหรือมีเจตนาอื่นแอบแฝง

นางยอมเสี่ยงตายช่วยชีวิตเขาจากแมงมุมพิษ ทำให้เขามองนางต่างไปจากเดิม เริ่มสนใจในตัวนางมากขึ้น ทว่ายามที่นางคุยโวโอ้อวด ใช้เสน่ห์มารยายั่วยวนเขาในห้องหนังสือนั้น เขาก็หมดความสนใจลงทันที

สิ่งที่นางไม่รู้ก็คือแม้ว่าเขาจะย้ายนางไปนอกเรือน แต่เขาก็ยังคงแอบตรวจสอบนางอยู่

หากเป็นคนทั่วไปพอถูกย้ายออกไปทำงานนอกเรือนก็น่าจะเศร้าโศกเสียใจ ทว่าในยามที่ไร้ผู้คนรอบข้าง เขากลับพบว่านางมีความสุขใจและสงบเยือกเย็นยิ่งนัก เขาเริ่มสงสัยแล้วว่าตนถูกสาวใช้นางนี้หลอกหรือไม่

ยามที่นางอยู่ต่อหน้าเขา นางปิดบังอะไรไว้หรือไม่

กลอุบายของหร่านเจียงโหดเหี้ยมเสมอมา เขาจะเปลี่ยนวิธีไปมาไม่แน่นอน บางครั้งก็รวดเร็วเฉียบขาด บางครั้งก็ทำให้คนมองไม่ออก มองจากภายนอกแล้วเขามีฝีมือและความกล้าหาญพร้อมสรรพ ทว่าในใจนั้นกลับละเอียดรอบคอบราวเม็ดฝุ่น เชี่ยวชาญในการตรวจสอบรายละเอียดเล็กน้อย มองสถานการณ์จากส่วนเล็กไปสู่ภาพใหญ่ ประเมินจากระยะสั้นไปสู่ระยะยาว

ยามที่เขาสอบสวนนักโทษ เขาไม่ได้ฟังว่าพวกนักโทษพูดความจริงหรือไม่ แต่เขาฟังว่าพวกนั้นพูดอะไร มีท่าทีเช่นไรบ้าง

คนผู้หนึ่งถึงจะเสแสร้งเก่งกาจเพียงใดก็ไม่มีทางคำนึงถึงรายละเอียดที่เล็กที่สุดได้ โดยเฉพาะการตอบสนองในยามคับขัน นั่นเสแสร้งไม่ได้หรอก

ยามที่เหมียวลั่วชิงกระโจนตัวเข้าหาเขาเพื่อกำบังกระบี่นั้นจากนักฆ่า เขาเห็นความโล่งอก ความผ่อนคลาย และรอยยิ้มอ่อนอันเกิดจากการปล่อยวางบนดวงหน้านาง

รอยยิ้มนั้นงดงามเหลือเกิน ทำให้ดวงตาเขาที่ตกตะลึงอยู่นั้นฉายความประหลาดใจออกมา

ยามที่นางช่วยชีวิตเขา นางไม่มีความเสียใจและความหวาดกลัวอยู่ในแววตาเลย มีเพียงความโล่งใจ คนเราแม้จะเสแสร้งเก่งเพียงใด ท่าทีอันเล็กน้อยเหล่านี้ก็คงหลอกใครไม่ได้

เขายังคงมีความสงสัยในตัวนางมากมายนัก แต่เขากลับเชื่อว่าสตรีผู้นี้กล้าสละแม้แต่ชีวิตเพื่อเขา

หร่านเจียงนั่งอยู่ที่ขอบเตียง สายตาจับจ้องคนที่สลบไสลอยู่บนนั้น แม้ว่าดวงหน้าน่ารักบอบบางจะซีดขาว ทว่าในสายตาเขา นางมีแต่จะงดงามมากขึ้นไม่มีลดลง

ฝ่ามือเขาลูบไล้ดวงหน้านางอย่างเบามือ จากคิ้วลงมาถึงดวงตา จมูก จนถึงปากน้อยๆ ของนาง ทว่าแววตาเขาแฝงไปด้วยความอ่อนโยนซึ่งหาได้ยากนัก ราวกับดาบปักวสันต์* อันคมกริบ ยากที่จะเก็บเข้าฝักและลดความเฉียบคมลงเพื่อนาง

ยามที่สาวใช้หรุ่ยเอ๋อร์ยกถ้วยยาเข้ามาก็มองเห็นภาพที่ไม่คาดฝันนี้

มือของใต้เท้ากำลังลูบไล้ดวงหน้าของคนที่นอนอยู่บนเตียง แสงแห่งความอ่อนโยนอันริบหรี่แวบผ่านดวงตาเขา ทำให้หรุ่ยเอ๋อร์อดตะลึงไม่ได้ สงสัยว่าตนเองตาฝาดไปหรือไม่ นางไม่เคยเห็นใต้เท้าในสภาพเช่นนี้เลย

หร่านเจียงที่นั่งอยู่ขอบเตียงไม่ได้หันมามองนาง แต่ก็คล้ายกับมีดวงตาอยู่ที่แผ่นหลัง เขาออกคำสั่งกับนางด้วยเสียงเข้ม

“ยกถ้วยยามา”

หรุ่ยเอ๋อร์ได้สติโดยพลัน นางรีบเดินซอยเท้าขึ้นหน้า พอเดินเข้าไปใกล้ใต้เท้าก็ยื่นมือมารับ

“เอามาให้ข้า”

หร่านเจียงรับถ้วยยามาด้วยมือข้างเดียว อีกมือหนึ่งพยุงเหมียวลั่วชิงขึ้นมา คงคิดว่าจะป้อนยานางด้วยตนเอง

หรุ่ยเอ๋อร์แอบประหลาดใจอยู่ด้านข้าง ทว่าทำได้เพียงเม้มปากแน่น ในใจรู้สึกอิจฉาริษยานางยิ่งนัก

“ใต้เท้า ชิงเอ๋อร์ยังสลบอยู่ ยังไม่สามารถดื่มยาได้ ต้องเปิดปากนางกรอกลงไป หากทำเช่นนี้จะทำให้ยาหกได้ เกรงว่าจะทำให้เสื้อผ้าของใต้เท้าสกปรก อย่างไรปล่อยให้เป็นหน้าที่บ่าวเถิดเจ้าค่ะ!”

หรุ่ยเอ๋อร์นึกว่าตนเองเอ่ยเช่นนี้แล้วหร่านเจียงจะปล่อยหน้าที่การป้อนยาให้แก่นาง ใครจะไปคิดว่าหร่านเจียงปฏิเสธนางทันควันโดยไม่ต้องใคร่ครวญ

“ไม่ต้อง”

เขากรอกยาในถ้วยที่เปิดฝาไว้ใส่ปากตนเอง จากนั้นก็ก้มหน้าประกบปากเหมียวลั่วชิง นึกไม่ถึงว่าเขาจะใช้ปากป้อนยานาง

หรุ่ยเอ๋อร์เบิกตาโพลงอย่างตื่นตระหนก อ้าปากค้าง งุนงงไปในทันใด

หากข้างกายหร่านเจียงไม่มีใคร การป้อนยาเหมียวลั่วชิงด้วยปากตนเองทีละคำๆ ช่างดูอ่อนโยนและใจเย็นยิ่งนัก เขาไม่ปล่อยให้ยาหยดออกมาภายนอกแม้เพียงหยดเดียว คอยระวังไม่ทำให้เสื้อผ้านางเปรอะเปื้อน

จนกระทั่งป้อนยาคำสุดท้าย เขาก็ยังคงจ้องดวงหน้าน้อยที่สลบไสลอยู่ในอ้อมกอดไม่วางตา พบว่ามุมปากนางยังเปื้อนคราบยา เขาก็เลยแลบลิ้นออกไปเลียตรงมุมปากนางจนไม่เหลือคราบสักหยด

เขาเพ่งพินิจอย่างพออกพอใจ ด้วยความตั้งอกตั้งใจของเขาทำให้ปากน้อยๆ ที่แต่เดิมไร้สีเลือดกลับมาชุ่มชื้น แต่งแต้มสีชมพูอ่อนไว้

เขาป้อนยาและจุมพิตนางราวกับเป็นเรื่องปกติ คล้ายกับว่าเดิมทีนี่ก็คือสิ่งที่อยู่ในอำนาจของเขา

เขาช้อนตาขึ้นเห็นหรุ่ยเอ๋อร์แสดงสีหน้างุนงง ริมฝีปากบางอันได้รูปของเขาค่อยๆ โค้งขึ้นกลายเป็นรอยยิ้มอ่อนอันน่าหลงใหล ทว่าวาจาที่เอ่ยออกมากลับกลายเป็นคำเตือนที่ทำให้คนอกสั่นขวัญแขวน

“หรุ่ยเอ๋อร์ ตั้งแต่บัดนี้ชิงเอ๋อร์ก็คือนายของเจ้า เจ้ามาปรนนิบัตินางเหมือนที่ทำกับข้า ต้องดูแลนางให้ดีที่สุด ละเอียดรอบคอบ หากเสื้อผ้านางเปื้อนเพียงนิด ห่มผ้าให้ไม่ดีพอ หรือบนร่างนางเกิดมีรอยฟกช้ำ เช่นนั้นหอนางโลมก็จะกลายเป็นที่พักของเจ้าในวันข้างหน้า เจ้าเข้าใจหรือไม่”

หรุ่ยเอ๋อร์หลุดออกจากภวังค์ทันใด จากนั้นก็กระจ่างแจ้งในบางสิ่ง รีบคุกเข่าลงอย่างตื่นตระหนก

“บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ บ่าวไม่กล้า บ่าว…จะต้องปรนนิบัติแม่นางชิงเอ๋อร์อย่างดีเจ้าค่ะ” หรุ่ยเอ๋อร์ตกอกตกใจ นางรู้ดีว่าเป็นเพราะตนปรนนิบัติเหมียวลั่วชิงอย่างขอไปที นางแอบไม่มีมารยาทกับเหมียวลั่วชิงที่สลบไสลอยู่ เป็นเหตุให้ใต้เท้าไม่พอใจ

หร่านเจียงไม่ได้เรียกนางลุกขึ้น ปล่อยให้นางคุกเข่าอยู่อย่างนั้น เหลือบมองนางอย่างเหยียดหยาม

“แม้ชิงเอ๋อร์จะยังสลบอยู่ แต่ว่าห้องนี้มีหูมีตาข้าคอยสอดส่อง ถ้าเจ้าปรนนิบัตินางอย่างดี ข้าจะตกรางวัลให้ หากดูแลได้ไม่ดี ข้าจะลงโทษเจ้าด้วยวิธีใดเจ้าคงรู้ดีนะ”

หรุ่ยเอ๋อร์รู้แน่แก่ใจในบัดดลว่าไม่มีอะไรเล็ดลอดสายตาใต้เท้าไปได้เลย นางตกใจกลัวจนร่างกายสั่นเทิ้ม ไม่กล้าเอ่ยมากความอีกพลันหมอบตัวลง

“บ่าวน้อมรับคำสั่งเจ้าค่ะ”

เหมียวลั่วชิงยังคงสลบไสลไม่ได้สติ นางยังคงไม่รู้ว่าการที่ตนเองใช้ชีวิตเดิมพันกับการรับกระบี่แทนหร่านเจียงในครั้งนี้ทำให้ชีวิตนางกลับตาลปัตรไปโดยสิ้นเชิง นางยังไม่ทันได้มอบเรือนร่างของตนให้กับหร่านเจียงก็ได้เลื่อนตำแหน่งจากสาวใช้เป็นอนุภรรยาของเขาเสียแล้ว

การดูแลปรนนิบัติทั้งหมดที่นางจะได้รับเทียบเคียงกับสิ่งที่บรรดาอี๋เหนียงได้รับ

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 26 .. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 14

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: