X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ใต้เท้าอย่ามาหยอก บทที่ 1-บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 16

บทที่ 1

ในชาติภพนี้ เหมียวลั่วชิงก็สิ้นชีวิตด้วยน้ำมือหร่านเจียงอีกครา

นางเป็นนักฆ่าหญิงผู้มีรูปโฉมงดงาม ซึ่งได้รับคำสั่งให้มาปลิดชีวิตผู้บังคับการกองปราบฝ่ายเหนือแห่งหน่วยองครักษ์เสื้อแพร* อย่างใต้เท้าหร่านเจียง นางแฝงตัวเข้ามาในจวนสกุลหร่านเพื่อหาโอกาสลงมือ และนางก็ทำสำเร็จ ได้เลื่อนขั้นกลายเป็นสาวใช้ข้างกายเขา ซ้ำยังร่วมหลับนอนกับเขาด้วย

วรยุทธ์ของนางก็ไม่นับว่าเลวนัก ทว่าคู่ปรับของนางคือหร่านเจียงผู้มีวรยุทธ์ล้ำเลิศ นางจึงทำได้เพียงใช้กลยุทธ์สาวงามเข้าล่อ

นักฆ่าทุกคนล้วนมีความถนัดเป็นของตัวเอง เหมียวลั่วชิงเองก็เช่นกัน นางชำนาญการใช้เสน่ห์พิฆาต ใช้รูปโฉมเข้าหลอกล่อฝ่ายตรงข้ามแล้วปลิดชีวิตทันควัน

ทว่าการลอบสังหารหร่านเจียงกลับกลายเป็นฝันร้ายของนางมาเก้าภพเก้าชาติ

แล้วเหตุใดจึงเป็นเก้าภพเก้าชาติ นั่นเพราะนางลอบสังหารหร่านเจียงมาแล้วเก้าครั้ง แต่คนที่ต้องสิ้นชีวิตด้วยน้ำมือเขาเก้าครั้งกลับเป็นตัวนางเอง และนางก็กลับมาเกิดใหม่ทั้งเก้าครั้ง

เหมียวลั่วชิงรู้แจ้งแก่ใจแล้วว่าหร่านเจียงคือมารร้ายตัวฉกาจที่เกิดมาเพื่อสังหารนางโดยเฉพาะ จะว่าไปนางและเขาก็ไม่ได้มีบุญคุณความแค้นต่อกัน การลอบสังหารเขาเป็นเพียงการทำตามคำสั่งเท่านั้น แต่เมื่อมองจากความพ่ายแพ้ในการลอบสังหารแต่ละครั้งก็เห็นว่าทั้งนางและเขาได้สั่งสมหนี้แค้นไว้ถึงเก้าภพเก้าชาติ

นางและเขาจำต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสิ้นชีวิต อีกฝ่ายจะได้มีชีวิตรอด ไม่ว่านางจะใช้กลอุบายที่อิงจากประสบการณ์ในชาติภพที่ผ่านมานำมาปรับปรุงแก้ไขในชาติปัจจุบันอย่างไร ท้ายที่สุดคนที่มีชีวิตรอดต่อไปก็คือเขา ส่วนนางคือคนที่ตายอย่างน่าอนาถ

นางโกรธแค้นหร่านเจียงเสียจนอยากประท้วงต่อยมบาลในนรก ทว่าน่าเสียดายที่นางยังไม่ทันได้พบหน้ายมบาลก็ต้องกลับมาเกิดใหม่อย่างพิลึกพิลั่น

ในการเกิดใหม่ทั้งเก้าครั้งนี้นางเคยโดนหร่านเจียงยิงธนูทะลุขั้วหัวใจ วางยาพิษ ทำให้ชีพจรนางแตกซ่าน ล้วนน่าเวทนาจนทนดูไม่ได้

กล่าวตามจริง หร่านเจียงสังหารนางอย่างง่ายดายราวกับบี้มดตัวหนึ่ง

หลังจากจบชีวิตมาแล้วเก้าครั้ง นางลืมตาขึ้นมาก็มองเห็นห้องที่คุ้นเคย เตียงและเครื่องเรือนที่คุ้นตา

นางค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่ง ดวงหน้างดงามนั้นซีดเซียวไร้ความรู้สึก มีเพียงความเย็นยะเยือกและเหนื่อยล้าอย่างที่สุด หลังจากตายด้วยน้ำมือหร่านเจียง นางก็จะฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ในห้องนี้ บนเตียงตัวนี้ และเวลานี้ทุกครั้ง

ครั้งนี้คือการเกิดใหม่ครั้งที่สิบ

“เฮ้อ…ฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว…” นางเอ่ยกับตนเองด้วยน้ำเสียงเย็นชา ไร้ซึ่งความปีติยินดี มีเพียงความด้านชาเท่านั้น

หลังพ่ายแพ้ในการลอบสังหารและต้องตายอย่างน่าอนาถมาถึงเก้าครั้ง ไม่ว่าผู้ใดล้วนต้องรู้สึกล้มเหลวเป็นธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้นในครั้งสุดท้ายนางโดนหร่านเจียงใช้ดาบฟันที่เอว ก่อนจะสิ้นใจนางยังต้องฝืนทนความทรมานและหวาดกลัวอย่างที่สุดอีกพักหนึ่งด้วย

นี่นับว่าประเสริฐแล้วที่นางไม่ได้สติฟั่นเฟือนไปเสียก่อน

จู่ๆ ประตูห้องก็ถูกเปิดออก สตรีนางหนึ่งโผล่พรวดเข้ามา

“นี่มันยามใดแล้ว เจ้ายังจะนอนขี้เซาอยู่บนเตียงอีก?”

สตรีที่เอ่ยวาจานั้นมีนามว่าชิวเยวี่ย นางเป็นสาวใช้ในจวนสกุลหร่านเช่นเดียวกับเหมียวลั่วชิง ครั้นชิวเยวี่ยเห็นนางยังนอนอยู่บนเตียงก็เอ่ยวาจาแดกดันด้วยเสียงสูงปรี๊ดทันที

เหมียวลั่วชิงเหลือบมองชิวเยวี่ยแวบหนึ่งอย่างเหนื่อยหน่าย ที่ผ่านมานางและชิวเยวี่ยเป็นปรปักษ์กันเสมอ ทะเลาะเบาะแว้งกันอย่างดุเดือด ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ทว่าวันนี้นางกลับคร้านจะต่อปากต่อคำ จึงเพียงแต่นั่งเหม่อมองอีกฝ่ายอยู่บนเตียงอย่างเงียบๆ

“ไยเป็นใบ้ไปแล้วเล่า ใต้เท้ากลับจวนมาแล้ว ต้องการคนคอยปรนนิบัติ พอเจ้าไม่อยู่หรุ่ยเอ๋อร์จึงปรนนิบัติใต้เท้าแทน เจ้ายังกล้ามานอนขี้เกียจอยู่เช่นนี้อีกหรือ”

เหมียวลั่วชิงยังคงจ้องมองชิวเยวี่ยอย่างไร้อารมณ์

ตัวนางและชิวเยวี่ยบาดหมางกันมาตลอด แต่ครานี้ชิวเยวี่ยกลับตั้งใจวิ่งเอาเรื่องนี้มาบอก? ครั้นลองใคร่ครวญจากประสบการณ์ที่ผ่านมานางจึงรู้ว่าชิวเยวี่ยกำลังโกหก ความจริงก็คือหรุ่ยเอ๋อร์ถูกวางแผนให้ไปปรนนิบัติใต้เท้าแทนนาง

เป้าหมายของชิวเยวี่ยคือต้องการให้นางและหรุ่ยเอ๋อร์มีปากเสียงกันต่อหน้าหร่านเจียงหมายสร้างความรำคาญใจให้เขา ส่วนตัวชิวเยวี่ยก็จะนั่งคอยเป็นผู้เฒ่าหาปลา

ชิวเยวี่ยหลงรักหร่านเจียง นางปรารถนาจะรับใช้ข้างกายเขามาโดยตลอด ส่วนเหมียวลั่วชิงนั้นทำไปเพราะเป็นภาระหน้าที่ จึงไม่เคยยอมให้ชิวเยวี่ยสมหวังสักครา

ทว่าในชาติภพนี้นางตัดสินใจแล้วว่าจะสานฝันชิวเยวี่ยให้เป็นจริง

“ชิวเยวี่ย ข้าไม่สบาย” นางเห็นชิวเยวี่ยตะลึงงันไปจึงเอ่ยต่อโดยไม่รอให้อีกฝ่ายมีโอกาสได้พูด “ข้ารู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวมาก หลายวันนี้คงไม่อาจปรนนิบัติใต้เท้าได้ เจ้าช่วยไปแจ้งพ่อบ้านจ้าวทีว่าข้าขอลาป่วย”

ชิวเยวี่ยแสดงสีหน้าไม่คาดฝัน หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นสงสัยแทน “เจ้าป่วยหรือ”

เหมียวลั่วชิงหลุบตาลงทันที ก่อนล้มตัวลงนอนอย่างกะปลกกะเปลี้ยแสดงท่าทางไร้เรี่ยวแรง “ยามนี้ข้าอ่อนแรงไปทั่วร่าง หน้ามืดวิงเวียน ไม่มีปัญญาไปปรนนิบัติใต้เท้าหรอก”

เดิมทีชิวเยวี่ยจงใจจะเหน็บแนมหมายให้นางทะเลาะฟาดฟันกับหรุ่ยเอ๋อร์ แต่คิดไม่ถึงว่านางกลับล้มป่วยแล้วยังอยากลางาน ขณะที่ชิวเยวี่ยกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นก็มีอีกความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าก็นอนพักเถิด ข้าจะไปแจ้งพ่อบ้านจ้าวให้” ชิวเยวี่ยไม่พูดมากความอีก นางหมุนตัวเดินออกจากห้องไปพลางครุ่นคิด แล้วก็เร่งฝีเท้าไปหาพ่อบ้านจ้าว

ครั้นชิวเยวี่ยจากไปเหมียวลั่วชิงก็ลุกขึ้นนั่ง นางรู้ดีว่าชิวเยวี่ยจะใช้โอกาสนี้ช่วงชิงงานของนางไป ซึ่งก็ตรงกับใจนางพอดี

เหมียวลั่วชิงอดทนอดกลั้นมามากพอแล้ว ชาตินี้นางไม่อยากพบกับจุดจบที่ต้องสิ้นชีวิตอย่างทรมาทรกรรมอีก นางตัดสินใจหลบเลี่ยงหร่านเจียง อยู่ให้ห่างจากเขาไว้ ยิ่งไกลยิ่งดี ขอเพียงไม่ต้องสังหารหร่านเจียง นางก็จะไม่ประสบเคราะห์กรรมจากน้ำมือเขาอีก

แต่จะให้ทางสำนักล่วงรู้ถึงการตัดสินใจนี้ไม่ได้เด็ดขาด นางจะต้องรักษาความลับนี้ไว้ โชคดีที่ทางสำนักไม่ได้ระบุเวลาว่านางจะต้องสังหารหร่านเจียงให้ได้ภายในเมื่อไร ดังนั้นนางจึงคิดจะยืดเวลาออกไปทีละวันๆ ส่วนเรื่องอื่นนั้นวันหลังค่อยแก้ไปตามสถานการณ์!

หลังจากที่เหมียวลั่วชิงตัดสินใจแน่วแน่แล้วนางก็ได้พักอยู่ในห้องเป็นเวลาสามวัน แสร้งแสดงอาการเหมือนคนป่วยให้แนบเนียนที่สุด

สามวันถัดมานางก็ออกจากห้องไปปรนนิบัติใต้เท้า สถานการณ์เป็นเหมือนที่นางคาดการณ์ไว้มิผิดเพี้ยน ที่แท้งานของนางก็ตกไปอยู่ในมือของชิวเยวี่ยแล้ว นางถูกเรียกตัวให้ไปพบพ่อบ้านจ้าวทันที

พ่อบ้านจ้าวกล่าวว่านางล้มป่วยนานเกินไป หน้าที่ดูแลใต้เท้านั้นจะขาดคนไม่ได้ เขาจึงสั่งให้ชิวเยวี่ยไปปรนนิบัติใต้เท้าแทนนาง แล้วก็หาคนอื่นมาทำหน้าที่แทนชิวเยวี่ย ในเมื่อแทนกันไปแทนกันมา ท้ายที่สุดก็เหลือเพียงงานในห้องครัวที่ยังขาดคน

ครั้นได้ยินว่าตนเองถูกสับเปลี่ยนไปทำงานในห้องครัว เหมียวลั่วชิงก็พลันยิ้มเย็น

งานในห้องครัวเป็นงานหยาบ สาวงามเช่นนางและชิวเยวี่ยมักถูกแบ่งหน้าที่ให้ทำงานที่ประณีตอยู่ในเรือน อย่างไรเสียก็ไม่มีทางสับเปลี่ยนนางให้ไปทำงานในห้องครัวได้ เห็นได้ชัดว่าพ่อบ้านจ้าวจงใจกลั่นแกล้งนาง

เหมียวลั่วชิงมองแววตาเป็นประกายของพ่อบ้านจ้าว นางรู้อยู่แก่ใจว่าพ่อบ้านจ้าวกำลังรอให้นาง ‘ติดสินบน’ เขา

“เข้าใจแล้ว ข้าจะไปที่ห้องครัวเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” นางไม่แยแสสักนิด ถึงจะให้นางเป็นสาวใช้เผาฟืนหรือล้างจานก็ล้วนไม่สลักสำคัญแต่อย่างใด ขอเพียงได้ออกห่างจากหร่านเจียง ยิ่งไกลยิ่งดี

พ่อบ้านจ้าวคิดไม่ถึงว่านางจะไม่ขอร้องอ้อนวอนเลยสักคำ กลับตอบรับอย่างว่าง่ายถึงเพียงนี้ เดิมทีเขาคิดเอาไว้ว่าขอเพียงนางเอ่ยปากขอร้อง เขาก็จะฉวยโอกาสนี้ตั้งเงื่อนไขทันที

“ในเมื่อเจ้ายอมย้ายไปทำงานในห้องครัวแล้วก็ต้องย้ายออกจากห้องนอนเดิมด้วย เจ้าไปนอนเบียดเสียดกับพวกบ่าวไพร่ในโรงนอนแล้วกัน” พ่อบ้านจ้าวเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ

ทุกคนในจวนล้วนตระหนักดีว่าโรงนอนที่บ่าวไพร่ในห้องครัวพักนั้นมีสภาพแย่กว่าห้องพักของสาวใช้ในเรือนหลายเท่า สาวใช้ชั้นดีจะได้พักห้องละสองคน ไม่ว่าจะเป็นขนาดของเตียงหรือเครื่องตกแต่งห้องล้วนสะอาดสะอ้าน ประณีตงดงาม แต่โรงนอนของบ่าวไพร่ชั้นต่ำในครัวนั้นกลับต่างกันลิบลับ ทั้งแม่บ้านและสาวใช้ชั้นต่ำล้วนนอนเรียงกันเป็นตับ ขณะที่คนงานซึ่งเป็นบุรุษพักอยู่อีกห้องหนึ่ง โรงนอนแห่งนั้นล้วนมีกลิ่นอายหลากหลายคละคลุ้ง พอตกดึกก็มีทั้งเสียงจาม ละเมอ กัดฟัน อึกทึกจนยากที่จะข่มตาหลับได้

พ่อบ้านจ้าวไม่เชื่อหรอกว่าเหมียวลั่วชิงจะทนได้ พอนางฟังแล้วจะต้องหน้าถอดสีแน่ ทว่าเขาก็คาดการณ์ผิดอีกครา เหมียวลั่วชิงผอมแห้งเพียงรูปร่างภายนอก แต่ความจริงนางสามารถทำงานหยาบในห้องครัว นอนในโรงนอน และทนความลำบากได้ สำหรับนางเรื่องนี้จะยากเท่าไรกัน สิ่งเหล่านี้เทียบไม่ได้เลยกับคำว่าลำบาก

ในขณะที่พ่อบ้านจ้าวกำลังงุนงงอยู่นั้นนางก็หมุนตัวเดินจากไปอย่างสง่างาม นางตั้งใจว่าจะกลับห้องไปเก็บข้าวของ

พ่อบ้านจ้าวตีหน้าขรึม ด่าว่านาง “นางตัวแสบ! ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ถึงตอนนั้นอย่ามาอ้อนวอนข้าก็แล้วกัน หากจะมาอ้อนวอนก็คงไม่อาจแลกเปลี่ยนด้วยเงินทองได้ แต่ต้องใช้เรือนร่าง…” พอเอ่ยมาถึงจุดนี้เขาก็พึงพอใจที่มองเห็นเหมียวลั่วชิงชะงักฝีเท้า นางหันมามองเขาด้วยแววตาคมกริบเย็นยะเยือก

เหมียวลั่วชิงเป็นนักฆ่า ย่อมมีความเลือดเย็นเป็นธรรมดา ดวงตางดงามเฉียบคมคู่นั้นจ้องไปด้วยความอำมหิตและข่มขู่ เสียดแทงเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย

พ่อบ้านจ้าวถูกนางจับจ้องอย่างไม่ทันตั้งตัวเยี่ยงนี้ ชั่วพริบตาความหนาวเย็นก็แล่นขึ้นมาที่แผ่นหลัง ตัวเขาสั่นสะท้านอย่างไร้เหตุผลและยืนแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น

ครั้นเหมียวลั่วชิงแลเห็นความขลาดกลัวในดวงตาของเขาก็นับว่าได้บรรลุจุดประสงค์แล้ว นางจึงก้าวเดินจากไปอย่างไม่หันหลังกลับ

ครั้นนางจากไป พ่อบ้านจ้าวก็เพิ่งได้สติ เขากุมอกไว้ด้วยความประหลาดใจ อดถามตนเองไม่ได้ น่าแปลก เมื่อครู่เด็กสาวผู้นั้นจ้องมาปราดหนึ่ง ไยข้าจึงตัวสั่นพูดอะไรไม่ออก

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้เขาก็อดที่จะบันดาลโทสะไม่ได้ สาปแช่งนางไปเสียงหนึ่ง

“นางตัวแสบ กล้าจ้องข้าด้วยสายตาโหดเหี้ยม รอให้มีโอกาสก่อนเถอะ คอยดูแล้วกันว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร!” ยามนี้ในใจเขาล้วนครุ่นคิดแต่เรื่องสกปรกโสมม

ตอนที่เหมียวลั่วชิงเพิ่งเข้ามาในจวน พ่อบ้านจ้าวก็ถูกตาต้องใจในความงามของนาง ไม่ว่าเขาจะแสดงออกอย่างเป็นนัยหรือเปิดเผย เด็กสาวนั่นก็ไม่เคยคิดจะเหลียวแล

สำหรับพ่อบ้านจ้าวแล้ว หากเขาถูกใจสาวใช้นางใดก็นับเป็นบุญวาสนาของสาวใช้นางนั้น แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงพ่อบ้านตัวเล็กๆ ในจวน แต่เขาก็คงจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นพ่อบ้านใหญ่ในอีกไม่ช้า เช่นนั้นเหมียวลั่วชิงที่มองข้ามความหวังดีของเขาไป เขาสาบานด้วยความโกรธแค้นในใจว่าจะต้องครอบครองตัวนางให้ได้ในสักวัน

เหมียวลั่วชิงตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะออกห่างจากหร่านเจียง ด้วยเหตุนี้การย้ายไปทำงานในห้องครัวและย้ายห้องนอนก็ตรงกับใจนางพอดี ทั้งหมดที่นางต้องทำคือคิดหาหนทางและเหตุผลออกจากจวนสกุลหร่าน โดยไม่ทำให้หร่านเจียงนึกสงสัยและสามารถอธิบายกับทางสำนักได้

แต่เรื่องนี้ยังติดอยู่ที่ว่านางได้รับคำสั่งให้มาสังหารหร่านเจียง หากเจ้าสำนักไม่ถอนคำสั่ง นางจะออกจากจวนสกุลหร่านไม่ได้เด็ดขาด ถึงจะจากไปก็ต้องหาเหตุผลสุดวิสัยต่างๆ มาปิดบัง

เดิมทีเหมียวลั่วชิงนึกว่าการที่นางอยู่ในห้องครัวจะทำให้อยู่ห่างจากหร่านเจียงได้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าวงล้อโชคชะตาจะจงใจเป็นปรปักษ์กับนาง นางมาทำงานในห้องครัวได้ไม่ถึงสิบวันก็เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นในจวน

“มีนักฆ่าในจวน!”

ไม่รู้ว่าใครกรีดร้องเสียงแหลมสูงราวกับฟ้าผ่าดังเลื่อนลั่น ก่อให้เกิดความชุลมุนไปทั่วจวน

ยามนี้เหมียวลั่วชิงกำลังล้างจานชามอยู่ ครั้นได้ยินคำว่านักฆ่าสองคำนี้ นางก็ตื่นตระหนกทันที

นางหยุดงานในมือแล้วเดินตามพวกบ่าวไพร่ออกไปนอกเรือน

ป้าหลู่ผู้ดูแลห้องครัวคว้าตัวคนงานคนหนึ่งมาซักถาม “นี่มันเกิดอะไรขึ้น”

“แย่แล้ว มีคนจะลอบสังหารใต้เท้า!”

“นักฆ่ามีกี่คน ใต้เท้าเป็นอะไรหรือไม่”

“ได้ยินว่านักฆ่าแฝงตัวเข้ามาในจวน ใต้เท้าออกคำสั่งให้จับตัวไว้แล้ว ยามนี้นักฆ่ากำลังดิ้นรนอย่างสุดความสามารถ!” ครั้นคนงานคนนั้นกล่าวจบก็รีบวิ่งไปชมความคึกคัก ส่วนบ่าวไพร่คนอื่นๆ ก็วางงานในมือลงแล้วเดินตามไปดู

เหมียวลั่วชิงก็เดินตามทุกคนไปอย่างสงบเสงี่ยม นางครุ่นคิดอยู่ในใจว่า ที่แท้นอกจากตัวข้าแล้ว ในจวนแห่งนี้ยังมีนักฆ่าคนอื่นดักซุ่มอยู่อีก? ไม่รู้ว่านักฆ่าคนนี้จะถูกเจ้าสำนักส่งตัวมาเป็นเหมือนข้าหรือไม่

เหตุที่นางคิดเช่นนี้ก็เป็นเพราะนางรู้ว่าเพื่อสังหารหร่านเจียงให้สำเร็จ ทางสำนักอาจจะแอบส่งนักฆ่าอีกคนหนึ่งมาซ่อนตัวอยู่ในที่ลับเพื่อรอโอกาสลงมือ

ข้อแรกเพื่อให้แผนการที่วางไว้รอบคอบรัดกุม เพิ่มโอกาสที่จะปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จ ข้อสองเพื่อเฝ้าติดตามดูความเคลื่อนไหว หากนักฆ่าคนแรกล้มเหลว นักฆ่าคนที่สองก็จะฆ่าปิดปากทันทีเพื่อไม่ให้ทรยศต่อสำนักเพราะถูกหร่านเจียงทรมาน

เหมียวลั่วชิงนึกระแวงอยู่ในใจ นักฆ่าคนนี้ถูกเจ้าสำนักส่งตัวมาให้จับตาดูนางใช่หรือไม่ พอเห็นนางถูกย้ายไปห้องครัว ไม่มีโอกาสลงมือ ก็เลยลงมือสังหารหร่านเจียงเสียเอง?

เหมียวลั่วชิงเดินตามทุกคนไป เมื่อเดินผ่านกลุ่มคนนางก็เห็นสตรีถือดาบนางหนึ่งกำลังถูกเหล่าองครักษ์โอบล้อม สตรีนางนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นสาวใช้ชิวเยวี่ยนั่นเอง

เหมียวลั่วชิงตกตะลึงขั้นสุด คิดไม่ถึงว่าชิวเยวี่ยจะเป็นนักฆ่า!

ยามนี้ชิวเยวี่ยหน้าซีดเผือด ร่างกายอาบไปด้วยโลหิต เห็นชัดว่านางบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้อย่างดุเดือด คางของนางถูกจับ มือทั้งสองข้างก็ถูกองครักษ์ผู้หนึ่งคุมไว้ด้านหลังมิอาจขยับเขยื้อนได้

หากนักฆ่าคนใดทำงานล้มเหลว เพื่อไม่ให้ตกไปอยู่ในกำมือของฝ่ายตรงข้าม นักฆ่าคนนั้นจะต้องกินยาพิษฆ่าตัวตาย ทว่าชิวเยวี่ยถูกจับคางไว้จึงไม่ทันได้กลืนยาพิษ

เหมียวลั่วชิงแลมองชิวเยวี่ย ในใจพลันรู้สึกสับสนจนพูดไม่ออก

ยามนี้จู่ๆ เหล่าองครักษ์ที่ล้อมไว้ทุกด้านก็แยกกลุ่มออกเป็นสองแถวจนเกิดพื้นที่ว่างตรงกลางขึ้น เงาร่างสูงใหญ่ก้าวมาอย่างสุขุมจากทางอีกฝั่งหนึ่ง

ร่างเขาสูงตระหง่านราวปลายดาบที่ตั้งตรง คิ้วคมคาย ดวงตาเป็นประกาย ท่าทางเย็นชา ร่างนั้นแผ่ไอความกดดันออกไปทั่วบริเวณ ดูน่าเกรงขามยิ่งนักแม้ไม่ได้บันดาลโทสะ จนไม่มีผู้ใดตรงนั้นกล้าส่งเสียงสักคำ

หร่านเจียง!

เหมียวลั่วชิงก้มหน้างุดพลางถอยหลังก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว นางยืนหลบอยู่ด้านหลังกลุ่มคน ซ่อนตัวเสียมิดชิด ด้วยฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนจากหลายชาติก่อนเป็นผลให้นางเกิดความหวาดกลัวอันไร้รูปต่อหร่านเจียง นางหลบเขาราวกับหลบอสรพิษร้าย

หร่านเจียงก้าวเดินมายังเบื้องหน้าชิวเยวี่ย สายตาเย็นยะเยือกกวาดมองทั่วร่างตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแวบหนึ่ง

“ใครส่งเจ้ามา หากยอมสารภาพแต่โดยดีข้าจะลงมือประหารเจ้าอย่างฉับไว เหลือสภาพศพที่สมบูรณ์ไว้ให้เจ้า และข้าจะได้ไม่ต้องเสียเวลาส่งเจ้าไปยังคุกอาญาหลวง*

ครั้นเข้าไปในคุกอาญาหลวงขององครักษ์เสื้อแพรแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับการลงนรก ภายในห้องขังจะลงโทษอย่างโหดเหี้ยมทารุณ แม้แต่โจรผู้ร้ายที่ฆ่าคนเป็นผักปลาก็ยังนึกหวาดผวา

สายตาชิวเยวี่ยสบกับแววตาเย็นยะเยือกนั้น นางเพียงยิ้มเย็นชั่วครู่ แค่มองจากสายตาที่ไม่ยอมศิโรราบของนางก็ตระหนักได้แล้วว่านางไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาแน่

ครั้นหร่านเจียงเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มเย็นตอบกลับ ยื่นมือซ้ายไปด้านข้าง องครักษ์คนหนึ่งมอบดาบให้เขาทันที เขากำดาบไว้แล้วค่อยๆ เยื้องย่างไปเบื้องหน้า ตัวดาบส่องแสงเย็นเยียบภายใต้ดวงตะวัน

หร่านเจียงไม่พูดพร่ำใดๆ ทั้งสิ้น เขาเอียงปลายดาบแล้วค่อยๆ แล่เนื้อหนังตรงหัวไหล่ของชิวเยวี่ยออกมาชิ้นหนึ่ง

ใช่แล้ว ค่อยเป็นค่อยไป เขาแล่เนื้อเถือหนังของชิวเยวี่ยราวกับหั่นเนื้อหมูพลางซักถามอย่างเยือกเย็นว่า “เจ้าจะยอมรับสารภาพหรือไม่”

ชิวเยวี่ยถูกจับคางไว้ นางจึงไม่อาจกรีดร้องออกมายามที่ดาบกรีดลงไปบนเนื้อหนัง นางทำได้เพียงครวญครางอย่างทรมานผ่านทางลำคอ สีหน้าของนางโกรธแค้น แสดงออกว่ากำลังทนทรมานอยู่

มีเพียงเหล่าองครักษ์ที่สีหน้าไม่เปลี่ยน พวกบ่าวไพร่ทั้งหมดที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็ต้องกลั้นหายใจเอาไว้

ชิวเยวี่ยเนื้อตัวสั่นเทิ้ม มือทั้งสองข้างของนางถูกองครักษ์มัดไว้มิอาจขยับเขยื้อน ทำได้เพียงปล่อยคนฆ่าแกง

ดาบในมือของหร่านเจียงเฉือนเนื้อทางซ้ายชิ้นหนึ่ง ทางขวาชิ้นหนึ่ง ทุกครั้งที่ตัดเนื้อชิ้นหนึ่งก็จะถามประโยคหนึ่งว่าจะยอมสารภาพหรือไม่

ร่างของโฉมงามราวบุปผาหยกอาบไปด้วยโลหิต การลิ้มลองความทรมานเช่นนี้กลับไม่ถึงแก่ความตาย

หร่านเจียงเฉือนเนื้อของนางออกมาสิบสามชิ้นแล้วก็หยุดมือเก็บดาบ

“ส่งนางไปยังคุกอาญาหลวง” เขาออกคำสั่งอย่างเย็นเยียบ

ครั้นเขากล่าววาจานั้นออกไปก็มีองครักษ์สองคนเดินมาลากร่างของชิวเยวี่ยที่เหวอะหวะออกไป รอยเลือดยังคงรินไหลตามทาง

เหล่าบ่าวไพร่ต่างสีหน้าซีดเผือด มีบางคนทนความพะอืดพะอมและความหวาดหวั่นไม่ไหว รีบปิดปากแล้ววิ่งไปอาเจียนอีกทาง

เหมียวลั่วชิงตระหนักดีว่าหร่านเจียงจงใจลงโทษชิวเยวี่ยต่อหน้าทุกคน เขาคิดจะใช้โอกาสนี้สั่งสอนทุกคนให้เข็ดหลาบ ให้พวกเขาตระหนักว่าถ้ากล้าคิดไม่ซื่อหรือกำเริบกับเขาแล้วล่ะก็ เขาจะให้อีกฝ่ายมีสภาพแบบอยู่ไม่สู้ตาย

หร่านเจียงโยนดาบคืนไปให้องครักษ์แล้วหมุนกายเดินก้าวยาวๆ จากไป ทุกคนต่างก็แยกย้ายกลับไปทำหน้าที่ของตนเอง ไม่มีใครกล้าเอ่ยวาจาแม้เพียงประโยคเดียว

เหมียวลั่วชิงเดินกลับไปอย่างเงียบเชียบเหมือนคนอื่นๆ หัวใจนางถูกบีบรัดจนทรมานยิ่ง เพราะมีอยู่ชาติหนึ่งนางเองก็ประสบกับเหตุการณ์เช่นเดียวกับชิวเยวี่ย ถูกเขาตัดมือ ตัดเท้า และเชือดคอทีละดาบ จากนั้นค่อยส่งเข้าคุกอาญาหลวง

ชิวเยวี่ยพบจุดจบเช่นเดียวกับนางในชาตินั้นอย่างมิมีผิดเพี้ยน

จนกระทั่งได้เกิดใหม่ครานี้เหมียวลั่วชิงจึงรู้ว่าชิวเยวี่ยก็เป็นนักฆ่าเช่นกัน ชาติที่แล้วนางอาจจะตายก่อนชิวเยวี่ยจึงไม่รู้เรื่องนี้ ส่วนครั้งนี้เป็นเพราะนางอ้างว่าล้มป่วยปล่อยให้ชิวเยวี่ยทำหน้าที่แทน จึงเกิดเหตุการณ์อย่างวันนี้ขึ้น

ทุกครั้งที่คืนชีพขึ้นมาใหม่ หากนางเปลี่ยนกลยุทธ์ในการลอบสังหารก็จะส่งผลทำให้บางเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไป เหมียวลั่วชิงจึงยิ่งมั่นใจว่าขอเพียงนางไม่ทำตัวเป็นปรปักษ์กับหร่านเจียง นางจะต้องเปลี่ยนจุดจบอันน่าอนาถเหล่านั้นได้แน่

เมื่อเหมียวลั่วชิงเกิดความมั่นใจดังนี้นางก็รู้สึกมีความหวังขึ้นมา ทำให้เมฆหมอกและความเจ็บปวดรวดร้าวที่เกี่ยวพันกับความทรงจำเดิมๆ ลดลงไปไม่น้อย นางย่างก้าวอย่างแผ่วเบาและเร็วขึ้นหมายจะกลับห้องครัวเพื่อไปทำงานต่อ

เรื่องของชิวเยวี่ยทำให้ไม่มีใครกล้าปริปาก ไม่มีใครกล้าซุบซิบตามอำเภอใจ ใต้เท้าอาจจะตรวจสอบเรื่องการลอบสังหารภายในจวน หากยามนี้ใครกล้าเอ่ยปากออกมาเพียงประโยคเดียวอาจตายก็เป็นได้ ด้วยเหตุนี้แต่ละคนจึงก้มหน้างุดๆ ทำงานต่อไป รักษาความเงียบสงบไว้

เดิมทีเหมียวลั่วชิงนึกว่าตนจะพ้นเคราะห์แล้ว ใครจะนึกว่าพอผ่านไปเพียงชั่วครู่องครักษ์คนหนึ่งก็มายังห้องครัว ซักถามด้วยน้ำเสียงดังกึกก้อง

“สาวใช้ชิงเอ๋อร์อยู่ที่ใด”

เหมียวลั่วชิงตะลึงพรึงเพริดโดยพลัน นางแอบประหลาดใจ ภายใต้ความเงียบงันนั้นนางรู้สึกได้ถึงสายตาทุกคู่ที่จับจ้องมาโดยไม่ได้นัดหมาย

นางหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆ ยืนขึ้น สายตาขององครักษ์ผู้นั้นก็จับจ้องมาที่นางเช่นกัน

องครักษ์คนนั้นเดินขึ้นหน้าก้าวใหญ่ “เจ้าก็คือชิงเอ๋อร์?”

“ใช่เจ้าค่ะ”

“ตามข้าไปพบใต้เท้า”

เหมียวลั่วชิงตอบรับเบาๆ เสียงหนึ่งแล้วก็ก้มหน้าก้มตาเดินตามองครักษ์ออกจากห้องครัวไป

นางยังคงประหลาดใจไม่หาย ครุ่นคิดไปต่างๆ นานา เหตุใดหร่านเจียงจึงต้องการพบนาง เขาพบเบาะแสอะไรหรือ หรือเขาเริ่มสงสัยในตัวนางเข้าแล้ว

เหมียวลั่วชิงเกร็งไปทั่วร่าง สมองคิดไปหลากหลาย ท้ายที่สุดนางก็แน่ใจว่าตนเองไม่ได้มีพิรุธแต่อย่างใด หร่านเจียงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะสงสัยในตัวนาง มิสู้เฝ้าสังเกตการณ์ไปก่อน ใคร่ครวญไปทีละก้าวแล้วกัน หากว่าเค้าลางไม่ดี…

ครั้นนึกถึงจุดจบน่าอนาถเมื่อชาติที่แล้วนางก็หน้าบูดบึ้งขึ้นมาทันใด นางตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เมื่อเทียบกับการที่ต้องถูกเขาทรมาทรกรรม มิสู้ฆ่าตัวตายให้รู้แล้วรู้รอดไปเสียเลยจะดีกว่า

นางเดินตามองครักษ์มาถึงห้องหนังสือแล้วก้มหน้างุดๆ เดินเข้าห้องไป พอเดินผ่านประตูก็เห็นพ่อบ้านจ้าวคุกเข่าอยู่บนพื้น

พ่อบ้านจ้าวเงยหน้ามองปราดหนึ่งหลังจากที่นางเดินเข้ามาในห้อง แววตาคู่นั้นแฝงไปด้วยความเกลียดชังทำให้นางรู้สึกถึงลางร้าย

“ใต้เท้า ชิงเอ๋อร์มาถึงแล้วขอรับ” ครั้นองครักษ์กล่าวจบ เหมียวลั่วชิงพลันรู้สึกได้ว่าหร่านเจียงตวัดสายตาอันเฉียบคมและแฝงความกดดันมาที่ตัวนาง

“เจ้าเงยหน้าขึ้นซิ” สุ้มเสียงบุรุษเพศทรงอำนาจและเย็นยะเยือกยิ่งนัก

เหมียวลั่วชิงจำต้องสำรวมอากัปกิริยาอย่างมากเมื่ออยู่เบื้องหน้าเขา นางแสดงท่าทีหวาดกลัว เงยหน้าขึ้นด้วยเนื้อตัวสั่นเทาเล็กน้อย สีหน้าประจบประแจงระคนระแวดระวังแฝงด้วยความเคารพอยู่สามส่วน ความหวาดกลัวอีกเจ็ดส่วน

หร่านเจียงจับจ้องนาง นัยน์ตาของเขาดำขลับ เย็นชา และลึกสุดหยั่งเฉกเช่นที่ผ่านมา เขาพินิจดวงหน้าอันงดงามอย่างละเอียด

เหมียวลั่วชิงปรนนิบัติอยู่ข้างกายเขามาครึ่งปี นางมีฝีมือและละเอียดรอบคอบยิ่งนัก กอปรกับอ่อนโยนสงบเสงี่ยม รู้จักสังเกตสีหน้าวาจา รับใช้เขาอย่างเอาอกเอาใจ ละเอียดถี่ถ้วน ทำให้เขาพออกพอใจยิ่ง

เมื่อครึ่งเดือนก่อนเป็นเพราะเหมียวลั่วชิงลาป่วย พ่อบ้านจ้าวจึงให้ชิวเยวี่ยเข้ามาทำหน้าที่แทน ปรนนิบัติอยู่ข้างกายเขา ซึ่งเขาก็เห็นพ้องด้วย ขอเพียงสาวใช้ที่อยู่ข้างกายปรนนิบัติเขาเป็นอย่างดี ส่วนจะเป็นใครนั้นเขาไม่เคยใส่ใจสักนิด ทว่าสาวใช้นางนั้นกลับเป็นนักฆ่าที่ดักซุ่มอยู่ในจวนมาเป็นเวลานาน เรื่องนี้ยั่วโทสะเขายิ่งนัก

“ชิงเอ๋อร์ เดิมทีเจ้าก็ปรนนิบัติอยู่ข้างกายข้า เพราะเหตุใดจึงย้ายไปห้องครัวเสียเล่า” หร่านเจียงซักถามด้วยเสียงเข้ม

เหมียวลั่วชิงก้มหน้าลง นางสัมผัสได้ถึงความกดดันที่แผ่ซ่านมาจากด้านบน แม้นางจะหวาดกลัวหร่านเจียงเพียงใด ทว่าจากที่นางรู้จักหร่านเจียงมาหลายชาติ ยามอยู่ต่อหน้าบุรุษที่ฉลาดล้ำผู้นี้ไม่มีอะไรสามารถหลอกลวงเขาได้ เมื่อเทียบกับการเล่นเล่ห์เพทุบายแล้ว มิสู้ตอบตามความจริงไปเลยจะดีกว่า

“เรียนใต้เท้า เพราะบ่าวป่วยเจ้าค่ะ จึงลางานเสียหลายวัน รอจนบ่าวหายดีแล้วพ่อบ้านจ้าวก็แจ้งว่างานเดิมของบ่าวมีคนทำแทนแล้ว เหลือเพียงงานในห้องครัวที่ยังขาดคนเจ้าค่ะ”

“อ๋อ แล้วเจ้าก็เชื่อฟังเขาเช่นนี้ พ่อบ้านให้เจ้าไปห้องครัวเจ้าก็ไปอย่างว่าง่าย?”

“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ตัวบ่าวเองไม่ยินยอม แต่ว่า…” นางชะงักชั่วครู่คล้ายว่าลังเล

ทันใดนั้นคำสั่งอันเย็นชาของหร่านเจียงก็ดังมาจากด้านบน “แต่อะไร ว่ามา”

เหมียวลั่วชิงครุ่นคิดชั่วครู่ นางโค้งกายลงทันใด คุกเข่าลงกับพื้น “การได้ปรนนิบัติรับใช้ใต้เท้าเป็นเกียรติของบ่าวยิ่งแล้วเจ้าค่ะ แต่หากจะให้บ่าวขายตัวเพื่อแลกกับงาน บ่าวไม่ยินยอมเด็ดขาดเจ้าค่ะ”

ครั้นนางเอ่ยวาจาออกไป พ่อบ้านจ้าวที่อยู่ด้านข้างก็คำรามอย่างโกรธเกรี้ยวราวฟ้าผ่าขึ้นมา “นางตัวแสบ เจ้าอย่ามาพูดจาเหลวไหล!”

เหมียวลั่วชิงเงยหน้าขึ้น ค่อยๆ หันไปมองพ่อบ้านจ้าว

“ที่ข้าพูดล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น ชิวเยวี่ยติดสินบนท่านแย่งงานข้าไป แล้วข้าก็ไม่ยอมขอร้องท่าน ท่านหยามหยันข้าโดยส่งข้าไปห้องครัว แม้ข้าจะเป็นบ่าวแต่ก็รักนวลสงวนตัว จะให้ข้าขายตัวรับใช้ท่าน ข้ายอมไปทำงานหยาบที่ห้องครัวเสียจะดีกว่าเจ้าค่ะ”

เหมียวลั่วชิงรู้ซึ้งถึงความปราดเปรื่องของหร่านเจียงดี เขาสามารถดำรงอยู่ในตำแหน่งผู้บังคับการกองปราบฝ่ายเหนือได้คงจะไม่ถูกหลอกง่ายๆ เป็นแน่ เหตุที่หร่านเจียงส่งองครักษ์มาเรียกตัวนางคงไม่ใช่เพื่อคุมตัวนาง เห็นได้ชัดว่าหร่านเจียงไม่ได้เห็นนางเป็นผู้ต้องสงสัย พ่อบ้านจ้าวจับจ้องความงามของนางจนตาเป็นมันมานานแล้ว โดยปกติขอเพียงหร่านเจียงตั้งใจจะตรวจสอบย่อมจะพบเรื่องที่พ่อบ้านรับสินบนในจวนได้อย่างง่ายดาย

ถึงจะโบยพ่อบ้านจ้าวจนตายเขาก็ไม่ยอมรับเรื่องนี้ เขาเป็นคนย้ายชิวเยวี่ยให้ไปปรนนิบัติข้างกายใต้เท้า ทว่ากลับเกิดเรื่องลอบสังหารขึ้น เขาคงยากที่จะหลุดพ้น ดังนั้นเพื่อเอาตัวรอด เขาจึงสาดน้ำโคลน ใส่เหมียวลั่วชิง

พ่อบ้านจ้าวชี้นิ้วด่ากราดนางยกใหญ่ “เจ้าใช้ความงามมายั่วยวนข้าชัดๆ หมายจะพูดเกลี้ยกล่อมให้ข้าย้ายชิวเยวี่ยไปห้องครัว พอข้าไม่ตอบรับเจ้าก็อ้างว่าล้มป่วย ข้าเป็นพ่อบ้านนะ จะยอมให้เจ้ามาข่มขู่ได้หรือ ข้าจึงส่งชิวเยวี่ยไปทำหน้าที่แทนเจ้า แล้วย้ายเจ้าไปห้องครัวหมายจะลงโทษ แต่เจ้ากลับฉวยโอกาสมาปรักปรำข้า นางอสรพิษ!”

พ่อบ้านจ้าวหันไปทางหร่านเจียง “ใต้เท้า สตรีนางนี้จิตใจชั่วช้า ผู้น้อยสงสัยว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้จะต้องเป็นแผนของนางแน่ ซึ่งจะเป็นผลร้ายต่อใต้เท้า ขอใต้เท้าโปรดตรวจสอบด้วยขอรับ!”

เหมียวลั่วชิงปล่อยให้พ่อบ้านจ้าวที่อยู่ด้านข้างบิดเบือนความจริงไป นางเพียงคุกเข่าก้มหน้าอย่างเงียบเชียบไม่รีบร้อนแก้ต่าง อย่างไรก็ตามนางได้พูดสิ่งที่ควรพูดไปหมดแล้ว ส่วนที่เหลือก็รอให้หร่านเจียงเป็นคนตัดสิน

หร่านเจียงฟังอย่างไร้อารมณ์ เขาไม่พูดอะไรสักคำ หลังจากที่ฟังคำให้การของทั้งสองฝ่ายแล้วก็เพียงแต่ออกคำสั่ง

“ใครก็ได้นำตัวพ่อบ้านจ้าวไปตัดขาทั้งสองข้างเสียแล้วโยนออกไปนอกจวน”

พ่อบ้านจ้าวตื่นตระหนกยิ่ง ต่อมาก็แสดงความหวาดกลัวสุดขีด ตะโกนกรีดร้องว่าถูกใส่ร้าย

องครักษ์สองคนเดินขึ้นหน้ามาออกแรงลากเขาไปอย่างไม่สนใจไยดี

เหมียวลั่วชิงก้มหน้าก้มตาอยู่ตลอด คอยเงี่ยหูฟังเสียงกรีดร้องของพ่อบ้านจ้าว ไม่นานนักเสียงนั้นก็เงียบลง สถานการณ์ทั้งหมดกลับคืนสู่ความปกติ

นางยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น หร่านเจียงก็ไม่ได้เรียกให้นางลุกขึ้น นางจึงยังคงคุกเข่าอยู่อย่างนั้นพลางสัมผัสได้ว่ามีคนกำลังจ้องนางอยู่จากด้านบน

เขาจัดการพ่อบ้านจ้าวโดยที่ไม่กล่าวอะไรอีก เห็นชัดว่าก่อนหน้านี้เขาได้สืบหาต้นสายปลายเหตุไว้ก่อนแล้ว เพียงแต่ลองฟังคำให้การของนางและพ่อบ้านจ้าวสักหน่อย แม้ว่าหร่านเจียงจะโหดร้ายอำมหิต ทว่าเขากลับฉลาดหลักแหลมในการจัดการเรื่องนี้ยิ่ง

แต่เหตุใดเขาจึงยังให้นางคุกเข่าอยู่เล่า ไยไม่พูดไม่จาแต่กลับจ้องนางอย่างเงียบๆ

เหมียวลั่วชิงใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ นางไม่กล้าขยับตัว เพียงแต่รอคอยอย่างเงียบสงบ

ยามนี้นางได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาทางเบื้องหน้า ต่อมาก็มีมือข้างหนึ่งช้อนคางนางให้เงยหน้าขึ้น นางจึงต้องสบเข้ากับนัยน์ตาบีบบังคับของเขา

ใบหน้าเย็นชาเคลื่อนเข้ามาใกล้ ดวงตาเขาเจิดจรัสจนแทบจะแผดเผาคนได้ นิ้วมือด้านสากสัมผัสผิวพรรณอันเกลี้ยงเกลาของนางจนรู้สึกเจ็บแปลบ

นางปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายหร่านเจียงมาเป็นเวลาครึ่งปี นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจงใจสัมผัสดวงหน้านาง

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงจัดการจ้าวเฟิง” จ้าวเฟิงก็คือพ่อบ้านจ้าว

เหมียวลั่วชิงจ้องมองนัยน์ตาเขาอย่างสงบแล้วตอบตามความจริง

“ใต้เท้าฉลาดหลักแหลม ย่อมรู้ว่าใครพูดปด ใครถูกใส่ร้ายเจ้าค่ะ”

นางสัมผัสได้ว่าวาจาของนางน่าจะตรงกับใจเขา นางเห็นเขายกมุมปากขึ้นเล็กน้อย

“จ้าวเฟิงปรักปรำเจ้า เจ้ากลับดูไม่ร้อนรน สงบเยือกเย็นยิ่งนัก”

เหมียวลั่วชิงตะลึงอยู่ชั่วครู่ สัมผัสได้ถึงลางไม่ดี ท่าทีของตนคงดูสงบเกินไป จะเป็นเหตุให้เขาเริ่มสงสัยหรือไม่

“บ่าวสงบเยือกเย็นเป็นเพราะเชื่อมั่นในตัวใต้เท้าเจ้าค่ะ แต่อันที่จริงในใจบ่าวก็ยังรู้สึกกลัวอยู่บ้าง”

นางมองเขาอย่างขลาดกลัว เอ่ยด้วยน้ำเสียงระแวดระวัง ไม่ได้จงใจประจบประแจง ทว่ารู้สึกเคารพยำเกรงในความฉลาดหลักแหลมและร้ายกาจของเขาอย่างแท้จริง

นางไม่รู้ว่ายามนี้สีหน้าของตนแฝงไปด้วยความสุขุมและความอ่อนโยนซึ่งไม่ได้จงใจแสดงออกมา ขณะที่นางรู้สึกขลาดกลัวก็ยังรู้สึกเชื่อใจเขาด้วย ทว่าในความเชื่อใจก็กลับคอยระวังตัวอยู่ในที อารมณ์หลากหลายที่ขัดแย้งไปมาเช่นนี้แสดงออกมาในคราวเดียวกัน ทำให้หร่านเจียงอดไม่ได้ที่จะมองตรวจสอบนางอีกสักครู่

สำหรับเขาแล้วเหมียวลั่วชิงก็เป็นเพียงสาวใช้รูปร่างงดงาม จวนของเขาไม่เคยขาดซึ่งโฉมงามเลย ผู้คนต่างพยายามส่งสตรีมาให้เขา แต่ละนางก็งดงามไม่แพ้กัน ทว่าจนกระทั่งวันนี้เขาเพิ่งสังเกตความงามของเหมียวลั่วชิงอย่างเต็มตา

ขณะเดียวกับที่นางเชื่อใจเขา แต่ก็หวาดกลัวและคอยระวังตัวอยู่ในที ทำให้ต้องนึกใคร่ครวญมากสักหน่อย

เขาปล่อยคางนางพลางยืนตัวตรง ออกคำสั่งประโยคหนึ่ง

“ไปเก็บข้าวของที่ห้องครัว ย้ายกลับมาที่ห้องเดิมแล้วกลับมาปรนนิบัติข้า”

วาจานี้ทำให้เหมียวลั่วชิงตะลึงพรึงเพริด

เขาเลิกคิ้วขึ้น “เจ้าไม่ได้ยินคำสั่งข้าหรือ”

“บ่าวน้อมรับคำสั่งเจ้าค่ะ” เหมียวลั่วชิงรีบก้มหน้าลงเป็นการตอบรับแล้วยืนขึ้นโค้งกาย พลันรีบถอยออกจากห้องหนังสือ

ตอนที่ออกมานางไม่ได้หันหลังกลับไปอีกเลย จนกระทั่งออกมาจากห้องหนังสือเรียบร้อยถึงได้ทอดสายตามองกลับไป

นางคิดไม่ถึงว่าจากเหตุการณ์ในครั้งนี้หร่านเจียงจะย้ายนางกลับมายังข้างกายเขาอีกครา แม้ใจนางจะไม่ยินยอม แต่กลับไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งของเขา

ต่อไปนางคงทำได้เพียงปฏิบัติภารกิจอย่างระมัดระวังแล้วค่อยขบคิดวางแผนต่อไป

บทที่ 2

องครักษ์เสื้อแพรคือสุนัขรับใช้ของฮ่องเต้ ฟังคำสั่งจากฮ่องเต้โดยตรง มีหน้าที่สังหารคนที่ไม่จงรักภักดี ควบคุมตัวผู้ที่ต่อต้าน เหล่าขุนนางในราชสำนักล้วนเกรงกลัว ถึงจะเป็นขุนนางใหญ่ขั้นหนึ่ง ครั้นพบหน้าองครักษ์เสื้อแพรก็ยังต้องให้เกียรติเสียสามส่วน

กล่าวได้ว่าองครักษ์เสื้อแพรก็คือดาบของฮ่องเต้ แล้วหร่านเจียงก็คือดาบเล่มที่แหลมคมที่สุด ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่มันจะชักนำการลอบสังหารมาสู่ตัวเขา

เหมียวลั่วชิงพบว่าตั้งแต่หร่านเจียงย้ายนางมาปรนนิบัติเขา เขาก็ให้นางอยู่ข้างกายบ่อยครั้งขึ้น

สาวใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายหร่านเจียงไม่ได้มีเพียงนางคนเดียว นอกจากนางแล้วยังมีหรุ่ยเอ๋อร์และซุ่ยเอ๋อร์ด้วย โดยปกติพวกนางสามคนจะคอยดูแลเรื่องชีวิตประจำวันของหร่านเจียง ปรนนิบัติเรื่องอาหารการกิน เปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ น้ำชา รวมถึงเรื่องเล็กน้อยอื่นๆ

ยามกลางวันหร่านเจียงจะไปสืบสวนคดี ณ กองปราบฝ่ายเหนือ พอกลับมาถึงจวนก็มักจะประชุมลับในห้องหนังสือกับบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาต่ออยู่บ่อยครั้ง

ที่ผ่านมาพวกนางสามคนซึ่งเป็นสาวใช้จะสลับสับเปลี่ยนกันไปปรนนิบัติหร่านเจียงในห้องหนังสือ ทว่าช่วงนี้ทุกครั้งที่เขาไปห้องหนังสือก็จะเจาะจงให้นางตามไปด้วย ด้วยเหตุนี้ยามที่เหมียวลั่วชิงตามเขาไปห้องหนังสือก็จะมีโอกาสได้ฟังสิ่งที่พวกเขาประชุมหารือกัน

หากจะกล่าวว่าเป็นการประชุม มิสู้กล่าวว่าเป็นการวางแผนว่าจะขุดหลุมอย่างไรให้คนกระโดดลงไปแทน

“ใต้เท้า พวกเราสืบได้ความว่าใต้เท้าเจียงวางแผนจะถวายฎีกาในวันพรุ่งนี้ยามที่ฮ่องเต้ออกว่าราชการ โดยจะกล่าวหาว่าท่านสังหารผู้บริสุทธิ์ รับสินบน ทำผิดกฎหมาย แล้วยังกล่าวว่าได้เตรียมพยานและหลักฐานไว้พร้อมแล้วขอรับ” ผู้ใต้บังคับบัญชาที่เอ่ยผู้นี้มีนามว่าหวงจิ่น เป็นนายกองพันองครักษ์เสื้อแพร และเป็นคนสนิทของหร่านเจียง

“เขาคงไม่อยากมีชีวิตอยู่ถึงได้กล้าสร้างหลักฐานเท็จ กล้าเป็นศัตรูกับองครักษ์เสื้อแพรอย่างนั้นหรือ” คนสนิทอีกคนมีนามว่าหลิวขุย ซึ่งเป็นนายกองพันเช่นเดียวกัน สองคนนี้คอยติดตามหร่านเจียงไปทุกที่ จงรักภักดีต่อเขายิ่งนัก ไม่ว่าหร่านเจียงจะไปค้นบ้านยึดทรัพย์ จับคน หรือสอบสวน ล้วนจะต้องเห็นเงาร่างของสองคนนี้

หากจะกล่าวว่าหร่านเจียงเป็นสุนัขรับใช้ของฮ่องเต้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็เป็นสุนัขสองตัวที่จงรักภักดีต่อหร่านเจียง

ยามที่สองคนนี้กล่าวถึงใต้เท้าเจียง น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยการแดกดันถากถาง ใต้เท้าเจียงเป็นขุนนางจำนวนน้อยในราชสำนักที่กล้าต่อกรกับองครักษ์เสื้อแพรต่อหน้าฮ่องเต้และเหล่าขุนนาง

หร่านเจียงฟังอย่างเพลิดเพลิน ซ้ำยังไม่มีทีท่ากังวลสักนิด กลับคิดว่าเป็นเรื่องน่าสนใจยิ่งนัก

ใต้เท้าเจียงกล้าถวายฎีกาแก่ฮ่องเต้ นั่นก็แสดงว่าต้องมีผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน คนที่อยู่เบื้องหลังก็อาจจะเป็นเหล่าเจ้าเมืองศักดินา

ฮ่องเต้มีปมในใจกับบรรดาเจ้าเมืองศักดินาเหล่านั้นมานาน องครักษ์เสื้อแพรก็คือกรงเล็บของฮ่องเต้ แน่นอนว่าเจ้าเมืองศักดินาทั้งหลายล้วนไม่เห็นด้วย

หร่านเจียงเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “ไม่เป็นไร ปล่อยให้เขาถวายฎีกาไป เขาอยากลองดี ข้าก็จะเล่นเป็นเพื่อนเขา”

หร่านเจียงสามารถนั่งอยู่ในตำแหน่งผู้บังคับการกองปราบฝ่ายเหนือได้ นอกจากมีฝีมือเหลือล้นแล้ว เขายังมีทั้งพรสวรรค์และความกระตือรือร้นในด้านการตรวจสอบคดี จับกุมนักโทษ รวมถึงการสอบสวนด้วย ยิ่งเป็นคดีที่ตรวจสอบยาก ศัตรูยิ่งเจ้าเล่ห์ขี้โกงด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เขามีกำลังวังชาที่จะรับมือกับฝ่ายตรงข้ามมากขึ้น

เหมียวลั่วชิงยืนอยู่ด้านข้างอย่างเงียบสงบ นางก้มหน้าหลุบตา ไม่ว่าพวกเขาจะเอ่ยอะไร นางก็ล้วนเอาตามองจมูก จมูกมองใจ ไม่แสดงสีหน้าใดๆ ทั้งนั้น

ผ่านไปหลายวัน เหมียวลั่วชิงก็ได้ยินข่าวคราวเรื่องหนึ่ง

ชิวเยวี่ยที่เข้าไปในคุกอาญาหลวงนั้นท้ายที่สุดก็ทนรับการทรมานไม่ไหว ยอมรับสารภาพว่าใครเป็นคนบงการอยู่เบื้องหลัง ซึ่งเกี่ยวพันไปถึงใต้เท้าเจียงด้วย

ในคืนนั้นหร่านเจียงก็นำองครักษ์เสื้อแพรกว่าร้อยคนไปสืบค้นและยึดจวนของใต้เท้าเจียง ทำให้เกิดความโกลาหล ทั้งจวนล้วนไก่สุนัขไม่เป็นสุข

ครั้นได้ยินเรื่องนี้เหมียวลั่วชิงก็ตกตะลึงไปครู่ใหญ่ นางตระหนักได้ด้วยตนเองว่านี่คือหลุมพรางที่หร่านเจียงขุดเอาไว้ ฝ่ายตรงข้ามปรักปรำหมายจะล้มเขา เขาจึงซ้อนแผนขุดหลุมให้อีกฝ่ายกระโดดลงไป ฝ่ายตรงข้ามนึกว่าจะกำจัดเขาได้ แต่แท้จริงแล้วกลับไม่รู้เลยว่าใครกำจัดใครกันแน่

วันนี้เหมียวลั่วชิงปรนนิบัติรับใช้หร่านเจียงอยู่ในห้องหนังสือเหมือนเช่นเคย เดิมทีหร่านเจียงกำลังอ่านตำราอยู่ นางเห็นว่าน้ำชาเย็นชืดแล้วจึงออกไปชงชามาให้ใหม่ ครั้นกลับเข้ามาในห้องนางก็เห็นว่าเขานั่งอยู่บนเก้าอี้ ข้อศอกข้างหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ มือเท้าคาง กำลังหลับตาพักผ่อน

นางก้าวเท้าอย่างแผ่วเบา วางถ้วยชาลงบนโต๊ะอย่างเบามือ ครั้นช้อนตาขึ้นนางก็ต้องตะลึงในทันใด

แมงมุมตัวดำเมี่ยมขนาดเท่ากำปั้นตัวหนึ่งกำลังไต่ขึ้นไปบนหัวไหล่ของหร่านเจียงอย่างเชื่องช้า นางมองออกในทันทีว่านั่นคือแมงมุมพิษ ขอเพียงถูกกัดก็จะตายอย่างไม่ต้องสงสัย

แมงมุมตัวนั้นกำลังคืบคลานไปใกล้ลำคอของหร่านเจียง นางคิดวกไปวนมาหลายตลบ สายตาจับจ้องแมงมุมพิษตัวนั้น นางเห็นว่ามันกำลังจะกัดคอเขาอยู่รอมร่อ ชั่วพริบตานางก็ตะโกนกรีดร้องขึ้นมา

“ใต้เท้าระวังเจ้าค่ะ!” นางร้องพลางปัดมันตกลงจากหัวไหล่หร่านเจียง

หร่านเจียงเบิกตากว้างในทันใด หางตาเหลือบเห็นเงาสีดำ เขาสะบัดอาวุธลับในมือไปทันที ลูกดอกสกัดแมงมุมตัวนั้นไว้กับพื้นรวดเร็วเพียงชั่วพริบตา

เขาลุกขึ้นยืนพลางจ้องแมงมุมพิษที่ถูกปักอยู่บนพื้นด้วยแววตาน่าสะพรึง ร้องฮึเสียงเย็น

“เจ้าแมงมุมพิษตัวร้าย ทหาร!”

หลังจากเสียงเรียกของเขา องครักษ์สองคนก็เข้ามาทันที พอเห็นแมงมุมพิษบนพื้นก็หน้าถอดสีทันใด

ภายในจวนมีการคุ้มกันอย่างเข้มงวด ข้างกายใต้เท้ายิ่งไม่มีทางปล่อยให้น้ำสักหยดรั่ว ทว่ากลับยังยากที่จะป้องกันได้อย่างครอบคลุม แมงมุมพิษจึงแฝงตัวเข้ามาได้ คนที่อยู่เบื้องหลังฉลาดหลักแหลมชั่วร้ายยิ่งนักที่คิดใช้กลอุบายนี้

“ไปตรวจสอบทุกห้องเดี๋ยวนี้ ตรวจดูว่ายังมีแมงมุมพิษตัวอื่นหรือไม่”

เหล่าองครักษ์รีบแยกย้ายไปตรวจค้นตามคำสั่งของเขา ส่วนหร่านเจียงก็หันไปมองทางเหมียวลั่วชิง แววตาเขาแฝงไปด้วยความชื่นชม

“เจ้าทำได้ดีมาก ข้า…” เขาชะงักค้างโดยพลันพลางจ้องไปที่สีหน้าซีดเผือดของนาง

เหมียวลั่วชิงเพียงรู้สึกหนาวยะเยือกไปทั่วร่าง เวียนศีรษะ หน้ามืด นางมองจุดสีแดงเล็กๆ ที่หลังมือด้วยความงุนงง นางเพิ่งพบว่าเมื่อครู่ที่ตนปัดแมงมุมพิษตัวนั้นไป ที่แท้ตนก็โดนมันกัดเข้าแล้ว

หากนางรู้แต่แรกว่าแมงมุมกัดคนได้รวดเร็วเช่นนี้ก็คงจะไม่ใช้มือ คราวนี้เป็นอย่างไรเล่า นางไม่ตายด้วยน้ำมือของหร่านเจียง แต่กลับตายด้วยปากของแมงมุมพิษ กลายเป็นผีตายแทน

ภาพเบื้องหน้านางพลันดำมืด ขาทั้งสองข้างอ่อนยวบ ก่อนที่จะดำดิ่งเข้าสู่ความมืดมิด นางล้มตัวลงในอ้อมกอดอันกว้างใหญ่และแสนอบอุ่น

ในขณะที่เหมียวลั่วชิงยังคงสะลึมสะลือ นางรู้สึกว่าหน้าอกอึดอัดทรมานยิ่งราวกับมีกระแสความร้อนคอยบีบรัดอยู่ในร่างกายทำให้เลือดลมภายในปั่นป่วน

ทันใดนั้นลำคอนางก็รู้สึกร้อนผ่าวและสำรอกเอาเลือดดำออกมาคำหนึ่งดัง ‘แหวะ’ อวัยวะภายในปั่นป่วนไปหมด ทรมานยิ่งนัก

นางลืมตาขึ้น รู้สึกว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าคุ้นตาอยู่บ้าง รอจนกระทั่งใบหน้าคนผู้นั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้ นางจึงตระหนักได้ว่าใบหน้าที่แสนเย็นชาของหร่านเจียงนั้นใกล้แค่เอื้อม

ดวงตานางพร่ามัว ความรู้สึกกลับกลายเป็นความโกรธเกรี้ยวโดยพลัน

“เจ้าคนแซ่หร่าน…” นางพลันชกหน้าเขาโดยไม่ได้คิดแม้แต่น้อย

ทว่ากำปั้นนั้นกลับถูกฝ่ามือใหญ่กุมไว้อย่างง่ายดาย ดวงตาที่เฉียบคมคู่นั้นแฝงไปด้วยอันตรายอยู่เบื้องหน้านาง เขาเอ่ยปากด้วยเสียงเข้ม

“เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ”

เหมียวลั่วชิงรู้สึกสับสน นางมองเขาอย่างเซ่อๆ ชั่วพริบตานั้นนางไม่แน่ใจว่าตนอยู่ในชาติใดกันแน่

ครั้นลืมตาขึ้นมาก็มองเห็นใบหน้าอันเย็นเยียบของหร่านเจียง ดังนั้นการจู่โจมของนางจึงเป็นท่าทีตอบสนองอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่ได้ผ่านความคิดใดๆ ทั้งสิ้น

การซักถามและสายตาอันขุ่นเคืองของเขาทำให้นางเฉลียวฉลาดขึ้นมา นางตื่นตัวจากอาการสะลึมสะลือนั้นโดยพลัน ครั้นได้สติกลับมาจึงเพิ่งพบว่าตนเองและหร่านเจียงประจันหน้าอยู่บนเตียงเดียวกัน

มือเขาวางอยู่บนหน้าอกของนาง กระแสความร้อนสายหนึ่งส่งผ่านจากฝ่ามือเข้าสู่ร่างกายนางไม่ขาดสาย นางเพิ่งระลึกได้ว่าเขากำลังเดินพลังขับพิษให้นาง

นางนึกได้ว่าตนเองถูกแมงมุมพิษกัดเข้า ในขณะที่กำลังสะลึมสะลืออยู่นั้นก็ได้สำรอกเอาเลือดดำออกมาเพราะหน้าอกที่อึดอัดทรมาน

นางรีบหลุบตาลงและเกิดความรู้สึกผิดขึ้นในใจ โชคดีที่ยังเรียกสติกลับมาได้ทันเวลา นางยังคงประหลาดใจไม่หาย คาดไม่ถึงว่าเขาจะเดินพลังช่วยนางขับพิษ

เดิมทีนางไม่คิดที่จะช่วยเขาสักหน่อย นางอยากเห็นเขาดับสูญไปกับตาเสียด้วยซ้ำ ทว่าก็ตระหนักด้วยความหวาดผวาว่าหากหร่านเจียงถูกแมงมุมพิษกัดเข้า คนแรกที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยต้องเป็นนางแน่ ส่วนเขา ก่อนหน้าที่พิษจะกำเริบจะต้องมีเวลาพอที่จะกำจัดนางแน่

ด้วยเหตุนี้นางจึงเปลี่ยนใจรีบยื่นมือออกไปปัดแมงมุม นางไม่ได้ทำเพื่อช่วยชีวิตเขา แต่ทำไปเพราะไม่อยากให้ตนเองต้องตายเพราะถูกปรักปรำ

นางต้องเลอะเลือนแล้วแน่ๆ ที่รีบเอามือไปปัดแมงมุมพิษตัวนั้น โชคยังดีที่ยามนี้ครั้นมองไป นางพนันได้ถูกแล้ว หากหร่านเจียงสงสัยในตัวนางก็คงไม่มีทางช่วยชีวิตนางแน่

สำหรับวาจาของนางที่เอ่ยโดยไม่ระวังเมื่อครู่นี้ ถึงตายนางก็ไม่ยอมรับ

หร่านเจียงมองนางด้วยแววตาคมกริบ เจิดจรัสยิ่งกว่าประกายไฟ เขาจ้องเหงื่อเย็นที่ไหลลงมาจากหน้าผากของนาง ค่อยๆ ไหลผ่านคิ้ว ดวงตา และขนตาที่สั่นระริกอยู่เล็กน้อย คล้ายปีกผีเสื้อที่กำลังกระพืออย่างแผ่วเบา ผิวพรรณนางซีดเผือดแต่กลับเป็นประกายแวววาว พอพินิจดูแล้วนางช่างบอบบางน่ารักน่าเอ็นดูยิ่ง

เขาเดินพลังเพื่อจะขับพิษให้นาง ถอดเสื้อนางออกโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ครึ่งท่อนบนเหลือเพียงเสื้อตัวในที่ปกปิดหน้าอก เขาแนบฝ่ามือกับหน้าอกนาง ถ่ายทอดพลังเข้าไปขับพิษอย่างง่ายดาย

โดยปกติเขาเห็นเหมียวลั่วชิงมีรูปร่างผอมแห้งแรงน้อย ดูบอบบางขลาดกลัว แต่กลับคิดไม่ถึงว่านางจะกล้ายื่นมือออกไปปัดแมงมุมเพื่อช่วยชีวิตเขา เห็นได้ชัดว่าแมงมุมตัวนั้นมีขนาดใหญ่เท่ากำปั้นสตรี

สตรีในจวนล้วนแล้วแต่จะพยายามเอาอกเอาใจเขา ทว่าพอถึงเสี้ยวเวลาแห่งความเป็นตาย คนที่จะยอมสละชีวิตเพื่อเขาจะมีสักเท่าไรกันเชียว

เขามาจากการสอบขุนนางฝ่ายบู๊ ไม่ได้มาจากตระกูลที่เรืองอำนาจ ไม่มีเส้นสายในราชสำนัก ที่ปีนป่ายขึ้นมาถึงตำแหน่งนี้ได้ก็เพราะเขาแลกมันมาด้วยชีวิต เขามักจะนำผลประโยชน์มาล่อผู้ใต้บังคับบัญชา อีกฝ่ายถึงได้ติดตามเขา ยอมบุกน้ำลุยไฟและจงรักภักดีต่อเขา ส่วนพวกคนที่กล้าทรยศหรือกล้ามาหาเรื่อง เขาก็จะใช้วิธีตาต่อตา ฟันต่อฟัน ใช้หนทางที่โหดเหี้ยมที่สุดมาสยบฝ่ายตรงข้าม

เหมียวลั่วชิงปรนนิบัติเขามาครึ่งปี แม้เขาจะรู้ว่านางงดงามยิ่ง แต่ที่ผ่านมาคนที่สามารถควบคุมความปรารถนาในความงามของอิสตรีเช่นเขานั้นตระหนักดีว่าความงามสตรีเป็นสิ่งอันตราย หากเขาต้องการ เขาก็จะหาเอาจากอนุภรรยาในจวน ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี เขาสนใจเพียงว่าคนผู้นี้จงรักภักดีต่อเขาหรือไม่ จะทรยศเขาหรือไม่

คนที่จงรักภักดีต่อเขา เขาก็จะให้ผลประโยชน์ หากกล้าทรยศก็สังหารสถานเดียว!

ครานี้เหมียวลั่วชิงช่วยชีวิตเขาไว้ ทำให้เขาได้มองนางอย่างเต็มตาเป็นครั้งแรก

ยามนั้นเห็นได้ชัดว่านางแค่เอ่ยปากเตือนเขาก็พอ สาวใช้ที่ไร้ซึ่งวรยุทธ์นางหนึ่ง พอเห็นแมงมุมที่ตัวใหญ่ถึงเพียงนั้น โดยปกติแล้วก็ควรจะตื่นตระหนกและกรีดร้องออกมา ทว่านางกลับออกหน้ายื่นมือไปปัดแมงมุมเพื่อเขาโดยไม่คิดชีวิต

หร่านเจียงเชื่อว่าคงมีเพียงยามคับขันเท่านั้นจึงจะเห็นความจริงใจของคนผู้หนึ่งได้ เขาจึงใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อช่วยชีวิตสาวใช้นางนี้ให้ได้

หลังจากการตรวจค้นก็พบแมงมุมพิษในห้องนอนอีกด้วย หร่านเจียงไปหาผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งที่ชำนาญเรื่องพิษมาตรวจสอบ ก็รู้ว่าหากตนเองถูกแมงมุมพิษหายากนี้กัดเข้าจะต้องเดินพลังขับพิษในทันที มิเช่นนั้นเพียงหนึ่งเค่อพิษก็จะกำเริบและเสียชีวิตในที่สุด

ขณะนั้นเขาจึงเข้าใจว่าหากตัวเขาถูกแมงมุมพิษกัดเสียเอง แม้จะเดินพลังขับพิษในทันที แต่หากมีคนลอบโจมตีในตอนนั้น เขาก็จะประมือกับฝ่ายตรงข้ามได้อย่างยากเย็น หากเขาไม่เดินพลังขับพิษ มัวแต่รับมือกับฝ่ายตรงข้ามก่อน ก็จะกระตุ้นพิษให้กำเริบและเสียชีวิต

นี่เป็นแผนสังหารที่โหดเหี้ยมแนบเนียนไร้ที่ติ หร่านเจียงที่ชื่นชมตัวเองว่าฉลาดหลักแหลมก็ยังต้องแอบชื่นชมในแผนการนี้

โชคดีที่เขาดวงแข็ง แผนการอันแนบเนียนนี้โดนสาวใช้ข้างกายทำลายเสียสิ้น

ครั้นนึกถึงนางที่ไม่ห่วงชีวิตตัวเอง ดวงตาแข็งกร้าวของหร่านเจียงก็อ่อนโยนอย่างหาได้ยากนัก แววตาที่มองนางดูอบอุ่นกว่าเมื่อก่อน

เบื้องล่างฝ่ามือเขาที่กำลังส่งพลังอยู่นั้นก็คือเนินอกของหญิงสาว ที่แท้ส่วนที่นุ่มนิ่มนั้นดูเอิบอิ่มกว่าที่เห็นในยามปกติ เนื่องจากปกตินางจะมีเสื้อผ้าอำพรางไว้ เขาจึงประเมินส่วนนั้นต่ำไป และดูท่านางน่าจะเป็นคนบอบบาง มีนิสัยขลาดกลัว แต่เมื่อครู่กลับกล้าโพล่งออกมาว่า ‘เจ้าคนแซ่หร่าน’ อย่างไม่สำนึกบุญคุณ ที่แท้นางก็เหน็บแนมเป็นเช่นกัน มีเสน่ห์ดึงดูดใจไปอีกแบบ

เขายังจำได้ว่าครั้งนั้นที่นางคุกเข่าอยู่กับพื้น นางเอ่ยด้วยความเด็ดเดี่ยวต่อหน้าพ่อบ้านจ้าวที่ปรักปรำนาง ‘แม้ข้าจะเป็นบ่าวแต่ก็รักนวลสงวนตัว จะให้ข้าขายตัวรับใช้ท่าน ข้ายอมไปทำงานหยาบที่ห้องครัวเสียจะดีกว่าเจ้าค่ะ’

ครานั้นพอประโยคนี้ดังเข้าหู เขาจึงต้องหันไปมองนางอีกหลายแวบ

ในตอนนั้นก็มีความรู้สึกหนึ่งผุดขึ้นมา สาวใช้นางนี้คล้ายจะเชื่อมั่นในตัวเขายิ่งนัก นางเชื่อว่าเขาจะตรวจสอบความจริงจนกระจ่างและไม่ใส่ร้ายนาง ทว่าในครานั้นเขาตรวจสอบต้นสายปลายเหตุไว้ก่อนหน้าแล้ว เขารู้เรื่องที่จ้าวเฟิงทำกับนาง เหตุที่เรียกนางมาก็เพียงต้องการฟังคำแก้ต่างของนางเท่านั้น กลับนึกไม่ถึงว่าสาวใช้นางนี้จะแข็งแกร่งยิ่งนัก แม้มองจากภายนอกจะดูบอบบางก็ตาม

คงเป็นเพราะพอเด็กสาวนางนี้ฟื้นขึ้นมาเสียแปดส่วนก็พบว่าตนเองถูกเปลื้องเสื้อผ้า หน้าอกโดนลูบคลำ ดังนั้นจึงเอ่ยวาจาหยาบคายออกมา ทำท่าจะชกหน้าเขาท่าเดียว

ถ้าหากเปลี่ยนเป็นคนอื่นกล้ามากำเริบเสิบสานเช่นนี้คงโดนเขาซัดจนตัวปลิวไปนานแล้ว ทว่า…เขากลับพบว่าตนเองไม่เก็บมาใส่ใจอย่างน่าประหลาด ซ้ำยังรู้สึกว่าน่าขันเสียหลายส่วน

เหมียวลั่วชิงก้มหน้าก้มตาอย่างกระวนกระวายใจ นางยังกังวลว่าจะแก้ตัวอย่างไรดีที่เมื่อครู่กล่าววาจาหยาบคายออกไปเพื่อไม่ให้เขาสงสัยในตัวนาง ไม่ได้คิดเลยว่าหร่านเจียงจะหาเหตุผลให้นางแล้วเสร็จสรรพ ส่วนนางยังคงคิดว่าแววตาเป็นประกายของเขาที่จ้องนางอยู่นั้นเป็นความโกรธเกรี้ยว

หลังจากที่หร่านเจียงถ่ายพลังสายสุดท้ายเข้าสู่ร่างกายนาง เขาก็เก็บฝ่ามือ ส่วนนางก็คล้ายโดนสูบพลังไปหมดในทันใด ร่างกายอ่อนยวบ ทว่าก่อนที่จะล้มลงไปก็มีคนยื่นแขนอันแข็งแกร่งออกมากอดนางเข้าสู่อ้อมอกโดยพลัน

จู่ๆ เหมียวลั่วชิงก็ตะลึงพรึงเพริดไปกับท่าทีของเขา ความตกใจครั้งนี้เทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่เรียกว่า ‘รอยยิ้ม’ ซึ่งสายตาเย็นชาของเขาเผยในเวลาต่อมา

นางคงไม่ได้ตาฝาดไปกระมัง เขากำลัง ‘ยิ้ม’ ให้นาง

หลังจากที่นางกล้ากำเริบชกเขาแล้วยังโพล่งคำว่า ‘เจ้าคนแซ่หร่าน’ ออกไป นางไม่เชื่อหรอกว่ารอยยิ้มของเขาจะมาจากเจตนาที่ดี

ความโกรธถึงขีดสุดกลับกลายเป็นรอยยิ้ม

ประโยคนี้ผุดขึ้นมาในความคิดของเหมียวลั่วชิง ความหนาวยะเยือกแล่นขึ้นมาตามแผ่นหลัง จากที่นางรู้จักหร่านเจียงมา บุรุษผู้นี้มีนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นและไม่ยอมเสียเปรียบให้ผู้ใด ถ้าคนอื่นชกเขา เขาจะต้องตัดมือคนผู้นั้น แก้แค้นให้หนักยิ่งกว่า

หร่านเจียงอุ้มร่างกายนุ่มนิ่มของนาง ในใจก็คิดว่าตนเองประเมินนางต่ำไป เรือนร่างนี้ทั้งอ่อนนุ่มและยืดหยุ่น เนินอกนั้นแนบกับแผ่นอกของเขาทำให้ส่วนนั้นยิ่งดันนูนขึ้นมา

เขาก้มหน้าลง หากมองจากมุมนี้เขาสามารถเห็นทิวทัศน์เนินอกของนางที่นูนขึ้นอย่างเต็มตา ทั้งยังทำให้นึกชวนฝัน อยากเห็นทิวทัศน์ที่อยู่ภายใต้เสื้อตัวในนั้นบ้างว่าจะน่าหลงใหลหรือไม่

ภายใต้ลำแสงในห้อง นัยน์ตาดำขลับภายใต้ขนตายาวซ่อนเงามืดไว้ชั้นหนึ่งช่วยขับความเจิดจรัสของนัยน์ตาคู่นั้นให้เป็นประกายยิ่งขึ้น สะท้อนดวงหน้าที่น่ารักใสซื่อของนาง

“เจ้าใจกล้านัก” เขาเอ่ยน้ำเสียงแหบพร่าซึ่งแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มอ่อนขณะลูบไล้คางของนาง ปัดผ่านกลีบปากอันแตกแห้งที่เม้มไว้แน่น จู่ๆ เขาก็อยากจะก้มลงไปใช้ลิ้นเลียสร้างความชุ่มชื้นและแต่งแต้มสีแดงสดให้กับกลีบปากที่ซีดขาวนั้น

เขาเข้าใจว่านางโดนพิษ ร่างกายอ่อนแอ ต้องพักฟื้นให้มาก จึงไม่ได้รีบร้อน เขาจ้องมองนางอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าพักฟื้นให้หายดี หลังจากหายแล้วข้าจะตกรางวัลให้”

หลังจากที่เขาให้คำสัญญาประโยคนี้แล้วก็วางร่างนางลงบนเตียง กำชับให้บ่าวไพร่ดูแลนางเป็นอย่างดีแล้วเดินจากไป

เหมียวลั่วชิงทอดสายตามองเขาจากไป ทว่าความสงสัยระคนประหลาดใจยังคงอยู่

เดิมทีนางนึกว่าหร่านเจียงจะบันดาลโทสะ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะไม่ทำอะไรเลย แล้วยังกำชับให้นางพักฟื้นจนกว่าจะหาย

มิน่าจึงทำให้นางตกตะลึงเช่นนี้ จากการที่นางสะสมความทรงจำมาหลายภพหลายชาติ ในใจนางรู้สึกเพียงว่าหร่านเจียงเป็นคนชั่วช้า ไม่มีข้อดีสักนิด มีแต่ความโหดเหี้ยม ไร้ความอ่อนโยน

จนกระทั่งเขาจากไปนางก็ยังคงอึ้งและนึกสงสัยอยู่ นางหวาดกลัวเขามากเกินไปกระทั่งยามที่สัมผัสตัวเขา

ทว่าหลังจากที่นางสงบจิตสงบใจลง พิจารณาถึงสถานการณ์เมื่อครู่อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว คิดทบทวนถึงวาจาของเขาไปมาอย่างละเอียดหลายรอบ ในท้ายที่สุดก็เป็นเสียงของป้าจางที่รับคำสั่งให้มาดูแลนางเพียงประโยคเดียวที่ปลุกนางจากความมืดบอด

“คราวนี้เจ้าได้สร้างผลงานชิ้นใหญ่แล้วนะ! เจ้าช่วยชีวิตใต้เท้า ทำให้ใต้เท้ามองเจ้าต่างออกไปจากแต่ก่อน เมื่อครู่ใต้เท้ายังกำชับข้าให้ดูแลเจ้าอย่างดี หากเจ้าต้องการอะไรก็บอกคนเฝ้าห้องได้เลย ให้เจ้าพักจนกว่าจะหายเป็นปกติ!”

เมื่อครู่นี้ป้าจางอยู่ด้านข้าง นางเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างชัดเจน ใต้เท้าช้อนตัวเหมียวลั่วชิง ท่าทางเช่นนั้นดูต่างออกไป แม้เหมียวลั่วชิงจะชกจะด่า ใต้เท้าล้วนไม่คิดเล็กคิดน้อย ช่างอัศจรรย์ยิ่งนัก

วาจาของป้าจางทำให้เหมียวลั่วชิงได้สติ จึงหันไปเอ่ยกับนางว่า

“เช่นนั้นหรือ”

“ใช่สิ! เจ้าไม่เห็นหรือว่าเมื่อครู่สีหน้าใต้เท้าอ่อนโยนเพียงไร แต่ข้าว่านะชิงเอ๋อร์ แม้ใต้เท้าจะแบ่งแยกการตกรางวัลและลงโทษอย่างชัดเจน แต่เจ้านี่ก็จริงๆ เลย นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าชกใต้เท้า คราวนี้ใต้เท้าเห็นแก่ที่เจ้าช่วยชีวิตเขา ไม่เอาเรื่องเจ้า ครั้งหน้าเจ้าต้องระวังตัวให้มาก อย่าทำอะไรตามใจตัวเองอีกล่ะ”

ปกติพวกบ่าวไพร่อย่างเช่นป้าจางจะเข้ากับเหมียวลั่วชิงได้ดี รู้ดีว่านางเป็นคนหัวแข็ง อย่าไปยั่วโทสะนางเชียว มิเช่นนั้นพ่อบ้านจ้าวที่บ้ากามนั่นก็คงได้ตัวเหมียวลั่วชิงไปนานแล้ว ท้ายที่สุดเขาไม่เพียงโดนตัดขาทั้งสองข้าง แม้แต่อนาคตอันเรืองรองก็ดับสูญไปด้วย จากในมุมมองของป้าจาง เหมียวลั่วชิงจะต้องพบกับความเจริญรุ่งเรืองในวันข้างหน้าแน่นอน ดูจากท่าทีก่อนที่ใต้เท้าจะเดินจากไป จะต้องถูกใจในตัวนางแล้วเป็นแน่

เหมียวลั่วชิงกระจ่างแจ้งโดยพลัน จริงสิ หร่านเจียงเป็นคนที่แบ่งแยกการลงโทษและตกรางวัลอย่างชัดเจน นางช่วยชีวิตเขา ถึงนางจะเสียมารยาทต่อเขา เขาก็จะไม่ลงโทษนางในเวลาเช่นนี้ มิเช่นนั้นจะไม่เป็นการตบปากตนเองหรือ

หลังจากที่คิดตก เหมียวลั่วชิงก็ถอนใจโล่งอก นอนลงบนเตียงอย่างอ่อนแรง แล้วพลันระลึกได้ว่าบนร่างตนเหลือเพียงเสื้อตัวในตัวเดียว จึงถามป้าจางว่ามีเสื้อผ้าให้เปลี่ยนหรือไม่

หลังจากได้รับเสื้อผ้ามานางก็รีบสวมทันที ถึงได้นอนพักผ่อนอย่างสบายใจ

วิธีการต่างออกไป โชคชะตาก็ต่างออกไปตามคาด เหมียวลั่วชิงยิ่งมีความมั่นใจมากขึ้นและตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะต้องคอยเอาใจหร่านเจียง

ไม่ได้สังหารหร่านเจียง นางก็ไม่ต้องดับอนาถด้วยน้ำมือเขา

วันนี้นางหลับตาลง พักฟื้นภายในห้องอย่างสบายใจ นี่เป็นความสงบอันหาได้ยากยิ่ง นางจะได้ใช้เวลาช่วงนี้พักฟื้นและครุ่นคิดวางแผนขั้นต่อไป

เนื่องจากยามกลางวันนางนอนไปมาก พอตกกลางคืนนางจึงนอนไม่หลับ

นางนอนพลิกไปพลิกมาอยู่บนเตียง เช่นนั้นก็เลยลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิ ตัดสินใจว่าจะใช้โอกาสนี้นั่งสมาธิเดินพลัง พยายามให้ร่างกายฟื้นตัวโดยเร็วที่สุด

นางกลั้นหายใจและเพ่งสมาธิไม่นานก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ นางตกตะลึงทันที

ในห้องนี้มีคนอื่นอยู่!

ครั้นนางลืมตาขึ้นก็มองเห็นบุรุษผู้หนึ่งปกปิดใบหน้ายืนอยู่เบื้องหน้า นางตัวแข็งทื่อในทันใด จ้องฝ่ายตรงข้ามอย่างระแวดระวัง

“เมล็ดทรายยอดจันทราประหนึ่งหิมะ” ครั้นบุรุษผู้ปกปิดใบหน้าเอ่ยปาก เหมียวลั่วชิงก็กระจ่างแจ้ง

“จันทราแดนตะวันประหนึ่งน้ำค้าง” นางมองเขาพลางเอ่ยประโยคต่อมาอย่างสงบ

สองประโยคนี้ใช้เพื่อแยกแยะว่าฝ่ายตรงข้ามใช่พวกเดียวกันหรือไม่

“เจ้าสำนักอยากถามว่าภารกิจของเจ้าดำเนินการไปถึงขั้นใดแล้ว”

“มีนักฆ่าคนอื่นอยู่ในจวนด้วย เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ข้าจึงไม่มีโอกาสลงมือ”

นี่คือเหตุผลที่นางตระเตรียมไว้นานแล้ว และโชคดีที่นางมีเหตุผลนี้จึงยืดเวลาออกไปได้ แล้วก็ไม่ถึงขั้นถูกสงสัย

นอกจากดวงตาของเขาแล้ว บุรุษผู้นี้ปกปิดใบหน้าครึ่งล่าง ซ่อนตัวตนอยู่หลังผ้าสีดำ กอปรกับแสงมืดมัวภายในห้อง เหมียวลั่วชิงจึงมองไม่เห็นหน้าตาของเขา ทว่ากลับมองเห็นดวงตาเป็นประกายเฉียบคมราวพยัคฆ์หมาป่าที่รอโอกาสจะพุ่งไปขย้ำเหยื่อในยามราตรี

นางตระหนักได้ว่าคนผู้นี้ก็คือนักฆ่าคนที่สองที่ทางสำนักส่งตัวมา และเป็นคนที่คอยจับตาดูนาง นางดักซุ่มอยู่ในจวนมาครึ่งปี บุรุษผู้นี้เพิ่งมาปรากฏตัวในยามนี้ เขาซ่อนตัวได้อย่างมิดชิดมาก ไม่รู้ว่าคนผู้นี้จะรู้หรือไม่ว่านางช่วยชีวิตหร่านเจียงไว้เมื่อตอนกลางวัน

“ไยเจ้าจึงช่วยชีวิตเขา”

ใจของเหมียวลั่วชิงสะท้าน เขารู้เรื่องนี้แล้วตามคาด

นางไม่ตอบแต่ถามกลับว่า “ท่านเป็นคนปล่อยแมงมุมพิษตัวนั้นหรือ”

ฝ่ายตรงข้ามเงียบงันไม่ปฏิเสธ นางเข้าใจอย่างถ่องแท้ทันที จึงจงใจถามกลับโดยข่มกลั้นโทสะไว้

“หากท่านจะลงมือ ไยจึงไม่เลือกเวลาที่เขาอยู่คนเดียวเล่า ท่านก็รู้ว่าตอนนั้นถ้าเขาถูกแมงมุมพิษกัดเข้าข้าคงจะต้องถูกสงสัยเป็นแน่ คนอย่างหร่านเจียงยอมสังหารผิดร้อยคน แต่จะไม่ปล่อยใครไว้ทั้งนั้น ท่านจงใจจะทำร้ายข้าให้ถึงตายหรือ”

บุรุษผู้ปกปิดหน้าร้องฮึเสียงเย็น “หากเขาโดนพิษ ข้าจะต้องลงมือแน่ เจ้าก็หนีไปเสีย ไฉนเข้าใจว่าข้าจะทำร้ายเจ้าให้ถึงตาย”

เหมียวลั่วชิงกระจ่างแจ้ง นางเอ่ยด้วยโทสะต่อว่า “ท่านไม่บอกข้าแต่เนิ่นๆ เล่า หากรู้ว่ามีคนช่วย ไยข้าจะต้องทำเรื่องที่ไม่จำเป็นด้วย แค่ร่วมมือกับท่านสังหารเขาก็เรียบร้อยแล้ว”

น้ำเสียงขุ่นเคืองของนางแฝงไปด้วยความเสียดายใหญ่หลวง นางพลาดโอกาสอันดีงามไปเปล่าๆ เช่นนี้ ทั้งโทษเขาและโทษตนเอง

บุรุษผู้ปกปิดใบหน้าจับจ้องนาง จดจำภาพดวงหน้านางที่ซีดเผือดและขัดเคืองใจไว้ เขาเงียบงันชั่วครู่แล้วเอ่ยว่า “ช่างเถอะ คราวหน้าค่อยหาโอกาสใหม่แล้วกัน” เขาเอ่ยพลางยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง “เอาสิ่งนี้ไป”

เหมียวลั่วชิงเห็นเขาแบฝ่ามือออก บนมือมียาเม็ดหนึ่ง

“นี่คืออะไร”

“ยาแก้พิษแมงมุม”

เหมียวลั่วชิงตาเป็นประกายโดยพลัน แม้หร่านเจียงจะช่วยเดินพลังขับพิษให้นางแล้ว ทว่าหากมียาแก้พิษก็ย่อมจะดีกว่าแน่นอน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลข้างเคียง นางไม่ยอมพลาดเด็ดขาด

นางยื่นมือไปหยิบยาลูกกลอนมากลืนลงท้องไปอย่างง่ายดาย เพียงชั่วครู่ก็รู้สึกว่าในท้องเย็นสบาย รู้สึกสบายตัวยิ่งนัก

นางเงยหน้าถามเขา “ท่านมีนามว่าอะไร”

“จงเรียกข้าว่าอี้ อี้ที่มาจากคำว่าอี้หรง”

นี่จะต้องเป็นชื่อปลอมแน่ๆ นางวิจารณ์อยู่ในใจ

“หากข้าต้องการพบท่าน จะไปตามหาท่านได้ที่ใด”

“ยามกลางวันเจ้าก็แขวนโคมไฟไว้ที่ประตูวงพระจันทร์ ยามราตรีแขวนโคมไฟไว้บนต้นไม้ข้างหน้าต่าง พอข้าเห็นข้าจะมาหาเจ้าเอง”

ความหมายนี้ก็คือเขาไม่ยอมเปิดเผยว่าเขาซ่อนตัวอยู่ที่ใดในจวน นางเม้มปากชั่วครู่แล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ข้ารู้แล้ว”

บุรุษผู้ปกปิดใบหน้าพยักหน้าพลันแฉลบกายกระโดดข้ามหน้าต่างออกไป กลืนหายเข้าไปในความมืดราวกับสายลมที่พัดโชย ยามจากไปก็ปิดหน้าต่างให้ด้วย

เหมียวลั่วชิงลงจากเตียงอย่างเงียบกริบ เดินมาตรวจสอบริมหน้าต่าง บนหน้าต่างไม้ไม่มีร่องรอยใดๆ วิชาตัวเบาของบุรุษผู้นี้ไม่เลวจริงๆ

นางเดินกลับมายังข้างเตียง นอนลงพลางคิดหนัก

ในเมื่อมีคนคอยจับตาดูอยู่เช่นนี้ ต่อไปทุกย่างก้าวนางจะต้องเดินอย่างระมัดระวังเสียแล้ว

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 24 .. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 16

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: