– บทที่ 4 –
เช้าวันใหม่ของนลินเริ่มต้นขึ้นอย่างทุลักทุเล เมื่อเธอสะดุ้งตื่นเอาตอนหกโมงสี่สิบห้านาที โดยมีปาลิตานอนหลับสบายอยู่ข้างๆ
“ตาตื่นเร็ว”
เสียงเรียกของนลินทำลายฝันดีๆ ของปาลิตาเสียสิ้น
“อะไร ลิน ร้องอย่างกับแผ่นดินจะถล่ม”
“ถล่มแน่ ถ้าแกยังไม่ลุกตอนนี้ อีกสิบห้านาทีจะถึงเวลานัดนะตา”
ยังไม่ทันจบคำ ปาลิตาก็ลุกพรวดอย่างนึกได้ นลินวิ่งเข้าห้องน้ำก่อนเป็นคนแรก ปล่อยให้ปาลิตาไปปลุกวรัทต่อ อีกห้านาทีจะเจ็ดโมงเช้า คนทั้งหมดก็มาพร้อมกันหน้าบ้านพัก โดยมีวรัทที่เสียสละไม่อาบน้ำ ทำเพียงแค่แปรงฟันอย่างเดียวเท่านั้น
“วิ่งนะ”
นลินหันมาบอกกับเพื่อน ทุกคนพยักหน้ารับ แล้วหนุ่มสาวสามคนก็ออกวิ่งจนสุดฝีเท้าเลียบริมหาด ท่ามกลางพระอาทิตย์ที่กำลังโผล่พ้นจากท้องทะเลกว้างที่เงียบสงบเห็นเพียงคลื่นเคลื่อนกระทบอย่างแผ่วเบา
“วิ่งออกกำลังกายกันแต่เช้าเลยเน้อ”
เสียงเภตราที่นั่งรออยู่ใต้ซุ้มหิรัญญิการ์ตะโกนทักอย่างอารมณ์ดี เมื่อหนุ่มสาวทั้งสามวิ่งกระหืดกระหอบมาถึงหน้าบ้านในเวลาเจ็ดโมงเช้าตรงเผงไม่ขาดไม่เกิน วรัททรุดลงไปนั่งอย่างหมดแรง โดยมีปาลิตาช่วยพัดให้เพื่อนอย่างห่วงใย เตชัสมองรุ่นพี่แล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
“เหนื่อยมากหรือครับ พี่วรัท”
“เหนื่อยสิวะ” วรัทกัดฟันพูด
“ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายก็อย่างนี้ล่ะเนอะ ว่าแต่ตื่นสายกันเหรอ”
เภตราถามดักคอ ตามองหน้าเด็กสาวตัวแสบ นลินทำหน้าเหลอหลาไม่เข้าใจ
“ใครตื่นสายหรือคะ”
“อ้าว ก็เห็นวิ่งกันมา”
“ออกกำลังกายพี่ ออกกำลังกาย ไม่ได้วิ่งเพราะกลัวมาสายหรอกค่ะ”
นลินตอบรักษาฟอร์ม เภตราหัวเราะก่อนจะลุกเดินนำไปยังรถจี๊ปที่จอดไว้ในโรงรถข้างๆ ตัวบ้าน
“เถอะ ไม่ว่าๆ พี่เภใจดีกับน้องๆ อยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นนายหัว มีหวังถูกตะเพิดตายแน่ๆ”
เขาแกล้งใส่ไฟ ซึ่งนลินก็เชื่อสนิทใจ เพราะหน้านภนต์ให้ออกขนาดนั้นนี่นะ
“วันนี้ไปไหนครับพี่” วรัทที่แรงกลับมาแล้วร้องถามขึ้น
“ไปดูโรงเพาะหอยมุกกันก่อน”
เภตราตอบ พลางกระโดดขึ้นรถแล้วทำมือให้รุ่นน้องขึ้นตาม
“ที่นี่เพาะหอยมุกเองหรือคะ”
ปาลิตาถามอย่างสนใจ เมื่อชายหนุ่มเจ้าถิ่นพานำดูงานรอบๆ
“ทดลองน่ะครับ เพราะว่าตอนนี้ประเทศไทยเรายังมีคนเลี้ยงหอยมุกไม่เยอะนัก แต่มีความต้องการมาก เลยต้องสั่งมุกนำเข้าจากต่างประเทศ ทางฟาร์มเราก็เลยทดลองเพาะดู แต่ก็อยู่ระหว่างการทดลองล่ะนะ ถ้าสำเร็จ การเลี้ยงหอยมุกระดับอุตสาหกรรมก็ทำได้สบายเลย”
เภตราอธิบายอย่างอารมณ์ดี มีเด็กๆ เดินตามเป็นพรวน
“เรื่องฝึกงานก็ไม่ซีเรียสนะ พี่อยากให้น้องๆ ได้เห็นการทำงานโดยรวมได้ชัดๆ มากกว่า ไม่ได้คิดจะให้ลงมือทำแบบรู้ลึกรู้จริงขนาดผู้เชี่ยวชาญอะไรแบบนั้น เพราะงั้นก็ไม่ต้องเครียดไป”
“ครับผม ดีครับ ผมชอบ” วรัทตอบรับยิ้มแย้ม
“คนขี้เกียจ”
เสียงนลินแขวะมาไม่เบานัก วรัททำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ใส่ใจคำว่ากล่าวนั้น
“นี่หอยมุกอะไรคะ พี่เภ”
นลินเลิกสนใจใจเพื่อนหันกลับมาสนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้าแทน เภตราเอื้อมหยิบหอยมุกขนาดตัวกว้าง 6 ถึง 7 เซนติเมตร ขึ้นมาให้รุ่นน้องได้ชมใกล้ๆ
“หอยมุกกระแจะ บางที่อาจเรียกหอยมุกกะจิ หรือหอยมุกแกลบ”
“ตัวเล็กนะคะ”
ปาลิตาตั้งข้อสังเกต เขายิ้มรับ อดเหลือบมองไปทางหลานชายที่ยืนอยู่ด้านหลังไม่ได้ จากที่ได้สังเกตดูท่าทีของคนสองคนนี้ เภตราก็พอจะเดาออกว่ารุ่นพี่สาวคิดยังไงกับหลานชายของเขา หากแต่เตชัสนี่สิ เขายังมองไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่
“ตัวเล็กครับ เพราะงั้นไข่มุกที่ได้จากหอยชนิดนี้ก็จะเล็กตามไปด้วย ไข่มุกที่ได้จะมีขนาดประมาณ 5 ถึง 6 มิลลิเมตรเท่านั้นเอง”
“มุกนี่เขาวัดน้ำหนักเป็นยังไงคะ พี่เภ”
คนช่างซักทำหน้าที่ซักอีกแล้ว เภตรายิ้มแล้วเล่าอย่างใจดี
“เป็นกะรัตครับ”
“ก็เหมือนเพชรสิครับ”
“ใช่แล้ว เหมือนเพชรน่ะ คือไข่มุกที่หนัก 4 เกรน จะเท่ากับ 1 กะรัต”
นลินขมวดคิ้วอย่างสงสัยไม่คลาย
“พี่ๆ แล้วไอ้เกรนแกรนอะไรนี่ มันเป็นยังไงล่ะคะ”
“อืม เป็นคำถามที่ดีมาก เพราะตอนแรกพี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน เตรู้มั้ย”
เขาหันมาถามหลานชาย เตชัสส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“เขาวัดขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของไข่มุก ไข่มุกที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1/8 นิ้ว จะหนักประมาณ 1 เกรน”
“งั้น 4 เกรนก็มีเส้นผ่าศูนย์4กลางครึ่งนิ้วล่ะสิคะ”
“เก่งจังนลิน แต่ไม่ใช่ครับ ไข่มุกที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางครึ่งนิ้ว หนักประมาณ 55 เกรนครับ แล้วถ้าขนาด 1 นิ้ว จะหนักถึง 450 เกรนเลย แต่หาได้ยากมาก”
“อ้าว ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะคะ เขาใช้อะไรมาวัดให้เป็นอย่างนี้คะ”
นลินถามคำถามที่ทำเอาเภตราตอบไม่ได้
“ไม่รู้สิ สงสัยต้องไปถามคนบัญญัติขึ้นมาซะละมั้ง ไปดูการกระตุ้นหอยพ่อแม่พันธุ์ดีกว่านะ”
เภตราเดินนำไปอีกด้านของโรงเพาะ นลินกับวรัทเดินตามไปติดๆ โดยมีปาลิตาเดินตาม เธอพยายามเร่งฝีเท้าไปให้ทันเพื่อน แต่กลับสะดุดเข้ากับขอบปูนที่พื้น ทำให้เกือบหกล้มลงไปกองกับพื้น หากไม่ได้มือใหญ่แข็งแรงของคนที่เดินตามหลังมาช่วยฉุดไว้
“ไม่เป็นไรนะครับ พี่ตา”
เตชัสถามอย่างห่วงใย ปาลิตาเงยมองสบตาเขาได้เพียงนิดก็ต้องก้มหลบ เอ่ยพึมพำขอบคุณเสียงเบา แล้วก็รีบเดินตามเพื่อนไปอย่างรวดเร็ว เตชัสมองตามด้วยสายตาที่อ่านไม่ออกดุจเดิม
“พ่อแม่พันธุ์หอยนี่ได้มาจากไหนหรือครับ พี่เภ”
วรัทซักอย่างสนใจ เมื่อเดินดูพ่อแม่พันธุ์ที่ถูกเลี้ยงอยู่ในถังไฟเบอร์ขนาดใหญ่หลายถัง
“จับมา”
“จากในทะเลหรือคะ”
“ครับ ตามเกาะน่ะ พอจับมาก็จะทำความสะอาด เอาสิ่งสกปรกที่เกาะอยู่ตามเปลือกออกให้หมด แล้วก็เลือกเอาขนาดที่ต้องการ คือประมาณ 7 เซนฯ ขึ้นไป มาใส่ไว้ในกระบะเพื่อกระตุ้นให้หอยปล่อยเซลล์สืบพันธุ์ตามวิธีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ ซึ่งหอยหลายชนิดก็ใช้วิธีการนี้เหมือนกัน”
“ทำยังไงคะพี่เภ”
“ก็จะใช้น้ำอุ่นประมาณ 34 องศาเซลเซียส ไหลผ่านกระบะที่ใส่หอยประมาณ 10 นาที สลับกับน้ำอุณหภูมิปกติ ทำต่อเนื่องไปจนกว่าหอยจะปล่อยไข่ปล่อยน้ำเชื้อ พอมันปล่อยเราก็จับแยกหอยตัวผู้กับตัวเมียออกจากกัน แล้วก็รอจนกว่าหอยจะปล่อยไข่กับน้ำเชื้อออกหมด แล้วก็เอาไข่กับน้ำเชื้อมาผสมกัน จากนั้นก็เอาไปฟักในถังอีกใบใหญ่ขนาดประมาณ 1 ตัน”
“แล้วอย่างนี้เราต้องรอเท่าไหร่คะ กว่าหอยจะปล่อยไข่กับน้ำเชื้อ”
ปาลิตาถาม นลินก้มมองหอยในกระบะที่คงจะรู้สึกรำคาญกับน้ำที่ไหลผ่านตัวไม่มากก็น้อย ด้วยอุณหภูมิน้ำนั้นช่างไม่คงที่เอาซะเลย
“อย่างนี้ไม่ต้องรอกันทั้งคืนหรือคะ กว่าหอยจะปล่อยไข่น่ะค่ะ”
นลินถาม เภตราหัวเราะก่อนจะตอบโดยดี
“โดยมากหลังจากปล่อยน้ำอย่างที่บอกนะครับ ก็ประมาณ 30 นาทีล่ะ หอยจะปล่อยเซลล์สืบพันธุ์ออกมา”
“แล้วลูกหอยกินอะไรเป็นอาหารหรือคะ”
“กินสาหร่ายเซลล์เดียวครับ ที่ฟาร์มเราจะเอาให้หอยกินประมาณ 4 ชนิด ซึ่งความหนาแน่นกับชนิดของสาหร่ายจะเปลี่ยนไปตามขนาดของลูกหอย”
“แล้วหลังจากนี้ก็เอาไปเลี้ยงให้โตหรือครับ”
“ใช่แล้ว แต่กว่าจะโตลูกหอยก็ตายไปเป็นเบือเหมือนกันนะ”
“บาปกรรมเนอะพี่”
นลินหันมาพยักพเยิดกับเภตรา เขายิ้มตอบอย่างขำๆ
“อือ บาปกรรม ขึ้นฝั่งทีไรพี่ก็ต้องไปทำบุญให้พวกลูกหอยที่ตายไปทุกทีล่ะ กะว่าชาติหน้าจะได้ไม่ต้องเกิดมาเป็นหอยมุกไง เพราะพี่ว่าถ้าพี่เกิดมาเป็นหอยมุก มีหวังพี่ต้องตายก่อนโตแหงๆ”
“แต่ลินว่าถ้าลินเกิดเป็นหอย ลินต้องเป็นตัวที่โตจนผลิตหอยมุกได้แน่ๆ ค่ะ”
นลินพูดเกทับ
“เหรอ ถ้าเป็นอย่างนั้นนลินคงเจ็บแย่เลย เพราะกว่าจะผลิตมุกออกมาได้ 1 เม็ดนี่ ก็ต้องโดนกรีดเนื้อ ยัดแกนเข้าไปข้างในให้ระคายผิว แล้วก็ต้องอมไว้นานเป็นปีกว่าเขาจะมาผ่าเอามุกออกไป แล้วก็ตาย อืม ถ้าเป็นพี่ขอตายซะตั้งแต่เด็กๆ จะดีกว่า จะได้ไม่ต้องทนทรมานนานๆ แบบนั้น”
เภตราเล่าเสียเห็นภาพตามไปด้วย นลินมองค้อนอย่างลืมตัว เภตราหัวเราะลั่นโรงเพาะเลี้ยง
“เอาน่า เดี๋ยวจะพาไปดูตอนเขาใส่แกน ถึงตอนนั้นค่อยตัดสินใจเอานะ ว่าจะรอผลิตมุกก่อนแล้วค่อยตาย หรือตายก่อนได้ผลิตมุกดี”
รถมอเตอร์ไซค์คันเล็กวิ่งตรงมาจอดตรงหน้าคนทั้งกลุ่ม ที่บ้างก็นั่งอยู่บนม้าหินหน้าโรงเพาะ บ้างก็ยืนเก๊กอยู่ใต้ต้นมะพร้าว คนขับยื่นตะกร้าอาหารส่งให้นลินที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุดอย่างง่ายๆ
“อาหารกลางวัน เอามาส่ง”
นลินยกมือไหว้ ย่อตัวอย่างสวยงามเหมือนการประกวดนางสาวไทยที่เคยดูมา นภนต์มองแล้วทำหน้าปั้นยาก
“ฝึกนานมั้ย ท่านี้ น่ากลัวเอวจะหัก”
“นายหัวขอบคุณค่ะ”
นลินกัดฟันพูด ไม่ยอมต่อปากต่อคำกับเขา เตชัสเดินมารับตะกร้าอาหารจากนลินอีกที
“วันนี้นายหัวเอาข้าวปลาอาหารมาส่งเองแฮะ ทำไมไม่ให้เด็กมา”
เภตราถามเย้าด้วยรอยยิ้ม นภนต์ยักไหล่ เดินตามนลินมานั่งบนม้าหินด้วย
“อยากมาดูหน้าแรงงานใหม่ ว่าทำงานได้ดีแค่ไหน”
“ไม่อยากอยู่บ้านกินข้าวเหงาๆ คนเดียวมากกว่าล่ะมั้ง”
เภตราดักคออย่างรู้ทัน นภนต์ยิ้มรับ
“ก็งั้นสิ”
“งั้นก็ลงมือทานกันเลยนะครับน้องๆ วันนี้กับข้าวน่ากินซะด้วย”
เภตราลงมือแกะอาหารออกจากกล่องที่แพ็คมาอย่างดี โดยมีมือขยันหลายมือช่วยจัดการ
“วันนี้ก็ลองฝึกงานในโรงเพาะนี่ไปก่อนนะ ลุงขันฝากเด็กด้วยเน้อ”
เภตราตะโกนบอกหัวหน้าโรงเพาะที่เป็นชายวัยเกือบห้าสิบท่าทางใจดี เขาพยักหน้ารับ เด็กๆ เปลี่ยนหัวหน้าขบวนไปเป็นลุงขันแทน เภตราเดินกลับมาหาเพื่อนที่ยืนพิงมอเตอร์ไซค์อยู่
“กลับด้วยกันหรือเปล่า” นภนต์ถาม
“ยังล่ะ เดี๋ยวนายเอาจี๊ปกลับไปแล้วกัน เราเอามอเตอร์ไซค์ไป จะไปหลังเกาะหน่อย”
นภนต์พยักหน้ารับ โยนกุญแจส่งให้เพื่อน เภตรารับมาแล้วขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป นภนต์ก้าวขึ้นรถจี๊ปสตาร์ตเครื่อง กำลังจะขับออกไปแล้ว หากยังทันเห็นร่างบางๆ ของสาวน้อยผมซอยสั้นที่กวนอารมณ์เขาได้ทุกทีที่พบหน้าวิ่งตรงมา
“พี่เภ เดี๋ยวก่อนค่ะ เดี๋ยวก่อน”
คนพูดหลับหูหลับตาวิ่งโดยไม่ทันมองว่าใครกันแน่ที่นั่งอยู่บนรถ นภนต์ก็นั่งเงียบไม่ว่าอะไร จนเมื่อเธอเข้ามาเกาะรถไว้นั่นล่ะ จึงเห็นว่าความจริงแล้วเป็นใครกันแน่ที่เป็นคนขับ
“ว่าไงเรา”
เขาถามเรียบๆ ห้วนๆ เก๊กมาดขรึมไว้ นลินส่งรอยยิ้มประจบไปให้
“นายหัวเองหรือคะ ลินนึกว่าพี่เภ”
“เกือบจะนินทาเราออกมาอีกแล้วล่ะสิ”
เขาดักคอ นลินทำตาโตมอง
“หาเรื่องลินนะนั่น นายหัว”
“ช่างเถอะ จับไม่ได้ก็แล้วไป ว่าแต่วิ่งมามีอะไร”
“หาปากกาค่ะ นายหัว สงสัยจะหล่นอยู่ในรถ”
“เดี๋ยวจะช่วยหา”
เขาบอก ดับเครื่องรถ แล้วช่วยคนที่ปีนขึ้นรถหาปากกา หากหาทั่วทั้งคัน ทั้งเบาะหน้าเบาะหลังก็ไม่เจอ ก้มลงไปหาบนพื้นรถก็ยังไม่เห็นอยู่ดี นภนต์เหลือบมองหน้าใสที่ก้มหน้าก้มตาหาอย่างขะมักเขม้นด้วยสายตาเอ็นดู หากแล้วก็ต้องนิ่งไปเห็นอะไรบางอย่าง
“นลิน”
เขาเรียกเสียงเรียบเย็น นลินเงยหน้ามอง มือใหญ่เอื้อมมาใกล้ๆ หน้า นลินเอียงตัวหลบอย่างตกใจ
“นายหัวจะทำอะไรลิน”
เธอว่าเสียงเขียว ชายหนุ่มยื่นมือมาตรงหน้าเธอ ปากกาลูกลื่นสีเขียวสดอยู่ในมือนั้น นลินจำได้ดี…ปากกาของเธอเอง
“นายหัวเอามาจากไหน”
“จากหัวเธอไง”
เขามองหน้าตาเหลอหลาของหญิงสาว แล้วก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้
“เหน็บไว้กับหู แต่ดันมาหาจนทั่วรถ แล้วอย่างนี้จะเจอได้ไง”
เขาพูดอย่างปลงๆ นลินร้องฮ้าเสียงดังลั่น
“ที่แท้เหน็บไว้ที่หูนี่เอง มิน่าล่ะ หาไม่เจอ ขอบคุณนายหัวมากค่ะ”
นลินยิ้มแหยยกมือไหว้ก่อนหยิบปากกาจากมือเขา แล้วพริบตาเดียวร่างบางก็กระโดดลงจากรถ วิ่งหายเข้าไปในโรงเพาะอย่างรวดเร็วด้วยความเขินในความเปิ่นของตัวเอง นภนต์มองตามไปแล้วหัวเราะออกมาอย่างขบขัน
…จริงๆ นะ กับผู้หญิงคนนี้ ทำไมถึงได้มีแต่เรื่องที่ทำให้เขาหัวเราะได้อยู่ตลอดเวลาขนาดนี้หนอ…
– บทที่ 5 –
เสียงกีต้าร์เหงาๆ ดังมาตามสายลมที่เจือด้วยกลิ่นไอของทะเล ปาลิตากับนลินที่ออกมาเดินเล่นรับลมเย็นๆ หลังพระอาทิตย์ตก หันมองหน้ากันก่อนจะสาวเท้าเดินเข้าไปใกล้ ด้วยอยากรู้ว่าใครเป็นต้นเสียง บนโขดหินริมทะเลที่เมื่อครู่ถูกบดบังไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ร่างสูงของเด็กหนุ่มนั่งเล่นกีต้าร์ไปเรื่อยๆ ไม่เป็นเพลง นัยน์ตาคมเหม่อลอยจับจ้องไปยังปลายขอบฟ้าที่เหลือเพียงแสงสีส้มจากพระอาทิตย์ที่ลับหายไป ปาลิตาชะงักเท้านิ่งเมื่อเห็นว่าใครนั่งอยู่ เธอกำลังจะหันหลังกลับไปทางเดิม หากนลินกลับคว้าข้อมือเล็กไว้มั่น แล้วทั้งลากทั้งจูงให้เพื่อนเดินตาม คนที่นั่งอยู่ก่อนเหมือนจะรับรู้ถึงตัวตนของผู้มาเยือน เขาหันมองมาทางคนทั้งคู่ ก่อนจะคลี่ยิ้มที่ทำให้ลมหายใจของใครบางคนสะดุดไป
“พี่ลิน พี่ตา เดินเล่นหรือครับ”
รุ่นน้องทัก นลินส่งยิ้มอย่างเปิดเผยตามแบบฉบับไปให้ ส่วนปาลิตาก็ได้แต่หลบหน้าไม่ยอมสบตาใครเสียที
“เดินเล่นแล้วได้ยินเสียงกีต้าร์ นึกว่ามีนางเงือกยุคใหม่มาเล่นกีต้าร์แถวนี้”
เตชัสหัวเราะกับคำพูดของรุ่นพี่ เขาขยับที่ให้หญิงสาวทั้งสองนั่ง
“เอางั้นเลยนะพี่ แล้วพี่วรัทล่ะครับ”
“นอนพักผ่อนก่อนกินข้าว”
นลินบอกถึงกิจวัตรประจำวันของเพื่อนตัวอวบ เตชัสพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
“น้าเภบอกแล้วใช่มั้ยครับ ที่บ้านใหญ่จะทานข้าวเย็นกันตอนประมาณทุ่มครึ่ง”
เขาถาม เนื่องเพราะที่นี่เป็นเกาะ และพวกนลินมาฝึกงานประมาณเดือนเดียว เภตราจึงตัดปัญหาเรื่องอาหารการกินไปให้แม่ครัวของบ้านใหญ่เป็นคนจัดการแทน
“บอกแล้ว เตเล่นกีต้าร์ต่อสิ พี่จะฟัง เพื่อนพี่ก็จะฟัง…ใช่มั้ย ตา”
เธอหันมาถามเพื่อน ปาลิตาเงยหน้าสบตาเตชัสได้เพียงวินาทีเดียวแล้วก็ต้องหลบตา เด็กหนุ่มเองก็ไม่อาจสบตารุ่นพี่ได้ นัยน์ตาคู่คมเลยจับอยู่ที่หน้าของนลินเท่านั้น นลินลอบถอนหายใจ หากไม่สงสารเพื่อนมากขนาดนี้ เธอก็ว่าจะจับหน้าเพื่อนให้มามองหน้าไอ้เด็กหนุ่มยิ้มสวยคนนี้ตรงๆ ให้หมดเรื่องหมดราวไปเสียเลย
“ผมเล่นไม่เก่งหรอกพี่ เล่นไม่เป็นเพลงด้วยซ้ำไป นี่ก็กีต้าร์น้าเภเขา”
“เหรอ น่าเสียดายนะ พี่ว่าจะขอเพลงแด๊นซ์มันๆ ซะหน่อย”
นลินพูดหน้าตาเฉย เตชัสหัวเราะก่อนจะยื่นกีต้าร์ส่งมาให้คนที่นั่งเงียบคล้ายกับลืมเอาปากมา
“ได้ข่าวว่าพี่ตาเป็นมือกีต้าร์ไม่ใช่หรือครับ ลองเล่นให้ฟังหน่อยสิ”
ปาลิตานิ่งอึ้งไปด้วยความคาดไม่ถึงว่าชายหนุ่มจะหันมาพูดกับตัวเองตรงๆ นลินต้องสะกิดเพื่อนแรงๆ เสียที ปาลิตาเลยเอื้อมมือไปรับกีต้าร์มาได้
“ขอเพลงเพราะๆ นะตา เอาให้เข้ากับบรรยากาศ ฟ้าสวยๆ ทะเลใสๆ เสียงคลื่นเพราะๆ แบบนี้น่ะ”
นลินร้องขอ เตชัสส่งยิ้มให้กำลังใจ ปาลิตาเริ่มลงมือเล่นกีต้าร์อย่างคนที่ชำนาญเครื่องดนตรีชนิดนี้มากว่าสิบปี เสียงหวานร้องคลอไปกับเสียงกีต้าร์ใสๆ เสียงที่ทำเอาใครบางคนชะงักฟังอย่างตั้งใจมากกว่าทุกคราว
…I bless the day I found you
ขอบคุณในวันนั้นที่ได้พบเธอ
I want to stay around you
ฉันอยากจะอยู่ข้างๆ เธอ
And so I beg you, let it be me
ดังนั้นฉันจึงขอร้องเธอ…ให้เป็นฉันเถอะนะ
…
So never leave me lonely
อย่าทิ้งฉันไว้เพียงลำพัง
Tell me you love me only
ได้โปรดบอกฉันว่าเธอรักเพียงฉันเท่านั้น
And that you always, let it be me
และขอให้เป็นฉันที่ได้อยู่เคียงข้างเธอเสมอ
…Let it be me…
ขอให้เป็นฉัน…
“ใครมือดีแอบเด็ดดอกไม้เรา”
เสียงทุ้มร้องถามอย่างดุๆ คนที่กำลังตั้งใจเด็ดดอกไม้อย่างเบามือสะดุ้งเฮือก ดอกแก้วหลายดอกในมือแทบจะพลัดร่วงหล่น เธอเหลียวมองหาเพื่อนอย่างจะหาที่พึ่ง หากเพื่อนทั้งสองคนรวมทั้งเตชัสต่างก็เดินลิ่วๆ นำหน้าแบบที่ต้องตะโกนเรียกถึงจะได้ยิน นลินเลยสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะหันไปมองเจ้าของบ้านแล้วส่งรอยยิ้มแหยแสนแหยไปให้
“ดอกไม้สวยนะคะ นายหัว หอมด้วย”
“อืม เราก็ว่าอย่างนั้นเหมือนกัน”
นายหัวกอดอกพยักหน้ารับ นลินค่อยยิ้มออกอย่างพอจะมีกำลังใจขึ้นมาบ้าง
“แต่ดอกไม้เราห้ามเด็ด”
ประโยคนั้นทำเอานลินหุบยิ้ม ก่อนจะบ่นอุบอิบ
“ขี้งก”
“ว่าอะไรนะ เราได้ยินไม่ชัด”
เขาเอียงหน้าเข้ามาใกล้ นลินขยับถอยหลังออกไปอีกก้าว ก่อนจะยิ้มประจบ
“ขอไม่ได้หรือคะ นายหัว”
“เราไม่ให้”
เขาแกล้งทำเสียงแข็ง ดีใจที่ได้เห็นเด็กสาวหน้าเสีย นลินยื่นดอกไม้พรวดมาตรงหน้าเขา
“งั้นคืนก็ได้”
เขาแบมือรับ นลินวางดอกไม้ลงบนมือใหญ่อย่างแสนเสียดาย นภนต์กลั้นยิ้ม
“ชอบมากหรือไงดอกแก้ว”
“หอมดีค่ะ ลินชอบดอกไม้หอมๆ”
“งั้นตามมานี่”
เขาบอกแล้วเดินนำไปทางด้านขวาซึ่งเป็นซุ้มดอกหิรัญญิการ์ที่เขาปรากฏตัวออกมาเมื่อครั้งแรก นลินเดินตามไปอย่างว่าง่าย เขามองหาดอกไม้สีขาวดอกใหญ่กลิ่นหอมอยู่เพียงครู่ ก่อนจะเอื้อมเด็ดออกมาอย่างเบามือ
“เห็นเมื่อวานเด็ดดอกแก้วไปแล้ว…”
“นายหัวเห็นหรือคะ”
นลินถามเสียงอ่อย นภนต์มองหน้าเธอแล้วยิ้ม
“เห็น แต่ขี้เกียจว่า วันนี้เลยว่าเปลี่ยนดอกบ้างก็ได้ บ้านเราปลูกไม้ดอกหอมไว้เยอะ เอานี่…”
เขาส่งดอกหิรัญญิการ์ดอกสวยมาให้ นลินแบมือรับ
“ดอกหิรัญญิการ์ ไม่เคยเห็นล่ะสิ”
เขาถามดักคอ นลินพยักหน้ารับยิ้มตาหยี
“เราชอบมากดอกนี้ เอาไปแทนดอกแก้วแล้วกันนะ”
เขาบอก แล้วออกเดินนำกลับทางเดิม นลินก้าวตาม มือคอยประคองดอกไม้ในมือไม่ให้ช้ำ
“พรุ่งนี้ดอกอะไรคะ”
เขาหันกลับมามองหน้าเธอ นลินมองตอบด้วยรอยยิ้มสดใส
“จะเอาให้ครบทุกคืนที่เธอจะอยู่ที่นี่เลยหรือไง”
“แล้วมีครบสามสิบชนิดเลยหรือเปล่าคะ”
เธอย้อนถาม เขาอึ้งไปอึดใจก่อนจะหัวเราะออกมา
“ก็…ลองดูนะ นลิน กลับไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้อย่าตื่นสายเหมือนวันนี้อีกล่ะ”
“มีอะไรที่นายหัวไม่รู้บ้างมั้ยคะนี่”
เธอถามอย่างจะหมดแรง ความลับเรื่องนอนตื่นสายถูกเปิดเผยเสียแล้ว นภนต์หัวเราะ ส่ายหน้าแทนคำตอบ
“เรารู้หมดทุกอย่างล่ะ เธอไม่รู้หรือไง เราตั้งกล้องวงจรปิดไว้ทั่วเกาะเลย”
“จริงหรือคะ”
นภนต์มองแววตาตกตะลึงของเด็กสาว ที่เหมือนจะเชื่อไปเสียทุกคำพูดของเขา แล้วก็อดหัวเราะขำไม่ได้
“เชื่อเราหรือไง”
เขาถาม นลินหน้างออย่างที่รู้ว่าถูกหลอกแล้ว
“ก็ลินไม่คิดว่านายหัวจะโกหก เป็นผู้ใหญ่แล้วต้องไม่โกหกนะคะ”
เธอสอนด้วยสีหน้าจริงจังแต่ดวงตาฉายรอยยิ้ม คราวนี้นภนต์ไม่หัวเราะตาม เขาเก๊กหน้าขรึมแล้วเอ่ยปากไล่
“ไปนอนได้แล้ว”
“ครับผม ราตรีสวัสดิ์ครับ”
นลินตอบรับหนักแน่นอย่างล้อเลียน แล้ววิ่งตัวปลิวออกไป
“เป็นอะไร นายหัวเดินอารมณ์ดีมาเชียว”
เสียงเภตราทักมาจากระเบียงหน้าบ้าน นภนต์ชะงักเท้าที่จะก้าวเข้าบ้านแล้วเปลี่ยนทิศเดินไปหาเพื่อนแทน
“นั่งทำอะไรนายเภ”
“นั่งมองจันทร์”
เภตราบอก เงยมองจันทร์เต็มดวงสีสดที่ลอยกระจ่างอยู่บนฟากฟ้า นภนต์หัวเราะเบาๆ
“อารมณ์โรแมนติก”
“ก็ต้องมีบ้างล่ะน่า ว่าแต่นายเหอะ วันนี้นึกยังไง เด็ดดอกแก้วมาถือไว้”
นภนต์ยกดอกแก้วในมือขึ้นแตะจมูกอย่างลืมตัว กลิ่นหอมจัดยังติดจมูกอยู่
“ก็หอมดี”
“ก็โรแมนติกเหมือนกันล่ะวะ แล้วก็…”
เขาหันไปคว้ากระดาษโน้ตที่วางข้างตัวขึ้นมา
“คาดว่าอาทิตย์หน้าน่าจะโรแมนติกมากกว่านี้”
นภนต์มองหน้าเพื่อนอย่างไม่เข้าใจ เภตราส่งกระดาษแผ่นนั้นมาให้
“เมื่อตอนหัวค่ำคุณซาฮาร่าของนาย…”
“เขาชื่อซาร่า แล้วก็ไม่ใช่ของเรา”
เภตรายักไหล่
“ก็นั่นล่ะ เขาโทรมาหานาย แต่ดันเจอเราแทน สงสัยจะอารมณ์เสียไปเลย”
เภตราเล่า นภนต์ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ด้วยเพราะรู้จักเพื่อนดี เภตราไม่ค่อยชอบสรารินเท่าไหร่นัก หากมีโอกาสจะต้องพูดจากวนอารมณ์หญิงสาวคนนั้นทุกที
“ซาร่าจะมาอาทิตย์หน้าหรือ”
เขาเอ่ยขึ้นมาหลังจากอ่านโน้ตเรียบร้อยแล้ว
“ก็งั้นมั้ง”
“ปกติซาร่าไม่ค่อยชอบนั่งเรือนานๆ”
เขาปรารภกับเพื่อน เภตราทำหน้าหมั่นไส้
“ก็นายไม่ได้ไปกรุงเทพฯ นานแล้วนี่ สงสัยจะทนคิดถึงไม่ไหว”
นภนต์ลอบถอนหายใจ ก่อนจะยิ้มรับหน้าชื่น
“อืม สงสัยจะทนคิดถึงไม่ไหวจริงๆ เลยต้องลงทุนมาหาถึงที่นี่ เดี๋ยวเราไปบอกให้คุณแม่บ้านจัดห้องให้ดีกว่า”
“เราบอกให้แล้ว”
เภตราบอกโดยไม่สบตาเพื่อน ก่อนจะลุกยืน
“จะไปนอนแล้วหรือ”
“ดึกแล้ว ง่วงแล้วด้วย”
เขาบอกง่ายๆ แล้วเดินหายเข้าไปในตัวบ้าน ทิ้งให้นภนต์ยืนชมจันทร์อยู่คนเดียว
“เป็นอะไรไปตา”
นลินเอ่ยถามเพื่อน ปาลิตาละสายตาจากพระจันทร์ดวงโตหันไปมองหน้าเพื่อน
“ไม่ได้เป็นอะไร นั่นถือดอกอะไรน่ะลิน”
ปาลิตามองดอกไม้สีขาวในมือเพื่อนอย่างสงสัย นลินยิ้มยกดอกไม้ในมือขึ้นดูอีกรอบ มอง…แล้วก็อดคิดถึงคนให้ไม่ได้
“ดอกหิรัญญิการ์ สวยล่ะสิ”
“ไปแอบเด็ดของพี่ภนต์อีกแล้วหรือไง”
ปาลิตาถามดักคอ นลินส่ายหน้า
“ไม่ใช่ นี่นายหัวเด็ดให้เอง”
“อ๊ะ…”
“ไม่ต้องมาอ๊ะ มาเอ๊ะเลย ไม่มีอะไรมากไปกว่าเขามาเห็นตอนที่เรากำลังจะเด็ดดอกแก้ว เขาก็เลยหาดอกหิรัญญิการ์มาให้แทน เพราะเมื่อวานเราเด็ดดอกแก้วไปแล้วไง”
นลินรีบอธิบายก่อนที่เพื่อนจะเข้าใจอะไรผิดมากไปกว่านี้
“ร้อนตัวหรือเปล่านี่”
“ร้อนตัวอะไร”
ปาลิตามองหน้าเพื่อนที่ไม่รู้อะไรเลยแล้วตัดสินใจเปลี่ยนไปชวนคุยเรื่องอื่น
“พี่ภนต์เขารู้หรือ”
“อือ รู้ รู้หมดทุกอย่างล่ะ ที่เมื่อเช้าตื่นสายก็รู้ แต่ก็ไม่ว่าอะไรนะ”
“ใจดีเหมือนกันนะ พี่ภนต์น่ะ”
“ใช่ ใจดีกว่าที่คิด ช่างเขาเถอะ มาว่าเรื่องแกดีกว่า…Let it be me”
นลินเอ่ยแซวเรื่องเมื่อตอนเย็น ปาลิตาหน้าแดงก่ำ อดทุบเพื่อนด้วยความเขินไม่ได้
“แกว่าน้องจะรู้มั้ย”
เงียบกันไปสักพักปาลิตาก็อดถามเพื่อนไม่ได้ นลินหัวเราะขำ
“ไม่รู้หรอก นายนั่นจะแปลออกหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“ดูถูกนะ แต่…ก็จริง”
“ทีหลังต้องร้องอะไรนะ แบบโจ่งแจ้งน่ะ ประมาณพี่รักเธอนะจ๊ะ น้องจ๋า”
คราวนี้ปาลิตาตีเพื่อนอย่างไม่ยั้งมือ นลินหัวเราะแล้ววิ่งหนีเข้าไปในห้อง
“ไม่ต้องเขินแรงขนาดนั้นก็ได้”
“แกพูดงี้ได้ไง”
ปาลิตาพูดอย่างแค้นๆ นลินโผล่หน้าออกมาหัวเราะยั่วเพื่อน
“พูดเรื่องจริงก็เขิน”
“ไอ้ลิน”
ปาลิตาตะโกนเสียงดังกลบความเขิน วิ่งเข้ามาหมายจะเล่นงานเพื่อนอีก นลินปิดประตูดังปัง
“เฮ้ย เล่นอะไรกัน คนจะนอนหนวกหูโว้ย”
เสียงวรัทตะโกนอย่างหัวเสียออกมาจากห้องข้างๆ นลินแง้มประตูออกมา ส่วนปาลิตาก็พาตัวเองเข้าไปในห้อง ทั้งคู่ยืนมองหน้ากัน แล้วพากันหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่ ก่อนจะปิดปากตัวเองอย่างนึกได้ นลินเอ่ยพูดแบบไม่มีเสียง
“เบาๆ เดี๋ยวกั๊ตจังตะโกนด่าอีก”
“อือ น่าเห็นใจเนอะ คนไม่มีความรัก”
แล้วทั้งคู่ก็ระเบิดหัวเราะอีกครั้งอย่างไม่เกรงใจคนที่นอนห้องข้างๆ เลย
วันนี้ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของบ้าน เจ้าของเกาะ เจ้าของฟาร์ม แล้วก็เจ้าของอะไรอีกหลายอย่าง มายืนรอกลุ่มนิสิตฝึกงานอยู่หน้าที่พัก คนทั้งหมดยกมือไหว้ทักทายอย่างแปลกใจ
“ทำไมวันนี้เป็นนายหัวล่ะคะ”
เมื่อสงสัยนลินก็ถามเพราะไม่คิดจะเก็บเอาไว้ให้หนักอก นายหัวส่งยิ้มสดใสมาให้
“นายเภขึ้นฝั่งน่ะ วันนี้เราเลยมาเป็นแม่เป็ดแทน”
“แม่เป็ด”
วรัททวนคำอย่างไม่เข้าใจ นภนต์ก้าวขึ้นรถพลางอธิบายไปด้วย
“ก็ทุกวันเห็นเดินตามนายเภอย่างกับลูกเป็ดเดินตามแม่เป็ดไง แต่วันนี้แม่เป็ดเภตราไม่อยู่ เราก็เลยมาเป็นแม่เป็ดแทน”
เตชัสหัวเราะกับคำเปรียบเปรยนั้น จะว่าไปก็ถูกตามที่นภนต์บอก เพราะตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา พวกเขาก็เดินตามติดเภตราแบบนั้นจริงๆ เรียกว่าไม่ยอมให้ห่างกันซักนาทีก็ว่าได้
“เป็นแม่ปูไม่ได้หรือคะ นายหัว”
นลินตั้งคำถาม นภนต์ละสายตาจากถนนเบื้องหน้ามามองหน้าคนนั่งข้างด้วยแววตาเอ็นดู
“เราไม่ได้เดินเอียงเหมือนแม่ปูนี่”
“ฮ้า งั้นนายหัวก็เดินเหมือนเป็ด”
นลินพูดอย่างชนะ นภนต์อึ้งไปนิดก่อนจะหัวเราะขบขัน เมื่อนึกถึงภาพการ ‘เดินเป็ด’ แบบที่เคยเล่นตอนเด็กๆ
“ไม่เอาแล้ว เลิกพูด”
“แล้ววันนี้จะพาไปไหนคะ เมื่อวานพี่เภบอกว่าจะพาไปดูหอยที่ใส่นิวเคลียสแล้ว”
นลินทำหน้าที่ซักถามแทนเพื่อน
“พาไปดูตามแพลนนั่นล่ะ วันนี้แค่ดูอย่างเดียว งานสบาย พรุ่งนี้ค่อยให้นายเภมาเลคเชอร์ละเอียดอีกที”
เขาบอก แล้วขับรถพาตรงไปยังด้านหลังของเกาะ ที่ทำเป็นกระชังสำหรับแขวนหอยมุกที่ใส่นิวเคลียสเรียบร้อยแล้ว
“ต้องเลี้ยงหอยพวกนี้นานกี่ปีคะ นายหัว”
นลินที่เดินตามติดชายหนุ่มร้องถามมาจากด้านหลัง ขณะที่พยายามทรงตัวเดินไปบนแผ่นไม้กระดานแคบๆ ตรงขอบกระชัง ส่วนเพื่อนอีกสองคนเดินไปอีกด้านของกระชังโดยมีเตชัสเป็นคนนำชม
“หลังจากใส่นิวเคลียส ก็ประมาณ 2-4 ปี มุกถึงจะสวย”
“ถ้าน้อยกว่านั้นก็ไม่ดีหรือคะ”
“ไม่ดี มุกจะได้เม็ดไม่โต”
“งั้นถ้าเลี้ยงไว้มากกว่า 4 ปี ก็ดีสิคะ มุกจะได้เม็ดโตๆ ขายได้ราคาดีๆ”
นลินพูด นภนต์หันมองหน้าคนพูดแล้วยิ้ม
“นั่นล่ะ คนขี้งก”
“อ้าว ไหงงั้นล่ะคะ นายหัว”
“ถ้าเราโลภมาก ปล่อยไว้นานๆ หอยมุกจะคายนิวเคลียสออกทิ้งทะเล แล้วก็จบ…ทุกอย่างที่ลงทุนมาก็เรียบร้อย หายไปกับเกลียวคลื่น”
“ก็ลินไม่รู้”
เธออุบอิบบอก นภนต์หัวเราะ
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ แค่อธิบายให้ฟังเฉยๆ”
“นายหัวเก่งจังนะคะ”
สายตาชื่นชมที่มองมาทำให้นภนต์ยิ้มเขิน ไม่ใช่ว่าไม่เคยถูกชม แต่ไม่เคยมีใครชมเขาอย่างจริงใจแบบนี้มาก่อนมากกว่า
“ไม่เก่งหรอก เภเก่งกว่าเยอะ”
“พี่เภจบมาสายตรง แต่นายหัวไม่ได้เรียนมาทางนี้นี่คะ”
“เราเรียนทางบริหาร ไม่เคยเรียนเรื่องพวกนี้มาก่อน ว่าแต่เราเหอะ นึกยังไงถึงมาเรียนอย่างนี้”
เขาถามถึงสิ่งที่สงสัยมาตลอด เพราะวิชาที่พวกนลินเรียนดูจะเหมาะกับผู้ชายอย่างเภตรา วรัท หรือเตชัส มากกว่าผู้หญิงอย่างนลินหรือปาลิตาเสียอีก
“ก็ชอบนี่คะ ลินชอบสิ่งมีชีวิต อยากเรียนอะไรเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคน”
“เบื่อมนุษย์ว่างั้นเถอะ”
เขาดักคอ นลินยิ้มพยักหน้ารับ
“มนุษย์น่าเบื่อออกค่ะ”
“อืม เราก็เบื่อเหมือนกัน มนุษย์ปากเสียมือบอนน่ะ”
นลินแกล้งทำหน้าไม่เข้าใจว่าเขากำลังว่ากระทบเธอ
“ใครหรือคะ มนุษย์ปากเสียมือบอน”
“อยู่ใกล้ๆ แถวนี้ล่ะ”
เธอเหลียวมองหารอบกาย เพื่อนไปยืนอยู่สุดขอบกระชังฝั่งโน้นแล้ว
“เตหรือคะ หรือกั๊ตจัง…วรัทน่ะค่ะ แต่ตาไม่น่าน้า…”
นภนต์แกล้งถอนหายใจดังๆ
“คนเรามักจะไม่เห็นความผิดของตัวเองเสมอ”
“ใช่ค่ะ นลินเห็นด้วย อย่างนายหัว…”
“พอ ไม่ต้องมาหลอกด่าเรา”
เขารีบตัดบทเหมือนรู้ว่าเธอจะเอ่ยอะไร
“โอ๊ย นายหัว มองโลกในแง่ร้าย”
“แน่ะ ยังว่าเราได้อีกแฮะ”
เขาพูดอย่างปลงๆ สายตามองเลยไปยังปลายขอบฟ้า เมฆสีดำก้อนใหญ่ลอยต่ำกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้เกาะมากขึ้น ลมเริ่มพัดแรง บ่งบอกว่าพายุคงจะมาเยือนในไม่ช้า นลินมองตามสายตาเขา แล้วหันกลับมาถามอย่างไม่แน่ใจ
“จะมีพายุหรือคะ นายหัว”
“คาดว่าคงอย่างนั้น”
“แล้วหอยพวกนี้ไม่เป็นไรหรือคะ”
เธอถามอย่างสงสัย นภนต์เดินนำกลับ โดยมีนลินเดินตามติด
“ไม่เป็นไร เพราะบริเวณนี้เป็นที่กำบังคลื่นลมน่ะ เลี้ยงหอยต้องหาบริเวณที่จะโดนอิทธิพลของลมพายุน้อยที่สุด”
เขาอธิบาย อดหันมองร่างบางๆ ของสาวน้อยที่เดินตามหลังมาไม่ได้ สายลมที่เริ่มพัดกรรโชกแรงทำให้ผู้ชายร่างสูงใหญ่อย่างเขายังเกือบพลัดตกไป ทำให้อดเป็นห่วงคนร่างบางที่เดินตามหลังมาไม่ได้ แล้วก็จริงอย่างที่คิด เมื่อคนที่เดินตามมาแทบจะปลิวไปกับสายลม นภนต์หัวเราะเมื่อเห็นท่าทางตลกๆ ของนลินที่พยายามจะเลี้ยงตัวอยู่บนสะพานเล็กแคบให้ดีที่สุด มือใหญ่เอื้อมดึงคนตัวบางให้มาเดินนำหน้า ส่วนเขาก็ยืนซ้อนอยู่ข้างหลังจนตัวแทบจะติดกัน
“ไปเดินข้างหน้าไป จะคอยบังลมไว้ให้”
นภนต์บอกแล้วปล่อยมือเธอออก นลินเงยมองหน้าเขาอย่างขอบคุณแล้วเดินนำไป นภนต์เดินตามติดไม่ยอมห่าง เพราะกลัวร่างบางจะได้ลงไปเล่นน้ำทะเลเสียก่อนที่เจ้าตัวจะอยากเล่น แม้จะมีร่างสูงใหญ่ของนภนต์คอยกันลมไว้ให้ หากสายลมแรงก็ทำเอานลินเดินเซไปเซมา นภนต์จึงตัดสินใจจับต้นแขนบอบบางไว้เป็นการช่วยยึด
“เดินไปดีๆ จะคอยจับไว้ให้”
คราวนี้คนเคยปากกล้าไม่กล้ามองสบตาเขา ก้มหน้าก้มตาเดินไปจนถึงฝั่ง นภนต์จึงปล่อยมือออกพร้อมถามอย่างห่วงใย
“โอเคมั้ย นลิน”
“ขอบคุณค่ะ”
นลินพึมพำตอบเสียงเบา ก้มมองเพียงแค่ปลายเท้าตัวเอง นภนต์มองอย่างแปลกใจ
“เป็นอะไรหรือเปล่า นลิน”
เธอเงยหน้ามองสบตาเขาเพียงชั่วเสี้ยววินาที ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธแล้ววิ่งไปหาเพื่อนๆ ที่ยืนรออยู่ข้างรถ ทิ้งให้อีกคนเดินตามมาเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน นภนต์นึกไปถึงหน้าใสของเด็กสาวเมื่อครู่ แล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
…เขินก็เป็นเหมือนกันแฮะ หน้าใสๆ แดงแป๊ดอย่างกับลูกตำลึง เถอะนะ ให้แก่นแก้วแค่ไหน ยังไงก็เป็นผู้หญิงอยู่ดี
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน กุมภาพันธ์ 64)
Comments
comments
No tags for this post.