บทที่ 5
จ้าวหนานเซียวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ถอยหลังแล้วเงยหน้ายืดตัวขึ้น ก้าวผ่านข้างตัวชายหนุ่มไปอย่างรวดเร็ว
ด้านหลังมีเสียงฝีเท้าดังตามมา
“ขอโทษที่เมื่อกี้ทำให้คุณตกใจ ไม่ได้ตั้งใจนะ ผมเห็นคุณกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ก็เลยไม่ได้เรียก” เขาโบกถุงใบหนึ่งที่ถืออยู่ในมือ “นี่เสี่ยวเฉินห่อกลับมาให้คุณ คุณจะได้กินตอนร้อนๆ เขาดื่มเหล้าไปนิดเดียว เมานิดหน่อย กลับไปนอนที่ห้องแล้ว”
จ้าวหนานเซียวหยุดที่หน้าประตูห้องแล้วหันกลับไป
“ไม่เกี่ยวกับผมนะ!” สวีซู่รีบบอก “เขาอยากดื่มจนเมาเอง ผมเกลี้ยกล่อมแล้วก็ไม่ฟัง!” พูดพลางแขวนถุงไว้บนที่จับประตู
หญิงสาวลังเลอยู่ชั่วครู่ก็หยิบมาถือไว้แล้วพูดว่า “ขอบใจ” พูดจบก็ก้าวเข้าห้อง ขณะกำลังจะปิดประตูก็มีแขนข้างหนึ่งยื่นเข้ามายันประตูจากด้านหลัง
เธอหันไปอีกครั้งจึงพบกับสายตาสำรวจมองของเขา
“คุณเป็นไข้รึเปล่า”
หญิงสาวปฏิเสธทันควัน “เปล่า…”
เขายกมือขึ้น ทาบหลังมือกับหน้าผากของเธออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เธอจะทันได้โต้ตอบขัดขืน เขาก็ชักมือกลับไปแล้ว
“พอได้แล้ว ทำเป็นเข้มแข็งหาอะไร! ร้อนจนจะเป็นเตาไฟอยู่แล้ว!”
จ้าวหนานเซียวชะงักไป “ฉันกินยาแล้ว!”
“ยาอะไร ขอผมดูหน่อย”
เธอไม่สนใจเขา เดินเข้าไปวางถุงไว้บนโต๊ะตรงทางเดิน ก่อนจะหันไปเตรียมจะปิดประตู “ฉันอยากพักผ่อนแล้ว คุณทำตัว…”
จ้าวหนานเซียวนิ่งค้าง มองชายหนุ่มเดินเข้ามาอย่างตกใจ เขาหยิบแผงยาที่เมื่อเย็นเธอกินเหลือแล้วทิ้งไว้ที่โต๊ะตรงทางเดินขึ้นมา พลิกไปมาสองทีก่อนจะสะบัดมือทิ้งแผงยาลงไปในถังขยะข้างเท้า
ต่อให้เธออารมณ์ดีกว่านี้ เจอแบบนี้ก็คงทนไม่ไหว ซึ่งความจริงแล้วตอนนี้เธออารมณ์ไม่ค่อยดีนัก
“สวีซู่! คุณ…” เธอกำลังจะระเบิดอารมณ์ สวีซู่ก็หันกลับมา
“จ้าวหนานเซียว ที่คุณกินคือยาอะไร ยาหมดอายุไปแล้วตั้งครึ่งปี! ก่อนจะกินคุณไม่ดูเลยเหรอ!” น้ำเสียงเขายังค่อนข้างดุ
จ้าวหนานเซียวชะงัก เข้าไปเก็บยาออกมาจากถังขยะแล้วอ่านดู เป็นยาหมดอายุจริงๆ
ยาสำรองเหล่านี้เก็บไว้ในกระเป๋าเดินทางของเธอมาตลอดไม่ได้นำออกมา ตอนนี้เมื่อนึกดูก็เหมือนจะนานมากแล้ว
เธอทิ้งยากลับลงไปในถังขยะเงียบๆ
“จ้าวหนานเซียว คุณไม่ยอมกินข้าวดีๆ ป่วยแล้วยังจะปากแข็ง ยาหมดอายุแล้วก็ไม่รู้จักดู! ไม่ใช่เด็กสามขวบแล้วนะ หัดดูแลตัวเองให้ดียากนักหรือไง เลิกทำให้น้าเสิ่นเป็นห่วงสักทีได้ไหม”
จ้าวหนานเซียวประหลาดใจกับการได้คืบจะเอาศอกของเขา ตอนนี้ถึงกับกล้าใช้น้ำเสียงสั่งสอนแบบนี้คุยกับเธอ เธอกลับโมโหจนขำ
“พูดเหมือนว่าแม่ฉันสนิทกับคุณงั้นแหละ” เธอแดกดันไปประโยคหนึ่ง
“น้าเสิ่นทำไมจะไม่สนิทกับผมล่ะ เมื่อก่อนเธอไม่ใช่ว่าชอบชวนให้ผมไปกินข้าวที่บ้านเป็นประจำเหรอ”
จ้าวหนานเซียวไม่รู้ว่าเขาเปลี่ยนไปหลงตัวเองขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ว่าตอนนี้เธอไม่มีแรงจะปะทะฝีปากกับเขาแล้วจริงๆ
เดิมเธอปวดศีรษะ เจ็บคอ ทั่วทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าอ่อนปวกเปียก ไม่สบายเลยแม้สักส่วนเดียว ตอนนี้คงเพราะถูกทำให้โมโหจึงยิ่งวิงเวียนศีรษะ พลันหูอื้อ รู้สึกเหมือนกำลังจะล้มคว่ำลงไปบนพื้น
“คุณเป็นอะไร!” เขารีบยื่นมือออกมาประคองเธอ
หญิงสาวถอยไปด้านหลัง หลังพิงประตูแล้วหลับตาลง รอให้อาการหน้ามืดหูอื้อผ่านพ้นไปก่อน ค่อยลืมตาขึ้นแล้วพูดกับเขา “พอได้แล้ว ฉันจะพักผ่อน คุณไปได้แล้ว”
“ผมจะพาคุณไปตรวจที่โรงพยาบาลสักหน่อย”
“ไม่ต้อง” จ้าวหนานเซียวปฏิเสธ
“เชื่อไหมว่าผมจะโทรหาน้าเสิ่นเดี๋ยวนี้”
สวีซู่ล้วงโทรศัพท์ออกมา ก้มหน้าค้นหารายชื่อ ไม่นานก็หาเจอแล้วเงยหน้าขึ้นมา “อย่าคิดว่าผมไม่กล้าโทร”
จ้าวหนานเซียวยังคงพิงประตู สองมือกอดอก จนกระทั่งดวงตาคู่งามเลิกจ้องตรง เพียงเสไปมองทางอื่นและก็ไม่พูดอะไร ริมฝีปากผุดรอยยิ้มเย็นชา
สวีซู่จ้องเธออยู่สักพักแล้วก็ใจอ่อน
“ก็ได้…ก็ได้ ผมไม่กล้า โอเคไหม” เขาเก็บโทรศัพท์ “แต่ว่าคุณต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลจริงๆ นะ เมื่อกี้คุณเกือบจะเป็นลมแล้ว” เขาขยับเข้ามาอีกนิด เริ่มโน้มน้าวเธออย่างโอนอ่อนผ่อนตาม
จริงๆ แล้วเธอไม่อยากไปโรงพยาบาล ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วมองกระเป๋าเดินทาง “ฉันจำได้ว่าในกระเป๋ายังมียาสำรองอื่นอีก ขอฉันหาหน่อย น่าจะยังไม่หมดอายุ…”
“คุณพูดภาษาคนไม่รู้เรื่องเหรอ ตัวเองกินยาบ้าอะไรก็ไม่รู้ ถ้ากินแล้วตายจะไปหาใคร”
จ้าวหนานเซียวฮึดฮัด หันหน้าไปมองอีกฝ่าย
“จ้องผมทำไม ผมไม่มีอะไรให้จ้อง!”
ขุนเขาสายน้ำแปรเปลี่ยนง่าย แต่นิสัยยากจะเปลี่ยน หลายวันก่อนยังเกือบนึกว่าเขาเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
เธออยากจะทุบเขานัก
“ไปให้พ้น” จ้าวหนานเซียวกัดฟัน เค้นคำลอดไรฟันออกมาประโยคหนึ่ง
“จ้าวหนานเซียว หรือว่าต้องให้ผมอุ้มคุณไปคุณถึงจะฟัง”
ดูเหมือนชายหนุ่มจะหมดความอดทนแล้ว
ประตูของห้องฝั่งตรงข้ามแง้มออก ผู้ชายคนหนึ่งโผล่หัวออกมาครึ่งเดียวแล้วมองมาทางนี้
“คุณจะไปไม่ไป?” เขาเดินมาทางเธอ
จากที่เธอรู้จักเขา จ้าวหนานเซียวไม่กังขาเลยสักนิดว่าต่อไปเขาจะใช้ไม้แข็งจริงๆ
เธอไม่สบายมากจริงๆ ศีรษะหนักอึ้งเท้าเบาหวิว ใจเต้นแรงลมหายใจกระชั้น คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็มองมาไม่หยุด
เธอยอมแพ้แล้ว
“ออกไป ฉันจะเปลี่ยนเสื้อ” หญิงสาวกระชับเสื้อคลุม พูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง
สวีซู่มองลงไปใต้ลำคอของเธอแล้วหันเดินออกไป
ก่อนหน้านี้สวีซู่ดื่มเหล้า จึงไม่ขับรถคันที่ขับมาจากไซต์ก่อสร้าง เขาเรียกรถแท็กซี่ส่งจ้าวหนานเซียวไปโรงพยาบาลกลางที่สภาพดีที่สุดในท้องถิ่น เมื่อวัดอุณหภูมิก็พบว่าเธอมีไข้ 39.1 องศา ต่อมทอนซิลอักเสบ หมอเปิดดูเปลือกตาแล้วจับชีพจรให้เธอ
“ตอนกลางคืนตรวจเลือดไม่ได้ จ่ายยาลดไข้เพื่อบรรเทาความร้อนก่อนละกัน กลับไปแล้วก็ดื่มน้ำให้มาก ถ้าหากพรุ่งนี้อุณหภูมิร่างกายยังไม่ลดลง ค่อยกลับมาตรวจเลือด”
มีคนอุ้มเด็กเข้ามาให้รักษาฉุกเฉิน จ้าวหนานเซียวรีบลุกขึ้นยืนจากม้านั่งตรวจเพื่อหลีกทางให้
“โลหิตจาง! เลือดลมอ่อนแรง! ภูมิคุ้มกันต้องไม่ดีแน่ บอกให้แฟนคุณกินของที่บำรุงเลือดเป็นประจำให้มากหน่อย ดูแลเวลาทำงานและพักผ่อนให้สมดุล พักผ่อนเยอะๆ” หมอพูดอีกประโยค
สวีซู่มองหญิงสาวที่เดินไปถึงประตูทางออกแล้วก็รับใบสั่งยาจากหมอ พูดขอบคุณคำหนึ่ง รับยาเสร็จก็ให้เธอกินยา เมื่อกลับไปถึงโรงแรมก็ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว
เมื่อเข้ามาในห้อง เขาก็ถอดเสื้อนอกแล้วไปต้มน้ำ ล้างแก้วน้ำและผลไม้ที่ซื้อมาระหว่างทางกลับ จ้าวหนานเซียวขดตัวพิงหัวเตียง ในหูได้ยินแต่เสียงปึงๆ ปังๆ เป็นเสียงที่เขาทำทั้งนั้น
“คำพูดของหมอคุณได้ยินไหม คืนตั๋วรถไฟรอบพรุ่งนี้เช้าซะ! ดีขึ้นแล้วค่อยไป”
จ้าวหนานเซียวรับคำอืมอย่างไร้เรี่ยวแรง
“เมื่อเย็นคุณไม่ได้กินอะไร ของที่ห่อกลับมาก่อนหน้านี้ก็เย็นแล้ว กินไม่ได้แล้ว คุณอยากกินอะไร เดี๋ยวผมไปซื้อให้”
“ไม่ต้อง ฉันกินไม่ลง ถ้าอยากกินอะไรก็ยังมีผลไม้ไม่ใช่เหรอ”
จ้าวหนานเซียวคิดในใจว่าทำไมเขายังไม่ไป เธอรู้สึกรำคาญจึงฝืนกำลังขึ้นมาตอบโต้
น้ำที่ต้มอยู่ในกาเดือดแล้ว เขาเทน้ำหนึ่งแก้ว ถือมาวางไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียง กำชับเธอว่ารอให้เย็นลงค่อยดื่ม ระวังลวกปาก อย่างกับเธอเป็นเด็กที่ไม่รู้จักดูแลตัวเองจริงๆ
ใต้แสงไฟ ใบหน้าของหญิงสาวซีดขาวราวหิมะ ไม่เห็นแม้แต่สีเลือด ขนาดผิวบนคอยังมองเห็นเส้นเลือดใหญ่สีเขียวอ่อนได้รางๆ คางทั้งผอมทั้งแหลมอย่างเห็นได้ชัด ขนตาหลุบลง มองแล้วคนกลับดูอ่อนแอกว่าเวลาปกติอยู่หลายส่วน
เขามองดูอยู่ข้างเตียง ยื่นมือออกมาเหมือนคิดอยากจะวัดอุณหภูมิบนหน้าผากเธออีก หญิงสาวหันหน้าหนี หลบพ้นแล้วก็พูดงึมงำว่า “เมื่อเย็นรบกวนคุณแล้ว นี่ก็ดึกมากแล้ว คุณกลับไปพักผ่อนที่ห้องเถอะ”
สวีซู่มือค้างอยู่กลางอากาศไปชั่วขณะ ตอนนี้เองโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
เขารับสาย
โทรศัพท์โทรมาจากไซต์ก่อสร้างสะพานใหญ่ชิงหลิ่ง บอกว่าขณะที่ก่อสร้างติดต่อกันมาหลายคืน รถเครนทำงานไม่ระวัง ทำให้อุปกรณ์ของเสาไฟฟ้าแรงสูงที่อยู่บริเวณใกล้เคียงเสียหาย ส่งผลให้ในหมู่บ้านไฟดับ ได้ติดต่อสถานีไฟฟ้าให้มาซ่อมแซมโดยด่วนแล้ว หัวหน้าเวรที่อยู่ในกะนั้นก็ไปขอโทษคนในหมู่บ้านแล้ว แต่ว่าชาวบ้านยังไม่พอใจ รวมกลุ่มกันบุกเข้ามาก่อเรื่องในไซต์ก่อสร้าง เรียกร้องค่าชดเชยความเสียหาย หัวหน้าเวรโทรติดต่อหยางผิงฝูไม่ได้ ได้แต่โทรมาหาเขา ถามว่าจะทำอย่างไร
“ควบคุมสถานการณ์ไว้ หลีกเลี่ยงการปะทะใดๆ กับพวกเขา ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้!”
สวีซู่พูดจบแล้วก็รีบโทรเบอร์มือถือของหยางผิงฝู พบว่าโทรไม่ติดจริงๆ
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” จ้าวหนานเซียวลุกนั่งขึ้นมาถามเขา
ชายหนุ่มอธิบายให้เธอฟังแล้วบอกว่า “ผมกลับไปดูสถานการณ์หน่อย คุณพักผ่อนไป อย่าลืมล็อกประตูนะ!”
เขาพูดจบก็หยิบเสื้อนอกที่เมื่อครู่เพิ่งถอดออกมา เดินออกไปจากห้องแล้วปิดประตู
ในที่สุดโลกก็สงบลงเสียที
จ้าวหนานเซียวถอนใจโล่งอก หันหน้าไปมองผลไม้บนโต๊ะข้างหัวเตียงที่เขาล้างให้เธอเมื่อครู่นี้ พลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงรีบลงมาจากเตียงแล้ววิ่งไปที่ประตูทางออก เปิดประตูแล้วแทรกตัวออกไปตะโกนใส่เงาหลังที่กำลังจากไปอย่างรวดเร็วบนทางเดิน “เรียกคนขับรถให้! ไม่มีคนขับรถให้ก็เรียกแท็กซี่ไป! อย่าขับรถเองนะ!”
สวีซู่หยุดชะงักแล้วหันมามองเธอ สีหน้าดูแปลกใจ
ชั่วครู่ให้หลังเขาก็ฉีกยิ้ม ดวงตาเป็นประกาย ไม่พูดอะไร เพียงโบกมือให้เธอ
ประตูของห้องฝั่งตรงข้ามมีเสียงไอลอดออกมา จ้าวหนานเซียวสงสัยว่าที่ตนตะโกนเมื่อครู่นี้จะทำให้คนอื่นตกใจ อย่างไรเสียเวลาก็ดึกมากแล้ว เธอจึงรีบกลับเข้าห้อง ปิดประตูล็อกกุญแจ ปีนกลับขึ้นไปบนเตียง ขณะที่กำลังจะเอนลงนอนก็ได้ยินเสียงกริ่งประตูดังขึ้นอีก
สัญชาตญาณบอกเธอว่าน่าจะเป็นสวีซู่ เธอจึงลุกไปเปิดประตูอีกครั้ง
ตามคาด เขาย้อนกลับมา
จ้าวหนานเซียวถามอย่างสงสัย “คุณเป็นอะไร”
แรกเริ่มเขาไม่พูดอะไร แค่ก้มมองดูเธอ
แสงไฟบนทางเดินด้านหลังค่อนข้างมืด สายตาของเขาก็มืดมัวไม่ชัดเจน
“คุณมองฉันอย่างนี้ทำไม”
จ้าวหนานเซียวลูบคลำใบหน้าของตนอย่างลืมตัว
“จ้าวหนานเซียว” เขาพลันเอ่ย “คุณรู้ไหมว่าตอนนี้คุณเปลี่ยนไปขนาดไหน ตายด้านไร้ชีวิตชีวา! เยี่ยจือโจวดีขนาดนั้นเลยเหรอ ทำให้คุณยังออกมาไม่ได้จนถึงตอนนี้” เขาลดเสียงลง พูดเอ่ยทีละคำ
จ้าวหนานเซียวขนตากระพือเล็กน้อย มองดูเขา สีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเย็นชา
เมื่อพูดออกไปแล้ว สวีซู่เหมือนจะเสียใจ เห็นเธอตอบรับด้วยการเงียบแบบนี้ ใบหน้าก็ปรากฏแววว้าวุ่น
“ผมมันปากมาก! ไม่ใช่เรื่องของผมเลย ผมรู้ ครั้งนี้คุณไม่ต้องบอก ผมจะไปแล้ว ผมออกไปเองละกันโอเคไหม”
เขายกสองมือขึ้นทำท่าขอขมา ถอยไปข้างหลังหลายก้าว สุดท้ายก็มองเธอทีหนึ่งแล้วหันจากไปด้วยฝีเท้าอันรวดเร็ว
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากหาที่นั่งบนรถไฟได้และวางกระเป๋าเดินทางแล้ว โทรศัพท์ของเฉินซงหนานก็ดังขึ้น
เขาหยิบออกมาดูสายที่โทรเข้าก็รับด้วยความดีใจ “พี่ เมื่อวานทำไมถึงกลับไปอีกแล้วล่ะ อ้อ เกิดเรื่องกะทันหัน แก้ไขเรียบร้อยรึยัง แก้ไขแล้วก็ดี! ตอนนี้ผมกับวิศวกรจ้าวอยู่บนรถไฟ อีกสักพักรถก็จะออกแล้ว! พวกเราจะนั่งเครื่องบินรอบบ่ายกลับปักกิ่ง ตอนเย็นก็ถึง ขอบคุณพี่ที่เมื่อวานเลี้ยงเหล้าผม! ครั้งหน้าพี่มาปักกิ่งผมจะเลี้ยงเหล้าพี่ อะไรนะ อ้อ…” เขามองจ้าวหนานเซียวที่นั่งอยู่ด้านข้างในตำแหน่งข้างหน้าต่างแล้วพยักหน้าถี่รัว “ได้ๆ ผมรู้แล้ว! พี่วางใจได้!”
คุยโทรศัพท์เสร็จแล้วเขาก็บอกจ้าวหนานเซียวว่า “วิศวกรจ้าว เมื่อกี้นี้พี่…ก็คือวิศวกรสวี เขานึกว่าเรายังอยู่ในโรงแรมน่ะ เดิมคิดว่าจะมาหาที่อำเภอในตอนนี้ พอรู้ว่าเราจะไปแล้วก็ถามว่าคุณไข้ลดรึยัง เมื่อคืนคุณเป็นไข้หรือครับ ดีขึ้นรึยัง” สีหน้าเขาดูเป็นห่วง
จ้าวหนานเซียวยิ้มน้อยๆ และพยักหน้า “ดีขึ้นมากแล้ว เมื่อเช้าก่อนออกมาก็กินยาแล้ว ไม่เป็นไร”
“ผมนี่สะเพร่าจังเลย! คุณป่วยแล้วยังไม่รู้!” เขาโทษตัวเองไม่หยุด “วิศวกรจ้าวคุณนั่งอยู่นี่นะ ผมจะไปเอาน้ำอุ่นมาให้”
เขาหยิบแก้วของจ้าวหนานเซียวไปเติมน้ำต้ม
ระหว่างนั้นมือถือก็ดังขึ้นอีกครั้ง เป็นของจ้าวหนานเซียว
เธอรับโทรศัพท์ “ผู้จัดการหยาง มีเรื่องอะไรคะ”
“คุณจ้าว วันนั้นผมไม่ควรปล่อยงูเข้าไปในที่พักของคุณ…ผมผิดไปแล้ว…เมื่อคืนผมก็โดนวิศวกรสวีทุบตี มือถือแตกหมดเลย…ผมสมควรโดนแล้ว จะตีผมให้ตายก็สมควร…คุณจ้าว คุณเป็นผู้ใหญ่ใจดี อย่าเอาเรื่องผมเลยนะ ต่อไปผมจะไม่ทำเรื่องแบบนี้อีกแล้วจริงๆ ครับ…”
จ้าวหนานเซียวตะลึงงัน หยุดไปครู่หนึ่งก็พูดว่า “ทุกคนต่างทำตามกฎ แบบนี้ดีที่สุด”
“ใช่ๆ ต้องขอบคุณที่คุณจ้าวไม่ถือโทษ แล้วก็…ถ้าหากวันไหนคุณสะดวก…ช่วยบอกกับวิศวกรสวีหน่อยได้ไหมว่าคุณไม่ถือสาแล้ว…” ผู้จัดการหยางพูดพึมพำอึกอัก
จ้าวหนานเซียวบอกเขา “ไม่เป็นไรแล้วค่ะ” ก่อนจะวางสาย
รถไฟเคลื่อนช้าๆ แล่นออกจากสถานี ท่ามกลางเสียงฉึกฉักๆ ด้วยความเร็วสม่ำเสมอของล้อรถที่บดกับรางเหล็ก มุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
จ้าวหนานเซียวพิงหน้าต่างรถ มองดูต้นไม้ที่เปลี่ยนไปและป่าไม้ในที่ไกลนอกหน้าต่างถอยหลังไปเรื่อยๆ พลางใจลอย
เมื่อคืนหลังจากนั้นเธอฝัน ฝันเห็นเยี่ยจือโจวอดีตคู่หมั้นของเธอ และก็ฝันเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
ผิวของเด็กหนุ่มซีดขาว สายตาส่อแววร้ายกาจ ไว้ผมทรงโมฮอว์กสีทองสะดุดตา ปรากฏกายเข้ามาในฤดูร้อนตอนที่เธออายุสิบห้าปี
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 6 ธ.ค. 64 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.