ก่อนหน้านี้ได้เป็นผู้ช่วยสอนของเชฟ แต่คราวนี้เป็นผู้ช่วยมิสเตอร์เอ็มโอเอฟก็จะยิ่งปล่อยให้ผิดพลาดไม่ได้
ในฐานะที่เป็นผู้ช่วยสอนของเชฟ หน้าที่หลักๆ เวลาเข้าสอนคือต้องจัดเตรียมสิ่งของที่จำเป็นต้องใช้มาไว้ให้พวกเขา ส่วนใหญ่ก็เป็นของพื้นฐานทั่วไปที่ใช้ประจำ ปกติแล้วฉันจะคิดรายการสิ่งของที่ต้องเตรียมเอาไว้ล่วงหน้า แต่เมื่อเป็นผู้ช่วยมิสเตอร์เอ็มโอเอฟก็อาจจะมีบางอย่างที่แตกต่างกันออกไป เขาอาจต้องการความช่วยเหลือบางอย่างหรือของบางสิ่งที่ฉันไม่ได้เตรียมเอาไว้ก่อน
เคราะห์ดีที่การฟังภาษาฝรั่งเศสระหว่างทางไปทำงานไม่ได้สูญเปล่าเลยเสียทีเดียว ประกอบกับตอนเรียนมหาวิทยาลัยก็เคยเรียนภาษาญี่ปุ่นมาก่อนจึงรู้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเรียนภาษาคืออย่ากลัวพูดผิด ดังนั้นฉันจึงสื่อสารกับมิสเตอร์เอ็มโอเอฟได้ราบรื่นขึ้นเรื่อยๆ อย่างน้อยพอฟังออกก็ไร้แรงกดดัน
ใช่แล้ว…ฉันเป็นมือสมัครเล่นสำหรับภาษาฝรั่งเศส อย่างน้อยๆ ก่อนที่ฉันจะเซ็นสัญญาเป็นผู้ช่วยสอน ภาษาฝรั่งเศสที่ฉันพูดคล่องที่สุดก็คือ ‘Je ne sais pas. (ฉันไม่รู้)’ ‘Je ne comprends pas. (ฉันไม่เข้าใจ)’ และ ‘Je ne parle pas le français. (ฉันพูดภาษาฝรั่งเศสไม่เป็น)’ แค่สามประโยคนี้
ตอนเตรียมตัวก่อนจะออกจากประเทศก็เคยเรียนจำพวกรูปประโยค สัทศาสตร์ และการออกเสียงในภาษาฝรั่งเศสอย่างง่ายๆ มาก่อน แต่ทั้งหมดก็อาศัยการเรียนด้วยตัวเอง แล้วทำไมถึงไม่เรียนให้เป็นก่อนค่อยมาน่ะเหรอ…เพราะไม่ได้คิดจะอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสในระยะยาวน่ะสิ พอเรียนจบแล้วก็จะกลับบ้าน ฉันน่ะติดบ้านมากๆ เลยนะ
แล้วตอนนี้? ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดแล้ว เพราะฉันได้พบกับมิสเตอร์เอ็มโอเอฟไงล่ะ!
จำได้ว่าเมื่อก่อนนี้เคยอ่านบทความหนึ่งในหนังสือพิมพ์ พวกเขาบอกไว้ว่าจากสถิติซึ่งไม่ได้มาจากวิทยาศาสตร์ ในชีวิตหนึ่งของมนุษย์เราจะสามารถทำความรู้จักกับคนได้ประมาณสามพันคน และเมื่อตัดกลุ่มคนที่รักเพศเดียวกันออกไปครึ่งหนึ่ง ก็จะเหลือกลุ่มคนในขอบเขตที่เราสามารถเลือกได้ ซึ่งคนเราจะสามารถตกหลุมรักเพศตรงข้ามกับตัวเองได้เป็นอัตราเจ็ดต่อหนึ่งพัน
ถ้าอย่างนั้นการได้ไปอยู่ที่บ้านเมืองอื่น อัตราที่จะชอบชาวต่างชาติจะมากแค่ไหนกัน
อัตราที่เราจะได้รู้จักกันคือสามพันต่อเจ็ดพันล้าน หรือก็คือสี่ต่อสิบล้าน
ต่อจากนั้นฉันเองก็ไม่อยากคำนวณแล้ว ฉันรู้เพียงว่าการจะได้เจอเขาไม่ใช่เรื่องง่ายบนโลกอันไร้ที่สิ้นสุด ถ้าหากปล่อยโอกาสนี้ไปแล้วกลับประเทศ ฉันจะต้องรู้สึกเสียใจไปตลอดชีวิตแน่
ในเมื่อเลือกแล้วว่าจะอยู่ที่นี่ต่อฉันก็จะต้องเรียนรู้ที่จะพูดภาษาของเขาให้เป็น และเพื่อที่จะได้ทำงานร่วมกับเขาได้ดียิ่งขึ้น ก่อนที่จะทำงานหนึ่งอาทิตย์ ฉันจึงท่องจำคำศัพท์ในห้องครัวเท่าที่สามารถหามาได้ รวมถึงชื่ออุปกรณ์ต่างๆ กับชื่อของวัตถุดิบที่ใช้บ่อยๆ จะได้ฟังเขารู้เรื่อง และฉันยังดาวน์โหลดไกด์การออกเสียงที่ถูกต้องจากดิกชันนารีเอาไว้ฟังทุกวัน
เมื่อเจอคำศัพท์ที่ไม่เข้าใจ ฉันจะท่องจำในใจซ้ำๆ ลองสะกดคำแล้วเขียนออกมา รอจนกระทั่งมีเวลาแล้วค่อยเปิดพจนานุกรม จากนั้นก็จำไว้
ทำไมฉันถึงได้พยายามขนาดนี้น่ะเหรอ…ก็เพราะว่ารักแน่นอนอยู่แล้วล่ะ
“ซูอี้รีบมาเร็วเข้า!”
“มาแล้วค่ะ มาแล้ว!” จริงๆ เลยเชียว! พอต้องมาออกแรงขนาดนี้ก็ทำเอาอาการปวดท้องประจำเดือนกลายเป็นเรื่องเล็กๆ ไปเลย
ตอนที่ลงไปหยิบลิ้นจี่ที่ชั้นล่างฉันก็ฉวยโอกาสหยิบน้ำแร่ขึ้นมาด้วยสองขวด พอเดินมาถึงหน้าประตูห้องเตรียมตัวก็ได้ยินมิสเตอร์เอ็มโอเอฟกำลังพูดกับเสี่ยวเยี่ยนว่า Fleur de sel อะไรสักอย่าง
“ซูอี้!” เสี่ยวเยี่ยนเห็นฉันก็ราวกับเห็นดวงดาวผู้ช่วยเหลืออย่างไรอย่างนั้น “เธอรู้หรือเปล่าว่าที่ไหนมี Fleur de sel” สายตาของเสี่ยวเยี่ยนล่องลอยไปหามิสเตอร์เอ็มโอเอฟ “เชฟบอกว่าอยากได้น่ะ”
“จะเอา Fleur de sel?”
มันก็อยู่ในตู้ไม่ใช่เหรอ วันศุกร์เมื่ออาทิตย์ก่อนมีของเข้ามานะ พอฉันเปิดตู้ได้ก็หยิบส่งให้มิสเตอร์เอ็มโอเอฟ เขารับมันไปแล้วมองเสี่ยวเยี่ยนด้วยสายตาเย็นชา “คุณไม่รู้เหรอว่ามันอยู่ในตู้น่ะ”
รอจนกระทั่งมิสเตอร์เอ็มโอเอฟเดินออกไปแล้ว ฉันก็เอ่ยขึ้นมาเบาๆ “เขากินชนวนระเบิดเข้าไปหรือไงนะ”
เสี่ยวเยี่ยนโบกไม้โบกมือให้ “เขาก็เป็นอย่างนี้แหละ เป็นคนแปลกๆ ไม่ต้องไปสนใจหรอก”
ไม่สิ ฉันรู้สึกว่ามีตรงไหนไม่ถูกต้องสักอย่าง…ทำไมมิสเตอร์เอ็มโอเอฟจากปากของคนอื่นๆ กับมิสเตอร์เอ็มโอเอฟในสายตาของฉันไม่เหมือนกันเลยสักนิดล่ะ
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน มีนาคม 65)