X
    Categories: First Frost วันนี้ วันไหน ยังไงก็เธอWith Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน First Frost วันนี้ วันไหน ยังไงก็เธอ เล่ม 3 บทที่ 64

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 64 ไม่คิดจะทำอะไรอย่างอื่นแล้วเหรอ

แก๊งเพื่อนเชอซิงเต๋อต่างสังเกตเห็นถึงความไม่ชอบมาพากล เลยมองหน้ากันเลิ่กลั่ก อาจเป็นเพราะพวกเขารอมานานแล้ว หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะรู้สึกว่าสถานการณ์แบบนี้ช่างน่าอับอายเหลือเกิน ผู้ชายร่างผอมที่นั่งข้างเขาจึงอดถามขึ้นมาไม่ได้

“พี่เต๋อ นี่มันเกิดอะไรขึ้น”

พอทุกคนได้ยินคำพูดนี้ คนที่เหลือก็ต่างแย่งกันต่อว่าต่อขาน

“ที่พวกเรามาก็เพราะพี่บอกเองนะว่าจะเลี้ยง”

“ไม่มีเงินก็อย่ามาโม้สิเว้ย! ดูท่าเขาสิ เขาทำเหมือนรู้จักพี่ที่ไหนกัน!”

“ช่างเถอะ พวกเรากลับ”

เชอซิงเต๋อรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อย เลยยิ้มเจื่อนๆ “ไม่ใช่อย่างนั้น…” พอเห็นคนอื่นลุกขึ้นเตรียมจะออกจากร้าน เขาก็เลยร้อนใจขึ้นมา มองไปทางซังเหยียนอีกครั้ง “จะแจ้งตำรวจหาพระแสงอะไรกัน! เงินแค่นี้เองทำเป็นขี้เหนียวไปได้ คนอย่างนายยังอยากจะมาคบกับหลานสาวฉัน?!”

ซังเหยียนคร้านจะไปสนใจเขา ถามอวี๋จัวอีกทีว่า “แจ้งตำรวจหรือยัง”

อวี๋จัวรีบหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงพอดี “จะ…จะแจ้งเดี๋ยวนี้ล่ะครับ”

“เดี๋ยว!” เชอซิงเต๋อหน้าเจื่อนลงไปเรื่อยๆ ไม่พูดจาประจบสอพลอเหมือนเมื่อครู่ คราวนี้กลับพูดไปด่าไป “มึงประสาทปะ เงินแค่ไม่กี่พันหยวน กูมีจ่ายโว้ย…”

อวี๋จัวก็หยุดชะงักตามไปด้วย

ซังเหยียนไม่พูดไม่จาอะไร ชำเลืองมองเขาอย่างดูแคลน

“เดี๋ยวกูจ่ายเอง! แต่ตอนนี้กูยังอยากกินเหล้าต่อ แล้วก็จะกินที่นี่ด้วย!” เชอซิงเต๋อรู้สึกขายหน้าอย่างเห็นได้ชัดจนกลายเป็นความเดือดดาล “มึงแห่พาคนตั้งมากตั้งมายมารบกวนกูกับเพื่อนเพื่ออะไรกัน”

คำพูดเขาไม่ได้ยั่วโทสะซังเหยียนแต่อย่างใด ซังเหยียนสีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย “ขอโทษด้วยครับ ผมคงเข้าใจผิดไปเอง งั้นขอให้คุณดื่มอย่างมีความสุขนะครับ” พูดจบก็กระซิบบอกอวี๋จัวว่า “ให้ต้าจวินคอยจับตาดูไว้”

ซังเหยียนหมุนตัวเดินจากไปทันที แล้วไปนั่งลงที่หน้าเคาน์เตอร์บาร์ เหอหมิงป๋อก็เทเหล้าวางไว้ตรงหน้าเขาตามเคย แล้วมองไปทางเชอซิงเต๋อพร้อมถือโอกาสถาม

“พี่ เกิดอะไรขึ้น คนนี้อีกแล้วเหรอครับ”

ซังเหยียนไม่ได้กระดกเหล้าที่อยู่ตรงหน้า เขาเหลือบมองมือถือ เอ่ยอย่างไม่ทุกข์ร้อน “ก็แค่มาเอะอะโวยวายน่ะ”

เหอหมิงป๋อถามขึ้นอีก “เขาไม่ใช่น้าของพี่สะใภ้เหรอครับ”

“…” ซังเหยียนช้อนตาขึ้น เอ่ยเนิบๆ “พี่สะใภ้นายไม่รู้จัก”

ก่อนเวินอี่ฝานจะออกจากออฟฟิศ ฟู่จ้วงก็กลับมาจากการไปสัมภาษณ์นอกสถานที่พอดี

เขาหมุนควงขวดเครื่องดื่มที่อยู่ในมือไปเรื่อย พอเห็นเวินอี่ฝานก็เดินเข้ามาคุยกับเธออย่างเคย

“พี่อี่ฝาน เลิกงานแล้วเหรอ พี่ซังเหยียนมารับพี่หรือเปล่าครับ”

เวินอี่ฝานตอบยิ้มๆ “อืม”

“มู่เฉิงอวิ่นเล่าให้ผมฟังว่าผู้ชายคนนั้นที่คอยมาก่อกวนพี่น่ากลัวจริงๆ นะครับ” ฟู่จ้วงพูดน้ำไหลไฟดับ “วันหลังถ้าพี่เลิกงานแล้วก็ระวังตัวหน่อยนะ ถ้าพี่ซังเหยียนไม่ว่างมารับพี่ พี่ก็บอกผมได้นะ เดี๋ยวผมไปส่งเองครับ”

เวินอี่ฝานลุกขึ้นยืน “ไม่มีอะไรหรอก”

ฟู่จ้วงทำท่าเหมือนเป็นเรื่องใหญ่โต “จะไม่มีอะไรได้ยังไงครับ! ช่วงนี้เหมือนผมเห็นเขาอยู่หลายครั้งนะ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าใช่คนเดียวกันหรือเปล่า ผมถาม รปภ. ที่ชั้นล่าง ทุกครั้งที่เขามาก็จะทำเหมือนเดินผ่านมามองแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้อยู่นาน”

พอได้ฟัง เวินอี่ฝานก็ชะงักฝีเท้าลงโดยพลัน

ท่าทางของฟู่จ้วงทั้งกังวลทั้งเป็นห่วง “พี่ พี่เป็นคนสวยนะ แล้วก็ชอบทำงานจนดึกกว่าจะยอมเลิกงาน แถวนี้ยังเป็นถนนที่มีผับบาร์เต็มไปหมด พี่เองก็ต้องระวังไว้บ้างนะครับ”

เวินอี่ฝานเม้มปากน้อยๆ สีหน้ากลับเป็นปกติโดยเร็ว เธอยิ้มอีกครั้ง

“พี่รู้จ้ะ”

 

พอออกมาจากออฟฟิศ เวินอี่ฝานก็เห็นรถของซังเหยียนจอดอยู่ในที่ประจำ เธอเดินขึ้นไปนั่งข้างคนขับแล้วหันไปมองชายหนุ่ม ได้กลิ่นเหล้าจางๆ จากตัวเขาเลยกะพริบตาทีหนึ่ง

“นายกินเหล้า?”

ซังเหยียนออกรถทันที “เปล่า”

“นายเพิ่งไปเจอพวกซูเฮ่าอันมาเหรอ เดี๋ยวรออีกสักช่วงนึงนายก็ไม่ต้องมารับฉันแล้วล่ะ” เวินอี่ฝานคำนวณเงินเก็บในใจสักครู่แล้วเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ฉันดูโบรชัวร์รถมาแล้ว กะว่าจะซื้อรถสักคัน พอถึงตอนนั้นก็จะได้ขับรถมาทำงานและกลับบ้านเอง จะได้ทำงานได้อย่างคล่องตัว”

ซังเหยียนเหลือบมองเธอ “กะจะไปเลือกเมื่อไหร่ล่ะ”

เวินอี่ฝานตอบด้วยเสียงนุ่มนวล “รอไว้เป็นวันที่ฉันหยุดงานแล้วกัน”

“ได้ พอถึงตอนนั้นฉันจะไปเป็นเพื่อนเธอ”

เวินอี่ฝานยิ้มๆ “โอเค”

แล้วภายในรถก็ดำดิ่งเข้าสู่ความเงียบ

ขับมาได้ช่วงหนึ่ง จู่ๆ ซังเหยียนก็ถามขึ้น “เวินซวงเจี้ยง ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าช่วงนี้อารมณ์เธอดูแปลกๆ ไป”

เวินอี่ฝานกำลังเหม่อลอย พอได้ยินที่เขาพูดก็ดึงสติกลับมาทันใด เธอหันไปมองซังเหยียน ร้องอ้าช้าไปหนึ่งจังหวะก่อนจะอธิบายเบาๆ

“ช่วงนี้ที่สถานีโทรทัศน์มีงานเข้ามาเยอะไปหน่อยน่ะ รอไปอีกสักพัก พอฉันปรับตัวได้ก็คงจะดีขึ้น”

ซังเหยียนคล้ายชวนคุยไปเรื่อย “เธอไม่แฮปปี้กับงานนี้เหรอ”

“เปล่านี่ แต่มีใครที่ไหนชอบทำงานบ้างล่ะ” เวินอี่ฝานก็ไม่รู้ว่าตัวเองแสดงความรู้สึกออกมาชัดเจนไปหรือเปล่า เธอกลัวว่าจะไปกระทบถึงความรู้สึกเขา เลยยิ้มมุมปากขึ้นมาทันที “ฉันกลับไปนอนตื่นนึงก็หายแล้วล่ะ”

ซังเหยียนเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง แล้วไม่ได้ซักไซ้ถามอะไรต่อ

“อืม งั้นเธอก็กลับไปนอนเร็วหน่อยแล้วกัน”

เรื่องที่เชอซิงเต๋อมาหาเธอที่สถานีโทรทัศน์อยู่หลายครั้งคล้ายเป็นระเบิดที่ยังไม่ได้ตั้งเวลาไว้ ถึงแม้เธอจะไม่อยากไปสนใจมันก็ตาม แต่เหตุการณ์นี้ทำให้เธอหลับยากเหมือนช่วงก่อนหน้านี้

มันยากที่จะเอ่ยปาก อีกทั้งเธอก็ไม่อยากพูดถึงมันด้วย

เวินอี่ฝานคิดว่าขอเพียงชีวิตเป็นดังเช่นที่ผ่านมาก็พอแล้ว

เธอเพียงแต่อยากไปให้ไกล ไม่อยากสุงสิงกับเรื่องพวกนี้อีก ไม่อยากเจอพวกเขา อย่างไรเสียชีวิตนี้ก็ยังคงเป็นของเธอ ไม่มีใครจะมาส่งผลกระทบอะไรต่อเธอได้

พวกเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับชีวิตเธอเลย

เวินอี่ฝานคิดแบบนี้มาตลอดตั้งแต่อดีตจนกระทั่งถึงตอนนี้

ทว่าข้อความจากจ้าวหยวนตงได้ทำลายความคิดเธอลงอย่างราบคาบในค่ำคืนหนึ่ง

ขณะที่เวินอี่ฝานเห็นข้อความ เดิมทีก็ไม่คิดจะคลิกเข้าไปอ่าน แต่พอเหลือบเห็นคำว่า ‘ผับ’ เธอก็สัมผัสได้ถึงลางร้ายขึ้นมาอย่างประหลาด เธอไม่รอให้ตัวเองใคร่ครวญแต่อย่างใด กดคลิกเข้าไปทันที

 

จ้าวหยวนตง : อาเจี้ยง ลูกคบกับแฟนที่เปิดผับเหรอ แต่ทำไมช่วงก่อนแม่ได้ยินจยาจยาเล่าว่าลูกกำลังคบกับผู้จัดการของน้องอยู่ล่ะ วันนี้ป้าใหญ่โทรมาหาแม่ ช่วงก่อนน้องชายเธอไปที่ผับของแฟนลูก บอกว่าแค่อยากจะแนะนำแฟนลูกให้พวกเพื่อนๆ เขารู้จัก แต่แฟนลูกไม่มีมารยาทเอาซะเลย แล้วยังเก็บค่าเหล้าซะแพง อาเจี้ยง ถ้าลูกจะมีแฟน ต้องดูแลตัวเองให้ดีๆ นะ

 

เวินอี่ฝานจ้องข้อความนี้อยู่นาน สมองเบลอไปบ้าง เธอไม่รู้ว่าเชอเยี่ยนฉินกุเรื่องนี้ขึ้นมาเองหรือว่ามันเป็นเรื่องจริง ในเมื่อซังเหยียนไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้เธอฟังเลย

ผ่านไปครู่ใหญ่เวินอี่ฝานก็วางมือถือลงแล้วลุกขึ้นเดินออกไปจากห้อง

เวลานี้ซังเหยียนเพิ่งอาบน้ำเสร็จ กำลังนั่งเล่นเกมในมือถืออยู่บนโซฟา ผมเผ้ายังคงเปียกชื้น ผิวเขาดูซีดขาวอย่างเห็นได้ชัดภายใต้แสงไฟ สีหน้าเกียจคร้านและเอื่อยเฉื่อย คล้ายว่าเล่นเกมไปงั้นๆ เพื่อฆ่าเวลา

เวินอี่ฝานเดินไปนั่งลงข้างเขา

ซังเหยียนช้อนตาขึ้น “นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ทำไมยังไม่นอนอีก”

“ซังเหยียน” เวินอี่ฝานมองเขา พยายามควบคุมน้ำเสียงให้สงบลงบ้าง “ได้ยินว่าผู้ชายคนนั้นที่เรียกตัวเองว่าเป็นน้าของฉันเคยไปที่ผับนายใช่มั้ย”

มือของซังเหยียนชะงักลงทันที “ใครบอกเธอ”

“…”

เขาพูดมาเช่นนี้ก็เท่ากับยอมรับว่าเป็นความจริง

ในชั่วขณะนี้ความรู้สึกอับอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนีแทบจะกลืนกินเธอลงไป ถึงขนาดที่เธอไม่ต้องถามอะไรเขาอีก มิหนำซ้ำยังเดาได้ว่าหลังจากเชอซิงเต๋อไปถึงผับแล้วจะทำอะไรลงไปบ้าง

ก็คงจะไปขอเงินจากเขา โดยอ้างว่าเป็นน้าของเธอ หรือไม่ก็โวยวายไม่ยอมจ่ายเงิน ทำให้ซังเหยียนต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอับอายท่ามกลางสายตาลูกค้าคนอื่นๆ

แต่เดิมเขาก็ไม่ควรมาพบเจอเรื่องแบบนี้

ทำไมเขาต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย

ทำไมเขาต้องมาเจอเรื่องแบบนี้เพราะเธอ

ลำคอของเวินอี่ฝานพลันตีบตัน เธอรู้สึกจนคำพูดแล้วหลุบตาลง จิกเสื้อผ้าตัวเองโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะโพล่งออกไปเบาๆ

“…ขอโทษด้วยนะ ฉันจะไปคุยกับพวกเขาเอง”

เมื่อซังเหยียนสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของเธอ เขาก็ขมวดคิ้ว โยนมือถือไปข้างๆ ทันที หันหน้ามามองสีหน้าเธอแล้วเอ่ยอย่างลังเลและงุนงง

“เวินซวงเจี้ยง เธอจะมาขอโทษอะไรกัน”

เวินอี่ฝานสบตาเขาด้วยสีหน้าอึ้งๆ

“ลูกค้าที่มาผับ เดิมทีก็มีทั้งคนดีคนเลวปะปนกันไป เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแทบทุกวัน” ยากนักที่ซังเหยียนจะแสดงความใจเย็นออกมาบ้าง เขาอธิบายอย่างจริงจัง “ฉันไม่เคยใส่ใจกับเรื่องบ้าบอพวกนี้เลย เธอเข้าใจมั้ย”

“…”

ระหว่างที่ใจลอย เวินอี่ฝานรู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปสู่ช่วงหลังจากการถูกเชิญผู้ปกครอง คืนนั้นลุงของเธอเวินเหลียงเสียนพาเธอกลับบ้าน คำด่าว่าของเชอเยี่ยนฉินและเวินเหลียงเสียนก็เข้าครอบงำความคิดเธออีกครั้ง วนเวียนไปมาอยู่ข้างหูเธอไม่ขาด

‘ซวงเจี้ยง หนูนี่ดื้อจริงๆ เลยนะ’

‘หนูจะหาเรื่องสบายใจมาให้พวกเราบ้างได้มั้ย’

‘พวกเราไม่ได้มีหน้าที่ที่จะต้องดูแลหนูนะ’

‘พวกเราแค่ต้องการให้หนูเชื่อฟังหน่อย อย่าทำอะไรออกนอกลู่นอกทาง’

เวินอี่ฝาน

เธออย่าไปเพิ่มปัญหาให้คนอื่น

เธอจะไปเพิ่มปัญหาให้ใครไม่ได้อีกแล้วนะ

ไม่อย่างนั้นเธอจะโดนทิ้ง

 

หลังจากนั้นเธอกับเขาคุยอะไรกันอีก เวินอี่ฝานก็จำไม่ได้แล้ว จำได้เพียงว่าซังเหยียนเหมือนจะปลอบใจเธออีก เธอก็พยายามอย่างที่สุดที่จะทำให้ตัวเองดูเหมือนปกติ

เวินอี่ฝานเล่นเกมเป็นเพื่อนซังเหยียนด่านหนึ่ง จากนั้นก็อ้างว่าง่วงจึงกลับเข้ามาในห้อง

เวินอี่ฝานนั่งเหม่อลอยอยู่ในห้องครึ่งชั่วโมง แล้วเธอก็เปิดวีแชต ส่งข้อความไปให้แม่หลังจากที่ไม่ได้ส่งไปเป็นเวลานาน

 

เวินอี่ฝาน : แม่ช่วยส่งเบอร์ของป้าใหญ่มาให้หนูด้วยค่ะ

 

อาจเป็นเพราะคิดไม่ถึงว่าจะได้ข้อความตอบ จ้าวหยวนตงเลยส่งข้อความกลับมาเร็วมาก อีกฝ่ายส่งเบอร์มือถือมาก่อน แล้วตามด้วยข้อความยาวเหยียด

เวินอี่ฝานไม่ได้อ่านข้อความนั้น เธอโทรหาเชอเยี่ยนฉินทันที

เสียงรอสายดังเพียงสามครั้ง เชอเยี่ยนฉินก็รับสาย เสียงใหญ่หนาดังมาจากปลายสาย

“ใครอะ”

เวินอี่ฝานเอ่ยขึ้นทันที “พวกคุณคิดจะทำอะไร”

“…” เชอเยี่ยนฉินเงียบไปหลายวินาที จากนั้นก็คาดเดาด้วยความลังเล “ซวงเจี้ยง?”

“ฉันไม่สนว่าพวกคุณมาที่เมืองหนานอู๋ทำไม” เวินอี่ฝานหลับตาลง เอ่ยเน้นทีละคำ “ขอร้องกรุณาอย่าเอาฉันเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย พวกคุณก็ใช้ชีวิตของพวกคุณไป จะเป็นจะตายยังไงก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน”

หลังจากคิดตามทัน เชอเยี่ยนฉินก็เอ่ยด้วยความไม่พอใจ “เด็กคนนี้นี่ พูดจาบ้าอะไรของเธอ พอโทรมาก็มาแช่งให้พวกเราตาย? เธอมาพูดจาอย่างนี้มันสมควรแล้วเหรอ!”

“ระหว่างพวกเราไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก ถ้าน้องชายคุณมาก่อกวนฉันและคนข้างกายฉันอีก” เวินอี่ฝานทำเป็นไม่ได้ยินที่อีกฝ่ายพูด เอ่ยต่อว่า “ฉันจะรวบรวมหลักฐานและแจ้งตำรวจทันที”

“จะแจ้งตำรวจอีกแล้วใช่มั้ย พวกเราไปทำอะไรให้ เธอถึงต้องแจ้งตำรวจ!” น้ำเสียงของเชอเยี่ยนฉินแข็งกร้าว “ฉันล่ะเสียใจจริงๆ ที่ตอนนั้นรับเธอมาเลี้ยงดู เลี้ยงจนกลายเป็นจิ้งจอกตาขาว!”

“คุณเลี้ยงฉันมายังไง” เวินอี่ฝานเอ่ย “เลี้ยงแบบที่เวลาน้องชายคุณขึ้นเตียงฉัน คุณก็ไม่ห้ามน่ะเหรอ”

“…”

“ฉันไปทำอะไรให้พวกคุณ” ความรู้สึกเจ็บช้ำทั้งหมดในอดีต ความทุกข์ระทมที่เก็บกดมาหลายปีล้วนระเบิดออกมาในเวลานี้ เธอพยายามควบคุมเสียงตัวเอง เอ่ยอย่างชัดเจน “พวกคุณถึงต้องมาทำอย่างนี้กับฉัน”

เธอไม่พึ่งพาใครทั้งนั้น เธอพยายามพึ่งพาตนเองและใช้ชีวิตอย่างสงบสุข

เธอรู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองก็มีชีวิตที่ดีกว่าแต่ก่อน เลยอยากจะลองคบหาดูใจกับเขา

ทำไมพวกคุณต้องก้าวเข้ามาในชีวิตฉันอีก

“เชอเยี่ยนฉิน แต่ก่อนค่าผ่าตัดของคุณ พ่อฉันก็เป็นคนออกให้ไม่ใช่เหรอ” เวินอี่ฝานเอ่ย “ตอนพวกคุณจ่ายค่าเทอมของเวินหมิงไม่ไหว ไม่ใช่พ่อฉันหรอกเหรอที่เป็นคนออกตังค์ให้ ตอนเวินเหลียงเสียนจะซื้อบ้าน เขาขาดเงินไปตั้งหลายหมื่น พ่อฉันก็เป็นคนช่วยไม่ใช่เหรอ พ่อฉันไปทวงเงินจากพวกคุณหรือเปล่า ทำไมพวกคุณต้องทำกับฉันแบบนี้ ใครกันแน่ที่เป็นจิ้งจอกตาขาว”

ผ่านไปหลายวินาทีเชอเยี่ยนฉินก็เอ่ยอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร “นั่นเป็นเพราะพ่อเธอยอมให้มาเองต่างหากล่ะ”

“…”

“เธอไม่อยากติดต่อพวกเราแล้ว? ได้” เชอเยี่ยนฉินเอ่ย “ได้ยินมาว่าแฟนที่เธอคบอยู่ในตอนนี้รวยดีนี่ ถ้าเธอจะแต่งงานกับเขา ให้เขาจ่ายค่าสินสอดมาก่อนนะ ขอสักหลายแสนหยวน อีกอย่างน้าของเธอไปที่ผับของแฟนยังต้องจ่ายเงินด้วยเหรอ นี่มันหลักการบ้าบออะไรกัน”

เวินอี่ฝานรู้สึกว่าไร้สาระ เธอตระหนักได้ว่าคำพูดเหล่านี้เหมาะสมกับคนอย่างเชอเยี่ยนฉินแล้ว เธอจึงเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าราบเรียบ น้ำเสียงนุ่มนวลที่สุด แต่คำพูดก็ดูโหดร้ายที่สุด

“เอาแต่มาคาดหวังในตัวฉัน คุณไม่ลองไปซื้อประกันให้ตัวเองดูล่ะ เผื่อเกิดอุบัติเหตุตายขึ้นมา”

“นี่! พูดบ้าอะไรของเธอเนี่ย!” เชอเยี่ยนฉินตวาด “ถ้าเธอไม่ยอมให้เงินฉัน ฉันจะไปขอจากแม่เธอเองก็ได้!”

“คุณจะไปขอเงินจากใครก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน ฉันขอให้คุณไปเจอพ่อฉันเร็วหน่อยแล้วกันนะ” เวินอี่ฝานหัวเราะเสียงเย็น “ฉันจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าพวกคุณยังมาระรานคนข้างกายฉันอีก ฉันจะแจ้งตำรวจทันที”

เธอวางสายทันทีแล้วเพิ่มเบอร์นี้ลงในแบล็กลิสต์

ภายในห้องก็เงียบงันลงอีกครั้ง

ก่อนที่จะเจรจากับคนพวกนี้ เวินอี่ฝานไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตัวเองก็มีด้านนี้อยู่เหมือนกัน เธอคิดแต่เพียงว่าต้องการจะระบายความอัดอั้นตันใจกับคนทางปลายสาย พอความเดือดดาลพลุ่งพล่านหายไป เธอก็รู้สึกได้ว่าตัวเองเหนื่อยกายเหนื่อยใจสิ้นดี ยังนั่งเหม่ออยู่ที่เดิมพลางกำมือถือไว้

เธอไม่รู้ว่าที่ทำลงไปเช่นนี้จะช่วยอะไรได้หรือไม่ คิดเพียงว่าตัวเองควรจะทำอะไรสักอย่าง

พอใจเย็นลง อีกความรู้สึกหนึ่งก็ค่อยๆ เข้ามาแทนที่ เธอนึกถึงซังเหยียนที่อยู่นอกห้องขึ้นมาอีกครั้ง การตระหนักถึงผลได้ผลเสียอย่างแรงกล้านั้นก็ปะทะเข้ามาในเวลานี้

เธอควบคุมตนเองไม่ได้เลย จึงลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องอีกครั้ง

แสงไฟในห้องรับแขกยังสว่างอยู่

ซังเหยียนนั่งอยู่บนโซฟาที่เดิม ดูเหมือนจะยังเล่นเกมอยู่ แต่ท่าทางกลับดูใจลอยอยู่บ้าง เมื่อหางตาเขาเหลือบมาเห็นเงาร่างเธอจึงเลิกคิ้วน้อยๆ ถามขึ้นอีก

“ทำไม พวกเราเพิ่งเจอกันเองไม่ใช่เหรอ”

“…”

น้ำเสียงของเขาสบายๆ “วันนึงเธอต้องเจอหน้าฉันกี่ครั้งเนี่ย”

จมูกเธอฟึดฟัดเล็กน้อย ตอบอืมไปเบาๆ พอเดินไปตรงหน้าชายหนุ่ม เธอก็ยกขาก้าวขึ้นไปบนโซฟาแล้วข้ามไปนั่งบนตักเขา สบตาในระดับเดียวกัน

“เธอนี่เป็นจอมบงการจริงๆ เลยนะ” เธอมานั่งบดบังสายตาเขา ซังเหยียนหลุบตาลง เอ่ยเนิบๆ “เธอไม่ให้ฉันกินเหล้า ไม่ให้สูบบุหรี่ ไม่ให้กินน้ำเย็น ไม่ให้นอนดึก ตอนนี้แม้แต่เกมก็ยังไม่ให้ฉันเล่นเหรอ”

เวินอี่ฝานจ้องเขาสักครู่

ซังเหยียนคว้าข้อมือเธอไว้แล้วลูบเบาๆ

ครู่ต่อมาจู่ๆ เวินอี่ฝานก็เกี่ยวคอเขาไว้ด้วยมืออีกข้างหนึ่ง แล้วงับริมฝีปากเขาเบาๆ ปลายลิ้นแทรกเข้าไปเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นของเขา ท่าทางดูเงอะงะอยู่บ้าง

คล้ายว่ากำลังอยากจะยืนยันอะไรบางอย่าง

เธอเป็นฝ่ายมอบกายให้เขาอย่างยินยอมพร้อมใจ ในเวลาดึกดื่นเช่นนี้จู่ๆ เธอก็มาก่อกวนสติเขาจนหลุดกระเจิง

ซังเหยียนชะงักไปเล็กน้อยแล้วปล่อยให้เธอจูบไป นัยน์ตาเขาค่อยๆ เข้มขึ้น เขากดข้อมือเธอไว้บนแผ่นอกแล้วจูบตอบเธอไปตามแรงปรารถนา

ริมฝีปากของชายหนุ่มเจือไปด้วยลมหายใจอันบางเบา แรงจูบคล้ายจะจู่โจม ป่าเถื่อนถึงที่สุด เหมือนจะกลืนกินเธอลงไป แฝงไปด้วยเสียงคล้ายจะเขมือบ

ภายในห้องที่เงียบงัน ความอึดอัดได้แผ่กระจายออกไป

คลุมเครืออย่างที่สุด

เขาดูดริมฝีปากเธอจนรู้สึกชา

เวินอี่ฝานสัมผัสได้ว่าปลายนิ้วของเขาเลื่อนจากท้ายทอยลงไปถึงแผ่นหลังและเอว แล้วหยุดอยู่ตรงชายเสื้อก่อนจะคืบคลานเข้าไปด้านใน

เธอพลันรู้สึกคันยุบยิบ

เวินอี่ฝานงับปลายลิ้นอย่างควบคุมความรู้สึกของตัวเองไม่ได้เลย

“ทำไม” ซังเหยียนคลายมือออก ลมหายใจหนักหน่วงอยู่บ้าง แฝงรอยยิ้มไปในคำพูด “อยากกัดฉันจนเลือดออกอีกเหรอ”

“…”

ผมและดวงตาของเขาดำขลับ ชายหนุ่มเชิดคางขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากแดงขึ้น ทุกคำพูดทุกท่วงท่าคล้ายกำลังหลอกล่อเธอให้ลุ่มหลง

“เวินซวงเจี้ยง”

เวินอี่ฝานจ้องหน้าเขา เธอเหมือนจะกะพริบตา รู้สึกได้ว่าหัวใจตัวเองว่างเปล่า หูเธอดับไม่ได้ยินอะไรเลย ความหวาดกลัวที่ไม่มีจุดสิ้นสุดแทบจะล้อมรอบตัวเธอไว้ เธอรู้สึกเพียงว่าชายหนุ่มตรงหน้าคล้ายจะทอดทิ้งเธอในชั่ววินาทีต่อมา

เธอเพียงอยากรั้งตัวเขาไว้ อยากจะเขยิบเข้าใกล้เขาอีกหน่อย

“อืม”

“เธอซื้อตัวฉันกลับมาแล้ว จะเอาแต่นั่งนิ่งอยู่อย่างนี้ ไม่คิดจะทำอะไรอย่างอื่นแล้วเหรอ”

“…”

ปลายนิ้วของซังเหยียนสืบเสาะขึ้นไปด้านบนต่อ วนไปเวียนมาเบาๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงยั่วเย้าและแทะโลมเธอ

“เช่นให้ฉันปรนนิบัติเธอ?”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 5 มิ.. 65  เวลา 12.00 

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: