X
    Categories: everYคดีลับใต้หมู่ดาวทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน คดีลับใต้หมู่ดาว เล่ม 3 บทที่ 126-127 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การฆาตกรรม

การทารุณกรรม ทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การกักขังหน่วงเหนี่ยว

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ การค้ามนุษย์

การฆ่าตัวตาย และการกินเนื้อเผ่าพันธุ์เดียวกันซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน

ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – – 

 

บทที่ 126

ข้างนอกนั้นยังคงทะเลาะกันอยู่เป็นระยะ

เสียงของสองสามีภรรยาบางครั้งก็เบา บางครั้งก็ดัง

หลิงเหยาไม่ได้สนใจแล้วว่าจะมีคนนอกอยู่ในบ้านหรือไม่ คนที่ปกติจะใจดีใจเย็นอย่างโจวซ่าก็คล้ายจะหมดความอดทน หลังจากเสียงแก้วน้ำตกพื้น โจวซ่าก็เหวี่ยงประตูเปิดออกไป จากนั้นทุกอย่างพลันหยุดนิ่ง

หลิงซูถูกเยวี่ยติ้งถังดันให้เข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ

ส่วนเยวี่ยติ้งถังผลักประตูห้องออกไป

หลิงเหยานั่งอยู่ที่ห้องรับแขก ดวงตาแดงเรื่อ ที่ข้างเท้ามีเศษแก้วแตก

“ขอโทษนะที่ต้องให้เธอมาเห็นเรื่องน่าขัน” เธอเอ่ยเสียงพร่า

“ผมสนิทกับหลิงซูมาก พี่ไม่ต้องเห็นผมเป็นคนนอกหรอกครับ เขาเป็นห่วงพวกพี่สองคนมากนะ”

“พี่รู้ พี่ก็ไม่อยากจะทะเลาะกับเขาต่อหน้าพวกเธอหรอก แต่มันทนไม่ไหวจริงๆ…จนถึงตอนนี้โจวซ่าก็ยังไม่ยอมพูดเลยว่าตกลงผู้หญิงที่เขาเลี้ยงดูอยู่ข้างนอกนั่นเป็นใคร ความจริงแล้วในใจเขา…พี่มีสถานะต่ำขนาดนั้นเลยเหรอ”

หลิงเหยาสะอื้นเบาๆ เยวี่ยติ้งถังยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งให้

“มันอาจจะเป็นความเข้าใจผิดกันหรือเปล่าครับ”

หลิงเหยาส่ายหน้า “เขาเองก็ยอมรับแล้ว บอกว่าอีกฝ่ายเป็นแม่ม่าย”

เยวี่ยติ้งถังเอ่ยอย่างใจเย็น “เป็นแม่ม่ายก็ไม่ได้จะเป็นคนมีมลทินเสมอไปนะครับ ตามที่ผมได้ยินมาจากปากหลิงซู พี่กับพี่เขยก็ความสัมพันธ์กระท่อนกระแท่นกันมาแต่แรก นั่นถือว่าไม่ปกติอยู่แล้ว ถึงอย่างนั้นพี่ควรจะเชื่อใจเขามากกว่านี้หน่อย เขาประพฤติตัวอยู่กับร่องกับรอยขนาดนั้น อาจจะเกิดการเข้าใจผิดอะไรขึ้นจริงๆ ก็ได้”

หลิงเหยาไม่ทันสังเกตว่าคำเรียกที่เขาเรียกเธอนั้นเปลี่ยนไป เธอเอ่ยตอบไปตามปกติ “เมื่อกี้เขาโกรธขนาดนั้น ยังจะบอกว่าประพฤติตัวอยู่กับร่องกับรอยได้อีกเหรอ”

“สุนัขจนตรอกก็กระโดดข้ามกำแพงได้ คนประพฤติตัวอยู่กับร่องกับรอยก็โดนบีบคั้นจนร้อนใจแล้วโมโหได้เหมือนกัน แน่นอน ผมไม่ได้บอกว่าพี่เขยเป็นสุนัขหรอกนะครับ ทั้งสองกรณีคงจะเทียบกันไม่ได้” เยวี่ยติ้งถังวิเคราะห์อย่างใจเย็น “แต่ไม่ว่ายังไงหลิงซูก็เป็นคนในครอบครัวของพี่ เขาก็ต้องยืนอยู่ข้างพี่อยู่แล้ว ถ้าเกิดผลร้ายแรงที่สุดขึ้นมา พี่อาจคิดไม่ออกว่าควรจะทำอย่างไรดี หรือถึงแม้พวกเราจะช่วยพี่สืบหาความจริงได้ แต่มันก็อาจจะไม่ใช่ความจริงที่พี่ต้องการเสมอไป”

หลิงเหยานิ่งงันเหม่อลอย ไม่ได้ตอบอะไร

เยวี่ยติ้งถังเห็นท่าทีเช่นนี้ของเธอก็รู้แล้วว่าเธอยังรักโจวซ่ามากแค่ไหน เธอไม่ได้คิดเสียด้วยซ้ำว่าหากโจวซ่าไปมีบ้านเล็กจริงๆ เธอควรจะทำอย่างไร อาจจะคิดแค่อาละวาดสักรอบเพื่อให้สามีเห็นความสำคัญและรู้สึกผิดเท่านั้น

ตัวเยวี่ยติ้งถังเองก็เป็นผู้ชาย เขารู้ดีว่าความรู้สึกผิดของผู้ชายนั้นเป็นเหมือนของฟุ่มเฟือย ยิ่งผลาญไปมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเหลือน้อย จะต้องมีสักวันที่ความรักความผูกพันระหว่างสองคนนี้หายไปจนหมด การกระทำที่ไร้เป้าหมายของหลิงเหยากลับจะยิ่งทำให้โจวซ่ารู้สึกว่าไร้เหตุผล และอาจจะถึงกับรังเกียจเธอเสียด้วยซ้ำ

ในสายตาคนนอก หลิงเหยากับโจวซ่าคือเรื่องราวของคุณหนูตกอับที่มาแต่งงานกับคนต้อยต่ำจนๆ คนหนึ่ง

ทุกคนรู้สึกเสียดายและสงสารคุณหนูคนนี้ แล้วก็แอบรำพึงรำพันว่าเจ้าคนต้อยต่ำช่างโชคดีนัก แต่ก็ยากจะคาดเดาได้ว่าระหว่างพวกเขามีความรักอยู่บ้างหรือไม่

เยวี่ยชุนเสี่ยว พี่สามของเยวี่ยติ้งถัง เคยพูดเล่นๆ กับเขาเป็นการส่วนตัวไว้ว่าอารมณ์รุนแรงของหลิงเหยานั้นคงยากที่โจวซ่าจะทนไปได้ชั่วชีวิต ไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งหากปีกกล้าขาแข็งก็อาจถีบหัวส่งภรรยาผู้ต้องมาทนยากลำบากเพราะความจนของสามีก็ได้

ตอนนี้โจวซ่ายังไม่ไปถึงขั้นนั้น แต่หัวหน้าแผนกของสำนักงานเทศบาลนครคนหนึ่ง สำหรับชาวเมืองทั่วไปแล้วก็นับว่าพอจะมีอภิสิทธิ์เล็กน้อย ไม่อย่างนั้นคงไม่อาศัยเส้นสายเอาหลิงซูไปฝากเข้าทำงานในสถานีตำรวจได้หรอก

ถ้าเขาอยากจะมีบ้านเล็ก หลิงเหยาก็คงทำอะไรเขาไม่ได้จริงๆ เว้นเสียแต่จะหย่า

แต่หลิงเหยายอมหย่างั้นเหรอ

หลิงเหยาไม่มีลูก อีกทั้งอายุก็เท่านี้แล้ว การศึกษาก็จบแค่ชั้นมัธยมศึกษา หากหย่าร้างไปชีวิตที่เหลือก็คงต้องพึ่งพาให้น้องชายเลี้ยงดูจริงๆ

หลิงซูคงจะยินดีเลี้ยงพี่สาวนั่นล่ะ แต่หลิงเหยาเป็นคนทะนงในศักดิ์ศรีมากขนาดนั้น เธอจะรับความจริงนี้ได้ไหม

เยวี่ยติ้งถังปล่อยให้หลิงเหยาอยู่ในห้องรับแขกตามลำพัง ส่วนตัวเขาก็กลับเข้ามาในห้องหลิงซู

ห้องอาบน้ำไม่มีเสียงการเคลื่อนไหวใด เพราะหลิงซูมานอนแผ่หลับปุ๋ยอยู่บนเตียงแล้ว

เหล้าที่ฟลอเรนซ์ออกฤทธิ์ เวลานี้เขารู้สึกว่าท้องฟ้าผืนดินมืดมิดไปหมด ไม่รับรู้เรื่องราวใดในโลกทั้งสิ้นทั้งปวง เยวี่ยติ้งถังเรียกกี่ครั้งก็ไม่ตื่น ทั้งยังยึดพื้นที่เตียงไปกว่าครึ่งค่อน นอนแผ่เกะกะ ท่านอนแย่มาก

เยวี่ยติ้งถังไม่ง่วง เขาดึงหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากชั้นวางหนังสือ แต่สายตากลับหยุดลง ณ ที่หนึ่ง

โรมิโอกับจูเลียตฉบับภาษาอังกฤษ

หน้าปกดูเก่ามาก เมื่อเปิดออก ข้างในก็มีคำแปลเขียนอยู่ใต้คำศัพท์ภาษาอังกฤษแต่ละคำ

ลายมือดูเป็นเด็กน้อย ลายเส้นปากกาขยุกขยุย มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นลายมือของหลิงซูเมื่อหลายปีก่อน

สองสามหน้าแรกยังหาความหมายศัพท์ในพจนานุกรมอย่างตั้งอกตั้งใจ เขียนความหมายภาษาจีนลงไปอย่างดี

แต่หลังๆ ดูเหมือนจะทนไม่ไหว บางหน้าลายมือก็เละเทะ มีวาดหมั่นโถวซาลาเปา วาดหมาวาดนก บ้างก็เติมคำภาษาอังกฤษเล่น วาดหนวดบนหน้าผู้หญิงบ้าง เติมลิปสติกบนปากผู้ชายบ้าง อาจารย์ภาษาอังกฤษมาเห็นคงต้องทั้งอึ้งทั้งโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงทีเดียว

บางหน้ายังมีร่องรอยน่าสงสัยบางอย่างอยู่ด้วย เยวี่ยติ้งถังสงสัยว่ามันอาจจะเป็นคราบน้ำลายตอนที่อีกฝ่ายอ่านแล้วสัปหงก

มุมปากของเขายกขึ้นโดยไม่รู้ตัว เขาพลิกเปิดหน้าหนังสือช้าๆ

เยวี่ยติ้งถังพอจะรู้ว่าร่องรอยพวกนี้ถูกทิ้งเอาไว้ตอนไหน

ตอนนั้นหลิงซูเห็นเขาอ่านโรมิโอกับจูเลียตฉบับภาษาอังกฤษ ปากก็ประชดประชันดูแคลน ทว่าในใจคงจะแอบขยัน จนกลับไปศึกษาเอง

ทุกหน้ากระดาษล้วนเป็นร่องรอยของวัยรุ่นที่แสนล้ำค่า

มันบันทึกตัวตนของหลิงซูผู้ปากแข็งเอาไว้ ทั้งที่ไม่ชอบอ่านหนังสือต้นฉบับ แต่หลิงซูก็ยอมลำบากหวังจะรักษาหน้าเอาไว้สุดชีวิตเพื่อจะได้ไม่ด้อยกว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา อีกทั้งในใจยังเก็บซ่อนโลกอันกว้างใหญ่เต็มไปด้วยสีสันอย่างไร้ขอบเขตเอาไว้ เป็นเด็กหนุ่มที่มีความกระตือรือร้นจะเดินทางบุกตะลุยไปทุกที่

แม้ว่าภายหลังทุกคนจะถูกความเป็นจริงพุ่งเข้าชนจนศีรษะแตกเลือดอาบ อุดมคติของวัยรุ่นจะแตกสลายจนเหมือนไม่มีอยู่จริง ก่อนเคยชิดใกล้ทว่าต้องห่างไกลคนละฟากฟ้าจนถึงขั้นจากลาคนละโลก ความงดงามทั้งหมดล้วนหยุดนิ่งอยู่ในฤดูใบไม้ผลิใต้ต้นไม้ที่มีเงาแดดพาดเป็นลายทับซ้อนไปมานั้น

โลกหลังจากนี้ช่างโหดร้ายเย็นชา โลหิตรินไหล หัวใจหาญกล้าพบเจออุปสรรคร้อยพันครั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อนจนเต็มไปด้วยรอยแตกรอยรั่ว บาดเจ็บสะบักสะบอม

โชคดีนัก พวกเขาสองคนยังไม่คลาดจากกัน

คนที่ถูกจ้องไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย ยังคงหลับปุ๋ย ริมฝีปากเผยอออกน้อยๆ ส่งเสียงกรนเบาๆ แทบไม่ได้ยิน

เยวี่ยติ้งถังยื่นมือออกไปปลดกระดุมเสื้อของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบาไร้เสียง

ภายใต้ชุดนอนบางเบาเป็นร่างผอมบางทว่าเปี่ยมพลัง

พลังแบบนี้ปกติอาจจะมองไม่ออก มีเพียงเวลาคับขันอันตรายถึงชีวิตเท่านั้นจึงจะระเบิดออกมาถึงที่สุด แต่เยวี่ยติ้งถังไม่ได้มองสิ่งเหล่านี้

สายตาของเขาทอดต่ำลงไปจากไหล่ของอีกฝ่าย ทั้งรอยเก่ารอยใหม่ รอยลึกรอยตื้น แผลจากมีด แผลโดนยิง ทั้งยังมีบาดแผลอีกมากมายที่เยวี่ยติ้งถังไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร

นั่นคือความลับที่หลิงซูไม่เคยเผยต่อหน้าใคร

ตั้งแต่เยวี่ยติ้งถังรู้อดีตของอีกฝ่าย เขาก็อยากจะหาโอกาสมองดูบาดแผลที่อยู่บนร่างกายเหล่านี้เสมอมา แต่ตอนนี้เขากลับตระหนักว่าตนอาจจะนับไม่หมดเสียด้วยซ้ำ

บางทีแผลเหล่านี้อาจจะจางลงไปมากแล้ว หากไม่มองให้ถี่ถ้วนก็จะมองไม่ออก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีอยู่ ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่ทำอันตรายต่อร่างกายของหลิงซู

“เศษกระสุนอยู่ตรงไหน” เยวี่ยติ้งถังถามเบาๆ

หลิงซูไม่รู้สึกตัวสักนิด เขางึมงำสองสามคำเหมือนรู้สึกหนาวเล็กน้อย หลังจากเยวี่ยติ้งถังติดกระดุมให้ใหม่เขาก็กลับไปหลับลึกอีกครั้ง

 

หลับรวดเดียวโดยไม่ฝันทำให้หลิงซูสดชื่นมาก

ทว่าเมื่อเขาตื่นขึ้นมาก็กลับพบปัญหาเล็กๆ อย่างหนึ่ง

เขาพบว่าเยวี่ยติ้งถังถูกทับอยู่ใต้ร่างตน

พูดให้ถูกคือขาข้างหนึ่งกับแขนข้างหนึ่งของเขาพาดอยู่บนตัวอีกฝ่าย ชายเสื้อของเยวี่ยติ้งถังเปิดออกกว้าง เผยให้เห็นแผ่นอกใต้เสื้อนั้น

หลิงซูอึ้งไปเล็กน้อย เขากุมขมับ พยายามนึกว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกันแน่

เสียงเคาะประตูดังขึ้นพอดี เขาบอกให้อีกฝ่ายเข้ามาโดยไม่ทันได้คิดอะไร

คนที่ผลักประตูเข้ามาคือหลิงเหยาพี่สาวของเขา เมื่อเห็นฉากตรงหน้าเธอก็อึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็ทำท่าคิดหนัก

“เธอทำอะไรติ้งถัง”

หลิงซู ‘…ผมจะทำอะไรเขาได้ ผมเมานะ!’

 

บทที่ 127

ลูกบ้านอื่นดีกว่าลูกตัวเองทั้งนั้น

ก็เหมือนที่เยวี่ยชุนเสี่ยวรู้สึกสบายหูสบายตากับหลิงซูเหลือเกินนั่นล่ะ หลิงเหยาเองก็มองเยวี่ยติ้งถังด้วยความเชื่อใจมากกว่าหลิงซูเช่นกัน

ในสายตาของเธอ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับสองคนนี้พร้อมกัน จะต้องเป็นความรับผิดชอบของหลิงซูมากกว่าครึ่งอย่างแน่นอน อย่างไรเสียเยวี่ยติ้งถังก็สุขุมน่าเชื่อถือขนาดนั้น ดูหนักแน่นจริงจังขนาดนั้น

ตอนเด็กๆ หลิงซูกับเยวี่ยติ้งถังคอยแต่จะปะทะกันให้วุ่นวาย สิ่งนี้ในความทรงจำของหลายๆ คนเป็นเรื่องที่ไกลออกไปมากแล้ว ตอนนี้ภาพจำของสองคนนี้คือฝ่ายหนึ่งใช้ชีวิตแค่ให้มันจบๆ ผ่านๆ ไป ส่วนอีกฝ่ายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน

หลิงซูรู้สึกน้อยอกน้อยใจแต่ก็ไม่เคยแก้ต่างอะไร เขาใช้ชีวิตอยู่กับความคับแค้นเหมือนโต้วเอ๋อ ได้แต่หวังให้มีหิมะเดือนหก มาให้พี่สาวของเขาได้เห็นจนตาสว่างสักวันหนึ่ง

แต่หลิงเหยาไม่ได้อยากฟังคำอธิบายของน้องชาย ก่อนเยวี่ยติ้งถังจะตื่นเธอก็เลี่ยงออกไปจากห้องนั้นเสียก่อน

หลิงซูจ้องมองเยวี่ยติ้งถังที่ค่อยๆ ลืมตาขึ้น

“นายทำอะไรฉัน”

เยวี่ยติ้งถังมองดูชายเสื้อที่เปิดกว้างของตน แล้วก็มองชุดนอนที่ยังมิดชิดเรียบร้อยของหลิงซู

“นายไม่รู้สึกว่าพูดแบบนี้มันจะเหมือนคนร้ายชิงแจ้งความก่อนหรือไง”

หลิงซูขึ้นเสียง “เมื่อคืนฉันเมานะ!”

เยวี่ยติ้งถังพยักหน้า “พูดได้ดี เมาแล้วลวนลาม”

หลิงซู “…”

สิ่งที่เรียกว่าขาวดำกลับตาลปัตรไม่แบ่งแยกถูกผิดฟ้าดินพลิกตลบเป็นยังไง ในที่สุดเขาก็ได้รู้แล้ว

“หัวหน้าเยวี่ยครับ ปากแบบนี้ถ้าไปอยู่สมัยราชวงศ์ชิงล่ะก็ ไปเป็นเจ้าพนักงานกรมอาญาได้เลยนะ”

หลิงซูลุกไม่ขึ้น เขายังมีอาการเมาค้างอยู่ รู้สึกศีรษะหนักเท้าเบาทั้งยังรู้สึกล่องลอยนิดๆ กิริยาก็เชื่องช้ากว่าปกติเล็กน้อย เขาหันกลับมาประชดด้วยสีหน้าคล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่เชิง

เยวี่ยติ้งถังนึกถึงความเป็นไปได้ที่เขาจะโถมตัวใส่อีกฝ่ายแล้วทำให้สิ่งที่พูดเป็นจริงไปเสียเลย แล้วก็นึกถึงความจริงที่ว่าหลิงเหยายังรออยู่ข้างนอก สุดท้ายเขาก็เลือกอย่างหลัง

“ความสามารถในการต่อปากต่อคำของฉันก็เรียนรู้มาจากนายนั่นแหละ ต้องขอบคุณที่สมัยเรียนนายยั่วยุฉันไม่หยุด เลยเป็นการกระตุ้นฉันทางอ้อม”

เขาตอกกลับไปเรียบๆ ถือโอกาสชื่นชมภาพอีกฝ่ายเปลี่ยนเสื้อผ้าต่อหน้าเขาไปด้วย

หลิงซูรู้สึกถึงสายตาแปลกๆ นั้นช้าไปครึ่งจังหวะ เขาสวมกางเกงไปครึ่งหนึ่งก็กระโดดเข้าห้องน้ำไป

เยวี่ยติ้งถังหัวเราะ จากนั้นจึงลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้าบ้าง

เสื้อโค้ตผ้าสักหลาดกับเสื้อสูทนั้นเมื่อแขวนเอาไว้ข้างเตาผิงหนึ่งคืนก็เกือบจะแห้งสนิทแล้ว

เยวี่ยติ้งถังกำลังคิดว่าก่อนไปมหาวิทยาลัยเขาควรจะกลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าสักหน่อยหรือเปล่า เขาค่อนข้างจะเป็นโรครักสะอาดอยู่เล็กน้อย มักจะรู้สึกว่าแม้เสื้อจะแห้งแล้วแต่ก็ยังสกปรกเพราะน้ำฝน ถ้าสวมไปจะรู้สึกแปลกๆ

ในห้องรับแขก อาหารเช้าทำเอาไว้พร้อมแล้ว มีแป้งทอดกับน้ำเต้าหู้

หลิงเหยานั่งเหม่ออยู่ที่โต๊ะ เมื่อเห็นพวกเขาออกมาก็ลุกขึ้นกลบเกลื่อนด้วยการทำเป็นวุ่นวาย

“พี่กินเสร็จแล้ว จะออกไปจ่ายตลาดหน่อยนะ พวกเธอก็ค่อยๆ กินกันไปแล้วกัน”

หลิงซูมองซ้ายมองขวา “พี่เขยล่ะ ไปทำงานแล้วเหรอ”

หลิงเหยาซึมไปทันที “เขาไม่ได้กลับมาทั้งคืน”

หา?…หลิงซูลืมแป้งทอดที่เคี้ยวอยู่ในปากไปชั่วขณะ

ครั้งนี้ดูท่าจะร้ายแรงจริงๆ แล้ว

สามีภรรยาทะเลาะกันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ปกติทะเลาะกันไม่นานก็กลับมาคืนดี โจวซ่าก็หายโมโหเร็ว การจะไปค้างคืนนอกบ้านจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลย

“พี่…พี่อย่าเพิ่งร้อนใจไป เดี๋ยวผมกินข้าวเสร็จจะไปตามหาพี่เขยเอง”

ทว่าหลิงเหยากลับปลงตกเสียแล้ว “ช่างเถอะ หาตัวเจอแล้วยังไง กลับมาก็ทะเลาะกันอีก ถ้าเขาไปมีคนใหม่จริงพี่เลิกกับเขาก็จบ”

“เดี๋ยวๆ ความคิดแง่ลบแบบนี้ผมไม่เอาด้วยหรอก!” หลิงซูรีบโน้มน้าว “ผมกินอิ่มแล้ว จะไปตามหาพี่เขยเดี๋ยวนี้แหละ เอาไว้ผมพาพี่เขยกลับมาเมื่อไหร่พวกพี่ก็คุยกันดีๆ อย่าทะเลาะกันอีกเด็ดขาดนะ!”

ว่าแล้วเขาก็ยกน้ำเต้าหู้ขึ้นดื่มอึกใหญ่ ตอนที่รีบร้อนออกไปในปากยังมีแป้งทอดที่เคี้ยวไม่หมดอยู่เลย

“เดี๋ยว หมวกเธอล่ะ!”

หลิงเหยารู้สึกตัวช้าไปครึ่งจังหวะ

หลิงซูหายลับจากประตูไปแล้ว แม้แต่เยวี่ยติ้งถังเขาก็ไม่สนใจ

“พี่หลิงเหยา ผมเอาไปให้เขาเองครับ”

เยวี่ยติ้งถังลุกขึ้นอย่างไม่ช้าไม่เร็ว กิริยานั้นดูสง่างามสงบนิ่งกว่าหลิงซูมาก

“เดี๋ยวก่อนติ้งถัง!” หลิงเหยาเรียกเขาเอาไว้ เธอชะงักเล็กน้อยแล้วก็ยิ้มขื่นให้ “พี่มีอะไรอยากพูดกับเธอนิดหน่อย”

“ผมขอออกไปหาเขาก่อนแล้วกันครับ ถ้ามีอะไรเดี๋ยวตอนเย็นกลับมาค่อยว่ากันก็ยังไม่สาย”

“พี่รู้ว่าหลายปีนั้นเขาไม่ได้ไปเรียนที่ต่างประเทศ”

จู่ๆ หลิงเหยาก็พูดขึ้นมา ทำให้เยวี่ยติ้งถังชะงักฝีเท้า

“หลิงซูไปแปดปี ตอนกลับมาก็เปลี่ยนไปหมดทั้งตัว พี่เกือบจะจำไม่ได้แน่ะ เขาบอกว่าตัวเองไปเรียนที่ต่างประเทศ ไปฝรั่งเศส แต่ภาษาฝรั่งเศสก็ยังพูดไม่ได้เลย พี่ไม่รู้ว่าแปดปีนั้นเขาใช้ชีวิตยังไงบ้าง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาไปที่ไหน ไปทำอะไรมา พี่ลองเลียบๆ เคียงๆ ถามดูแต่เขาก็ระวังตัวแจ ไม่ยอมหลุดปากออกมาสักคำเดียว

แต่พี่รู้ แปดปีนั้นเขาคงไปลำบากมาไม่น้อย เมื่อก่อนเวลานอนต่อให้ฟ้าผ่ายังไงก็ไม่ตื่น แต่พอกลับมาแค่เสียงเคลื่อนไหวนิดๆ หน่อยๆ ก็ทำให้เขาตื่นได้ แล้วยังจะมาหลอกพี่ว่าที่ฝึกเขียนหนังสือด้วยมือซ้ายเพราะว่าสนุกดี ทั้งที่มือขวาได้รับบาดเจ็บจนไม่มีแรงชัดๆ นี่เขาเห็นพี่เป็นคนโง่หรือไง”

พูดไปพูดมาหลิงเหยาก็ตาแดง น้ำเสียงฟังดูสะอื้น

“พูดกันถึงที่สุดแล้วพี่ก็เป็นแค่ผู้หญิงที่มีความรู้จำกัดนัก ช่วยอะไรเขาไม่ได้ แล้วเจ้าหมอนี่ก็ดันหัวสูงเสียด้วย ไม่ถูกใจผู้หญิงธรรมดาๆ กับเขาหรอก พี่ก็ไม่รู้ว่าคนเป็นพี่สาวอย่างพี่จะอยู่ดูแลเขาไปได้อีกนานแค่ไหน ติ้งถัง พวกเธอสองคนเคยสนิทสนมกันมาตั้งแต่เมื่อก่อน ผูกพันกันเป็นพิเศษ พี่รบกวนให้เธอช่วยโน้มน้าวเขาหน่อยได้ไหม ช่วยเป็นหูเป็นตาดูแลเขามากๆ ต่อให้สาวเต้นรำพวกนั้นมาชอบพอเขา ขอแค่เป็นคนดีสักหน่อยพี่ก็ยอมรับได้”

เยวี่ยติ้งถังขมวดคิ้ว

คำพูดนี้ทำไมฟังดูเหมือนกำลังสั่งเสียอย่างไรอย่างนั้น ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่หลิงเหยาพูดออกมาเขาก็ไม่ชอบฟังเอาเสียเลย

“พี่ไม่ต้องเป็นห่วงหลิงซูหรอกครับ” เขาไม่ยอมให้เธอพูดต่อจึงตัดบททันที “เขาไม่เคยไปเรียนที่ต่างประเทศแล้วยังไง โลกนี้มีแต่พวกสัตว์ร้ายที่ร่ำเรียนมาแต่กลับไม่ได้เอาไปใช้ในทางที่ถูกทำนองคลองธรรมอยู่มากมายเต็มไปหมด หลิงซูมีหัวใจบริสุทธิ์เหมือนเด็กน้อย งดงามกระจ่างใส หาได้ยากในผู้คน คนที่มาชอบเขามีมากมาย แต่คนที่ปฏิบัติต่อเขาอย่างจริงใจไม่ทิ้งร้างห่างไกล ร่วมทุกข์ร่วมลำบากกับเขาจะมีสักกี่คน ต่อให้จริงใจกับเขาก็อาจจะทำอะไรไม่ได้ตามที่ปรารถนา ปกป้องเขาไม่ได้ แล้วจะมีประโยชน์อะไรล่ะครับ…ต่อไปถ้ามือขวาเขาใช้การไม่ได้ ผมก็จะเป็นมือขวาให้เขา ถ้ามีผมอยู่ จะไม่เกิดอะไรขึ้นกับเขาแน่นอนครับ”

“…”

“สิ่งที่หลิงซูหวังมากที่สุดก็คืออยากให้พี่มีความสุขและเป็นตัวของตัวเอง เขาโตแล้ว เขาเป็นผู้ชายคนหนึ่ง สามารถจะเดินไปบนเส้นทางที่ตัวเองอยากจะเดินได้แล้ว แต่พี่คือคนที่เขาไม่มีวันทิ้งได้ ไม่ว่าพี่กับโจวซ่าจะแยกทางกันก็ดี จะคบกันต่อไปก็ดี อย่างไรพี่ก็เป็นพี่สาวแท้ๆ ของเขา ขอแค่พี่มีชีวิตที่ดีเขาก็วางใจแล้วครับ”

หลิงเหยาอึ้งไปเล็กน้อย

เยวี่ยติ้งถังกลับไม่ให้เวลาเธอได้คิดมากนัก เขาหยิบหมวกของหลิงซูแล้วก็พยักหน้าให้เธอ เอ่ยขอตัวก่อนจะรีบจากไป

 

หลิงซูลืมเรื่องหมวกไปนานแล้ว

เขาไปที่สำนักงานเทศบาลนครก่อน ไปถามข่าวคราวแล้วก็ได้ความมาว่าวันนี้โจวซ่าลาหยุด ไม่ได้มาทำงาน ดังนั้นเขาจึงตรงไปที่เขตเช่า ซึ่งก็คือด้านนอกของอาคารตะวันตกที่หลิงเหยามา ‘จับชู้’ คราวก่อนนั่นเอง

ความขัดแย้งระหว่างหลิงเหยากับโจวซ่ามาถึงจุดที่ต้องแก้ไขแล้ว ครั้งนี้หลิงซูไม่ได้รออยู่ข้างนอกแต่เป็นฝ่ายเข้าไปหาถึงที่เอง

เขากดกริ่งที่ประตูรั้วด้านนอก

เพียงครู่เดียวประตูอาคารตะวันตกก็เปิดออก ผู้หญิงที่แต่งตัวอย่างคนรับใช้คนหนึ่งยืนอยู่ที่ประตูมองหลิงซูที่อยู่รั้วด้านนอก

“สวัสดีครับ ผมแซ่หลิง เป็นตำรวจจากกรมตำรวจประจำนคร นี่บัตรประจำตัวผมครับ”

คนรับใช้ตกใจมาก “คุณตำรวจ ไม่ทราบมีเรื่องอะไรเหรอคะ”

“ผมทำคดีหนึ่งอยู่ซึ่งเกี่ยวข้องกับนายหญิงบ้านนี้น่ะครับ ถ้าไม่สะดวกให้ผมเข้าไป รบกวนคุณเข้าไปบอกให้คุณนายออกมาหน่อยได้ไหมครับ เราคุยกันตรงนี้ก็ได้”

คนรับใช้ลังเลครู่หนึ่ง “คุณรอเดี๋ยวนะคะ”

หลิงซูยังคิดอยู่ว่าควรจะยกเอาชื่อโจวซ่าออกมาดีหรือไม่เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ออกมาพบเขา แต่แล้วคนรับใช้หญิงก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เธอเดินออกมาแล้วก็เปิดประตูรั้วให้หลิงซู

“สวัสดีค่ะคุณหลิง คุณนายเชิญคุณเข้าไปข้างในค่ะ”

“ขอบคุณมากครับ”

เจ้าของอาคารตะวันตกหลังนี้คนก่อนคงจะเป็นคนตะวันตก เขาคงจะขายบ้านด้วยสาเหตุบางประการแล้วเจ้าของคนปัจจุบันก็มาซื้อเอาไว้ การตกแต่งอาคารในทุกส่วนที่หลิงซูมองเห็นนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายแบบตะวันตก ของหลายๆ อย่างเป็นของที่เจ้าของคนก่อนทิ้งเอาไว้ ของตกแต่งแบบจีนนั้นแทบไม่มีเลย

ปกติแล้วสิ่งแรกที่คนเราจะทำหลังจากมีบ้านก็คือการวางของที่เป็นของตนเอาไว้ โดยเฉพาะผู้หญิง ของเล็กๆ กระจุ๋มกระจิ๋มทั้งหลายจะแสดงถึงความเป็นเจ้าของและตัวตนของเจ้าของ จะมากจะน้อยก็ต้องมีร่องรอยอยู่บ้าง

แต่บ้านหลังนี้กลับไม่มีเลย ทั้งหมดล้วนมีแต่ของตกแต่งแบบตะวันตกทั้งสิ้น

ทว่าคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าหลิงซูตอนนี้ สุภาพสตรีที่นั่งอยู่บนโซฟาคนนี้กลับแต่งตัวแบบจีนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า หาร่องรอยของความเป็นคนสมัยใหม่ที่เพิ่งกลับมาจากร่ำเรียนที่ต่างประเทศไม่พบเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ถ้วยน้ำชาที่คนรับใช้นำมาให้หลิงซูก็ยังไม่ใช่ถ้วยกระเบื้องแบบตะวันตก แต่เป็นจอกน้ำชาลายคราม

สิ่งเหล่านี้อธิบายได้เพียงอย่างเดียว นั่นคือนายหญิงผู้นี้ไม่ได้สนใจเรื่องตกแต่งบ้านแต่อย่างใด

พูดให้ถูกคือเธอไม่ได้รู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของบ้านหลังนี้

หลิงซูพบว่าอีกฝ่ายดูคล้ายกังวลกับการปรากฏตัวของเขาอยู่เล็กน้อย

สองมือวางซ้อนกันอยู่บนเข่า นิ้วงอขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวพลางเขี่ยกระโปรงตัวเองเบาๆ ริมฝีปากเม้มเล็กน้อย คอยกลืนน้ำลายเป็นระยะ สายตาของเธอดูเหมือนจะมองเขา แต่ก็ลอยออกไปที่อื่นเป็นพักๆ

สิ่งเหล่านี้คือการแสดงออกเล็กๆ น้อยๆ ว่ากำลังประหม่า

หากไม่พูดถึงเรื่องเหล่านี้ อีกฝ่ายก็ยังอายุน้อยอยู่มาก อาจจะอายุยี่สิบต้นๆ ก็ได้ แม้ว่าผมจะถูกหวีเสยไปด้านหลังแต่ก็ยังคงดูดีมีรสนิยมอยู่บ้าง พูดกันตรงๆ ก็คงเทียบหลิงเหยาไม่ได้ แต่ก็ไม่อาจจัดว่าอยู่นอกเหนือจากความปรารถนาในสิ่งสดใหม่ของโจวซ่า อย่างไรก็เป็นสัญชาตญาณของผู้ชาย หลิงซูเองก็เข้าใจ ไม่ว่าจะประพฤติตัวอยู่กับร่องกับรอยแค่ไหนก็ยากที่จะเลี่ยงไม่ให้จิตใจหวั่นไหว แล้วก้าวผิดเดินพลาดได้

“คุณตำรวจหลิง ไม่ทราบว่าที่มากะทันหันนี้มีเรื่องอะไรเหรอคะ ครอบครัวเรารักษากฎหมาย ไม่เคยทำอะไรผิดเลยนะคะ”

เดิมทีหลิงซูว่าจะเปิดเผยสถานะของตนไปตามตรง แต่เมื่อเห็นเธอมีปฏิกิริยาเช่นนี้ก็เปลี่ยนใจ

“คุณซุนครับ ไม่ต้องวิตกไปนะครับ ที่ผมมาเยี่ยมเยือนครั้งนี้เพราะมีเรื่องเกี่ยวข้องกับคุณผู้ชายแซ่โจวน่ะครับ”

ที่เขารู้แซ่ของนายหญิงบ้านนี้ก็เพราะที่ประตูด้านนอกมีป้ายไม้เขียนบอกเอาไว้ว่าเป็นบ้านสกุลซุนนั่นเอง

ยังพูดไม่ทันจบก็มีเสียงความเคลื่อนไหวดังมาจากประตู จากนั้นก็เป็นเสียงเล็กๆ ของเด็กน้อยคนหนึ่ง

“แม่ฮะ ผมกลับมาแล้ว!”

คนรับใช้หญิงเปิดประตู เด็กผู้ชายคนหนึ่งวิ่งตุ้บตั้บเข้ามา เมื่อเห็นว่าในบ้านมีแขกก็หยุดฝีเท้ามองพิจารณาอย่างสงสัยใคร่รู้

หลิงซูยิ้มให้เด็กน้อย

เด็กชายดูค่อนข้างเกรงใจ เขาหันไปหามารดา

“แม่ ผมหิวแล้ว!”

นางซุนกอดเด็กน้อยเอาไว้ พูดปลอบเบาๆ สองสามคำแล้วก็ให้คนรับใช้พาเขาไป

“ขอโทษด้วยนะคะคุณตำรวจหลิง เด็กๆ ก็วุ่นวายอย่างนี้ล่ะค่ะ เชิญพูดต่อเลย”

หลิงซูว่า “ไม่ทราบว่าคุณรู้จักโจวซ่าไหมครับ”

นางซุนมีสีหน้าตกใจ เธอพยักหน้า ดูไม่ค่อยสบายใจนัก “รู้จักค่ะ เกิดอะไรขึ้นกับเขาเหรอคะ”

“ผมอยากทราบว่าคุณโจวกับคุณซุนมีความสัมพันธ์ยังไงกันเหรอครับ”

“เพื่อนค่ะ คุณโจวช่วยเหลือฉันหลายเรื่อง ฉันรู้สึกขอบคุณเขามากเลยค่ะ”

หลิงซูเอ่ย “ผมขอพูดตามตรงเลยแล้วกันนะครับ พี่สาวของผมแซ่หลิง เป็นภรรยาของโจวซ่า ส่วนผมก็เป็นน้องภรรยาของโจวซ่า พี่สาวกับพี่เขยของผมมีเรื่องระหองระแหงกันเล็กน้อยเพราะคุณ ผมในฐานะญาติก็ไม่อาจนิ่งดูดายได้ จึงต้องมาขอทำความเข้าใจสักหน่อยครับ ผมขอรบกวนสักนิด ไม่ทราบว่าคุณซุนจะบอกผมได้หรือเปล่าครับว่าความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับพี่เขยของผมเป็นเพียงแค่เพื่อนกันจริงๆ ใช่ไหมครับ”

หนึ่งชั่วโมงให้หลัง หลิงซูก็ออกมาจากบ้านซุน

เขาไม่ได้ขัดแย้งโต้เถียงอะไรกับคุณซุนทั้งสิ้น ทั้งคู่พูดคุยกันอย่างดีตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ความสงสัยและความรู้สึกแปลกประหลาดเต็มหัวใจของเขากลับยิ่งทวีความเข้มข้นขึ้น หลิงซูร้อนรนจนต้องรีบหาใครสักคนมาระบายและวิเคราะห์เรื่องนี้

นอกอาคารไม่ได้อุ่นเท่าในอาคาร เมื่อลมพัดมาเขาก็ทนไม่ไหวจนต้องจามออกมา

เข้าฤดูร้อนแล้ว หลิงซูไม่ได้รู้สึกหนาว

ถ้าอย่างนั้นใครกันนะที่แอบบ่นถึงเขาไม่หยุดหย่อนอยู่ตอนนี้

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน คดีลับใต้หมู่ดาว เล่ม 3 (เล่มจบ)

 

วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub และร้านหนังสือทั่วไป

รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่ Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN

 

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: