ทดลองอ่าน คดีลับใต้หมู่ดาว เล่ม 3 บทที่ 126-127 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน คดีลับใต้หมู่ดาว เล่ม 3 บทที่ 126-127 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

บทที่ 127

ลูกบ้านอื่นดีกว่าลูกตัวเองทั้งนั้น

ก็เหมือนที่เยวี่ยชุนเสี่ยวรู้สึกสบายหูสบายตากับหลิงซูเหลือเกินนั่นล่ะ หลิงเหยาเองก็มองเยวี่ยติ้งถังด้วยความเชื่อใจมากกว่าหลิงซูเช่นกัน

ในสายตาของเธอ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับสองคนนี้พร้อมกัน จะต้องเป็นความรับผิดชอบของหลิงซูมากกว่าครึ่งอย่างแน่นอน อย่างไรเสียเยวี่ยติ้งถังก็สุขุมน่าเชื่อถือขนาดนั้น ดูหนักแน่นจริงจังขนาดนั้น

ตอนเด็กๆ หลิงซูกับเยวี่ยติ้งถังคอยแต่จะปะทะกันให้วุ่นวาย สิ่งนี้ในความทรงจำของหลายๆ คนเป็นเรื่องที่ไกลออกไปมากแล้ว ตอนนี้ภาพจำของสองคนนี้คือฝ่ายหนึ่งใช้ชีวิตแค่ให้มันจบๆ ผ่านๆ ไป ส่วนอีกฝ่ายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน

หลิงซูรู้สึกน้อยอกน้อยใจแต่ก็ไม่เคยแก้ต่างอะไร เขาใช้ชีวิตอยู่กับความคับแค้นเหมือนโต้วเอ๋อ ได้แต่หวังให้มีหิมะเดือนหก มาให้พี่สาวของเขาได้เห็นจนตาสว่างสักวันหนึ่ง

แต่หลิงเหยาไม่ได้อยากฟังคำอธิบายของน้องชาย ก่อนเยวี่ยติ้งถังจะตื่นเธอก็เลี่ยงออกไปจากห้องนั้นเสียก่อน

หลิงซูจ้องมองเยวี่ยติ้งถังที่ค่อยๆ ลืมตาขึ้น

“นายทำอะไรฉัน”

เยวี่ยติ้งถังมองดูชายเสื้อที่เปิดกว้างของตน แล้วก็มองชุดนอนที่ยังมิดชิดเรียบร้อยของหลิงซู

“นายไม่รู้สึกว่าพูดแบบนี้มันจะเหมือนคนร้ายชิงแจ้งความก่อนหรือไง”

หลิงซูขึ้นเสียง “เมื่อคืนฉันเมานะ!”

เยวี่ยติ้งถังพยักหน้า “พูดได้ดี เมาแล้วลวนลาม”

หลิงซู “…”

สิ่งที่เรียกว่าขาวดำกลับตาลปัตรไม่แบ่งแยกถูกผิดฟ้าดินพลิกตลบเป็นยังไง ในที่สุดเขาก็ได้รู้แล้ว

“หัวหน้าเยวี่ยครับ ปากแบบนี้ถ้าไปอยู่สมัยราชวงศ์ชิงล่ะก็ ไปเป็นเจ้าพนักงานกรมอาญาได้เลยนะ”

หลิงซูลุกไม่ขึ้น เขายังมีอาการเมาค้างอยู่ รู้สึกศีรษะหนักเท้าเบาทั้งยังรู้สึกล่องลอยนิดๆ กิริยาก็เชื่องช้ากว่าปกติเล็กน้อย เขาหันกลับมาประชดด้วยสีหน้าคล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่เชิง

เยวี่ยติ้งถังนึกถึงความเป็นไปได้ที่เขาจะโถมตัวใส่อีกฝ่ายแล้วทำให้สิ่งที่พูดเป็นจริงไปเสียเลย แล้วก็นึกถึงความจริงที่ว่าหลิงเหยายังรออยู่ข้างนอก สุดท้ายเขาก็เลือกอย่างหลัง

“ความสามารถในการต่อปากต่อคำของฉันก็เรียนรู้มาจากนายนั่นแหละ ต้องขอบคุณที่สมัยเรียนนายยั่วยุฉันไม่หยุด เลยเป็นการกระตุ้นฉันทางอ้อม”

เขาตอกกลับไปเรียบๆ ถือโอกาสชื่นชมภาพอีกฝ่ายเปลี่ยนเสื้อผ้าต่อหน้าเขาไปด้วย

หลิงซูรู้สึกถึงสายตาแปลกๆ นั้นช้าไปครึ่งจังหวะ เขาสวมกางเกงไปครึ่งหนึ่งก็กระโดดเข้าห้องน้ำไป

เยวี่ยติ้งถังหัวเราะ จากนั้นจึงลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้าบ้าง

เสื้อโค้ตผ้าสักหลาดกับเสื้อสูทนั้นเมื่อแขวนเอาไว้ข้างเตาผิงหนึ่งคืนก็เกือบจะแห้งสนิทแล้ว

เยวี่ยติ้งถังกำลังคิดว่าก่อนไปมหาวิทยาลัยเขาควรจะกลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าสักหน่อยหรือเปล่า เขาค่อนข้างจะเป็นโรครักสะอาดอยู่เล็กน้อย มักจะรู้สึกว่าแม้เสื้อจะแห้งแล้วแต่ก็ยังสกปรกเพราะน้ำฝน ถ้าสวมไปจะรู้สึกแปลกๆ

ในห้องรับแขก อาหารเช้าทำเอาไว้พร้อมแล้ว มีแป้งทอดกับน้ำเต้าหู้

หลิงเหยานั่งเหม่ออยู่ที่โต๊ะ เมื่อเห็นพวกเขาออกมาก็ลุกขึ้นกลบเกลื่อนด้วยการทำเป็นวุ่นวาย

“พี่กินเสร็จแล้ว จะออกไปจ่ายตลาดหน่อยนะ พวกเธอก็ค่อยๆ กินกันไปแล้วกัน”

หลิงซูมองซ้ายมองขวา “พี่เขยล่ะ ไปทำงานแล้วเหรอ”

หลิงเหยาซึมไปทันที “เขาไม่ได้กลับมาทั้งคืน”

หา?…หลิงซูลืมแป้งทอดที่เคี้ยวอยู่ในปากไปชั่วขณะ

ครั้งนี้ดูท่าจะร้ายแรงจริงๆ แล้ว

สามีภรรยาทะเลาะกันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ปกติทะเลาะกันไม่นานก็กลับมาคืนดี โจวซ่าก็หายโมโหเร็ว การจะไปค้างคืนนอกบ้านจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลย

“พี่…พี่อย่าเพิ่งร้อนใจไป เดี๋ยวผมกินข้าวเสร็จจะไปตามหาพี่เขยเอง”

ทว่าหลิงเหยากลับปลงตกเสียแล้ว “ช่างเถอะ หาตัวเจอแล้วยังไง กลับมาก็ทะเลาะกันอีก ถ้าเขาไปมีคนใหม่จริงพี่เลิกกับเขาก็จบ”

“เดี๋ยวๆ ความคิดแง่ลบแบบนี้ผมไม่เอาด้วยหรอก!” หลิงซูรีบโน้มน้าว “ผมกินอิ่มแล้ว จะไปตามหาพี่เขยเดี๋ยวนี้แหละ เอาไว้ผมพาพี่เขยกลับมาเมื่อไหร่พวกพี่ก็คุยกันดีๆ อย่าทะเลาะกันอีกเด็ดขาดนะ!”

ว่าแล้วเขาก็ยกน้ำเต้าหู้ขึ้นดื่มอึกใหญ่ ตอนที่รีบร้อนออกไปในปากยังมีแป้งทอดที่เคี้ยวไม่หมดอยู่เลย

“เดี๋ยว หมวกเธอล่ะ!”

หลิงเหยารู้สึกตัวช้าไปครึ่งจังหวะ

หลิงซูหายลับจากประตูไปแล้ว แม้แต่เยวี่ยติ้งถังเขาก็ไม่สนใจ

“พี่หลิงเหยา ผมเอาไปให้เขาเองครับ”

เยวี่ยติ้งถังลุกขึ้นอย่างไม่ช้าไม่เร็ว กิริยานั้นดูสง่างามสงบนิ่งกว่าหลิงซูมาก

“เดี๋ยวก่อนติ้งถัง!” หลิงเหยาเรียกเขาเอาไว้ เธอชะงักเล็กน้อยแล้วก็ยิ้มขื่นให้ “พี่มีอะไรอยากพูดกับเธอนิดหน่อย”

“ผมขอออกไปหาเขาก่อนแล้วกันครับ ถ้ามีอะไรเดี๋ยวตอนเย็นกลับมาค่อยว่ากันก็ยังไม่สาย”

“พี่รู้ว่าหลายปีนั้นเขาไม่ได้ไปเรียนที่ต่างประเทศ”

จู่ๆ หลิงเหยาก็พูดขึ้นมา ทำให้เยวี่ยติ้งถังชะงักฝีเท้า

“หลิงซูไปแปดปี ตอนกลับมาก็เปลี่ยนไปหมดทั้งตัว พี่เกือบจะจำไม่ได้แน่ะ เขาบอกว่าตัวเองไปเรียนที่ต่างประเทศ ไปฝรั่งเศส แต่ภาษาฝรั่งเศสก็ยังพูดไม่ได้เลย พี่ไม่รู้ว่าแปดปีนั้นเขาใช้ชีวิตยังไงบ้าง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาไปที่ไหน ไปทำอะไรมา พี่ลองเลียบๆ เคียงๆ ถามดูแต่เขาก็ระวังตัวแจ ไม่ยอมหลุดปากออกมาสักคำเดียว

แต่พี่รู้ แปดปีนั้นเขาคงไปลำบากมาไม่น้อย เมื่อก่อนเวลานอนต่อให้ฟ้าผ่ายังไงก็ไม่ตื่น แต่พอกลับมาแค่เสียงเคลื่อนไหวนิดๆ หน่อยๆ ก็ทำให้เขาตื่นได้ แล้วยังจะมาหลอกพี่ว่าที่ฝึกเขียนหนังสือด้วยมือซ้ายเพราะว่าสนุกดี ทั้งที่มือขวาได้รับบาดเจ็บจนไม่มีแรงชัดๆ นี่เขาเห็นพี่เป็นคนโง่หรือไง”

พูดไปพูดมาหลิงเหยาก็ตาแดง น้ำเสียงฟังดูสะอื้น

“พูดกันถึงที่สุดแล้วพี่ก็เป็นแค่ผู้หญิงที่มีความรู้จำกัดนัก ช่วยอะไรเขาไม่ได้ แล้วเจ้าหมอนี่ก็ดันหัวสูงเสียด้วย ไม่ถูกใจผู้หญิงธรรมดาๆ กับเขาหรอก พี่ก็ไม่รู้ว่าคนเป็นพี่สาวอย่างพี่จะอยู่ดูแลเขาไปได้อีกนานแค่ไหน ติ้งถัง พวกเธอสองคนเคยสนิทสนมกันมาตั้งแต่เมื่อก่อน ผูกพันกันเป็นพิเศษ พี่รบกวนให้เธอช่วยโน้มน้าวเขาหน่อยได้ไหม ช่วยเป็นหูเป็นตาดูแลเขามากๆ ต่อให้สาวเต้นรำพวกนั้นมาชอบพอเขา ขอแค่เป็นคนดีสักหน่อยพี่ก็ยอมรับได้”

เยวี่ยติ้งถังขมวดคิ้ว

คำพูดนี้ทำไมฟังดูเหมือนกำลังสั่งเสียอย่างไรอย่างนั้น ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่หลิงเหยาพูดออกมาเขาก็ไม่ชอบฟังเอาเสียเลย

“พี่ไม่ต้องเป็นห่วงหลิงซูหรอกครับ” เขาไม่ยอมให้เธอพูดต่อจึงตัดบททันที “เขาไม่เคยไปเรียนที่ต่างประเทศแล้วยังไง โลกนี้มีแต่พวกสัตว์ร้ายที่ร่ำเรียนมาแต่กลับไม่ได้เอาไปใช้ในทางที่ถูกทำนองคลองธรรมอยู่มากมายเต็มไปหมด หลิงซูมีหัวใจบริสุทธิ์เหมือนเด็กน้อย งดงามกระจ่างใส หาได้ยากในผู้คน คนที่มาชอบเขามีมากมาย แต่คนที่ปฏิบัติต่อเขาอย่างจริงใจไม่ทิ้งร้างห่างไกล ร่วมทุกข์ร่วมลำบากกับเขาจะมีสักกี่คน ต่อให้จริงใจกับเขาก็อาจจะทำอะไรไม่ได้ตามที่ปรารถนา ปกป้องเขาไม่ได้ แล้วจะมีประโยชน์อะไรล่ะครับ…ต่อไปถ้ามือขวาเขาใช้การไม่ได้ ผมก็จะเป็นมือขวาให้เขา ถ้ามีผมอยู่ จะไม่เกิดอะไรขึ้นกับเขาแน่นอนครับ”

“…”

“สิ่งที่หลิงซูหวังมากที่สุดก็คืออยากให้พี่มีความสุขและเป็นตัวของตัวเอง เขาโตแล้ว เขาเป็นผู้ชายคนหนึ่ง สามารถจะเดินไปบนเส้นทางที่ตัวเองอยากจะเดินได้แล้ว แต่พี่คือคนที่เขาไม่มีวันทิ้งได้ ไม่ว่าพี่กับโจวซ่าจะแยกทางกันก็ดี จะคบกันต่อไปก็ดี อย่างไรพี่ก็เป็นพี่สาวแท้ๆ ของเขา ขอแค่พี่มีชีวิตที่ดีเขาก็วางใจแล้วครับ”

หลิงเหยาอึ้งไปเล็กน้อย

เยวี่ยติ้งถังกลับไม่ให้เวลาเธอได้คิดมากนัก เขาหยิบหมวกของหลิงซูแล้วก็พยักหน้าให้เธอ เอ่ยขอตัวก่อนจะรีบจากไป

 

หลิงซูลืมเรื่องหมวกไปนานแล้ว

เขาไปที่สำนักงานเทศบาลนครก่อน ไปถามข่าวคราวแล้วก็ได้ความมาว่าวันนี้โจวซ่าลาหยุด ไม่ได้มาทำงาน ดังนั้นเขาจึงตรงไปที่เขตเช่า ซึ่งก็คือด้านนอกของอาคารตะวันตกที่หลิงเหยามา ‘จับชู้’ คราวก่อนนั่นเอง

ความขัดแย้งระหว่างหลิงเหยากับโจวซ่ามาถึงจุดที่ต้องแก้ไขแล้ว ครั้งนี้หลิงซูไม่ได้รออยู่ข้างนอกแต่เป็นฝ่ายเข้าไปหาถึงที่เอง

เขากดกริ่งที่ประตูรั้วด้านนอก

เพียงครู่เดียวประตูอาคารตะวันตกก็เปิดออก ผู้หญิงที่แต่งตัวอย่างคนรับใช้คนหนึ่งยืนอยู่ที่ประตูมองหลิงซูที่อยู่รั้วด้านนอก

“สวัสดีครับ ผมแซ่หลิง เป็นตำรวจจากกรมตำรวจประจำนคร นี่บัตรประจำตัวผมครับ”

คนรับใช้ตกใจมาก “คุณตำรวจ ไม่ทราบมีเรื่องอะไรเหรอคะ”

“ผมทำคดีหนึ่งอยู่ซึ่งเกี่ยวข้องกับนายหญิงบ้านนี้น่ะครับ ถ้าไม่สะดวกให้ผมเข้าไป รบกวนคุณเข้าไปบอกให้คุณนายออกมาหน่อยได้ไหมครับ เราคุยกันตรงนี้ก็ได้”

คนรับใช้ลังเลครู่หนึ่ง “คุณรอเดี๋ยวนะคะ”

หลิงซูยังคิดอยู่ว่าควรจะยกเอาชื่อโจวซ่าออกมาดีหรือไม่เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ออกมาพบเขา แต่แล้วคนรับใช้หญิงก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เธอเดินออกมาแล้วก็เปิดประตูรั้วให้หลิงซู

“สวัสดีค่ะคุณหลิง คุณนายเชิญคุณเข้าไปข้างในค่ะ”

“ขอบคุณมากครับ”

เจ้าของอาคารตะวันตกหลังนี้คนก่อนคงจะเป็นคนตะวันตก เขาคงจะขายบ้านด้วยสาเหตุบางประการแล้วเจ้าของคนปัจจุบันก็มาซื้อเอาไว้ การตกแต่งอาคารในทุกส่วนที่หลิงซูมองเห็นนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายแบบตะวันตก ของหลายๆ อย่างเป็นของที่เจ้าของคนก่อนทิ้งเอาไว้ ของตกแต่งแบบจีนนั้นแทบไม่มีเลย

ปกติแล้วสิ่งแรกที่คนเราจะทำหลังจากมีบ้านก็คือการวางของที่เป็นของตนเอาไว้ โดยเฉพาะผู้หญิง ของเล็กๆ กระจุ๋มกระจิ๋มทั้งหลายจะแสดงถึงความเป็นเจ้าของและตัวตนของเจ้าของ จะมากจะน้อยก็ต้องมีร่องรอยอยู่บ้าง

แต่บ้านหลังนี้กลับไม่มีเลย ทั้งหมดล้วนมีแต่ของตกแต่งแบบตะวันตกทั้งสิ้น

ทว่าคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าหลิงซูตอนนี้ สุภาพสตรีที่นั่งอยู่บนโซฟาคนนี้กลับแต่งตัวแบบจีนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า หาร่องรอยของความเป็นคนสมัยใหม่ที่เพิ่งกลับมาจากร่ำเรียนที่ต่างประเทศไม่พบเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ถ้วยน้ำชาที่คนรับใช้นำมาให้หลิงซูก็ยังไม่ใช่ถ้วยกระเบื้องแบบตะวันตก แต่เป็นจอกน้ำชาลายคราม

สิ่งเหล่านี้อธิบายได้เพียงอย่างเดียว นั่นคือนายหญิงผู้นี้ไม่ได้สนใจเรื่องตกแต่งบ้านแต่อย่างใด

พูดให้ถูกคือเธอไม่ได้รู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของบ้านหลังนี้

หลิงซูพบว่าอีกฝ่ายดูคล้ายกังวลกับการปรากฏตัวของเขาอยู่เล็กน้อย

สองมือวางซ้อนกันอยู่บนเข่า นิ้วงอขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวพลางเขี่ยกระโปรงตัวเองเบาๆ ริมฝีปากเม้มเล็กน้อย คอยกลืนน้ำลายเป็นระยะ สายตาของเธอดูเหมือนจะมองเขา แต่ก็ลอยออกไปที่อื่นเป็นพักๆ

สิ่งเหล่านี้คือการแสดงออกเล็กๆ น้อยๆ ว่ากำลังประหม่า

หากไม่พูดถึงเรื่องเหล่านี้ อีกฝ่ายก็ยังอายุน้อยอยู่มาก อาจจะอายุยี่สิบต้นๆ ก็ได้ แม้ว่าผมจะถูกหวีเสยไปด้านหลังแต่ก็ยังคงดูดีมีรสนิยมอยู่บ้าง พูดกันตรงๆ ก็คงเทียบหลิงเหยาไม่ได้ แต่ก็ไม่อาจจัดว่าอยู่นอกเหนือจากความปรารถนาในสิ่งสดใหม่ของโจวซ่า อย่างไรก็เป็นสัญชาตญาณของผู้ชาย หลิงซูเองก็เข้าใจ ไม่ว่าจะประพฤติตัวอยู่กับร่องกับรอยแค่ไหนก็ยากที่จะเลี่ยงไม่ให้จิตใจหวั่นไหว แล้วก้าวผิดเดินพลาดได้

“คุณตำรวจหลิง ไม่ทราบว่าที่มากะทันหันนี้มีเรื่องอะไรเหรอคะ ครอบครัวเรารักษากฎหมาย ไม่เคยทำอะไรผิดเลยนะคะ”

เดิมทีหลิงซูว่าจะเปิดเผยสถานะของตนไปตามตรง แต่เมื่อเห็นเธอมีปฏิกิริยาเช่นนี้ก็เปลี่ยนใจ

“คุณซุนครับ ไม่ต้องวิตกไปนะครับ ที่ผมมาเยี่ยมเยือนครั้งนี้เพราะมีเรื่องเกี่ยวข้องกับคุณผู้ชายแซ่โจวน่ะครับ”

ที่เขารู้แซ่ของนายหญิงบ้านนี้ก็เพราะที่ประตูด้านนอกมีป้ายไม้เขียนบอกเอาไว้ว่าเป็นบ้านสกุลซุนนั่นเอง

ยังพูดไม่ทันจบก็มีเสียงความเคลื่อนไหวดังมาจากประตู จากนั้นก็เป็นเสียงเล็กๆ ของเด็กน้อยคนหนึ่ง

“แม่ฮะ ผมกลับมาแล้ว!”

คนรับใช้หญิงเปิดประตู เด็กผู้ชายคนหนึ่งวิ่งตุ้บตั้บเข้ามา เมื่อเห็นว่าในบ้านมีแขกก็หยุดฝีเท้ามองพิจารณาอย่างสงสัยใคร่รู้

หลิงซูยิ้มให้เด็กน้อย

เด็กชายดูค่อนข้างเกรงใจ เขาหันไปหามารดา

“แม่ ผมหิวแล้ว!”

นางซุนกอดเด็กน้อยเอาไว้ พูดปลอบเบาๆ สองสามคำแล้วก็ให้คนรับใช้พาเขาไป

“ขอโทษด้วยนะคะคุณตำรวจหลิง เด็กๆ ก็วุ่นวายอย่างนี้ล่ะค่ะ เชิญพูดต่อเลย”

หลิงซูว่า “ไม่ทราบว่าคุณรู้จักโจวซ่าไหมครับ”

นางซุนมีสีหน้าตกใจ เธอพยักหน้า ดูไม่ค่อยสบายใจนัก “รู้จักค่ะ เกิดอะไรขึ้นกับเขาเหรอคะ”

“ผมอยากทราบว่าคุณโจวกับคุณซุนมีความสัมพันธ์ยังไงกันเหรอครับ”

“เพื่อนค่ะ คุณโจวช่วยเหลือฉันหลายเรื่อง ฉันรู้สึกขอบคุณเขามากเลยค่ะ”

หลิงซูเอ่ย “ผมขอพูดตามตรงเลยแล้วกันนะครับ พี่สาวของผมแซ่หลิง เป็นภรรยาของโจวซ่า ส่วนผมก็เป็นน้องภรรยาของโจวซ่า พี่สาวกับพี่เขยของผมมีเรื่องระหองระแหงกันเล็กน้อยเพราะคุณ ผมในฐานะญาติก็ไม่อาจนิ่งดูดายได้ จึงต้องมาขอทำความเข้าใจสักหน่อยครับ ผมขอรบกวนสักนิด ไม่ทราบว่าคุณซุนจะบอกผมได้หรือเปล่าครับว่าความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับพี่เขยของผมเป็นเพียงแค่เพื่อนกันจริงๆ ใช่ไหมครับ”

หนึ่งชั่วโมงให้หลัง หลิงซูก็ออกมาจากบ้านซุน

เขาไม่ได้ขัดแย้งโต้เถียงอะไรกับคุณซุนทั้งสิ้น ทั้งคู่พูดคุยกันอย่างดีตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ความสงสัยและความรู้สึกแปลกประหลาดเต็มหัวใจของเขากลับยิ่งทวีความเข้มข้นขึ้น หลิงซูร้อนรนจนต้องรีบหาใครสักคนมาระบายและวิเคราะห์เรื่องนี้

นอกอาคารไม่ได้อุ่นเท่าในอาคาร เมื่อลมพัดมาเขาก็ทนไม่ไหวจนต้องจามออกมา

เข้าฤดูร้อนแล้ว หลิงซูไม่ได้รู้สึกหนาว

ถ้าอย่างนั้นใครกันนะที่แอบบ่นถึงเขาไม่หยุดหย่อนอยู่ตอนนี้

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน คดีลับใต้หมู่ดาว เล่ม 3 (เล่มจบ)

 

วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub และร้านหนังสือทั่วไป

รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่ Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN

 

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 1

บทที่ 1 สายฝน+ไหวพริบ ต้นฤดูใบไม้ผลิเมืองเซิ่งจิงมีฝนตกชุก ราวกับผ้าไหมผืนบางที่ปกคลุมผืนฟ้า ทำให้ลานที่รกร้างเงียบเหงาข...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 2

บทที่ 2 ความสงสัย+คลื่นใต้น้ำ เจ้าเมืองหลี่ตามซูโม่อี้ออกไปแล้ว หลินหวั่นชิงเห็นเงาของเขาวิ่งอยู่ไกลๆ รู้สึกว่าชุดทางการ...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 6

บทที่ 6 คณิกา+เมาสุรา หอคณิกาตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเซิ่งจิง เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘เป่ยหลี่’ ที่นี่ห่างจากที่ตั้งของ...

ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 124

บทที่หนึ่งร้อยยี่สิบสี่ เพราะเป็นภาคเรียนสุดท้ายนักเรียนปีสี่จะจบการศึกษาในฤดูร้อนของปีนี้ การเรียนการสอนในห้องเรียนแทบจ...

community.jamsai.com