X
    Categories: everYคดีลับใต้หมู่ดาวทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน คดีลับใต้หมู่ดาว เล่ม 3 บทที่ 124-125 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การฆาตกรรม

การทารุณกรรม ทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การกักขังหน่วงเหนี่ยว

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ การค้ามนุษย์

การฆ่าตัวตาย และการกินเนื้อเผ่าพันธุ์เดียวกันซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน

ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – – 

 

บทที่ 124

“ไม่ได้มาหาเธอตั้งนาน เธอดูผอมลงนะ”

คางของหย่าฉีถูกเชยขึ้น เธอได้ยินหลิงซูเอ่ยตามนั้น แต่ที่จริงเธอได้ยินไม่ชัดหรอกว่าอีกฝ่ายพูดอะไร เพียงแค่รู้สึกว่าลมหายใจของหลิงซูอยู่ใกล้มาก

ทำให้คล้ายจะถูกมอมเมา

“ฉันดูขี้เหร่ขึ้นหรือเปล่าคะ”

หย่าฉีจับหน้าตัวเองทันที เธอใส่ใจกับความคิดเห็นของหลิงซูมาก

“เปล่า ยังสวยเหมือนเมื่อก่อนเลย เพียงแต่ผอมลงไปเท่านั้นเอง ฉันชอบให้เธอมีน้ำมีนวลกว่านี้หน่อย จับแล้วมีเนื้อมีหนัง”

ปากก็พูดหยอกเล่นไปอย่างนั้น ความจริงหลิงซูเพียงแค่ยื่นมือมาหยิกแก้มเธอเบาๆ แตกต่างจากพวกลูกค้าลามกที่มือไม้ชอบอยู่ไม่สุขจับโน่นจับนี่โดยสิ้นเชิง

“โรส องุ่นนี้เอามาจากไหน” เขาถามสาวเต้นรำที่อยู่อีกด้าน

“วันนี้เพิ่งจะส่งมาสดๆ เลยค่ะ คุณชายหลิงรู้เรื่องสินค้าพวกนี้ดีจริง” โรสหัวเราะคิกคัก เธอไม่ได้ดูสงวนท่าทีไม่ประสีประสาเหมือนครั้งแรกที่พบกันอีกแล้ว

ที่นี่ก็เหมือนถังย้อมผ้าใบใหญ่ เมื่อมีผ้าขาวเข้ามา ต่อให้ไม่โดนย้อมเป็นสีดำหรือสีน้ำเงิน อย่างน้อยๆ ก็ต้องโดนย้อมเป็นสีชมพูบ้าง

“ช่วยไปเอามาให้ฉันอีกหน่อยสิ มีแค่นี้จะพอให้พวกเราแบ่งกันกินที่ไหน”

เมื่อหลิงซูเอ่ยปาก โรสจึงไปทันที

พักนี้เธอชอบประชันกันกับหย่าฉี ลูกค้าที่ชอบมาหาหย่าฉีมีไม่น้อยที่ถูกเธอดึงตัวไป และเธอก็เริ่มกระหายจะช่วงชิงตำแหน่งสาวเต้นรำอันดับหนึ่งของฟลอเรนซ์แล้ว

หย่าฉีไม่ใช่คนโง่ เธอเข้าใจดี เพียงแต่ต่อหน้าเธอกับโรสจะทำตัวปรองดองกัน คลื่นใต้น้ำทั้งหมดนั้นมีแต่คนในที่รู้กันดี เธอไม่ยอมให้หลิงซูรู้เรื่องพวกนี้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นภาพลักษณ์ดีๆ ของตัวเธอก็อาจโดยทำลายได้

ขณะกำลังเหม่อลอย ในมือก็กลับมีถุงเครื่องหอมเล็กๆ

“สาวสวยที่ไหนให้คุณมาอีกคะเนี่ย ฉันไม่อยากได้ของที่คนอื่นให้คุณหรอกนะคะ”

เธอแกล้งทำแง่งอน ปิดบังความริษยาในใจ

หลิงซูว่า “เปิดดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

หย่าฉีทำปากยื่นขณะคลายเชือกบนถุงเครื่องหอม จากนั้นสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นประหลาดใจขึ้นมาทันที

ข้างในนั้นมีธนบัตรดอลลาร์สหรัฐอยู่หลายม้วน ทั้งยังมีเงินต้าหยางที่กระทบแสงจนตาพร่า ทั้งหมดถูกใส่เอาไว้เต็มถุงเครื่องหอม มิน่าเล่ามันจึงได้หนักอึ้งอย่างนี้

“นี่มัน…คุณชายหลิง”

“รับไว้เถอะ เงินสะอาดทั้งนั้น เธออยากไปจากฟลอเรนซ์มาตลอดไม่ใช่เหรอ ที่นี่ไม่เหมาะกับเธอ ไปหาญาติที่เธอพอจะหนีไปอยู่ด้วยได้สักคนก่อนนะ อยู่คนเดียวข้างนอกไม่ปลอดภัย แล้วก็…อย่าให้ใครเห็นเงินพวกนี้ล่ะ”

เดิมทีเงินค่าตอบแทนที่เหอโย่วอันมอบให้เขาเอาไว้นั้นมีจำนวนมาก หลิงซูจึงนำเงินส่วนใหญ่ไปบริจาคเรียบร้อย ทั้งยังเหลือส่วนหนึ่งเอาไว้ให้เด็กกำพร้าสกุลเหอคนนั้น ส่วนที่เหลือเขาก็เอามาใส่ไว้ในถุงเครื่องหอมนี้

หย่าฉีตาแดง

“ขอบคุณนะคะคุณชายหลิง แต่เงินนี้คุณก็น่าจะหามาไม่ง่ายเลย ฉันคงรับไว้…”

หลิงซูเอ่ยอย่างเกียจคร้านพลางพิงโซฟา เหมือนรำคาญการร้องไห้กระซิกๆ ของเธอ

“พอได้แล้วๆ เลิกทำซึ้งเสียที รีบเก็บไปได้แล้วน่า เดี๋ยวยายโรสนั่นกลับมาเห็นเข้าต้องเอาไปฟ้องต้าปันแน่ ถึงเวลานั้นเธอจะไม่เหลือเงินสักเฟินเดียว!”

หย่าฉีเหลือบมองด้วยหางตาแล้วก็เห็นว่าโรสกำลังเดินมา เธอไม่ทันได้พูดอะไรมากแล้วก็รีบเก็บถุงเครื่องหอมเอาไว้กับตัวก่อนจะก้มหน้าก้มตาปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้งเธอก็กลับมาเป็นสาวเต้นรำหย่าฉีผู้งดงามและมั่นใจคนเดิม

“คุณดีกับฉันอย่างนี้แต่กลับไม่แตะต้องฉันเลย คนอื่นเขามีแต่จะซื้อเวลาพาฉันออกไปข้างนอก แต่คุณไม่เคยเลยนะคะ”

คำพูดนี้ไม่ใช่เพียงคำตัดพ้อ ที่จริงหากหลิงซูแตะต้องเธอ ตัวเธอเองที่จะเป็นฝ่ายจ่ายเงินให้เขาเสียด้วยซ้ำ

หลิงซูเชยคางของเธอขึ้น เขามองซ้ายมองขวา

“ฉันไม่ชอบผู้หญิงขี้งอน ฉันชอบเวลาเธอยิ้มที่ดูหวานเหมือนแตงน้ำผึ้ง”

หย่าฉีหัวเราะ “ทำไมไม่ใช่องุ่นล่ะคะ”

เธอรู้สึกได้ถึงอ้อมแขนที่โอบเอวบางของเธอเข้าไป หลิงซูโน้มเข้ามาทั้งตัว จนใจของเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ

“เพราะองุ่นยังมีเปรี้ยวบ้าง บางครั้งก็กินโดนลูกที่เปรี้ยว เลยไม่ค่อยจะถูกปากน่ะ”

พวกเขาอยู่ในท่าทางนี้หลายนาที

หย่าฉีรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสาวน้อยใสซื่อไม่ประสีประสา ไม่รู้เลยว่าควรวางมือวางไม้เอาไว้ตรงไหน ใบหน้าและใบหูร้อนผ่าว ทั้งยังประหลาดใจเล็กน้อย

“คุณกำลังหลบผู้ชายที่อยู่ข้างหลังคนนั้นใช่ไหมคะ เขายืนอยู่ตรงนั้นมาพักหนึ่งแล้ว เป็นพวกสายตำรวจเหรอคะ หรือว่าเป็นคนร้าย?”

หย่าฉีถามเบาๆ ริมฝีปากแทบจะแนบไปกับหูของเขา โดยที่ทำตามน้ำหลิงซูไป

“ชู่ว”

หลิงซูได้แต่ตอบเป็นเสียงนี้

สีแดงบนใบหน้าของหย่าฉีลามจากแก้มขึ้นไปถึงหู ไอร้อนยังค่อยๆ ลามลงไปตามลำคอด้วย

โชคดีที่แสงไฟสลัว จึงมองเห็นไม่ชัดเจนนัก

โรสมองแล้วอิจฉาตาร้อน เธอเองก็เข้าไปอิงแอบออดอ้อนเช่นกัน

“คุณชายหลิง เต้นรำไหมคะ วันนี้คุณมาก็เต้นกับพี่หย่าฉีแค่เพลงเดียวเอง ยังไม่ได้เต้นกับฉันเลย จะลำเอียงแบบนี้ไม่ได้น้า!”

“เต้นรำกับทิป เลือกอันไหนล่ะ” หลิงซูดึงความสนใจ

โรสกลอกตา “อย่างนั้นฉันก็ยังเลือกเต้นรำอยู่ดีค่ะ”

“งั้นก็ได้”

หลิงซูยักไหล่ จับมือนุ่มนิ่มเหมือนไม่มีกระดูกของเธอแล้วลุกขึ้น พวกเขาเดินไปยังฟลอร์เต้นรำ

หย่าฉีอาศัยจังหวะว่างนั้นทอดสายตามองออกไปด้านหลัง

คนคนนั้นยังคงยืนอยู่ในมุมมืดเหมือนเดิม

รูปร่างสูงโปร่งนั้นยืนพิงผนังเฉียงๆ พลางก้มหน้าจุดบุหรี่

หย่าฉีมองไม่เห็นใบหน้าของเขา แต่จากมาดและลักษณะท่าทางก็พอจะเดาได้ว่าคนคนนี้คงไม่ได้หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่สักเท่าไหร่

น่าเสียดายที่ต่อให้หน้าตาดีแค่ไหน ก็ยังเทียบคุณชายหลิงของเธอไม่ได้

เมื่อเต้นจบหนึ่งเพลง หลิงซูก็จูงมือโรสเดินกลับมา

โรสเหงื่อแตกพลั่ก หน้าแดงซ่าน

หย่าฉีส่งเหล้าแก้วหนึ่งให้หลิงซูได้ผ่อนคลายอย่างเหมาะเจาะพอดี พร้อมทั้งดึงสายตาของหลิงซูไปด้วยในเวลาเดียวกัน

เธอร้องเอ๊ะ “คนนั้นหายไปแล้วค่ะ”

หลิงซูไม่พูดอะไร เขาไล่โรสออกไปเปิดเหล้ามาให้อีกขวด

“เธอถูกใจเขาเหรอ” เขาหยอกหย่าฉี

หย่าฉีเอ่ยอย่างน่ารักน่าชัง “ถ้าใช่แล้วคุณจะหึงฉันไหมล่ะคะ”

หลิงซูเงยหน้าดื่มเหล้าในแก้วไปกว่าครึ่ง เขาพูดตามตรง “ไม่”

หย่าฉีรู้คำตอบดีอยู่แล้วแต่เธอก็ยังรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย

“คุณยังไม่บอกฉันเลยว่าคนนั้นเป็นใครกันแน่ เป็นคนร้ายที่สะกดรอยตามคุณมาเหรอคะ ให้ฉันแจ้งตำรวจไหม”

หลิงซูหัวเราะฮาๆ “ฉันก็เป็นตำรวจนะ”

“งั้นถ้าครั้งหน้าเขายังมาอีกฉันควรรับมือยังไงดีคะ ถ้าเขาถามถึงคุณขึ้นมาล่ะ”

พูดมาถึงตรงนี้เธอก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาเล็กน้อยจริงๆ

“เขาเป็นเพื่อนฉัน ไม่ใช่คนร้ายหรอก แล้วก็ไม่ใช่สายตำรวจด้วย” หลิงซูว่า

หย่าฉีไม่เชื่อ “งั้นทำไมคุณสองคนไม่ทักทายกันล่ะคะ”

หลิงซูกะพริบตาปริบๆ “ถ้าฉันบอกว่าเขาชอบฉันอยู่ เธอจะเชื่อไหม”

หย่าฉีหัวเราะคิกคัก “เชื่อสิคะ ทำไมจะไม่เชื่อล่ะ คุณชายหลิงน่ะเป็นคนที่ผู้หญิงชอบกันทั้งนั้น ถ้าจะมีผู้ชายมาชอบสักคนฉันว่าก็ไม่แปลกหรอกค่ะ!”

หลิงซูถอนหายใจ พูดทีเล่นทีจริง “ช่วยไม่ได้ล่ะนะ คนเสน่ห์แรงก็มักจะลำบากอย่างนี้ล่ะ!”

หย่าฉียังสงสัยใคร่รู้ “ถ้าอย่างนั้นคุณปฏิเสธเขาไปเหรอคะ ตอนนี้พวกคุณยังเป็นเพื่อนกันอยู่หรือเปล่า”

หลิงซูเอ่ย “ฉันเล่าเรื่องหนึ่งให้เธอฟังแล้วกัน…มีคนสองคน พวกเขารู้จักสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็ก เติบโตมาด้วยกัน สนิทกันมาก ฝ่ายชายบอกกับฝ่ายหญิงว่าเอาไว้เขาไปเป็นทหารกลับมาแล้วเขาจะมาแต่งงานกับเธอ ฝ่ายหญิงเชื่อ จึงเฝ้ารอจะได้พบกันอีกครั้ง วันแล้ววันเล่าผ่านไปหลายปี สิ่งที่กลับมาหาคนรออย่างเธอกลับเป็นจดหมายแจ้งการเสียชีวิตของฝ่ายชาย

เธอเสียใจมาก เสียใจจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ เกือบจะจบชีวิตอยู่แล้ว แต่สุดท้ายก็ยังมีชีวิตต่อไป ผ่านไปหลายปีเธอก็ค่อยๆ เยียวยาบาดแผลนั้นจนหายดี และได้พบกับผู้ชายที่ดีกว่า พวกเขาแต่งงานกัน มีลูก มีครอบครัวที่สมบูรณ์พูนสุข

เวลานี้เธอเพิ่งจะได้รู้โดยบังเอิญว่าชายที่รู้จักและเติบโตมาด้วยกันกับเธอคนนั้นไม่ได้ตาย แต่ได้รับบาดเจ็บสาหัส อาจมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน บางทีอายุเขาอาจจะไม่ยืนยาว ต่อให้ได้อยู่ด้วยกันกับเธอ ทั้งคู่ก็อาจจะใช้เวลาอยู่ร่วมกันได้เพียงไม่กี่ปี ดังนั้นเขาจึงทำจดหมายแจ้งการเสียชีวิตปลอมๆ ขึ้นมาเพื่อให้ฝ่ายหญิงตายใจแล้วก็ปล่อยเธอเป็นอิสระโดยสมบูรณ์”

หย่าฉีฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ สุดท้ายเธอคล้ายจะเข้าใจแต่ก็คล้ายจะไม่เข้าใจ

“คุณกำลังบอกว่าคุณคือผู้หญิงคนนั้นเหรอคะ”

หลิงซูกระตุกมุมปาก “ฉันเหมือนผู้หญิงคนนั้นตรงไหน”

หย่าฉีคิด “ถ้าอย่างนั้น ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ได้ชอบคนรักของเธอเลยน่ะสิคะ”

“ตรรกะแปลกพิกลอะไรอีกล่ะนั่น”

“ถ้าเธอชอบเขาจริงๆ ต่อให้คนรักตายไปจริงเธอก็จะรอต่อไป รอต่อไปเรื่อยๆ ใช้ชีวิตครึ่งหลังของเธอเพื่อรอเขา แต่นี่เธอไม่ได้ยืนหยัดรอ และไม่ได้รอจนกระทั่งถึงวันที่ได้รู้ความจริง”

“กาลเวลาจะเยียวยาทุกสิ่ง รวมถึงวิกฤตที่เธอเคยคิดว่าจะข้ามผ่านมันไปได้ยากด้วย”

หย่าฉีส่ายหน้า เธอค่อนข้างรั้นกับความเห็นที่ต่างจากธรรมดาทั่วไปในประเด็นนี้

“ผู้ชายคนนั้นคิดว่าเสียสละตัวเอง ทำให้คนอื่นสมบูรณ์ แล้วอีกฝ่ายจะซาบซึ้งปลาบปลื้มในตัวเขา ถ้าตอนหลังผู้หญิงคนนั้นมีชีวิตที่ไม่ดีขึ้นมาล่ะคะ เขาจะเสียใจหรือเปล่าที่ไม่ได้อยู่กับเธอ สำหรับผู้หญิงแล้วการอยู่กับคนที่ไม่ได้ชอบแล้วต้องใช้ชีวิตแย่ๆ ทุกข์ทรมานไปชั่วชีวิต สู้อยู่กับคนที่ตัวเองชอบแล้วใช้ชีวิตให้เต็มที่แค่สองสามปียังจะดีกว่า ไม่แน่นะคะ ความงดงามสมบูรณ์ที่เขาเห็นอาจจะเป็นแค่สิ่งที่เขาคิดไปเองก็ได้ ความเป็นจริงมันอาจไม่ได้เป็นอย่างนั้น”

หลิงซูกำลังจะวิงเวียนเพราะคำพูดของเธอแล้ว เขาไม่เคยรู้เลยว่าหย่าฉีจะเป็นคนที่พูดจาถกเถียงได้เก่งขนาดนี้

“พวกผู้ชายอย่างพวกคุณก็มักจะชอบใช้วิธีแบบนั้นมาจัดการกะเกณฑ์คนอื่น คิดว่าทำเพื่ออีกฝ่าย แต่ที่จริงน่ะคุณเคยถามเธอหรือเปล่าล่ะคะว่าเธอยินดีไหม”

เวลานี้โรสก็ถือเหล้าเดินกลับมาพอดี

หลิงซูเป็นฝ่ายรินเหล้าเอง

“ฉันเถียงไม่ชนะเธอ จะลงโทษตัวเองสามแก้วแล้วกัน”

หลังจากหย่าฉีรบเร้าเขาอย่างหนัก หลิงซูจึงเต้นรำกับเธออีกหนึ่งเพลง

 

ตอนที่ออกจากฟลอเรนซ์ก็เริ่มมีฝนเม็ดเล็กตกลงมา

ฝนฤดูใบไม้ผลิมีค่าดั่งน้ำมัน ฤทธิ์สุราที่หลิงซูดื่มไปเอ่อท้นขึ้นมา แต่สติกลับไม่ได้เละเทะขนาดนั้น เพียงแค่รู้สึกเท้าเบาเล็กน้อย

เขาไม่ได้เอาร่มมา ทั้งยังรู้สึกอยากจะยื่นมือออกไปรับน้ำฝน เขากำลังคิดอยู่ว่าจะถอดเสื้อโค้ตออกมาคลุมศีรษะดีหรือเปล่า หรือจะเดินกลับไปทั้งอย่างนี้ดี

จากนั้นเขาก็เห็นผู้ชายที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของถนน

อีกฝ่ายถือร่มสีดำ ยืนอยู่ริมถนนมองเขาอยู่เงียบๆ

สองคนสบตากันครู่หนึ่ง หลิงซูไม่ขยับ แต่อีกฝ่ายขยับ

เขาก้าวยาวๆ ข้ามถนนแล้วก็ยื่นร่มมาบังเหนือศีรษะหลิงซู

หลิงซูเงยหน้าหัวเราะ “บังเอิญจริง หัวหน้าเยวี่ย!”

เยวี่ยติ้งถังไม่ยิ้ม เขามองดูสีหน้าไม่ใส่ใจอะไรของอีกฝ่ายแล้วก็อดหัวเราะเสียงเย็นไม่ได้ “นายเคยถามหรือเปล่าว่าฉันยินดีไหม”

หลิงซูหุบยิ้ม เขาหันหน้าหนี พึมพำออกมาประโยคหนึ่ง

แต่เยวี่ยติ้งถังได้ยินมันชัดเจน

อีกฝ่ายพูดว่า แผลเก่าบนตัวฉันเยอะ มีชีวิตอยู่ได้ไม่นานหรอก

“ฉันถามหลิวเจิ้นกับจี่จู๋ถิงมาแล้ว ยังไปถามศาสตราจารย์ด้านแพทยศาสตร์มาด้วย พวกเขาบอกว่าถ้าเศษกระสุนอยู่ในตัวเอาออกมาไม่ได้ ต่อไปอาจจะเกิดอาการข้างเคียงขึ้นกับร่างกาย และอาจส่งผลกระทบต่ออายุขัย แต่เรื่องพวกนี้ไม่สำคัญเลย

การแพทย์ทางยุโรปพัฒนาไปมาก ฉันพานายไปหาหมอได้ ขอแค่นายยังมีชีวิตอยู่ก็ยังมีหวัง ไม่ใช่โรคที่รักษาไม่หายอะไรสักหน่อย ต่อให้นายมีแผลทั่วทั้งตัว อยู่ได้ไม่ถึงอายุเจ็ดแปดสิบ อย่างน้อยก็น่าจะอยู่ถึงอายุสี่ห้าสิบได้ไม่ใช่หรือไง”

“ตอนนี้การเมืองสังคมมันวุ่นวาย ฉันไม่แน่ใจว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่จนหมดอายุขัยหรือเปล่า ไม่แน่ ฉันอาจจะตายก่อนนายก็ได้”

“หลิงซู ฉันพลาดไปแปดปีแล้ว ไม่อยากหลอกหัวใจตัวเองอีกแล้ว…เราเลิกเล่นละครใส่กันเสียทีเถอะ ได้ไหม”

หลิงซูเงียบ ไม่ขยับเขยื้อน

แต่ถ้าเขารู้สึกตกใจหรือโกรธเคืองจนยากที่จะเชื่อคำพูดของเยวี่ยติ้งถังล่ะก็ เขาคงเหวี่ยงหมัดแล้วหันหลังเดินหนีไปนานแล้ว

ปฏิกิริยาตอนนี้ต่างหากจึงจะจริงที่สุด

เยวี่ยติ้งถังรู้อดีตของเขา และก็รู้ว่าเขาบาดเจ็บมามากมายแค่ไหน ไม่อย่างนั้นคนที่เมื่อก่อนเคยแข็งแรงจะกลายเป็นคนที่ไข้ขึ้นล้มหมอนนอนเสื่อบ่อยครั้งได้ยังไงกัน

นี่แสดงให้เห็นว่าร่างกายที่มีอาการบาดเจ็บเก่าอยู่มากมายกำลังเริ่มออกฤทธิ์

แค่คิดถึงมือขวาที่ถือของหนักหรือทำงานละเอียดอ่อนเหมือนคนธรรมดาทั่วไปไม่ได้ หัวใจของเยวี่ยติ้งถังก็เริ่มจะเจ็บแปลบขึ้นมาแล้ว

เขาจะไม่รอให้เจ้าหอยทากกะเทาะเปลือกออกมาหรอก แต่เขาจะเจาะเปลือกนั้นเข้าไปเอง

เยวี่ยติ้งถังยื่นมือไปจับคางอีกฝ่ายให้ค่อยๆ เชยขึ้น และเขาก็ก้มลง

ในคืนฝนตก เงาคนสองเงาถูกแสงไฟริมทางส่องให้ทอดยาวออกไปเป็นเงาเดียวกัน

“อย่าเอาสิ่งที่นายคิดเอาเองคนเดียวว่ามันยิ่งใหญ่มาใส่ในเรื่องเล่าเพื่อให้ตัวเองซาบซึ้งเลย ต่อให้นายมีชีวิตเหลือแค่วันเดียวฉันก็จะไม่เสียใจ”

 

บทที่ 125

ตอนที่หลิงซูกลับมาถึงบ้าน หลิงเหยายังไม่นอน

เธอนั่งหลังตรงอยู่ที่โซฟา สองมืออยู่บนเข่า ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

หลิงซูคลำมุมปากกับคอเสื้อทันที

ถ้าไม่คลำดูก็คงไม่รู้สึก พอคลำดูก็เหมือนริมฝีปากจะบวมนิดๆ คอเสื้อก็ยังชื้นและยับย่นอยู่หน่อยๆ โดยเฉพาะที่หลังอาจจะยังติดคราบตะไคร่น้ำอยู่บ้างด้วยซ้ำ อีกทั้งไรผมชื้นๆ มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ปกติ

แต่หลิงเหยาไม่ได้ถาม เธอเพียงแค่มองหลิงซูแวบหนึ่งแล้วก็หลุบตาลงอีกครั้ง

“พี่เขยเธอยังไม่กลับ”

หลิงซูใจหล่นวูบ เขาไม่สนใจจะจัดระเบียบเสื้อผ้าหน้าผมตัวเองอีกต่อไป

“ดึกขนาดนี้ ทำงานล่วงเวลาหรือเปล่า”

หลิงเหยาเอ่ย “พี่โทรไปที่สำนักงานของเขา ไม่มีใครรับสาย”

ถ้าทำงานล่วงเวลาก็น่าจะมีคนรับโทรศัพท์ แบบนี้ผิดปกติแน่นอน

หลิงซูว่า “ข้างนอกฝนตก ไม่แน่ว่าเขาอาจจะมีเรื่องที่ทำให้ต้องติดฝนอยู่กลางทางก็ได้ ผมจะไปดูเขาหน่อย”

“เอาร่มไปด้วยสิ กินข้าวหรือยัง”

โชคดีที่หลิงเหยาไม่ได้ลืมถามไถ่ถึงน้องชายเสียทีเดียว เธอลุกขึ้นไปหยิบร่มให้

“กินแล้วๆ!”

หลิงซูรีบไป เพียงพริบตาก็หายลับไปที่ประตู

ยามค่ำคืนมืดมิดเมื่อฝนตกก็ยิ่งมองอะไรไม่เห็น ราวกับภาพเขียนหมึกจีนที่โดนสาดน้ำใส่ กลายเป็นภาพมัวๆ ไปหมดทั้งผืน

หลิงซูถือร่มเดินออกจากบ้าน ตรงหน้าเป็นกลิ่นบุหรี่ผสมปนเปกับกลิ่นดินโคลนชื้นแฉะ

…กลิ่นบุหรี่งั้นเหรอ

เขามองไปตามกลิ่นนั้น ที่ชายคามีคนหนึ่งยืนอยู่

ไม่ใช่โจวซ่า

“ทำไมยังไม่ไปอีก” หลิงซูประหลาดใจ

“ขอสูบมวนนี้ให้หมดก่อน”

เยวี่ยติ้งถังว่า เขาสูบเข้าไปลึกสุดลมหายใจ จากนั้นก็ทิ้งก้นบุหรี่ลงพื้นก่อนจะเหยียบให้ดับ

“ขอดับไฟร้อนอยู่ข้างนอกนี่ก่อนค่อยกลับ”

หลิงซู “…”

เขารู้สึกเหมือนเปลวไฟที่เพิ่งจะดับมอดไปเมื่อครู่กลับลุกโชนขึ้นอีกครั้งจากที่ไหนสักแห่งในตัวของเขาตามประโยคนั้นของเยวี่ยติ้งถัง

ความทรงจำย้อนกลับไปยังช่วงเวลาหนึ่ง ภาพเลือนรางนั้นเป็นคนสองคนที่เหมือนฟืนใกล้ไฟ ร้อนรุ่มแผดเผาไม่ลดละไม่หยุดยั้ง

โชคดีที่ฟ้ามืด ทำให้อีกฝ่ายก็มองไม่เห็นสีหน้าของตน

ไม่อย่างนั้นมาดของเขาคงไม่เหลือ

หลิงซูปัดชายเสื้อเหมือนมีอะไรติดทั้งที่ไม่มี

“ฉันจะไปตามหาพี่เขย”

เยวี่ยติ้งถังจึงถาม “เกิดอะไรขึ้น”

เขายังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในสกุลหลิง หลิงซูจึงได้แต่อธิบายคร่าวๆ

“ฉันจะไปดูแถวเขตเช่าหน่อย ไม่แน่ว่าพี่เขยอาจไปที่นั่น”

เยวี่ยติ้งถังว่า “พี่เขยนายคงไม่อยู่ที่นั่นหรอก”

“ทำไมนายถึง…”

เขายังไม่ทันพูดคำว่า ‘รู้’ ก็เห็นโจวซ่าแล้ว

ฝีเท้าอีกฝ่ายรีบร้อน แม้แต่ร่มก็ไม่ได้ถือมา เดินก้มหน้าก้มตาจนมาถึงเบื้องหน้าพวกเขาถึงค่อยเห็นหลิงซู

“อาซู ทำไมมาอยู่ที่นี่ล่ะ แล้วนี่…คุณเยวี่ยเหรอ”

เยวี่ยติ้งถังพยักหน้า “สวัสดีครับ”

“สวัสดีครับ สวัสดีครับ!” โจวซ่ารู้สึกค่อนข้างเกรงใจ “เข้ามานั่งก่อนสิครับ!”

สภาพเขาดูแย่มาก เปียกม่อลอกม่อแลกไปทั้งตัว หลิงซูยื่นร่มไปอยู่เหนือศีรษะให้ แต่โจวซ่ากลับไม่รู้สึกเลย

แม้แต่เยวี่ยติ้งถังก็ยังมองออกว่าสติของเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

โจวซ่าเพิ่งเสียบกุญแจเข้ารูกุญแจเท่านั้น ประตูก็เปิดออก

หลิงเหยายืนอยู่หลังประตู มองเขาด้วยสายตาเย็นชา

“ยังรู้จักบ้านหลังนี้อยู่เหรอ”

โจวซ่ายิ้มกระอักกระอ่วน “ผมมีธุระนิดหน่อย ก็เลยกลับช้าน่ะ”

หลิงเหยาหันกายเดินเข้าไปข้างใน ไม่แม้แต่จะมองเขาสักนิด

หลิงซูพึมพำ “เหมือนฉันจะได้กลิ่นสงครามโลกนะ วันนี้ฉันไปนอนบ้านนายก่อนดีกว่ามั้ง”

“การหนีไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาหรอกนะ”

เยวี่ยติ้งถังพูดอย่างใจร้ายพร้อมดันตัวอีกฝ่ายเข้าไปในบ้าน

โทสะของหลิงเหยาสะสมมาถึงระดับหนึ่งแล้ว เธอไม่สนใจเลยสักนิดว่าจะมีน้องชายกับคนนอกอยู่ที่นี่ด้วย

แล้วทั้งคู่ก็ทะเลาะกันขึ้นมาจริงๆ

จากที่โจวซ่าบอก เขาเล่าว่าระหว่างทางกลับบ้านไปพบเด็กหลงทางคนหนึ่ง เขาช่วยอีกฝ่ายตามหาบ้าน ดังนั้นจึงเสียเวลาไปมาก

แต่หลิงเหยาไม่เชื่อสักนิด

“คุณก็นับดูเองแล้วกันว่าสองเดือนมานี้คุณกลับบ้านดึกไปกี่วัน! เมื่อก่อนคุณไม่เคยกลับบ้านดึกขนาดนี้ ครั้งก่อนๆ คุณก็ไปเจอคนแก่บาดเจ็บ ครั้งก่อนหัวหน้าเรียกคุณเอาไว้ ครั้งนี้เจอเด็กหลงทาง ทำไมเรื่องราวทั้งโลกถึงมาให้คุณแบกรับเอาไว้คนเดียวล่ะ ที่พูดมานี่คุณไม่รู้สึกอายบ้างหรือไง โจวซ่า ระหว่างเรามันถึงขั้นที่ต้องเอาคำโกหกมาป้องกันตัวเองกันแล้วเหรอ”

พูดถึงตรงนี้ใบหน้าของหลิงเหยาก็ดูโศกเศร้าเหลือเกิน

โจวซ่าก็เริ่มร้อนรนขึ้นมาแล้ว “อาเหยา ฟังผมก่อนนะ ผมไม่ได้หลอกคุณจริงๆ!”

หลิงเหยาถามขึ้นมาทันควัน “ผู้หญิงที่เขตเช่าคนนั้นเป็นใคร”

โจวซ่าตะลึงงัน

หลิงเหยาเอ่ย “คุณคิดว่าเรื่องที่คุณไปพบใครที่เขตเช่าจะไม่มีคนรู้หรือไง ผู้หญิงคนนั้นเป็นบ้านเล็กของคุณหรือเปล่า”

โจวซ่ามองหลิงซูทันที

หลิงซูส่ายหน้าอย่างแรง เป็นการบอกว่าเขาไม่ได้เป็นคนสืบเรื่องนี้

โจวซ่าขมวดคิ้วถามหลิงเหยา “คุณสะกดรอยตามสืบเรื่องผมเหรอ”

หลิงเหยาหัวเราะเสียงเย็น “ทำไม โดนถามแล้วรู้สึกผิดหรือไง”

“ถ้าผมทำเรื่องละอายใจต่อคุณ ขอให้ฟ้าผ่า ไม่ได้ตายดี!”

“แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกันแน่”

โจวซ่าว่า “เธอเป็นแม่ม่าย ผมกับเธอบริสุทธิ์ใจต่อกัน ไม่มีอะไรทั้งนั้น!”

แบบนี้ก็ถือเป็นการยอมรับตัวตนของผู้หญิงคนนั้นทางอ้อมแล้ว

หลิงซูกุมขมับ

เป็นไปตามคาด หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ทะเลาะกันรุนแรงขึ้นอีก แนวโน้มของการทะเลาะดุเดือดขึ้นทุกที

หลิงซูปวดหัวกับการทะเลาะกันของสองสามีภรรยา เขารู้สึกว่าเหล้าที่ดื่มในฟลอเรนซ์เริ่มจะตีกลับขึ้นมาจากกระเพาะ จึงได้แต่ค่อยๆ ก้าวเท้ากลับห้องตนเอง

เมื่อเข้ามาในห้องแล้วจึงตระหนักว่ามีแขกไม่ได้รับเชิญมาด้วยอีกหนึ่งคน

“นายมาทำไมเนี่ย” เขาเบิกตาโพลง

“ว่าจะขอนอนบ้านนายสักคืน” เยวี่ยติ้งถังพูดเรียบๆ

เขาไม่เคยมาห้องนอนของหลิงซู จึงใช้โอกาสนี้เดินดูรอบๆ ให้เต็มที่

สภาพบ้านสกุลหลิงห่างไกลจากบ้านสกุลเยวี่ยมากนัก ห้องนอนของหลิงซูไม่ได้ตกแต่งอย่างหรูหราราคาแพงเหมือนห้องของเขา มีเพียงเตียงกับโต๊ะเขียนหนังสือ แล้วก็วางหนังสือกับเครื่องเขียนเอาไว้อย่างง่ายๆ เท่านั้น

เยวี่ยติ้งถังเปียกทั้งตัวจึงนั่งบนเตียงไม่ได้ เขาลากเก้าอี้ที่โต๊ะเขียนหนังสือมานั่งแหมะลงไป

หลิงซูรู้สึกยอมใจอีกฝ่ายจริงๆ “หัวหน้าไม่เห็นตัวเองเป็นคนนอกจริงๆ นะครับนี่”

เยวี่ยติ้งถังเอ่ย “แล้วนายเห็นฉันเป็นคนนอกหรือไง”

ประโยคนี้ทำเอาเขาหมดคำพูด

คนขับรถกลับไปนานแล้ว ตอนนี้ฝนกำลังตก บริเวณใกล้เคียงก็ไม่มีรถลาก คิดดูก็คงไม่มีทางอื่นแล้ว

หลิงซูบีบจมูกทนยอมรับความจริงข้อนี้ เขาหาผ้าขนหนูกับเสื้อผ้าแห้งสะอาดจากในตู้เสื้อผ้าอย่างยอมรับชะตากรรม

“เสื้อผ้าผมมีแต่ของถูกๆ หวังว่าหัวหน้าเยวี่ยจะไม่รังเกียจนะครับ”

เยวี่ยติ้งถังตอกกลับไปสบายๆ “ไม่เป็นไร ตัวคนฉันยังยอมรับแล้วเลย นับประสาอะไรกับเสื้อผ้า”

หลิงซูรู้สึกคันฟัน

เสียงโต้เถียงข้างนอกดังขึ้นเรื่อยๆ ทำเอาหลิงซูกลืนคำที่อยากจะโต้ตอบอีกฝ่ายกลับลงไป

การทะเลาะกันระหว่างสามีภรรยาอย่างนี้ ตัวหลิงซูที่เป็นน้องชายรู้สึกลำบากใจมาก

อย่างไรเสียความสงสัยของหลิงเหยาก็เป็นเพียงความสงสัย ยังหาหลักฐานไม่ได้ หลิงซูเองก็ยังไม่เคยเห็นผู้หญิงคนที่เธอพูดถึงเลย

แม้ว่าตอนนี้การกระทำของโจวซ่าจะน่าสงสัยอยู่บ้างจริงๆ แต่พวกเขาแต่งงานกันมาตั้งหลายปี ความดีที่โจวซ่าทำต่อหลิงเหยานั้นหลิงซูก็เห็นทั้งหมด หลิงเหยาไม่มีทายาท ในใจก็รู้สึกผิดมาตลอด หลิงซูเองก็รู้ดี

ต่อให้โจวซ่าไปมีผู้หญิงอื่นอยู่ข้างนอกจริง แต่หลิงเหยาก็ไม่คิดจะเดินไปถึงขั้นหย่าร้าง เธอเพียงแค่มาร้องไห้ระบายให้น้องชายฟังเท่านั้น หลิงซูเสนอวิธีการให้เธอ แต่เธอก็ไม่อยากใช้มัน

เรื่องในบ้านที่ยากต่อการตัดสินใจชี้ขาดแบบนี้หลิงซูรู้สึกว่าน่าปวดหัวมาก ปวดหัวยิ่งกว่าดื่มเหล้าขาวสามจินเสียอีก

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ เมื่อเยวี่ยติ้งถังเดินออกมาจากห้องอาบน้ำเขาก็เห็นหลิงซูกำลังนั่งเหม่อ

เสียงทะเลาะกันข้างนอกหายไปแล้ว ทุกอย่างเงียบกริบ

หลิงซูสีหน้าดูงุนงงเหม่อลอย เหมือนเด็กน้อยที่เจอปัญหายากจนไม่รู้จะลงมือจากตรงไหน ไม่รู้จะทำอย่างไร

ก็ดูน่ารักอยู่นิดๆ

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 31 .. 65

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: