บทที่ 3 ข้อสัญญาพิเศษ
คุณก็แค่อาศัยที่ผมปฏิบัติกับคุณไม่เหมือนคนอื่นไปคิดเอาเองว่าผมลี่เจ๋อเหลียงชอบคุณ
(1)
เสิ่นเสี่ยอี้จะกลัวหนาวในฤดูหนาว และฤดูร้อนก็มักจะเป็นเวลาที่คนรอบข้างกลัวร้อนเป็นที่สุด เมื่อถึงต้นฤดูร้อนเธอจะมัดผมเป็นหางม้า ถ้าหากอยู่บ้านคนเดียวหรือไปเดินเที่ยวซื้อของกับเพื่อนก็จะเกล้าผมมวยให้รู้แล้วรู้รอดไป น่าเสียดายที่เธอมาเป็นทนาย ไม่ว่าจะนั่งอยู่ในห้องทำงานอ่านเอกสารหรือพบเจอกับลูกความก็จำเป็นต้องจัดเสื้อผ้าและนั่งให้เรียบร้อย จะต้องหวีผมให้เรียบแปล้ เมื่อก่อนอยู่ที่สำนักงานทนายความถังเฉียวก็ยังดี เฉียวหมิ่นหานไม่ได้เข้มงวดกับเงื่อนไขนี้มากนัก ขอเพียงเวลาออกไปพบลูกค้าวางตัวให้ดีก็เพียงพอ น่าเสียดายที่เธออยู่ที่ลี่ซื่อกรุ๊ป แม้แต่ผู้ใหญ่ตำแหน่งสูงๆ ต่างก็ใส่เต็มยศกันทั้งกลางวันกลางคืน พนักงานทั้งตำแหน่งสูงต่ำในบริษัทก็ยิ่งไม่กล้าข้ามเส้น พนักงานหญิงไม่กล้าแม้แต่ให้นิ้วเท้าโผล่ออกมา เธอจึงใคร่ครวญอยู่เสมอว่าลี่เจ๋อเหลียงคนนี้เป็นอะไรกลับชาติมาเกิด หรือว่าเขาจะไม่เคยรู้สึกร้อนบ้างเลย
วันเสาร์นี้เสิ่นเสี่ยอี้ขี้เกียจทำกับข้าวที่บ้านจึงนัดโจวผิงซินไปกินข้าวข้างนอก แล้วก็ถือโอกาสกลับบริษัทไปเอาของนิดหน่อย
ถึงอย่างไรก็เป็นวันพักผ่อน เธอคีบรองเท้าแตะหูหนีบ สวมชุดสายเดี่ยวตัวเล็กกับกางเกงผ้าฝ้ายตัวหลวมเดินเที่ยวไปเรื่อยเปื่อย ซื้อเสื้อผ้า ซื้อรองเท้ากับโจวผิงซินในศูนย์การค้าราวกับกำลังเดินเล่น
ทั้งสองคนลองกันไปลองกันมา ลองจนทั้งที่พวกเธออยู่ใต้แอร์ยังมีเหงื่อไหลโชก
“คุณเสิ่นคะ”
เมื่อเธอและโจวผิงซินออกมาจากศูนย์การค้าเพียงครู่เดียวก็ได้ยินเสียงคนเรียก เธอจึงถอดแว่นกันแดดและหันกลับไปกวาดตามองรอบหนึ่ง ทว่าก็ไม่พบว่าเป็นใคร ครั้นเดินหน้าต่อไปคนคนนั้นก็เรียกขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นถึงได้เห็นหญิงสาวคนหนึ่งเดินลงมาจากรถที่อยู่ข้างทาง…เป็นเมิ่งหลีลี่
“คุณเมิ่ง” เสิ่นเสี่ยอี้หยุดฝีเท้า
“คุณเสิ่นกินข้าวหรือยังคะ ถ้ายังล่ะก็ ไปกินข้าวด้วยกันสักมื้อเถอะค่ะ” เมิ่งหลีลี่เชื้อเชิญด้วยความจริงใจ เมื่อเห็นโจวผิงซินก็กล่าวขึ้นว่า “คุณผู้หญิงคนนี้ก็ไปด้วยกันนะคะ”
เสิ่นเสี่ยอี้มองโจวผิงซินแวบหนึ่ง เธอรู้ว่าโจวผิงซินมีนิสัยเก็บตัว ไม่ค่อยชอบคบค้าสมาคมกับคนแปลกหน้า อีกทั้งตัวเสิ่นเสี่ยอี้เองก็อยากมีความเป็นส่วนตัวในวันหยุด จึงบอกปัดไปว่า “ขอบคุณคุณเมิ่งค่ะ พวกเราเพิ่งกินข้าวกันเอง แล้วก็ยังมีธุระอีกหน่อยด้วย คราวหน้าถ้าคุณว่างให้ฉันเลี้ยงข้าวนะคะ”
ถึงอย่างไรเมิ่งหลีลี่ก็ตะเกียกตะกายอยู่ในวงสังคมมานาน ได้ฟังก็เข้าใจถึงความหมายของเสิ่นเสี่ยอี้ เป็นธรรมดาที่จะไม่อยากให้การคบหาระหว่างเธอกับเสิ่นเสี่ยอี้มีปัญหาแทรกซ้อน จึงยิ้มพร้อมกล่าวว่า “ถ้างั้นวันหลังฉันจะโทรไปนัดคุณเสิ่นล่วงหน้านะคะ ถึงเวลาต้องรับคำเชิญด้วยนะ”
“แน่นอนค่ะ แน่นอน” เสิ่นเสี่ยอี้พยักหน้าด้วยความเบิกบานใจ
หลังจากมองตามหลังเมิ่งหลีลี่ไป ทั้งสองก็พากันเดินไปยังร้านที่เรียงรายอยู่ข้างทางซึ่งพวกเธอเข้าไป
เยี่ยมเยียนกันบ่อยๆ
“ปีกไก่น้ำแดง” เสิ่นเสี่ยอี้กล่าวกับพนักงานเสิร์ฟ จานนี้เป็นกับข้าวประจำของทุกๆ ครั้งที่มา จากนั้นค่อยเพิ่มเติมรายละเอียดอื่นๆ ไปอีกว่า “ผัดพริก ไม่ใส่ต้นหอม จำไว้ว่าอย่าใส่แตงกวาปนมาด้วย ไม่งั้นฉันจะขอเงินคืน”
“เนื้อวัวนั่นใส่ผักกาดเขียวกับจิ๊กโฉ่วเพิ่มเข้าไปด้วยนะ”
“ข้าวโพด…”
กับข้าวที่สั่งทุกอย่างต่างก็กำชับด้วยเงื่อนไขเพิ่มเติมเป็นกอง ทำเสียจนหนุ่มน้อยที่เสิร์ฟอาหารจดจำอยู่เป็นนานสองนาน
“ไม่เคยเห็นใครที่โตเท่านี้แล้วยังเลือกกินขนาดนี้เลย” โจวผิงซินหัวเราะ
“ฉันมีเงื่อนไขเกี่ยวกับอาหารค่อนข้างเยอะต่างหากล่ะ” เสิ่นเสี่ยอี้แก้ไข
อาหารหลายอย่างถูกยกมาวางที่โต๊ะ ที่ถูกส่งมาเป็นอย่างสุดท้ายก็คือเบียร์สับปะรดแช่เย็นสองกระป๋อง เสิ่นเสี่ยอี้จิบอึกหนึ่งด้วยความรวดเร็ว จากนั้นก็ร้องเสียงดังอย่างถึงอกถึงใจ เดิมทีเธอมีชื่อเสียงเรื่องสามแก้วฟุบแต่กลับมีภูมิคุ้มกันกับเบียร์เพียงอย่างเดียว อู๋เหว่ยหมิงเคยหัวเราะเยาะเธอ ‘เบียร์ที่เธอดื่มนั่นน่ะเหรอ เซเว่นอัพรสสับปะรดชัดๆ เลย’
“เมิ่งหลีลี่คนนั้นน่ะ ฉันเห็นเธอหลายครั้งจากที่ไกลๆ ทุกที ไม่คิดว่าดูใกล้ๆ จะยังสาวเชียว” โจวผิงซิน
กล่าว
“ใช่ ก็เธออายุมากกว่าฉันแค่สองปีนี่นา”
“อายุยังน้อยสามีก็ตายจาก ได้มรดกในมือแล้วก็ยังตามหาชีวิตใหม่ได้อีก อย่างนี้ก็ดีเหมือนกันนะ”
โจวผิงซินทอดถอนใจ
เสิ่นเสี่ยอี้ได้ยินเข้าก็มองไปยังที่ห่างไกลเงียบๆ พร้อมกล่าวว่า “กลัวว่าจะไม่สามารถทำทุกอย่างที่คิดได้น่ะสิ อยากได้ของอะไรสักอย่างก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนที่สอดคล้องกัน บ้านหวงไม่ใช่นักธุรกิจที่สร้างตัวด้วยมือเปล่าธรรมดาๆ หน้าตาของทั้งตระกูลใหญ่ก็มักจะต้องปิดบังไว้สักหน่อย แม้ว่าเขาจะให้เธอได้มรดกไป แต่เกรงว่าจะไม่อนุญาตให้เธอฝันกลางวันแบบนั้นหรอก”
“จริงสิ เธอพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาฉันก็พานนึกถึงเรื่องเมื่อไม่กี่วันก่อน ได้ยินว่าเมิ่งหลีลี่เข้าไปทำงานที่ธนาคารเจิ้งหยวนแล้วนะ” ธนาคารเจิ้งหยวนที่โจวผิงซินกล่าวถึงก็คือกิจการที่ใหญ่ที่สุดของตระกูลหวงนั่นเอง
เสิ่นเสี่ยอี้พยักหน้า เอ่ยถามไปตามประสา “งั้นเหรอ” ทว่าเธอไม่ได้ดูตื่นตะลึงเท่าที่ควร เธอรู้สึกมาตลอดว่าเมิ่งหลีลี่ไม่ว่าอยู่ในสถานการณ์แบบไหนก็สามารถหยิบฉวยโอกาสไว้ได้อย่างเหมาะสมดังใจต้องการ ไม่มีทางเป็นหญิงสาวอ่อนแอร้องไห้กระซิกๆ อย่างแน่นอน
จู่ๆ เธอก็นึกถึงประโยคหนึ่งขึ้นมา ‘ใต้หล้าไม่มีสิ่งใดบอบบางเช่นน้ำ แล้วก็ไม่มีสิ่งใดแรงแข็งแรงพอจะเอาชนะน้ำได้ ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง’
ในเมื่อเอาชนะตระกูลนั้นได้ภายในเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่เดือน ดูเหมือนว่าตอนนั้นที่ประเดี๋ยวเดียวเธอก็ได้รับความรักใคร่จากนายใหญ่หวงจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หญิงสาวผู้นี้แม้จะบอบบาง ทว่าจะดูแคลนไม่ได้เป็นอันขาด
“ความจริงแล้วพวกเรายังดีเสียกว่า เป็นพนักงานเงินเดือนธรรมดาๆ แค่ปีกไก่ชิ้นเดียวก็มีความสุขได้เป็นครึ่งค่อนวัน” จากนั้นโจวผิงซินก็เริ่มจัดการปีกไก่บนจานทันที
“ก็ต้องความรักเรียบๆ ง่ายๆ แบบของเธอสินะ เรียบง่ายเสียจนผีสางเทวดายังซาบซึ้งใจจนต้องหลั่งน้ำตา”
เสิ่นเสี่ยอี้ยิ้มพลางยื่นตะเกียบออกไปคีบอาหาร แล้วจู่ๆ ก็พบต้นหอมเขียวอี๋อยู่ในจาน เธออดไม่ได้ที่จะคลุ้มคลั่ง “ฉันบอกไปชัดเจนแล้วนะว่าไม่ใส่ต้นหอม”
หลังมื้ออาหาร สามีของโจวผิงซินอดรนทนไม่ไหวที่จะรับภรรยากลับบ้าน เสิ่นเสี่ยอี้จึงทำได้เพียงกลับไปเอาของที่บริษัทคนเดียว เพิ่งจะเดินถึงหน้าประตูตึกระฟ้าลี่ซื่อกรุ๊ปเธอก็เห็นคนกลุ่มใหญ่กำลังออกมาจากด้านใน
แน่นอนว่าลำดับแรกเป็นลี่เจ๋อเหลียง ทว่าลี่เจ๋อเหลียงไม่ได้เป็นจุดโฟกัสเดียวท่ามกลางกลุ่มคน เพราะข้างกายเขายังมีชายหนุ่มปากแดงฟันขาวอยู่คนหนึ่ง หากพิจารณาเพียงหน้าตาของคนคนนั้นก็สู้ความหล่อเหลาดุดันของลี่เจ๋อเหลียงไม่ได้อยู่แล้ว แต่เมื่อวางทุกอย่างรวมกันบนใบหน้าของเขากลับมีบางอย่างที่ไม่ธรรมดา
ลี่เจ๋อเหลียงเห็นเสิ่นเสี่ยอี้ก่อน เขาจ้องมองเธอเรียบๆ แวบหนึ่งแล้วจึงเบนสายตาออกไป เสิ่นเสี่ยอี้เบ้ปาก เธอเห็นท่าทีเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายกลับไปกลับมาอย่างนี้ของเขาเป็นเรื่องปกติไปนานแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับกลุ่มคนที่สวมใส่ชุดทางการ เธอก้มมองการแต่งตัวที่ไม่อาจสู้หน้าได้ตั้งแต่หัวจรดเท้าของตัวเองก่อนเตรียมที่จะหลีกเลี่ยงจากทุกคน เธอหันหลังขวับอย่างเร็วแล้วขยับตัวไปด้านข้าง น่าเสียดายที่ไม่ทันเสียแล้ว
“เสี่ยอี้!” ชายหนุ่มปากแดงฟันขาวคนนั้นเรียกเธอจากที่ไกลๆ ด้วยความตื่นตะลึง
เสิ่นเสี่ยอี้ยืนหันหลังให้พวกเขา หน้าตายับยู่เข้าด้วยกัน ปากด่าทอได้ระลอกหนึ่งก็เปลี่ยนสีหน้าในฉับพลัน จากนั้นจึงหันกลับไปด้วยความจนใจ ยิ้มพลางกล่าวขึ้นว่า “คุณจัน สวัสดีค่ะ”
(2)
คนคนนี้ก็คือจันตงเจิ้นที่อู๋เหว่ยหมิงเรียกว่ามังกรกับเฟิ่งท่ามกลางมนุษย์ทั่วไป เจ้าของตงเจิ้งกรุ๊ปแห่งเมือง B
ก่อนหน้านี้ตอนทำงานด้วยกันกับอู๋เหว่ยหมิง เสิ่นเสี่ยอี้พบว่าข้อดีของเขามีมากมายเลยทีเดียว ทว่าเขาเป็นคนปากคอเชือดเฉือนคนหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับปล่อยจันตงเจิ้นไป เพียงบอกว่าอีกฝ่ายไม่เด็ดขาดเท่าลี่เจ๋อเหลียง เห็นได้ชัดว่าความประทับใจที่เขามีต่อคนคนนี้นั้นใช้ได้เลย
“เธอ…” จันตงเจิ้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
“ตอนนี้คุณเสิ่นเสี่ยอี้เป็นทนายความของบริษัทผมน่ะ” ลี่เจ๋อเหลียงกล่าวแนะนำ
ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ตั้งแต่อุบัติเหตุรถชนเมื่อครั้งก่อนท่าทีที่ลี่เจ๋อเหลียงมีต่อเธอก็เปลี่ยนเป็นห่างเหินและเฉยชาลงไป ทุกครั้งที่เห็นเสิ่นเสี่ยอี้เขาก็จะใช้สีหน้าแบบเดียวกันตลอด ราวกับว่ามองเธอมากหน่อยแล้วจะติดโรคอย่างไรอย่างนั้น
เดิมทีบรรดาสาวน้อยสาวใหญ่พากันเล่าลือข่าวซุบซิบของพวกเขาเรื่อง ‘ห้องบันได’ เมื่อคราวก่อน คราวนี้ก็พากันคาดเดาไปว่า ‘สงสัยคุณลี่คงจะเปลี่ยนรสนิยมอีกแล้วล่ะ’ จริงๆ แล้วสาเหตุคือผู้ชายกินอาหารบ้านๆ ก็รู้สึกแปลกใหม่อยู่หรอก แต่เมื่อกินมากเข้าถึงได้พบว่าอาหารป่าอาหารทะเลที่กินอยู่แต่เดิมต่างหากที่อร่อยกว่า
“อ๋อ” จันตงเจิ้นรับคำ “พวกเรากำลังจะไปกินข้าวพอดี ในเมื่อทุกคนต่างก็รู้จักกัน เสี่ยอี้ก็ไปด้วยกันเถอะนะ”
“ฉันกินมาแล้ว พอดีจะเข้าไปที่สำนักงานต่ออีก พวกคุณไปกันเถอะค่ะ” เสิ่นเสี่ยอี้กล่าว
ลี่เจ๋อเหลียงไม่ได้มองเสิ่นเสี่ยอี้แล้วก็ไม่ได้เอ่ยอะไร จึงไม่สามารถอ่านสีหน้าของเขาได้เลยว่าสมองของคนคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ แต่ในเมื่อลี่เจ๋อเหลียงไม่ได้กล่าวอะไร ฝ่ายคนของลี่ซื่อกรุ๊ปก็ไม่มีใครกล้าคล้อยตามจันตงเจิ้น
ดูเหมือนว่าจันตงเจิ้นจะอ่านสถานการณ์ออก เขายิ้มพลางกล่าวกับลี่เจ๋อเหลียง “ประธานลี่ ให้ทนายของคุณไปเป็นเกียรติกับผมหน่อยนะ ไม่อย่างนั้นต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ผมก็เสียหน้าแย่สิ”
เสี่ยวหลินที่อยู่ด้านหลังลี่เจ๋อเหลียงแอบมองจันตงเจิ้นแวบหนึ่ง สีหน้าของผู้ชายคนนี้แลดูสุภาพเรียบร้อย ผิวพรรณขาวผ่อง หน้าตามีการศึกษา ท่าทางดูพูดด้วยง่าย แต่ความจริงก็เฉลียวฉลาดพอตัว ขอเพียงลี่เจ๋อเหลียงเอ่ยปากแล้ว ไหนเลยเสิ่นเสี่ยอี้จะขัดขืนได้อีก
“ถ้างั้นก็ไปนั่งซะหน่อยสิ” เป็นไปตามคาด ลี่เจ๋อเหลียงออกคำสั่งในทันที
ดังนั้นพวกเขาจึงไปกินข้าวด้วยกัน ขั้นตอนการกินข้าวอึดอัดเสียไม่มี เธอถูกลี่เจ๋อเหลียงแยกไปอยู่อีกมุมหนึ่ง ไม่ยอมให้เธอพูดอะไรแม้แต่ครึ่งประโยค ในห้องนอกจากจันตงเจิ้นแล้ว หลายๆ คนต่างก็กำลังสูบบุหรี่ แน่นอนว่าผู้ริเริ่มก็คือลี่เจ๋อเหลียงสิงห์อมควัน
เสิ่นเสี่ยอี้เกลียดกลิ่นบุหรี่เป็นที่สุด และเกลียดยิ่งกว่าที่จะต้องสูดควันบุหรี่เข้าไป
“คุณจันกับทนายเสิ่นรู้จักกันเหรอครับ” ลี่เจ๋อเหลียงถาม
“เป็นคนบ้านเดียวกันน่ะค่ะ” เสิ่นเสี่ยอี้กล่าว
“อ๋อ” ลี่เจ๋อเหลียงส่งเสียงขึ้นครั้งหนึ่งแล้วจึงหันไปหาจันตงเจิ้น
จันตงเจิ้นหัวเราะพลางกล่าว “ผมกับเสี่ยอี้มีความเกี่ยวข้องกันนิดหน่อยน่ะครับ”
คราวนี้ลี่เจ๋อเหลียงก็ร้อง “อ๋อ” ด้วยความนัยที่ลึกซึ้งอีกครั้ง จากนั้นจึงกล่าวพร้อมยิ้มไปด้วย “ถ้าเกี่ยวข้องกับเรื่องส่วนตัวของทนายเสิ่น เห็นทีผมไม่ฟังจะดีกว่า”
เสิ่นเสี่ยอี้แยกมองไปทางเขาทั้งสองคนละครั้ง ในใจก็จำกัดความได้ พอผู้ชายแสร้งทำตัวปลอมเปลือกขึ้นมาก็ช่างน่าสะอิดสะเอียนจริงๆ
จันตงเจิ้นที่อยู่ข้างๆ ลี่เจ๋อเหลียงยังคงถูกคนของลี่ซื่อกรุ๊ปหมุนเวียนกันเชิญดื่มเหล้า ยิ่งดื่มสีหน้าก็ยิ่งบึ้งตึงขึ้นทุกที เธออดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง เดิมทีเขาเป็นคนไม่แตะต้องเหล้าบุหรี่ แต่พอเป็นการคุยธุรกิจบางครั้งก็ไม่มีทางเลือก
ดังนั้นเสิ่นเสี่ยอี้จึงรู้สึกมาตลอดว่าจันตงเจิ้นไม่เหมาะจะเป็นนักธุรกิจ
จันตงเจิ้นมาเจรจากับลี่เจ๋อเหลียงที่เมือง A ด้วยท่าทีนอบน้อม ในวงเหล้าก็มักจะพบกับเหตุการณ์
แบบนี้ ถ้าหากดื่มเหล้าไม่มากก็จะยิ่งดูไม่จริงใจ ดังนั้นเขาจึงรับมือด้วยความยากลำบาก ส่วนลี่เจ๋อเหลียงก็มีสีหน้าไม่ใส่ใจ ราวกับว่าเป็นเพียงคนดูละครสนุกๆ อยู่ล่างเวทีเท่านั้น
‘งั้นฉันเหมาะจะทำอะไรล่ะ’ เขาถามเธอก่อนหน้านี้
‘เป็นหนอนหนังสือก็ดีนะ’ เธอสร้างอาชีพหนอนหนังสือให้กับชีวิตเขา
ในทางตรงกันข้ามดูเหมือนว่าลี่เจ๋อเหลียงจะเกิดมาเพื่อทำอาชีพนักธุรกิจนี้โดยเฉพาะ เป็นพวกประเภทคุณหลอกผมผมหลอกคุณ พวกรอยยิ้มซ่อนมีดในวงการธุรกิจ หรือว่าการตอกย้ำซ้ำเติมก็ล้วนเป็นจุดแข็งของเขา เธอมองลี่เจ๋อเหลียงอีกแวบหนึ่ง แม้จะบอกว่าเธอเป็นคนของลี่ซื่อกรุ๊ป แต่ว่าเธอจะต้องยืนฝั่งของจันตงเจิ้นแห่งตงเจิ้งกรุ๊ปแน่นอน
หลังจากดื่มเหล้าไปสามรอบ จันตงเจิ้นก็ไปเข้าห้องน้ำ
เสิ่นเสี่ยอี้มองดูเงาหลังของเขาอย่างไม่วางใจแล้วจึงตามออกไปด้วย เธอเดินไปยังหัวโค้งก่อนถึงห้องน้ำ แต่กลับถูกจันตงเจิ้นดึงเข้าไปในห้องห้องหนึ่งที่ว่างเปล่าและมืดสนิท
“ฉันรู้อยู่แล้วว่าเธอต้องตามมา” จันตงเจิ้นกล่าว
“นายเป็นยังไงบ้าง”
“ก็ดี ตอนนี้ยังไม่เป็นไร” จันตงเจิ้นกล่าวไปก็ประคองใบหน้าของเธอ “เธอเอาแต่ขมวดคิ้วทำไมนักล่ะ”
“ตงเจิ้น…”
“จู่ๆ ได้ยินเธอเรียกฉันแบบนี้ รู้สึกห่างเหินใช้ได้เลย” จันตงเจิ้นหัวเราะออกมา เวลานี้เขาเมามายไม่ได้สติ รู้สึกวิงเวียนขึ้นมากะทันหัน เขาโน้มตัวลงหนุนหน้าผากบนไหล่ของเสิ่นเสี่ยอี้ “ฉันค่อนข้างเวียนหัว ให้ซบหน่อยนะ”
เสิ่นเสี่ยอี้ทอดถอนใจ เอื้อมมือออกไปลูบผมของเขา “เวลานายดื่มเหล้าไม่ควรทำตัวอวดเก่งเกินไปนะ”
“ฉันไม่อยากทำอะไรก็ตกเป็นรองนี่นา”
“อะไรตกเป็นรองไม่ตกเป็นรองกันล่ะ อย่าดื่มให้มากนักเลย”
ได้ยินเสิ่นเสี่ยอี้ต่อว่า จันตงเจิ้นก็หัวเราะอย่างรู้ใจ “เมื่อก่อนไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่เสี่ยอี้อ่อนโยนขนาดนี้ด้วย ฉันก็แค่ไม่อยากแพ้ให้เขาไปทุกเรื่องน่ะ”
“เอาล่ะๆ ถูกนายเอาเปรียบมาพอแล้ว พวกเราออกมาพร้อมกันนานขนาดนี้ไม่ยอมกลับไปสักที พวกเขาจะสงสัยเอานะ”
เสิ่นเสี่ยอี้ผลักเขาออกเบาๆ จันตงเจิ้นเองก็ยืดตัวตามไปด้วย
ทั้งสองคนออกจากห้องว่างห้องนั้นพร้อมๆ กัน ตอนที่จะเข้าไปในห้องอาหารจันตงเจิ้นส่งสัญญาณให้เธอเข้าไปก่อน ส่วนเขาพิงอยู่กับกำแพงรออีกสักครู่
“นี่” ก่อนจะผลักประตูเสิ่นเสี่ยอี้หันหลังกลับมาเรียกเขาไว้
“หืม?” เขาเงยหน้า
“ตงเจิ้น ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่นายทำเพื่อฉันนะ” เสิ่นเสี่ยอี้กล่าว
“พวกเรายังต้องพูดเรื่องนี้กันอีกเหรอ” เขาหัวเราะใส่เธอ
เสิ่นเสี่ยอี้ผลักประตูเดินเข้าไปยังที่นั่ง ก่อนเห็นว่าลี่เจ๋อเหลียงเองก็เหมือนจะเพิ่งเข้ามานั่งเช่นกัน เขานั่งสูบบุหรี่อยู่คนเดียว ขมวดคิ้วแน่น
เธอกลับเข้ามาสักครู่จันตงเจิ้นถึงได้กลับเข้ามาช้าๆ สีหน้าของเขาดีขึ้นกว่าตอนก่อนออกไปสักหน่อยแล้ว ไม่รู้ว่าหลังจากที่เธอกลับมาเขาได้ไปอาเจียนในห้องน้ำคนเดียวหรือเปล่า เธอรู้ว่าบางคนถ้าดื่มจนแทบจะไม่ไหวแล้วเมื่อไปอาเจียนก็จะรู้สึกสบายขึ้นมาก
เดิมทีเสิ่นเสี่ยอี้กินข้าวมาก่อนแล้ว ดังนั้นตอนนี้เธอจึงไม่ได้อยากกินอีกแม้แต่คำเดียว อีกอย่างอยู่ที่นี่เธอเองก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไร จึงไม่มีใครมาคอยจับสังเกตเธอโดยไม่จำเป็น ในห้องมีควันบุหรี่ลอยคลุ้ง ส่งกลิ่นตลบอบอวลเสียจนเธออยากอาเจียน ทำได้เพียงขอร้องให้มื้ออาหารมื้อนี้จบลงโดยเร็วที่สุด
เธอไม่มีเรื่องอะไรต้องทำ แต่จะให้เอามือถือออกมาเล่นเกมด้วยความเบื่อหน่ายก็คงจะไม่เหมาะนัก แบบนั้นจะไม่เป็นการทำให้ลี่ซื่อกรุ๊ปเสียหน้าหรือไง ดังนั้นวิธีฆ่าเวลาของเธอจึงเป็นการปั้นหน้ายิ้มแย้ม แสร้งทำทีเป็นฟังพวกเขาพูดจากันด้วยความตั้งอกตั้งใจ
สักครู่ใหญ่ๆ เธอก็แยกแยะตำแหน่งคนฝั่งตงเจิ้งกรุ๊ปได้อย่างชัดเจน
ข้างๆ จันตงเจิ้นมีอยู่สองคนที่เป็นคนใกล้ชิดที่สุด คนหนึ่งเป็นเลขาฯ ของเขาแซ่หลี่ ผู้หญิงอีกคนคาดว่าน่าจะเป็นผู้จัดการแผนกประชาสัมพันธ์แซ่จ้าว นามว่าจ้าวหลิงเฟย อายุราวๆ สามสิบ ถึงแม้หน้าตาจะไม่ได้ล่มชาติล่มเมือง แต่ยามที่ดวงตาคู่นั้นเหลือบซ้ายแลขวาก็ดูน่าหลงใหลเสียเหลือเกิน
ผู้จัดการจ้าวคนนี้ดื่มเหล้าเก่งจริงๆ คิดว่าคงจะให้เธอรับมือกับลี่เจ๋อเหลียงโดยเฉพาะ สาวงามเชิญดื่มเหล้าอีกทั้งยังดื่มหมดก่อนเพื่อให้เกียรติ แล้วมีเหตุผลอะไรที่ชายหนุ่มจะไม่ดื่มกันล่ะ
ไม่รู้ว่าลี่เจ๋อเหลียงเกิดเมาขึ้นมาบ้าง หรือโดยปกติเขาก็ชอบที่จะก้อร่อก้อติกกับสาวสวยอยู่แล้ว เวลานี้จึงยิ่งพูดจากับคุณจ้าวคนสวยอย่างถูกคอ เสิ่นเสี่ยอี้อดไม่ได้ที่จะด่าทอเขาอย่างไม่สบอารมณ์อยู่ในใจ เพิ่งด่าจบก็เห็นลี่เจ๋อเหลียงมองมาที่เธอเหมือนมีความนัยบางอย่าง
เพื่อที่จะปิดบังการด่าทอของตนเอง เธอจึงยิ้มแหยให้เขาอย่างใจฝ่อด้วยความรีบร้อน
ภาพเหตุการณ์นี้อยู่ในสายตาของคุณจ้าวคนสวยเข้าพอดี
“อ้าว! ประธานลี่ ดูสิคะ พวกเราปล่อยให้คุณเสิ่นเหงาอยู่ตรงนี้น่ะ” คุณจ้าวคนสวยลุกขึ้นตามพนักงานเสิร์ฟให้มารินเหล้าในแก้วทั้งสองใบ “คุณเสิ่นคะ ในเมื่อคุณเป็นเพื่อนของตงเจิ้น งั้นก็เป็นเพื่อนของฉันจ้าวหลิงเฟยด้วย นานๆ ถึงจะมีโอกาส ฉันก็จะถือโอกาสนี้ยืมของคนอื่นมอบเป็นของขวัญ ยืมมื้ออาหารของประธานลี่ดื่มให้คุณแก้วหนึ่งนะคะ”
น้อยนักที่จะมีลูกน้องคนไหนเรียกขานเจ้านายแบบนี้ เสิ่นเสี่ยอี้ได้ยินก็รู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเธอ
กล่าวไปมือข้างหนึ่งของจ้าวหลิงเฟยก็ยกแก้วแก้วหนึ่งส่งมาให้ตรงหน้าเสิ่นเสี่ยอี้ “คุณเสิ่นคะ ฉันดื่มให้คุณค่ะ”
ประโยคนี้กล่าวยังไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงจันตงเจิ้นเอ่ยห้าม “หลิงเฟย เสี่ยอี้ดื่มเหล้าไม่เป็น อย่าไปทำให้เธอลำบากใจเลยนะ”
จ้าวหลิงเฟยไม่ทันกล่าวอะไรต่อก็ได้ยินคำพูดของเจ้านาย ทว่าเหล้าแก้วนี้ไม่ทันไรก็ต้องเก็บกลับมาแล้ว เธอกลอกดวงตาใสแป๋วได้รอบหนึ่งก็โยงบทสนทนากลับมาหาลี่เจ๋อเหลียง “ประธานลี่ คุณดูสิคะ
คุณเสิ่นของพวกคุณดื่มเหล้าไม่เป็นน่ะค่ะ โบราณว่าบุรุษต้องพะเน้าพะนอปกป้องหญิงสาว คุณจะดื่มแทนเธอใช่ไหมคะ”
เมื่อสักครู่นี้เธอดื่มให้ลี่เจ๋อเหลียง ขอเพียงแค่ดึงเหตุผลออกมาได้ ลี่เจ๋อเหลียงก็ต้องรับไว้อย่างไม่มีข้อแม้ ทว่าคราวนี้เขากลับหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ “ผมว่าคนที่ปกป้องหญิงสาวเป็นประธานจันมากกว่า ผมแย่งมาแบบนี้จะไม่เป็นการดีเสียเปล่าๆ”
ลี่เจ๋อเหลียงไม่เพียงปฏิเสธจ้าวหลิงเฟยอย่างนุ่มนวล ซ้ำยังเตะบอลส่งต่อให้จันตงเจิ้นอีกด้วย
เคราะห์ดีที่ผู้ชายคนนี้เวลาพูดจาล้วนชัดถ้อยชัดคำ ไม่อย่างนั้นหากปล่อยให้คนอื่นๆ ฟังเป็นว่า ‘แย่งคนรัก’ ขึ้นมา เธออยู่ที่บริษัทจะทำงานอย่างไร เสิ่นเสี่ยอี้ยิ้มเย็นในใจ ได้สิ คุณลี่เจ๋อเหลียง ในเมื่อคุณกล้าเอาฉันมาล้อเล่นต่อหน้าคนเยอะแยะขนาดนี้
คิดไม่ถึงว่าจันตงเจิ้นเองก็เป็นคนตรงไปตรงมา เสิ่นเสี่ยอี้เห็นว่าแววตาของเขาเตรียมพร้อมจะดื่มแล้ว เธอรู้ว่าคำพูดเหล่านี้และเหล้าแก้วนี้ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับจันตงเจิ้น แต่ถ้าหากเขาดื่มเหล้าแก้วนี้แทนเธอ ต่อไปลี่เจ๋อเหลียงอาจหัวเราะเยาะเธอไม่จบไม่สิ้นก็ได้
ฉะนั้นแล้วเธอจึงลุกขึ้นยืน นำแก้วที่มีน้ำส้มก่อนหน้านี้ยกขึ้นด้วยสองมือ “ไม่กล้าให้คุณลี่ดื่มแทนหรอกค่ะ ผู้จัดการจ้าวคะ ฉันดื่มเหล้าไม่ได้จริงๆ ทำได้แค่ใช้เครื่องดื่มอื่นมาแทนเหล้า ถือว่าเป็นการแสดงความจริงใจของฉันแล้วกันนะคะ” กล่าวจบเธอก็ดื่มน้ำส้มแก้วใหญ่อึกๆๆ ลงไป
“ประธานจันกับทนายเสิ่นของพวกเราไม่ได้เป็นคนบ้านเดียวกันแบบทั่วๆ ไปใช่ไหมล่ะ” ลี่เจ๋อเหลียงพิงเบาะพนักเก้าอี้พลางใช้นิ้วมือเย็นยะเยือกคีบบุหรี่ขึ้นสูบ จากนั้นก็ถามประหนึ่งว่าไม่ได้ใส่ใจ
“พวกเราสองคนโตมาด้วยกันน่ะ” จันตงเจิ้นกล่าว
“อ๋อ งั้นก็นับว่าเป็นเพื่อนรู้ใจในวัยเด็กล่ะนะ” ลี่เจ๋อเหลียงกล่าวอย่างมีนัยลึกซึ้ง
อาหารมื้อนี้ของพวกเขากินกันดึกดื่นกว่าจะจบลง
ลี่เจ๋อเหลียงจัดแจงคนให้ส่งจันตงเจิ้นและผู้ติดตามไปยังโรงแรม ครั้นมองส่งจนลับตาแล้วเขาก็จงใจทำทีว่าเห็นใจลูกน้อง แสร้งทำเป็นห่วงเป็นใยเสิ่นเสี่ยอี้เสียหน่อย กล่าวอย่างเป็นกันเองว่า “คุณเสิ่นตัวคนเดียวจะกลับยังไงครับ”
“ฉันจะเรียกแท็กซี่ค่ะ” เสิ่นเสี่ยอี้กล่าวอย่างรู้เท่าทัน
เขาพยักหน้า เห็นได้ชัดว่าพึงพอใจกับคำตอบพอสมควร
ขณะเสิ่นเสี่ยอี้อยู่บนรถแท็กซี่ระหว่างทางกลับบ้านก็ได้รับสายโทรศัพท์จากจันตงเจิ้น
“ออกมาดื่มกาแฟกันไหมล่ะ”
“ไม่เอา”
“งั้นดื่มชากัน” จันตงเจิ้นเปลี่ยนข้อเสนอในทันที
“หนึ่งวันกินๆ ดื่มๆ จนค่ำมืด เมื่อกี้นี้ทำไมนายไม่พูดล่ะ ฉันกลับบ้านแล้วเนี่ย” เสิ่นเสี่ยอี้กล่าว
“ฉันอยากชวนเธอไปดื่มน้ำชาอย่างบริสุทธิ์ใจนี่นา” จันตงเจิ้นกล่าว
“นายนี่มันน่ารำคาญจริงเชียว” เสิ่นเสี่ยอี้พูดอย่างไม่สบอารมณ์
“เสี่ยอี้…” จันตงเจิ้นไม่ท้อถอยเลยสักนิด “ฉันไม่ได้เจอเธอมานานมากๆๆๆ แล้วนะ”
“เพ้อเจ้อ เพิ่งจะเจอกันเมื่อยี่สิบนาทีก่อนชัดๆ”
“…” จันตงเจิ้นไม่พูดอะไรอีก
“ฮัลโหล”
อีกฝั่งของโทรศัพท์ยังคงนิ่งเงียบ
“นายอย่าใจแคบนักจะได้ไหม” เสิ่นเสี่ยอี้เอ่ยออกมา
“…”
“ตงตง!” เธออดไม่ได้ที่จะเรียกชื่อเล่นของเขา
“…” เขายืนหยัดจนถึงที่สุด
“เอาล่ะๆ พวกเราไปดื่มชากัน”
เสิ่นเสี่ยอี้ยอมแพ้เขาจนได้
ผู้ชายคนนี้ชอบใช้จุดอ่อนของเธอ ใครให้เมื่อก่อนเธอเล่นบทฮ่องเต้เป็นประจำแล้วให้เขาเล่นเป็นฮองเฮาล่ะ นิสัยเสียเหล่านี้ล้วนติดมาจากเธอทั้งนั้น
พวกเขานัดพบกันที่บาร์กาแฟบนดาดฟ้าของโรงแรมที่จันตงเจิ้นเข้าพัก เสิ่นเสี่ยอี้มาถึงหน้าประตูก็เห็นเขานั่งรอเธออยู่บริเวณริมหน้าต่างติดกับด้านใน
จันตงเจิ้นไม่ได้ทำนิสัยเด็กๆ อย่างตอนที่คุยกับเธอทางโทรศัพท์แล้ว เขามองไปยังดวงไฟแวววาว สีหน้าราวกับครุ่นคิดอะไรอยู่ ใบหน้าของเขางดงาม ผิวพรรณขาวผ่อง ดึงดูดให้คนที่อยู่ใกล้ๆ เหลียวมองซ้ำๆ มีหญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่งเดินเข้าไปชวนคุย “คุณคะ ตรงนี้มีคนนั่งหรือเปล่าคะ”
เขาโค้งดวงตายิ้มให้อย่างอ่อนโยน “ขอโทษครับ ผมรอคู่ควงของผมอยู่” กล่าวจบก็ชี้ไปยังเสิ่นเสี่ยอี้ที่เดินมาจากที่ไกลๆ
(3)
ชีวิตในวันปกติของหยางวั่งเจี๋ยธรรมดาเหลือเกิน เช้าเก้าโมงเย็นห้าโมงไปมาอยู่แค่สองที่ ทั้งวันเสาร์ก็ยังทำโอทีด้วย
บ้านของเขาอยู่ในอำเภอที่ห่างออกไปหลายร้อยกิโลเมตร ดังนั้นหลังเรียนจบจากมหาวิทยาลัยการจะอยู่ต่อที่เมือง A ความจริงแล้วไม่ใช่เรื่องง่าย ทางบ้านเขาไม่ได้มีภูมิหลังอะไร บิดามารดาล้วนแต่เป็นพนักงานเกษียณจากตัวอำเภอ เนื่องจากเขาเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย A เป็นเวลาสี่ปี รวมถึงตะเกียกตะกายอยู่ในสายอาชีพนี้อีกหลายปี ดังนั้นเพื่อนที่รู้จักกันจึงมีมาก การได้รู้จักกับเสิ่นเสี่ยอี้จึงถือเป็นความบังเอิญโดยแท้
อาทิตย์นั้นเขาหยุดพักร้อนพอดีจึงกลับไปยังบ้านเกิดรอบหนึ่ง ด้วยความที่เขายังครองสถานะโสด ผู้เป็นแม่จึงทุกข์ใจ โทรไปหาลูกพี่ลูกน้องที่อยู่เมือง A เหมือนๆ กันแล้วส่งภารกิจนี้ให้กับพี่สาว เขาเองก็ไม่ได้อยากเป็นโสด แต่มักจะรู้สึกว่าในเมื่อไม่มีคนที่คุณสมบัติเหมาะสม เช่นนั้นก็ดูต่อไปแล้วค่อยว่ากันใหม่ดีกว่า
วันหยุดเสาร์อาทิตย์พี่สาวนัดให้เขาไปกินข้าวที่บ้าน
‘ที่บริษัทของพี่เขยนายมีเด็กสาวคนหนึ่งใช้ได้เลยนะ ดูเป็นคนพึ่งพาตัวเองดี ไม่เหมือนหนุ่มสาวสมัยนี้ที่บ้าๆ บอๆ’ พี่สาวกล่าว ‘แล้วก็เป็นคนต่างพื้นที่เหมือนกันด้วย’
จากนั้นพี่สาวก็ให้รูปถ่ายเขามาหนึ่งใบ
มันเป็นรูปถ่ายรวม หยางวั่งเจี๋ยมองตามคนที่พี่สาวชี้ไป เด็กสาวทั้งผอมทั้งสูงคนนั้นอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน ระหว่างถ่ายรูปมีเพียงเธอคนเดียวที่ฉีกยิ้ม
คนคนนั้นก็คือเสิ่นเสี่ยอี้
ต่อมาหลังจากที่พบกันตอนดูตัวเป็นครั้งแรก ขณะที่เขามาส่งเธอ เธอก็เคยบอกไปแล้วว่า
‘ฉัน…ไม่รู้ว่าอู๋เหว่ยหมิงเรียกฉันมาเพราะพวกเขาสองสามีภรรยาอยากให้พวกเรารู้จักกัน
บางทีพอฉันกล่าวคำพูดพวกนี้ไปแล้วอาจจะทำให้คุณรู้สึกไม่สบายใจ ทำให้คุณมองว่าฉันคิดเองเออเอง แต่ว่าตอนนี้ฉันยังไม่มีความคิดจะแต่งงานจริงๆ ค่ะ
ฉัน…คุณหยาง…ถ้าคุณรู้สึกว่าฉันตรงไปตรงมาเกินไปจนทำให้คุณรำคาญ ฉันก็ต้องขอโทษด้วย
ความจริงแล้ว…พวกเราเป็นเพื่อนกันทั่วๆ ไปได้ แต่แน่นอนว่าถ้าคุณเห็นฉันขัดหูขัดตาล่ะก็…ไม่จำเป็นต้องฝืนหรอกนะคะ’
เสิ่นเสี่ยอี้กล่าวประโยคยาวพรืดอย่างติดๆ ขัดๆ แน่นอนว่าหยางวั่งเจี๋ยฟังเข้าใจ
หลังจากพบปะกันหลายครั้งเขาก็พบว่าเด็กสาวคนนี้เห็นเขาเป็นเพียงเพื่อนทั่วไปจริงๆ ราวกับว่าความสัมพันธ์เช่นนี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะในงานแต่งครั้งนั้น เขามองเห็นอยู่ไกลๆ ได้อย่างแจ่มชัด
ลี่เจ๋อเหลียงคนนั้นปฏิบัติกับเธอแตกต่างกับคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด
เขารู้สึกมาตลอดว่าเสิ่นเสี่ยอี้ปฏิบัติกับคนอื่นอย่างซื่อสัตย์จริงใจ อีกทั้งยังใจเย็น ไม่ได้สะบัดสะบิ้งอย่างเด็กสาวคนอื่นๆ ทว่าพออยู่ต่อหน้าลี่เจ๋อเหลียงแล้วกลับไม่เหมือนกัน คิดไม่ถึงว่าเธอจะหน้าแดงหูแดงเพราะท่าทางที่ไม่ได้ตั้งใจหรือเพียงเพราะคำพูดของผู้ชายคนนั้น
บางครั้งคนที่อยู่ในสถานการณ์ยังงุนงง แต่คนที่มองดูกลับเห็นอย่างชัดเจน
เคราะห์ดีที่ตั้งแต่รู้จักกันวันแรกเสิ่นเสี่ยอี้ก็บอกตอนจบกับเขาไว้อย่างกระจ่างแจ้งแล้ว ด้วยเหตุนี้เวลานั้นเขาจึงไม่ได้รู้สึกแย่มากนัก เพียงแค่รู้สึกเสียใจเล็กน้อย
คืนนี้หยางวั่งเจี๋ยพักผ่อนอยู่ที่บ้านก็ได้รับสายจากอิ่นเซี่ยวเหมยอย่างไม่คิดฝัน
อิ่นเซี่ยวเหมยเป็นน้องสาวของเจ้าบ่าวในงานแต่งที่เสิ่นเสี่ยอี้ไปร่วมงานด้วยกันกับเขาเมื่อคราวก่อน
ตอนนั้นในงานเลี้ยง เพื่อนเจ้าสาวที่อยู่ข้างๆ ก็มีอิ่นเซี่ยวเหมยนี่ล่ะที่กล่าวขึ้นกับเขากะทันหัน ‘คุณคือหยางวั่งเจี๋ยเหรอคะ พี่ชายของฉันพูดถึงคุณให้ฟังบ่อยๆ’
หยางวั่งเจี๋ยเห็นเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าก็คิดขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายเป็นน้องสาวของอิ่นเซียวที่เป็นเจ้าบ่าวในงาน เธอชื่อว่าอิ่นเซี่ยวเหมย เวลาเด็กสาวยิ้มแลดูหวานหยาดเยิ้ม ไม่มีมาดอย่างคุณหนูตระกูลร่ำรวย ประมาณว่าเพราะธุรกิจของตระกูลอิ่นเพิ่งจะดีขึ้นเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ดังนั้นจึงไม่ได้เปลี่ยนให้สองพี่น้องมีนิสัยเลวร้ายหยิ่งผยอง
เซี่ยวเหมย เซี่ยวเหมย ชื่อสอดคล้องกับบุคคล หยางวั่งเจี๋ยคิดอยู่ในตอนนั้น
เมื่อโทรศัพท์โทรติด เสียงที่เบาและคล่องแคล่วของอิ่นเซี่ยวเหมยก็ดังขึ้น “พี่หยาง พี่ชายของฉันกับ
เสี่ยวเยวี่ยซื้อตั๋วหนังมาสองใบแต่ว่าไม่อยากดูแล้ว พี่ไปเป็นเพื่อนฉันได้หรือเปล่า”
เขาโตแล้ว ย่อมรู้ดีว่าการเชิญชวนที่ดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจของอิ่นเซี่ยวเหมยนี้หมายความว่าอย่างไร เขากล่าว “ได้สิ แต่ต่อไปเรียกฉันว่า ‘วั่งเจี๋ย’ ก็พอนะ”
ดูหนังเสร็จอิ่นเซี่ยวเหมยก็รู้สึกหิวขึ้นมาและอยากไปกินของว่าง ทั้งสองคนจึงไปนั่งที่ร้านกาแฟ เขาถึงได้เห็นเสิ่นเสี่ยอี้กับผู้ชายอีกคนหนึ่งกำลังเดินออกมาจากด้านใน
เสิ่นเสี่ยอี้เองก็สังเกตเห็นเขาในเวลาเดียวกัน
“หยางวั่งเจี๋ย” เสิ่นเสี่ยอี้หยุดทักทายเขา ผู้ชายที่อยู่ข้างๆ เธอเองก็ผงกศีรษะให้อย่างมีมารยาท
หยางวั่งเจี๋ยยืดตัวขึ้นตอบรับ เขาไม่รู้จักผู้ชายคนนั้น เสิ่นเสี่ยอี้เองก็ไม่ได้มีแก่ใจจะแนะนำพวกเขาให้รู้จักกัน ดังนั้นเขาจึงไม่กล้ายื่นมือให้โดยไม่คิด เพียงแต่ผงกศีรษะให้เช่นเดียวกัน
เสิ่นเสี่ยอี้เห็นอิ่นเซี่ยวเหมยแวบหนึ่งก็กะพริบตาปริบๆ หัวเราะคิกๆ กดเสียงให้เบาลงพลางเอ่ยถาม
หยางวั่งเจี๋ย “แฟนเหรอ”
หยางวั่งเจี๋ยแย้มยิ้ม ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ
รอจนกระทั่งพวกเสิ่นเสี่ยอี้ค่อยๆ หายลับไปจากสายตาของพวกเขา อิ่นเซี่ยวเหมยถึงได้กล่าวขึ้นว่า “เหมือนฉันจะเคยเห็นผู้หญิงคนนี้ที่ไหนมาก่อน”
“เธอก็ต้องเคยเห็นสิ วันนั้นงานแต่งพี่ชายของเธอเขาก็มาด้วย” หยางวั่งเจี๋ยเตือนความจำเธอ ด้านหลังยังมีอีกครึ่งประโยคที่ทิ้งไว้ไม่ได้พูด ‘ฉันเองที่เป็นคนพาเขาไป’
“อ๋อ!” อิ่นเซี่ยวเหมยนึกขึ้นได้ในทันที “พี่พูดขึ้นมาฉันก็นึกได้เลย ตอนนั้นเธอนั่งอยู่ข้างๆ ลี่เจ๋อเหลียงคนนั้น ฉันกับพี่เสี่ยวเยวี่ยยังถกกันเรื่องนี้อยู่เป็นนานสองนาน”
“พวกเธอถกกันถึงเธอเรื่องอะไรเหรอ” หยางวั่งเจี๋ยประหลาดใจ
“เป็นเรื่องซุบซิบระหว่างผู้หญิงค่ะ” อิ่นเซี่ยวเหมยจงใจเบะปากไปกล่าวไป “ไม่บอกพี่หรอก”
“พวกเธอสาวๆ นี่เข้ากันได้ดีเลยนะ หาได้ยาก”
“แน่นอนสิ พี่สะใภ้คนนี้ฉันเป็นคนแนะนำให้พี่ชายฉันเองนี่นา! เรื่องนี้พี่ต้องไม่รู้แน่”
ทั้งสองเธอประโยคหนึ่งฉันประโยคหนึ่ง ดึงหัวข้อสนทนาเรื่องเสิ่นเสี่ยอี้ที่พบเมื่อสักครู่นี้ออกไปไกลแสนไกล
แต่ไม่คิดว่าสุดท้ายอิ่นเซี่ยวเหมยจะกล่าวพึมพำขึ้นมา “แต่ว่านะ ฉันรู้สึกคุ้นหน้าเธอมากๆ มาตลอด นอกจากงานแต่งพี่ชายคราวนั้นแล้ว เหมือนว่าพวกเราจะเคยเจอกันที่ไหนมาก่อน”
ในตอนนั้นหยางวั่งเจี๋ยไม่ได้ใส่ใจกับประโยคนี้แต่อย่างใด
ผ่านไปไม่กี่วัน เสิ่นเสี่ยอี้ดูสัมภาษณ์บุคคลสำคัญอยู่ที่บ้าน เธอค่อนข้างชอบรายการนี้ พิธีกรคนนั้นถามคำถามออกมาได้เฉียบคมเสมอมา น้อยมากที่จะสนใจหน้าตาของผู้ถูกสัมภาษณ์ ทำเสียจนคนคนนั้นประดักประเดิด เคยมีครั้งหนึ่งผู้ถูกสัมภาษณ์ถูกทำให้โมโหจนเดินหนีไปทั้งอย่างนั้นเลย
แต่เพราะอย่างนี้อัตราผู้ชมถึงได้เพิ่มขึ้นถล่มทลาย ต่อมาไม่รู้ว่าไปมีเรื่องกับใครเข้าจึงไม่ได้ถ่ายทอดสดแล้ว เปลี่ยนไปเป็นตัดต่อหนึ่งวันจากนั้นค่อยออกอากาศ
ตอนที่เสิ่นเสี่ยอี้เห็นจันตงเจิ้นปรากฏตัวในห้องส่ง นั่งอยู่ตรงข้ามกับพิธีกร เธอก็ตกอกตกใจจนเบิกตาโพลง นายคนนี้ก็ไม่ได้กลัวว่าจะหาทางลงไม่ได้เลย
บรรยากาศเปิดรายการค่อนข้างปรองดอง พิธีกรกล่าวเยินยอจันตงเจิ้นสักหน่อย จากนั้นนิสัยที่แท้จริงของพิธีกรก็ค่อยๆ ปรากฏให้เห็น
พิธีกรเอ่ย “ประธานจัน พวกเราต่างก็รู้มาว่าคุณได้รับอำนาจในการจัดการหุ้นจากคุณพ่อของคุณ”
จันตงเจิ้นตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน “ใช่ครับ”
“หลังจากที่คุณรับช่วงต่อก็ดำเนินการเปลี่ยนแปลงตงเจิ้งทั้งชุด ว่ากันว่าการกระทำนี้ทำให้ผู้ถือหุ้นไม่พอใจหรือครับ”
จันตงเจิ้นกล่าว “ในการเปลี่ยนแปลงนโยบายและระบบครั้งใหญ่จะผ่านมติการประชุมของกรรมการบริหารทุกครั้งครับ ที่คุณบอกว่าไม่พอใจ ผมไม่ทราบว่าหลักๆ แล้วหมายถึงอะไร” จันตงเจิ้นหัวเราะ เขากล่าวต่อไป “แต่มีเรื่องหนึ่งที่สามารถมั่นใจได้ นั่นคือผมไม่ใช่ธนบัตรร้อยหยวนใบสีชมพู* ไม่สามารถทำให้คนทุกคนพึงพอใจได้”
ฟังถึงตรงนี้ เสิ่นเสี่ยอี้ที่กำลังบ้วนปากอยู่ในห้องน้ำก็พ่นน้ำในปากออกมาใส่กระจก
ตั้งแต่เด็กเธอก็รู้สึกว่าคนคนนี้ช่างโง่นัก ไม่รู้ว่าเขาไปเริ่มเรียนรู้ที่จะเป็นเหมือนสุนักจิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์อยู่ในสังคมแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เฉลียวฉลาดนักเชียว
เวลานี้หยางวั่งเจี๋ยเองก็ดูรายการนี้อยู่ที่บ้านเช่นกัน เขาก็คือจันตงเจิ้นงั้นเหรอ เขาเพิ่งจะพบว่าที่แท้ผู้ชายที่อยู่ข้างๆ เสิ่นเสี่ยอี้ในคืนนั้นเป็นคนระดับไหน ต่อมาจึงอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจอย่างใจหาย ถ้าเกิดระหว่างเสิ่นเสี่ยอี้กับลี่เจ๋อเหลียงเป็นเรื่องบังเอิญล่ะก็ อย่างนั้นการปรากฏตัวของจันตงเจิ้นก็อธิบายได้ว่าเธอไม่ได้เป็นผู้หญิงธรรมดาๆ ทั่วไป เมื่อคิดได้อย่างนี้เขาจึงเลิกคิดเพ้อฝัน
คนที่ดูรายการนี้ยังมีคนที่เสิ่นเสี่ยอี้ให้ความสำคัญอีกคนหนึ่ง
ลี่เจ๋อเหลียงเปลี่ยนช่อง บี้ดับก้นบุหรี่ลงบนที่เขี่ยบุหรี่
(4)
“จันตงเจิ้นไปตั้งแต่เมื่อไหร่” ลี่เจ๋อเหลียงเงียบอยู่สักครู่ถึงได้เอ่ยถาม
“เมื่อวานตอนบ่ายครับ” จากนั้นเซวียฉีกุยก็ยื่นกระดาษใบหนึ่งให้ลี่เจ๋อเหลียง “นี่เป็นบุคคลที่เขาพบหน้าที่เมือง A เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา แล้วก็รายละเอียดบางส่วน”
ลี่เจ๋อเหลียงรับมาอ่านดูคร่าวๆ
เซวียฉีกุยกล่าว “ขอเพียงพวกเรายื้อเวลาต่อไป ทางตงเจิ้งกรุ๊ปก็จะนั่งไม่ติดแน่ครับ การก่อสร้างของพวกเขายื้อไปหนึ่งวันก็ขาดทุนนับแสน ถ้าเกิดยืดเยื้อต่อไปอย่างนี้ เกรงว่าแม้แต่สตางค์แดงเดียวก็จะฉวยไว้ไม่ได้ พวกเราเองก็จะได้ดั่งใจหวัง ดังนั้นคุณลี่ได้โปรดวางใจ แต่ว่า…”
เซวียฉีกุยกล่าวเสริม “ไม่กี่วันมานี้ที่จันตงเจิ้นมาเมือง A ก็มีการไปมาหาสู่ค่อนข้างมาก คุณลี่เองก็เห็นในรายชื่อแล้ว เกรงว่าถึงเวลารัฐบาลจะเพิ่มแรงกดดันให้พวกเรา”
“ผมรู้ถึงขอบเขตนี้”
“ส่วนนี่เป็นเรื่องที่คุณลี่ให้ผมสืบค้นเมื่อคราวก่อน” กล่าวจบเซวียฉีกุยก็ยื่นเอกสารฉบับหนึ่งให้กับลี่เจ๋อเหลียง
ลี่เจ๋อเหลียงดึงมาถือไว้ในมือ เปิดดูอยู่เป็นนานสองนาน
“ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ” เซวียฉีกุยเอ่ย
“อืม” ลี่เจ๋อเหลียงวางเอกสารลง เดินไปที่ริมหน้าต่าง ตามองตรงไปยังทิศตะวันออก ไม่รู้ว่าได้ยินที่อีกฝ่ายกำลังพูดกับเขาหรือเปล่า ทว่าอยู่ในท่าทีที่ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ
จนกระทั่งเซวียฉีกุยไปจากบ้านของเขา เขาก็ยังยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมา ปกติแล้วพวกเขาต่างก็รู้จักนิสัยใจคอของลี่เจ๋อเหลียงดี เห็นจนคุ้นชินแล้วจึงไม่ได้ตื่นตกใจ
เพื่อให้สะดวกต่อการทำงาน ลี่เจ๋อเหลียงจึงซื้ออพาร์ตเมนต์ในเขตเมืองเอาไว้อยู่อาศัยคนเดียว ทุกๆ วันนอกจากพนักงานรายชั่วโมงที่มาทำความสะอาดห้องก็น้อยนักที่จะมีคนมา
เขายังคงทอดสายตาออกไปจากหน้าต่างยาวระพื้นในห้องรับแขกอยู่อย่างนั้น ทิวทัศน์ยามค่ำคืนของทั้งเมืองล้วนอยู่ในสายตา แสงไฟแวววาวมีสีสันสะท้อนดวงตาคู่นั้นของเขาให้แลดูสว่างไสว
เขาที่ยืนอยู่เนิ่นนานจู่ๆ ก็หันหลังกลับไปหาเหล้า ขณะรินเหล้าลงแก้วได้ครึ่งหนึ่งก็หยุดชะงักกะทันหัน เขาคิดเงียบๆ ถ้าเกิดว่าเป็นเหล้าพิษ ตัวเราก็สมัครใจที่จะทุกข์ทรมานใช่หรือเปล่า คิดถึงตรงนี้เขาก็มองไปยังปึกเอกสารซึ่งเซวียฉีกุยให้เขาเมื่อสักครู่นี้อีกครั้ง แววตาทั้งสองข้างเข้มขึ้นในทันใด เขารู้สึกโมโหในฉับพลัน เขวี้ยงแก้วเหล้าลงบนพื้นอย่างแรง
ครู่เดียวก็เกิดเสียงดัง ‘เพล้ง’ แก้วเหล้าแตกละเอียดกระเด็นไปทั่วทุกทิศ
เขาจ้องมองเศษแก้วที่กระจัดกระจายไปทั่วพื้น มองอยู่นานแสนนาน
สุดท้ายไม่รู้ว่าเบื่อหน่ายหรือสงบอารมณ์ได้แล้ว เขานั่งลงบนโซฟาช้าๆ มุมปากเชิดขึ้นเล็กน้อย ยิ้มด้วยความเปล่าเปลี่ยว
ไม่กี่วันมานี้เสิ่นเสี่ยอี้ทำเรื่องเรื่องหนึ่งอยู่ตลอดเวลาเพื่อประสานความสัมพันธ์ในการร่วมมือกันของลี่ซื่อกรุ๊ปกับตงเจิ้งกรุ๊ป เธอใช้เวลาว่างที่เหลืออยู่ทั้งหมดในการมาทำโอทีเพื่อทำแผนการดำเนินงานที่จะร่วมมือกับตงเจิ้งกรุ๊ปออกมา เธอไม่ได้เป็นคนในองค์กร ดังนั้นจึงต้องเปิดอ่านข้อมูลจำนวนมาก อดหลับอดนอนอยู่หลายคืนเพื่อที่จะนำทฤษฎีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ ของการร่วมมือกับตงเจิ้งกรุ๊ปกับการกว้านซื้ออ่าวหลันเถียนเพียงอย่างเดียวมาวิเคราะห์ทีละเรื่อง
เธอไม่ได้อยากจะมีอิทธิพลต่อความเห็นของคนทั้งลี่ซื่อกรุ๊ป เพียงแต่อยากให้ลี่เจ๋อเหลียงหรือเซวียฉีกุยได้รู้ว่าไม่ได้มีเพียงการกว้านซื้ออ่าวหลันเถียนอย่างเดียวที่จะทำให้ลี่ซื่อกรุ๊ปได้รับกำไรมากที่สุด
ก่อนหน้านี้เธอให้เซวียฉีกุยดู เขาก็ใส่แว่นตาอ่านอย่างละเอียดแล้วกล่าวขึ้นว่า ‘ทนายเสิ่น พูดตามตรงคุณเขียนได้ไม่เลวเลย แต่ว่าเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในแผนกหรือขอบเขตการทำงานของคุณ’ จากนั้นก็นำเอกสารส่งคืนให้เสิ่นเสี่ยอี้
ในการประชุมงบประมาณเรื่องความร่วมมือซื้ออ่าวหลันเถียน ตอนที่ผลัดมาถึงตาเสิ่นเสี่ยอี้พูด ผู้ช่วยคนนั้นก็เอ่ยถาม “ทนายเสิ่น คุณมีอะไรจะพูดหรือเปล่าคะ”
เธอกล่าว “หากยืดเยื้อกับทางตงเจิ้งกรุ๊ปต่อไปยาวนานแบบนี้จะส่งผลกระทบต่อลี่ซื่อกรุ๊ป อีกทั้งการซื้ออ่าวหลันเถียนก็เป็นอุปสรรคต่อเงินทุนหมุนเวียนของพวกเรา และจะกระทบไปถึงการลงทุนในโครงการอื่นๆ อย่างแน่นอน โดยเฉพาะการก่อสร้างระยะที่สามของบ้านพักกวนหลัน ไม่ทราบว่าคุณลี่เคยพิจารณาหรือยังคะ”
คนที่นั่งอยู่ต่างรอให้ลี่เจ๋อเหลียงตอบคำถามด้วยความรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน
ลี่เจ๋อเหลียงมองเซวียฉีกุยสักครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าว “ผู้จัดการใหญ่เซวีย ผมหวังว่าการแสดงความคิดเห็นแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นในการประชุมของผมอีก” เสียงนั้นดังกังวานอยู่ภายในห้องประชุมอันกว้างใหญ่
หลังจากกินมื้อกลางวันเสร็จแล้ว เสิ่นเสี่ยอี้ก็ฉวยโอกาสตอนที่คนไม่มากไปส่งข้อมูลที่ชั้นยี่สิบสาม เธอมองเห็นลี่เจ๋อเหลียงอยู่ไกลๆ จากทางเดินอีกฝั่งหนึ่ง เขายืนกอดอกอยู่ที่หน้าประตูฟังผู้จัดการฝ่ายบริหารพูดอยู่ ปกติเวลาอยู่ในห้องเขาจะสวมเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาว แขนเสื้อถลกขึ้นมาเล็กน้อย ดังนั้นจึงมองเห็นนาฬิกาที่สวมอยู่บนข้อมือของเขา
“คุณลี่คะ ฉันมีเรื่องต้องการพบคุณค่ะ” เสิ่นเสี่ยอี้กล่าวอย่างมีมารยาท
เขามองเธออย่างลึกซึ้งครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงพยักหน้า
รอจนกระทั่งลี่เจ๋อเหลียงเสร็จธุระแล้วเข้าไปในห้อง เสิ่นเสี่ยอี้ก็เอาหนังสือคำร้องวางลงบนโต๊ะของเขาแล้วกล่าว “ฉันรู้สึกว่านี่เป็นข้อเสนอที่เป็นประโยชน์กับลี่ซื่อกรุ๊ปทั้งหมด ฉันเขียนอย่างยากลำบากอยู่หลายวัน หวังว่าคุณลี่จะอ่านดูสักหน่อย”
ลี่เจ๋อเหลียงเอ่ยถาม “คุณหมายถึงคุณเขียนอย่างยากลำบากอยู่หลายวันงั้นเหรอ”
เธอคิดไปเองว่าเขาอยู่ในท่าทีผ่อนคลายจึงพยักหน้าอย่างรีบร้อน
เขาเลิกคิ้วขึ้น มือซ้ายถือเอกสารฉบับนั้นแล้วโยนลงในตะกร้าถังขยะข้างที่นั่ง “คุณมีภาระหน้าที่เป็นของตัวเอง ผมไม่ได้จ่ายเงินให้คุณมาทำเรื่องนี้”
เสิ่นเสี่ยอี้กัดฟัน “คุณลี่คะ ได้โปรดเคารพคนอื่นสักหน่อย ถ้าหาก…”
“ทนายเสิ่น!” ลี่เจ๋อเหลียงตัดบทเธอ “ได้โปรดเคารพผมด้วยเช่นกัน” น้ำเสียงของเขาเย็นชาเป็นที่สุด
ในเมื่อเจรจามาถึงจุดนี้แล้ว เสิ่นเสี่ยอี้ก็ไม่รู้จะกล่าวอะไรต่อไปได้อีก
ไม่กี่วันผ่านไป เสิ่นเสี่ยอี้ไปประชุม คิดไม่ถึงว่าผู้ช่วยของเซวียฉีกุยจะขวางเธอเอาไว้
“ขอโทษด้วยค่ะทนายเสิ่น คุณลี่กำชับผู้จัดการเซวียเอาไว้ว่าต่อไปขอแค่เป็นการประชุมที่เกี่ยวข้องกับตงเจิ้งกรุ๊ป ไม่จำเป็นต้องให้คุณเข้าร่วมด้วยค่ะ”
เสิ่นเสี่ยอี้ได้ยินก็ไม่ได้รู้สึกว่าน่าตื่นตะลึงสักเท่าไร เพียงแต่กล่าวว่า “ถ้างั้นฉันจะเข้าไปพบคุณลี่”
“คุณลี่ไม่อยู่ข้างในค่ะ”
สิบนาทีผ่านไป เสิ่นเสี่ยอี้ก็หาห้องทำงานของลี่เจ๋อเหลียงจนพบ
“คุณลี่คะ ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมคุณถึงไม่ให้ฉันยื่นมือเข้าไปยุ่ง” เสิ่นเสี่ยอี้เข้าประตูไปก็เอ่ยถาม
“คุณหมายถึงอะไร” ลี่เจ๋อเหลียงก้มหน้าก้มตาดูเอกสาร ถามโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา
“เรื่องควบซื้ออ่าวหลันเถียน ในเมื่อถังเฉียวเองก็รับผิดชอบอยู่ ทำไมคุณต้องเตะฉันออกมาด้วยคะ” เสิ่นเสี่ยอี้กล่าว
ลี่เจ๋อเหลียงพิงพนักเก้าอี้ “นี่เป็นการตัดสินใจของบริษัท ผมไม่มีหน้าที่ต้องอธิบายกับคุณ”
“ถ้างั้นเชิญฉันมาทำอะไรคะ ถ้าเกิดคุณรู้สึกว่าฉันทำงานได้ไม่เหมาะสมก็ส่งฉันกลับไปที่ถังเฉียวเลยดีกว่า” เธอกล่าวคำพูดซึ่งเจือด้วยโทสะ
ลี่เจ๋อเหลียงใช้สายตาเย็นยะเยือกเหลือบมอง เลขาฯ หลินที่อยู่ด้านหลังเสิ่นเสี่ยอี้มองอย่างจนใจแวบหนึ่ง ก่อนจะถอยออกไปอย่างรู้งาน
“ทนายเสิ่น ไม่ว่าต่อไปคุณจะทำงานอยู่ที่ลี่ซื่อกรุ๊ปหรือไม่ก็ขอให้เคาะประตูก่อนจะเข้ามาด้วย” เห็นได้ชัดว่าเมื่อสักครู่นี้เสิ่นเสี่ยอี้รั้นจะพุ่งตัวเข้ามา
รอจนเสี่ยวหลินปิดประตูออกไปแล้ว ลี่เจ๋อเหลียงจึงเชิญให้เสิ่นเสี่ยอี้นั่งลงก่อนกล่าวว่า “คุณถามผมว่าทำไมถึงไม่ให้คุณยื่นมือเข้าไปยุ่ง ถ้าอย่างนั้นผมจะถามคุณว่าทำไมผมต้องให้คนที่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับอีกฝ่ายเข้าร่วมด้วย คุณจะเอายังไง คุณจะเอาชีวิตเข้ามาเสี่ยงเพื่อเพื่อนหรือไง ผมไม่เชื่อว่าตอนคุณอยู่ที่ถังเฉียว เฉียวหานหมิ่นจะสั่งสอนคุณมาอย่างนี้…เพื่อตงเจิ้งกรุ๊ปคุณพูดจากระทบกระเทียบไปแล้วเท่าไหร่ล่ะ แผนงานฉบับนั้นของคุณเขียนเพื่อลี่ซื่อกรุ๊ปหรือว่าเขียนเพื่อตงเจิ้งกรุ๊ปฝ่ายนั้นกันแน่ ก่อนหน้านี้ผมรับฟังแล้วอดทนไม่พูดออกมา แต่ว่าคุณได้คืบจะเอาศอก ในลี่ซื่อกรุ๊ปทั้งตำแหน่งน้อยใหญ่มีใครกล้าฝ่าฝืนผมอย่างโจ่งแจ้งบ้าง แต่ว่าคุณกลับทำ ขอเพียงเป็นเรื่องที่ผมบอกว่า ‘ไม่’ ทั้งลี่ซื่อกรุ๊ปยังมีใครกล้าออกความเห็นอีก แต่ว่าคุณก็ทำ เสิ่นเสี่ยอี้ ผมถามคุณอีกครั้ง อยู่ต่อหน้าผมคุณได้คืบจะเอาศอกอย่างนี้ คุณอาศัยอะไรกันแน่”
เขาถามตั้งหลายคำถามในรวดเดียว ความเร็วในการพูดเร็วขึ้นทุกที น้ำเสียงโกรธจัด ทว่าก็ช้าลงพอดีที่คำว่า ‘กันแน่’ ในประโยคสุดท้าย
เสิ่นเสี่ยอี้พลันรู้สึกว่าตัวเองเสียเปรียบ เธอตอบกลับไปง่ายๆ “ฉันจะอาศัยอะไรได้ล่ะ”
“ก็อาศัยที่ผมปฏิบัติกับคุณไม่เหมือนคนอื่นไงล่ะ คิดเองเออเองว่าผมลี่เจ๋อเหลียงชอบคุณ!”
เสิ่นเสี่ยอี้ได้ฟังถึงตรงนี้ก็ตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นสีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นขาวซีด “ฉันเปล่านะ!”
“คุณลองย้อนถามตัวเองดูสิว่ามีตรงไหนที่ไม่ใช่” ลี่เจ๋อเหลียงกล่าวด้วยความโกรธเคือง
ปากของเธอเผยอขึ้นเล็กน้อย คิดถกเถียงบางอย่างแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา ทั้งสองต่างไม่อ่อนข้อให้กันอยู่ที่ตรงนั้น
ครู่หนึ่งผ่านไป เสิ่นเสี่ยอี้ถึงได้กล่าวขึ้นช้าๆ “เพื่อนอยู่ในวิกฤต จะยื่นมือไปช่วยเหลือก็เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์นี่คะ อีกอย่างการร่วมมือกันเรื่องอ่าวหลันเถียนก็เป็นเรื่องดีต่อลี่ซื่อกรุ๊ปกับตงเจิ้งกรุ๊ปทั้งคู่ แต่ฉันกลับไม่เข้าใจว่าทำไมคุณลี่ถึงยืนกรานจะเอาอ่าวหลันเถียนมาเป็นของตัวเอง ฉันเป็นคนหัวแข็งมาตั้งแต่เกิด นิสัยแข็งกร้าวไปบ้าง ที่ขัดแย้งกับคุณลี่คิดว่าเกิดจากนิสัยส่วนตัวของฉันเอง ฉันไม่ได้คิดเลยเถิดอย่างแน่นอน ถ้าคุณลี่เข้าใจผิดไปก็ได้โปรดอภัยให้ด้วยค่ะ”
เสิ่นเสี่ยอี้กล่าวจนจบด้วยสีหน้าเฉยชาและก็ไม่ได้โต้เถียงกับเขา เพียงแต่บอกด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกว่าตัวเธอตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าพรุ่งนี้จะไม่มาทำงานที่นี่อีก
เมื่อลี่เจ๋อเหลียงได้ฟังก็หลับตาลง พยักหน้าไปด้วยพลางพูดติดต่อกันสามประโยค “ได้ๆๆ ในเมื่อเป็นอย่างนี้ผมก็ควรทำตามความต้องการของคุณจะดีกว่า” เขามองไปที่เธอพร้อมกับกล่าวไปด้วย “เสิ่นเสี่ยอี้ พวกเรามาทำข้อตกลงกัน”
เสิ่นเสี่ยอี้ไม่ได้ตอบ รอให้เขากล่าวต่อไป
ลี่เจ๋อเหลียงกล่าว “แผนการร่วมมือเรื่องอ่าวหลันเถียนกับจันตงเจิ้น ผมตกลง” จากนั้นก็ชะงักไป “แต่คุณต้องเอาตัวคุณมาแลก”
เสิ่นเสี่ยอี้ลุกขึ้นยืนในทันใด “คุณลี่…นี่คุณ!”
ลี่เจ๋อเหลียงกล่าว “ผมไม่ได้ล้อเล่น โครงการนี้ถ้าเกิดผมร่วมมือกับจันตงเจิ้นก็จะต้องลงทุนด้วยเม็ดเงินมหาศาล ทนายเสิ่น หรือว่าจำนวนตัวเลขเท่านี้จะไม่เพียงพอให้คุณลดเกียรติลงมาล่ะ” เขากล่าวขึ้นอีก “อีกอย่างตอนนี้ตระกูลจันก็เหมือนตกนรกทั้งเป็นมาตั้งนานแล้ว ถ้าเกิดโครงการนี้เจรจาไม่สำเร็จแล้วทิ้งไปล่ะก็ เกรงว่าประคับประคองเอาไว้ได้ไม่กี่วันบรรดาผู้ถือหุ้นก็จะพากันขับไล่ ไม่ใช่ว่าคุณไม่รู้ว่าเขาเป็นลูกภรรยาน้อยนี่ ในเมื่องเรื่องเป็นอย่างนี้แล้ว คิดว่าเขาคงไม่มีโอกาสได้แก้ตัวให้ตระกูลจันอีก คุณเองก็พูดไม่ขาดปากว่าจะช่วยเหลือเขาไม่ใช่หรือไง เรื่องแค่นี้เองทำไมคุณถึงไม่ยินดีที่จะทำล่ะ”
ขณะที่กล่าวไปความโกรธเคืองที่ปรากฏบนใบหน้าของเขาเมื่อสักครู่นี้ก็ได้มลายหายไปจนหมดสิ้น ราวกับว่าได้กลับมาเป็นลี่เจ๋อเหลียงที่ใจคอโหดเหี้ยมและไม่แยแสคนก่อนหน้านี้
“ถ้าเกิดฉันไม่ตกลงล่ะ” เสิ่นเสี่ยอี้เอ่ยถามอย่างเยือกเย็น
“คุณไม่มีทางไม่ตกลงหรอกน่า เพราะคุณรู้ดีไม่ว่าจะจันตงเจิ้นหรือถังเฉียวที่คุณเอาใจใส่ ขอแค่ผมขยับนิ้วมือหน่อยก็ทำให้พวกเขาตกนรกได้แล้ว” ดูจากสีหน้าของลี่เจ๋อเหลียงในตอนนี้แล้ว ดูเหมือนพวกเขาจะพูดคุยกันแค่เรื่องทั่วๆ ไป ไม่ได้มีความสลักสำคัญ
สักครู่หนึ่งเขาก็กล่าวขึ้นอีกว่า “อีกอย่างถ้าจันตงเจิ้นล้มลง เซี่ยหมิงเฮ่าก็ล้มด้วย งั้นคุณว่าต่อไปพี่สาวของคุณจะทำยังไงล่ะ”
แววตาของเสิ่นเสี่ยอี้นิ่งอึ้งไปในทันที ก่อนจ้องมองไปที่เขา “คุณส่งคนไปสืบประวัติฉันเหรอ”
“ปัญหานี้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่พวกเราพูดถึงกันอยู่” ลี่เจ๋อเหลียงไม่อยากตอบคำถามเธอสักนิด
เสิ่นเสี่ยอี้กำหมัดแน่น ข้อนิ้วบีบเข้าหากันจนเป็นสีขาว เคราะห์ดีที่เธอไม่เคยไว้เล็บยาว ไม่อย่างนั้นเล็บคงจะหักไปหมดแล้ว ผ่านไปนานสองนานเธอถึงได้คลายมือที่กำไว้
“อีกเดี๋ยวผมจะให้เลขาฯ หลินให้ที่อยู่และกุญแจห้องของผมกับคุณ คุณย้ายเข้ามาคืนนี้เลย สัญญาก็จะมีผลในทันที” ลี่เจ๋อเหลียงกล่าว
เสิ่นเสี่ยอี้หัวเราะเสียงเย็น “ถ้างั้นขอบังอาจถามคุณลี่สักข้อหนึ่ง เมื่อไหร่สัญญานี้จะจบลงคะ”
ลี่เจ๋อเหลียงหัวเราะพลางเอ่ย “รอจนผมเบื่อแล้วก็เป็นอันสิ้นสุดสัญญา”
กระทั่งเสิ่นเสี่ยอี้เดินจากไปลี่เจ๋อเหลียงถึงได้หุบยิ้ม เขาหยิบเอกสารที่อ่านอยู่เมื่อสักครู่นี้มาอ่านต่อ คิดไม่ถึงว่าอ่านอยู่นานก็อ่านไม่รู้เรื่องแม้แต่คำเดียว เขาโกรธเกรี้ยวอยู่ภายในใจ โยนเอกสารลงบนโต๊ะ พิงลงบนพนักเก้าอี้ด้วยความเหนื่อยล้า แล้วหลับตาลงพักผ่อน
ในชั้นที่เขาอาศัยอยู่น้อยนักที่จะมีคนเข้าออก ใครๆ ต่างก็รู้ว่าเขาชอบความสงบ ดังนั้นเวลาจะเดินเหินหรือพูดจาก็ล้วนแต่ระมัดระวัง เวลานี้พอเสิ่นเสี่ยอี้จากไปทั้งห้องก็เปลี่ยนไปเงียบสงัด มีเพียงเสียงนาฬิกาบนผนังที่ดังติ๊กต่อกอยู่อย่างเป็นจังหวะ แต่แล้วจู่ๆ ก็กลับได้ยินเสียง ‘ปั้ก’ ปากกาที่อยู่ในมือเขาถูกหักออกเป็นสองท่อน
เขาคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะโง่เขลาขนาดทำเรื่องพรรค์นี้ได้
(5)
ตอนบ่าย หยางวั่งเจี๋ยได้รับโทรศัพท์จากอิ่นเซี่ยวเหมย
“คิกๆ” เธอหัวเราะออกมาจากอีกฝั่งหนึ่ง
“มีอะไรถึงดีใจขนาดนี้เชียว”
“ปมในใจคลี่คลายก็ต้องดีใจสิคะ” อิ่นเซี่ยวเหมยกล่าว
“ปมในใจอะไรกัน”
“เรื่องคุณเสิ่นคนนั้นที่คราวก่อนฉันบอกว่าเคยเห็นไงล่ะ พูดอยู่ตั้งนานพี่ก็ไม่ได้ใส่ใจเลย”
หยางวั่งเจี๋ยยิ้มบางๆ ไม่คิดว่าเธอจะจริงจังขนาดนี้ “ไม่กี่วันมานี้ฉันทำงานยุ่งน่ะ แม้แต่แซ่ตัวเองก็แทบจะลืมไปแล้ว”
“ที่แท้ของชนิดเดียวกันก็อยู่รวมกัน คนแบบเดียวกันก็อยู่รวมกันจริงๆ ด้วย พี่กับพี่ชายของฉันนี่พอๆ กันเลย พอทำงานทีก็ไม่เป็นอันกินอันนอน ปกติก็เก็บตัวจะแย่อยู่แล้ว”
หยางวั่งเจี๋ยเตือนเธอ “เธอบอกว่าจะเล่าอะไรให้ฉันฟังไม่ใช่เหรอ วนอ้อมไปไหนแล้วล่ะ”
“อ๋อ เสิ่นเสี่ยอี้กับฉันเป็นศิษย์เก่ามหาวิทยาลัย M เหมือนกันน่ะค่ะ เมื่อวานจู่ๆ ฉันก็นึกขึ้นได้”
“ศิษย์เก่า?”
“ค่ะ เธอเป็นรุ่นพี่ฉันตอนเรียนมหาวิทยาลัย เมื่อก่อนตอนอยู่มหาวิทยาลัย M พวกเราก็อยู่ชมรมละครในฝันเหมือนกัน” อิ่นเซี่ยวเหมยอธิบาย “ก็คือชมรมละครพูดของมหาวิทยาลัยเราน่ะค่ะ มิน่าล่ะถึงได้คุ้นหน้านัก”
“งั้นเหรอ” หยางวั่งเจี๋ยตอบกลับอย่างใจลอย
“เมื่อก่อนเธอยังเคยเล่นละครกับฉันด้วย คิดถึงช่วงเวลานั้นจังเลย” อิ่นเซี่ยวเหมยทอดถอนใจ “ถ้าไม่ใช่เพราะว่าพ่อของฉันห้ามเอาไว้ ฉันก็อยากเป็นนักแสดงเหมือนกัน”
“เธอเพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง เริ่มคิดมากเกินเหตุแล้วเหรอ”
อิ่นเซี่ยวเหมยแม้ว่าจะอายุไม่น้อย แต่ก็ถือเป็นไข่มุกวาวในมือของบิดามารดามาตลอด ดังนั้นด้วยนิสัยไร้เดียงสาน่ารักของเธอจึงมักจะให้ความรู้สึกยังไม่โตกับคนอื่นๆ อยู่เสมอ
“พี่วั่งเจี๋ย เมื่อไหร่พวกเราจะนัดคุณเสิ่นออกมารำลึกความหลังกันดีล่ะ”
“เรื่องนี้…” หยางวั่งเจี๋ยค่อนข้างทำตัวไม่ถูก
“อ๋อ ฉันรู้แล้ว พี่คิดไม่ซื่อ ถูกใจคุณเสิ่นเข้าใช่ไหมล่ะ”
หยางวั่งเจี๋ยพลันแก้ตัวลำบาก ทำได้เพียงกล่าวว่า “งั้นรอให้คุณเสิ่นมีเวลาว่างก่อนค่อยว่ากันนะ”
ทว่าเวลาเดียวกันนี้ ‘คุณเสิ่น’ กำลังอยู่ที่อพาร์ตเมนต์ของลี่เจ๋อเหลียง
อพาร์ตเมนต์นี้ไม่ได้เหมือนอย่างที่คนทั่วๆ ไปคิด มันเป็นคฤหาสน์กว่าพันตารางเมตรแบบที่เดินจากห้องนอนไปถึงห้องอาหารก็กินเวลาหลายนาทีแล้ว ลิฟต์เป็นลิฟต์ธรรมดาก็จริง แต่ห้องทุกห้องจะพิเศษตรงที่หน้าต่างสามารถชมทิวทัศน์ของทั้งเมืองได้ รวมถึงสามารถมองเห็นเขาหมิงชุ่ยลูกนั้นที่อยู่ในเมืองได้ด้วย
ห้องหับตกแต่งไว้อย่างสะอาดตามาก แม้แต่โคมไฟก็เป็นสีและแบบที่เรียบง่ายสว่างไสว
ตัวอพาร์ตเมนต์นอกจากห้องรับแขกแล้วก็มีห้องนอน ห้องหนังสือ และยังมีห้องพักผ่อนที่ข้างในมีเพียงโต๊ะสนุ๊กเกอร์วางอยู่หนึ่งตัว
เสิ่นเสี่ยอี้ในตอนนี้ไม่ได้มีอารมณ์จะขบคิดเรื่องความชอบของลี่เจ๋อเหลียงแม้แต่น้อย เธอเข้ามาในห้องได้ก็ตรงไปนั่งบนโซฟาในห้องรับแขก ไม่แม้แต่จะกระดิกกระเดี้ย
ลี่เจ๋อเหลียงไม่เพียงให้เสี่ยวหลินเรียกรถมาส่งเธอ ซ้ำยังลางานให้เธอครึ่งวันอย่างโจ่งแจ้ง ไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะบอกว่าเขาใช้อำนาจในเรื่องส่วนตัวหรือปฏิบัติต่อลูกน้องอย่างโอบอ้อมอารีดี มุมปากของเสิ่นเสี่ยอี้ขมุบขมิบถากถาง
ตอนที่เธอมาท้องฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว เธอไม่รู้ว่าตัวเองนั่งอยู่นานแค่ไหนแล้ว เห็นเพียงสีท้องฟ้าที่นอกหน้าต่างค่อยๆ เปลี่ยนไปมืดทึบ แสงไฟต่างๆ ค่อยๆ สว่างขึ้นช้าๆ ทำให้ท้องฟ้าสีดำขลับสะท้อนเป็นสีแดงฉาน
อยู่ตัวคนเดียว ไฟก็ไม่ได้เปิด เธอรออยู่ทั้งอย่างนั้น รอให้ผู้ชายคนนั้นกลับมาท่ามกลางความมืดมิด
‘ติ๊งต่อง’ ทันใดนั้นเอง เธอรับรู้ได้ถึงเสียงที่ดังขึ้นอย่างฉับไว ดูเหมือนว่าลิฟต์จะดังขึ้นที่ชั้นนี้ จากนั้นเสียงฝีเท้าก็มุ่งมาทางนี้ ใกล้เข้ามามากขึ้นทีละก้าว ใจของเธอตื่นตระหนก ยืดเอวตรง กลั้นลมหายใจ มือทั้งสองข้างจับกระเป๋าถือเอาไว้แน่น เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาทุกขณะ ทว่าตอนที่เดินผ่านประตูนี้กลับไม่ได้หยุดชะงัก แต่เลี้ยวไปทางอื่น
ไม่ใช่เขา
ขณะที่ในใจเกิดสามคำนี้ขึ้นมาอย่างมั่นใจ เสิ่นเสี่ยอี้ถึงได้ผ่อนคลายลง เธอแบฝ่ามือออกดู ถึงขั้นมีเหงื่อบางๆ ผุดขึ้นมาชั้นหนึ่ง
จากนั้นโทรศัพท์ของเสิ่นเสี่ยอี้ก็ดังขึ้น น้อยนักที่บริเวณนี้จะเกิดเสียง ดังนั้นเมื่อเสียงเรียกเข้าดังขึ้นจึงทำให้เธอตื่นตกใจ
“เสี่ยอี้จ๊ะ” เป็นป้าเริ่นโทรมา
“ป้าเริ่น”
“เมื่อตะกี้เสี่ยฉิงพูดอยู่ดีๆ แล้วจู่ๆ ก็พูดถึงหลานขึ้นมาล่ะ” น้ำเสียงของป้าเริ่นฟังดูเบิกบานใจ เพราะตั้งแต่ที่ป่วยมาเสิ่นเสี่ยฉิงก็ไม่เคยรู้จักใครอีกนอกจากคนที่บ้าน รวมไปถึงเสิ่นเสี่ยอี้ด้วย
“พูดถึงหนูว่ายังไงคะ”
“เธอกินข้าวแล้วจู่ๆ ก็พูดขึ้นมาว่า ‘พ่อจะไปเยี่ยมเสี่ยอี้หรือเปล่าคะ’ ถามป้าอยู่สองครั้ง”
เสิ่นเสี่ยอี้ยิ้มพลางกล่าวว่า “ดีจังเลยค่ะ”
ก็ดีจริงๆ นั่นแหละ ถึงอย่างไรเสิ่นเสี่ยฉิงก็เป็นญาติที่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดเพียงคนเดียวของเธอบนโลกใบนี้
หลังวางโทรศัพท์เธอรู้สึกค่อนข้างเพลียจึงขดตัวทั้งชุดเดิม อยากจะงีบหลับที่มุมหนึ่งของโซฟาสักหน่อย จะได้มีเรี่ยวแรงรับมือกับเรื่องราวหลังจากที่ลี่เจ๋อเหลียงกลับมา เธอพิงตัวลงไป รู้สึกได้ว่าบนใบหน้ามีอะไรแปลกๆ พอยื่นมือออกไปลูบคลำก็เป็นน้ำตาที่เอ่อล้นออกมานี่เอง
เมื่อใช้ปลายนิ้วสัมผัสก็รู้สึกเย็นเจี๊ยบ
เสิ่นเสี่ยอี้สะลึมสะลืออยู่บนโซฟาอย่างยากลำบากจนกระทั่งฟ้าสาง ส่วนลี่เจ๋อเหลียงก็ไม่ได้ปรากฏตัวทั้งคืน เธอเปลี่ยนไปสวมชุดสูทสะอาดสะอ้าน เมื่อล้างหน้าแปรงฟันเสร็จแล้วก็เตรียมตัวไปทำงาน
ไม่ถึงสิบโมงก็มีคนโทรศัพท์แจ้งเธอให้ไปประชุม
“ประชุมอะไรคะ” เธอถาม
“ประชุมประสานงานยุทธศาสตร์อ่าวหลันเถียนค่ะ” ผู้ช่วยของเซวียฉีกุยตอบคำถาม ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องเมื่อวานที่เธอขวางเสิ่นเสี่ยอี้เอาไว้ที่นอกประตูห้องประชุมเลยแม้แต่น้อย
เฮอะ เสิ่นเสี่ยอี้คิด สัญญามีผลทันทีที่เขาพูดถึงก็รวดเร็วว่องไวอย่างนี้นี่เอง ตอนนี้สิทธิ์ของเธอกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์อีกครั้ง จึงอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงประชดประชันออกมา
เสิ่นเสี่ยอี้เดินไปที่หน้าประตูโถงประชุมก็ปะทะเข้ากับลี่เจ๋อเหลียงที่รอให้ผู้ร่วมประชุมเดินเข้ามาพอดี
เธอเบือนหน้าหนีไป ไม่อยากมองหน้าเขา
ลี่เจ๋อเหลียงเม้มปากแน่น เขาเองก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นเดียวกัน เซวียฉีกุยที่อยู่เยื้องเขาไปกลับกล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ยินดีด้วยนะครับทนายเสิ่น พวกเราตัดสินใจรับข้อเสนอของคุณแล้ว”
(6)
เสิ่นเสี่ยอี้พยักหน้าให้เซวียฉีกุย
หลายต่อหลายคนต่างค่อนข้างประหลาดใจกับแผนการที่เบนไปในทิศทางตรงกันข้าม มีคนใช้สายตาเคลือบแคลงมองมายังเสิ่นเสี่ยอี้อยู่บ่อยๆ ทว่าเธอก็นั่งอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย สีหน้าเป็นดังปกติ
ในที่ประชุม ลี่เจ๋อเหลียงแสดงให้เห็นตามที่รับปากเอาไว้ ไม่แน่อาจไม่มีใครรับรู้เบื้องหลังว่าระหว่างเขาและเธอมีข้อตกลงอะไรกัน
ตกกลางคืนเสิ่นเสี่ยอี้ก็รออยู่ในอพาร์ตเมนต์เป็นเวลานานอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่เห็นเงาร่างของลี่เจ๋อเหลียงอยู่ดี ถ้าเกิดว่าเธอยังขลุกอยู่บนโซฟาอีกคืนก็เกรงว่าจะทรมาทรกรรมร่างกายตัวเองจนหมดสภาพเสียก่อน แต่ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ไม่ยินดีที่จะก้าวเข้าไปในห้องนอนของเขาแม้แต่ครึ่งก้าวเด็ดขาด เธอเปลี่ยนไปสวมชุดหลวมสบายๆ ขดตัวบนโซฟาก่อนหลับตาลง ขณะสะลึมสะลือก็คิดว่าขอให้คืนนี้เขาไม่ปรากฏตัว ไม่ต้องปรากฏตัวไปตลอดกาล…
ลี่เจ๋อเหลียงไปกินข้าวกับคนอื่นมาแล้วก็กลับมายังบ้านตระกูลลี่ที่ถนนอวี๋หยาง เขาไม่ได้มาอยู่บ่อยๆ ทว่าเมื่อวานจู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นที่นี่ ทำเอากลุ่มคนที่อยู่ในบ้านเดิมรับมือไม่ทัน ทำงานกันด้วยความเร่งรีบอยู่เป็นนานสองนาน
วันนี้ยังไม่ทันเข้าประตูพ่อบ้านเหล่าถานก็ต้อนรับด้วยการเอ่ยถาม “คุณลี่รับประทานข้าวเย็นมาหรือยังครับ” ฟังดูเหมือนมีการจัดเตรียมเอาไว้แล้ว
“กินมาแล้ว” ลี่เจ๋อเหลียงกล่าว “ลุงถาน รบกวนลุงอีกแล้วนะครับ”
“พูดอย่างนี้ได้ยังไงล่ะครับ พวกเรารอให้คุณมากันอยู่ตลอด บ้านเก่าหลังนี้ไม่มีคนหนุ่มคนสาวก็เลยแลดูเงียบเหงาไป” เหล่าถานกล่าว
ลี่เจ๋อเหลียงยิ้ม เขากลับไปที่ห้องเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
เหล่าถานเตรียมเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยนเข้าไปวางไว้ในห้องน้ำ เขาเอ่ยถามด้วยความระมัดระวัง “คุณลี่ มีอะไรให้ช่วยไหมครับ”
“ไม่ต้องหรอก” ลี่เจ๋อเหลียงปลดเนกไทไปด้วยก็กล่าวไปด้วย
เหล่าถานมองเขาแวบหนึ่ง เห็นเขาดื่มเหล้ามาบ้างจึงไม่ค่อยวางใจนัก เมื่อคืนหลังจากลี่เจ๋อเหลียงกลับมาตัวคนเดียว อีกฝ่ายไม่พูดอะไรสักคำก็กลับห้องไป สีหน้าดูผิดปกติ ต่อมาก็ยังขังตัวเองไว้ในห้องน้ำอยู่หนึ่งชั่วโมง ทำเอาคนรับใช้ที่อยู่ข้างนอกไม่รู้จะทำอย่างไรดี แต่ถึงอย่างไรก็ไม่กล้าส่งเสียงมั่วซั่ว เพราะทุกคนรู้ดีว่าแม้ขาของเขาจะไม่แข็งแรง แต่เขาก็ไม่ชอบเผยให้เห็นถึงความผิดปกติของขาต่อหน้าคนอื่นๆ ในที่สุดเหล่าถานก็กล้าเรียกเขาจากด้านนอก
ลี่เจ๋อเหลียงรับรู้ได้ถึงความเป็นห่วงของเหล่าถาน เขาหัวเราะแล้วกล่าวขึ้นว่า “ผมแค่อาบน้ำ จะไปมีปัญหาอะไรได้ล่ะ เมื่อก่อนพวกคุณเป็นกังวลกันเกินไปต่างหาก ทำเอาผมอยากย้ายออกไปเลย”
“คุณชายรอง” เหล่าถานเปลี่ยนคำเรียกขานเป็นคำเรียกเก่าโดยไม่รู้ตัว “ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้คุณดื่มเยอะเกินไปแล้ว บุหรี่กับเหล้าทำร้ายตับทำร้ายปอด ถ้าไม่ใช่เพราะความจำเป็นด้านการทำงาน บางครั้งก็ให้พวกอิงซงรับมือไปเถอะนะครับ” เขามองดูลี่เจ๋อเหลียงเติบโตมาตั้งแต่ยังเล็ก เข้าใจนิสัยของผู้เป็นนายเป็นอย่างดี ดังนั้นน้ำเสียงที่เกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายจึงเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาที่สุด ด้วยกลัวว่าจะไปยั่วโทสะของลี่เจ๋อเหลียงเข้า
“อืม” ลี่เจ๋อเหลียงยิ้มให้เหล่าถาน
เหล่าถานเห็นลี่เจ๋อเหลียงเพียงแค่ขยับมุมปาก ทว่าสีหน้ากลับแลดูหนักใจ เขารู้ว่าแม้ลี่เจ๋อเหลียงจะไม่ใช่คนหุนหันพลันแล่น ใส่อารมณ์ตามแต่ใจ แต่ภายในใจก็แข็งกร้าวเหลือคณา พูดกับอีกฝ่ายให้มากความไปก็เปล่าประโยชน์ เขาจึงไม่จู้จี้จุกจิกอีก ปล่อยไปตามแต่ใจลี่เจ๋อเหลียง
กระทั่งลี่เจ๋อเหลียงอาบน้ำเสร็จและเตรียมตัวพักผ่อนก็ดึกมากแล้ว เขาชอบมองดูแสงไฟ ดังนั้นขอเพียงเขากลับมายังบ้านเดิมเหล่าถานก็จะให้คนเปิดไฟบนพื้นในสวนดอกไม้ให้ส่องสว่าง แบบนี้ลี่เจ๋อเหลียงยืนอยู่ในห้องนอนบนชั้นสองก็จะมองเห็นได้พอดี
เขานอนหงายลงบนเตียงในห้องนอน พระจันทร์เสี้ยวโค้งมนลอยอยู่บนฟ้า ทอแสงสีขาวจางๆ ส่องเข้ามาในห้องนอน ลำแสงเล็กๆ ตกกระทบบนใบหน้าของเขาพอดี
เขานอนไม่ค่อยหลับจึงลุกขึ้นไปลูบโทรศัพท์ โดยไม่ได้เปิดรายชื่อเบอร์โทรศัพท์ก็กดตัวเลขชุดหนึ่งอย่างคล่องมือ ครั้นโทรออกได้ก็วางลงที่ข้างหู เมื่อโทรติดอีกฝั่งก็ดังเป็นข้อความดิจิตอลจากผู้ให้บริการแจ้งว่าหมายเลขนี้ยังไม่เปิดใช้บริการ หลังจากกดซ้ำอยู่หลายครั้งเสียงตอบรับอัตโนมัติของผู้หญิงก็พลันหายไป กลายเป็นเสียงสายไม่ว่างที่ดังยืดยาว
เขาย้ายหน้าจอมาตรงหน้าอีกครั้ง จ้องมองตัวเลขสิบกว่าตัว* นั้นด้วยดวงตาเหม่อลอย จากนั้นก็โทรออกอีกครั้งอย่างช้าๆ…นี่เป็นวิธีที่เขารักษาอาการนอนไม่หลับกลางดึกเพียงวิธีเดียวนอกเหนือจากการดื่มให้เมาหัวราน้ำ ทว่าเวทมนตร์เล็กๆ ในค่ำคืนนี้ รอจนกระทั่งเสียงสายไม่ว่างดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าก็ยังไม่สัมฤทธิ์ผล
เขามองไปยังนอกหน้าต่างพลางครุ่นคิด จากนั้นคล้ายว่าตัดสินใจอะไรได้สักอย่างจึงลุกขึ้นยืนอย่างเงียบๆ ไม่ได้รบกวนคนอื่นๆ ในบ้าน เขาสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ลงจากชั้นบนแล้วออกจากบ้าน ขึ้นรถขับแล่นตรงสู่เขตเมือง
ตลอดทางตั้งแต่ลงรถ ข้ามถนน ไปจนขึ้นลิฟต์ เขาไม่ได้หยุดชะงักเลยสักนิด ทว่าเมื่อเขาออกจากลิฟต์และเดินไปยังหน้าประตูอพาร์ตเมนต์กลับรู้สึกลังเล เดิมทีเขาล้วงกุญแจออกมาแล้ว แต่ตอนนี้กลับเก็บเข้าไปเหมือนเดิม จากนั้นพิงอยู่กับผนังข้างประตูเพียงลำพัง คลำบุหรี่ออกมามวนหนึ่ง จุดบุหรี่แล้วสูบเข้าไปอย่างรุนแรงอยู่สองสามครั้ง
ควันจากก้นบุหรี่ที่อยู่ระหว่างนิ้วมือของเขาลอยวนเวียนแล้วกระจายตัวออกไป ลี่เจ๋อเหลียงสูบบุหรี่มวนต่อมวน จนสุดท้ายไม่เหลือแม้แต่มวนเดียวเขาก็กลับคืนสู่ห้วงอารมณ์ในความมืดมิดเพียงครู่สั้นๆ จากนั้นก็เปิดประตูในทันที
หลังจากที่ดวงตาทำความคุ้นชินกับแสงในห้องนั่งเล่นอย่างรวดเร็ว ลี่เจ๋อเหลียงก็เห็นเสิ่นเสี่ยอี้ขดตัวอยู่บนโซฟา ใบหน้ารูปไข่ของเธอหันไปด้านนอก ศีรษะหนุนอยู่บนที่วางแขนของโซฟา ลี่เจ๋อเหลียงก้าวเท้าเข้าไปหาเธอให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้
ดูเหมือนว่าเธอจะนอนหลับกระสับกระส่าย ลมหายใจประเดี๋ยวเร็วประเดี๋ยวช้า แต่ก็ยังคงเผยอริมฝีปากเล็กน้อยเหมือนอย่างเด็กน้อย มองเห็นฟันซี่เล็กที่ราวกับเปลือกหอยได้
เขายื่นมือออกไปเงียบๆ ใช้ปลายนิ้วลูบไล้ผิวที่พวงแก้มของเสิ่นเสี่ยอี้เบาๆ แต่คิดไม่ถึงว่าเธอจะขมวดคิ้ว หลบเลี่ยงมือของเขาอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ ร่างกายขยับเขยื้อนเล็กน้อย
คราวนี้ลี่เจ๋อเหลียงจึงนึกขึ้นได้ว่าดูเหมือนเธอจะไม่ชอบใกล้ชิดคนที่มีกลิ่นบุหรี่ติดตัวเป็นที่สุด คิดถึงตรงนี้เขาก็เดินไปห้องน้ำแล้วเปิดไฟเพื่อล้างมือ ทว่าเมื่อเขากลับมาที่ห้องนั่งเล่น เสิ่นเสี่ยอี้ก็ยืนรอเขาอยู่ตรงนั้นแล้ว
“คุณลี่” เธอเรียกขานเขาอย่างห่างเหินและมีมารยาท
“คุณตื่นแล้วเหรอ”
“เจ้าของบ้านมาแล้ว ฉันจะมีเหตุผลอะไรให้จงใจไม่รับไม่รู้แล้วหลับต่อไปล่ะคะ” เสิ่นเสี่ยอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงเจืออารมณ์ที่แปลกไป
ลี่เจ๋อเหลียงได้ยินเธอเหน็บแนมก็ยิ้มออกมา หมุนตัวไปยังห้องครัว
เขาถามมาจากห้องครัว “คุณเสิ่น คุณจะดื่มน้ำหรือเปล่า”
“ไม่กล้ารบกวนคุณหรอกค่ะ”
สุดท้ายเขาก็ยังรินน้ำสองแก้ววางบนโต๊ะรับแขก เขานั่งลงบนโซฟาแล้วกล่าวว่า “นั่งลงสิ”
เสิ่นเสี่ยอี้จ้องมองเขาอย่างเย็นชา เธอไม่ทำตาม ดื้อรั้นยืนอยู่ตรงที่เดิม
“คุณเสิ่น ท่าทางคุณแบบนี้…” ลี่เจ๋อเหลียงดื่มน้ำอึกหนึ่ง พยายามอย่างสุดกำลังที่จะสะกดกลั้นความไม่สบอารมณ์ภายในใจเอาไว้ “พวกเราจะอยู่ร่วมกันได้ยากในช่วงระยะเวลาตามสัญญานะ”
สีหน้าท่าทางแสร้งยิ้มของเขา แค่เธอเห็นก็พลันเกิดโทสะ
“มีอะไรน่าอยู่ร่วมกันล่ะคะ หรือว่าคุณลี่ยังต้องการให้ฉันแกล้งทำเป็นคู่รักชายหญิงให้คนอื่นดูด้วยอีก” เสิ่นเสี่ยอี้กล่าวถากถาง “ข้อตกลงสก…”
ได้ยินเพียงเสียงดัง ‘เพล้ง’
ลี่เจ๋อเหลียงกระแทกแก้วในมือลงบนโต๊ะรับแขกอย่างหนักหน่วง คำว่า ‘สกปรก’ จากปากเธอหายวับไปกับการสั่นสะเทือนที่รุนแรง น้ำในแก้วกระฉอกออกมาครึ่งหนึ่งก่อนสาดลงบนโต๊ะ ไม่ทันไรก็ไหลไปตามขอบโต๊ะลงสู่พื้น
“สมแล้วกับที่เป็นทนาย ต่อว่าได้คมกริบ ถ้างั้นขอถามทนายเสิ่นหน่อย” ลี่เจ๋อเหลียงยิ้มเย็นให้ราวกับมีนัยบางอย่าง “สำหรับข้อตกลงสกปรกของพวกเรา เมื่อไหร่คุณจะทำตามสัญญาล่ะ”
เสิ่นเสี่ยอี้มองดูรอยยิ้มของเขาก็นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย เธอมองออกว่าเขาอาจจะหัวเราะเยาะเธออยู่ก็ได้ เธอใช้ฟันกัดลงบนริมฝีปากล่าง กัดจนเป็นสีขาว ในที่สุดก็ตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้วคลายริมฝีปาก เธอกล่าว “คุณลี่ งั้นจะทำตามความต้องการของคุณตอนนี้เลยเป็นไง”
เพิ่งจะสิ้นเสียง จู่ๆ เธอก็ก้าวเท้าไปยังห้องนอนของลี่เจ๋อเหลียงด้วยความรวดเร็ว ขณะที่เดินเข้าไปในห้องนอนเธอก็ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของตัวเองไปด้วย
อารมณ์ของเธอย่ำแย่จนถึงขีดสุด ระหว่างที่ปลดกระดุมอยู่นั้นกระดุมเม็ดหนึ่งก็เหมือนไม่ฟังคำสั่ง ปลดไม่หลุดสักที เธอจึงใช้มือออกแรงดึง
ขณะนั้นเองสีหน้าของลี่เจ๋อเหลียงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาก้าวเท้าด้วยความรวดเร็วแล้วล็อกข้อมือของเธอเอาไว้ จากนั้นยันเธอไว้กับผนังห้องนอน ความรวดเร็วของเขาหยุดยั้งความคิดของเธอที่จะเคลื่อนไหวต่อไป เขาบีบมือเธอเอาไว้ทั้งสองข้าง
“เสิ่นเสี่ยอี้ คุณอย่าทำแบบนี้”
“อย่าทำแบบไหน” เธอยิ้มเย็น
“อย่าทำกับตัวเองแบบนี้” เสียงของเขาทุ้มต่ำลง ค่อนข้างนึกย้อนเสียใจ
ขณะนั้นเองเสื้อเชิ้ตของเสิ่นเสี่ยอี้ก็เปิดออกครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นเสื้อชั้นในสีชมพู หน้าอกผิวพรรณขาวนวลเองก็เปิดเปลือยออกมาให้ได้เห็น
“จริงๆ เลย” เขากล่าวคำพูดเมื่อสักครู่ซ้ำอีกครั้งด้วยเสียงทุ้มต่ำ “คุณอย่าทำแบบนี้” คำพูดเจือแววร้องขอเป็นนัยๆ
ลี่เจ๋อเหลียงกล่าวแล้วก็ปล่อยตัวเธอ เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นช่วยเธอจัดปกเสื้อ ติดกระดุม อยากให้พวกมันกลับคืนสู่ตำแหน่งเดิม
คิดไม่ถึงว่าเมื่อนิ้วมือสัมผัสเข้ากับหน้าอกของเสิ่นเสี่ยอี้ เธอกลับตัดสินใจปัดมือของเขาออกแล้วกล่าวขึ้นด้วยความรังเกียจ “อย่ามาแตะต้องตัวฉัน!”
สีหน้าของเธอดูผิดจากปกติ คราวนี้ยั่วโทสะลี่เจ๋อเหลียงขึ้นมาจริงๆ แล้ว
เขาใช้มือขวาบีบคางของเธอเอาไว้ ทำให้ท้ายทอยของเสิ่นเสี่ยอี้กระแทกเข้ากับผนังอย่างรุนแรง ลำตัวด้านบนของเขาแนบชิดอยู่กับเธอ
ครู่เดียวเสิ่นเสี่ยอี้ก็รู้สึกว่าภายในศีรษะมึนงงกะทันหัน ชั่วขณะก็เกิดเป็นความปวดแสนสาหัส เธอรั้นกัดฟันเอาไว้ไม่ให้ตัวเองร้องออกมา
เขาก้มศีรษะลง ดวงตาหรี่ลงแล้วกล่าว “อย่าแตะต้องคุณงั้นเหรอ อย่างนั้นก่อนหน้านี้ที่คุณเริ่มถอดเสื้อผ้าเองก็เพื่อจะให้ผมดูอยู่ข้างๆ งั้นสิ”
เขากล่าวประโยคนี้ออกมาทำให้ใบหน้าของเสิ่นเสี่ยอี้เป็นสีแดงเรื่อ
“หน้าไม่อาย!” เธอต้านแรงของเขาเอาไว้ พยายามเบือนหน้าหนีสุดกำลัง
ลี่เจ๋อเหลียงสีหน้าโกรธเคือง รั้งใบหน้าของเธอให้กลับสู่ตำแหน่งเดิม จากนั้นก็ก้มลงจูบที่ริมฝีปากของเธออย่างรุนแรง ทว่าเสิ่นเสี่ยอี้กลับปิดปากแน่น ไม่ยอมให้เขาจูบสำเร็จ
นิ้วมือที่บีบคางของเธอเอาไว้พอออกแรงทีก็ทำให้เธอเจ็บจนต้องอ้าปาก ลิ้นของเขาฉวยโอกาสนี้สอดเข้าไปรุกรานเรียกร้องกระทำตามแต่ใจ เสิ่นเสี่ยอี้อยากจะกัดเขา น่าเสียดายที่พวงแก้มทั้งสองข้างของเธอถูกเขาบีบเอาไว้ เธอไม่อาจเคลื่อนไหวได้เแม้แต่น้อย ซ้ำยังกัดโดนตัวเองอีก
เสิ่นเสี่ยอี้รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิของฝ่ายตรงข้ามที่ไหลเข้ามาผ่านเสื้อเชิ้ตที่กั้นอยู่ ลมหายใจของเขาถาโถมเข้าสู่ผิวกายของเธอ ค่อนข้างเร่งรีบรัวเร็ว ทว่าการจูบภายใต้ความโกรธจัดของเขาไม่ได้มีความพะเน้าพะนอปกป้องหญิงสาวเลยแม้แต่น้อย
เขาจูบด้วยความเร่าร้อน แต่ริมฝีปากกลับเย็นยะเยือก สัมผัสเย็นเจี๊ยบบนปากไม่ได้เกี่ยวข้องกับแรงปรารถนาต้องห้ามของทั้งสองคนเลยสักนิด
ผ่านไปนานสองนานลี่เจ๋อเหลียงถึงได้ผละจากริมฝีปากของเธอ จากนั้นก็ประชันหน้าเข้าหาเธอ กดเสียงให้ทุ้มต่ำ กล่าวยั่วยุอย่างเยือกเย็น “ขอร้องผมสิ แล้วผมจะปล่อยคุณไป ไม่อย่างนั้นผมจะทำต่อนะ”
เสิ่นเสี่ยอี้ได้ฟังก็พลันอยากสะบัดมือออกมาตบเขาสักฉาด ทว่าเธอกลับถูกเขากักตัวไขว้มือไว้ด้านหลัง เขาเพียงแค่ใช้มือข้างเดียวก็สามารถล็อกข้อมือทั้งสองข้างของเธอไว้ได้แล้ว
เหตุเพราะขาดออกซิเจน เสิ่นเสี่ยอี้จึงหายใจได้ค่อนข้างสั้น แต่เธอก็ยังคงเบิกตาจ้องมองตรงไปที่เขา แหงนหน้าขึ้นไม่ยอมเปิดปาก
ลี่เจ๋อเหลียงเห็นสถานการณ์ตรงหน้าก็ก้มต่ำลงเคลื่อนจูบของเขาลงบนคางของเสิ่นเสี่ยอี้อย่างรวดเร็ว ทั้งแทะเล็มทั้งดูดเค้น ลำดับถัดไปก็เป็นที่ลำคอ ร่างกายของเสิ่นเสี่ยอี้แข็งทื่อต่อต้านเขาอยู่ ขณะที่ดิ้นรนไม่หยุดเธอก็ไม่ยอมแสดงความอ่อนแอออกมาอย่างเด็ดขาด
เขาหยุดชะงักชั่วครู่แล้วกล่าวขึ้นอีก “เสิ่นเสี่ยอี้ ขอร้องผม! ไม่งั้นผมจะทำต่อนะ”
แต่ด้วยเธอเป็นคนกินอ่อนไม่กินแข็ง* ต่อให้อันตรายอยู่ตรงหน้าก็ไม่มีวันเปลี่ยนใจ
ทว่าเมื่อลี่เจ๋อเหลียงกอบกุมอกอิ่มนิ่มนวลของเสิ่นเสี่ยอี้ให้อยู่ในฝ่ามือของเขา ร่างกายของเสิ่นเสี่ยอี้ก็สั่นสะท้าน ในสุดก็เกิดเป็นเสียงคร่ำครวญอย่างสิ้นหวัง ฟังดูราวกับจะร่ำไห้ แต่ก็ยังไม่ยอมปริปากขอร้อง
การรับรู้อันว่องไวของเขาสัมผัสได้ถึงความแปลกไปของเธอ ขณะที่ตกตะลึงอยู่นั้นเขาก็ปล่อยมือจากเธอ
ขณะนั้นเองเสิ่นเสี่ยอี้ไม่ทันได้คิดให้ถี่ถ้วนก็หาโอกาสเหมาะใช้แรงทั้งหมดที่มียกเท้าขึ้นถีบเขา จากนั้นก็ผลักเขาออกไปเต็มแรง ส่วนตัวเธอขณะที่จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยและพยายามหนีออกจากห้องไปก็เห็นว่าลี่เจ๋อเหลียงขากะเผลกถอยไปทางด้านหลัง เพียงครู่เดียวก็ล้มลงนั่งกับพื้น
เขาประคองขาขวาเอาไว้ เม็ดเหงื่อใหญ่เท่าเมล็ดถั่วไหลอยู่บนหน้าผาก ประเดี๋ยวเดียวสีหน้าก็ซีดขาวจนน่าตกใจ
อึดใจเดียวเสิ่นเสี่ยอี้ก็นึกถึงเรื่องที่ตัวเองวู่วามทำลงไปขึ้นมาได้ คาดไม่ถึงว่าเธอเตะเข้าที่เข่าขวาของเขา เธออ้าปากกว้าง เสียใจจนไม่รู้จะทำอย่างไรดี
“ฉันไม่ได้ตั้งใจค่ะ” เธอเสียงสั่น กลับมาย่อตัวลงอยากจะตรวจดูขาของเขา ทว่ากลับถูกลี่เจ๋อเหลียงผลักไส
“ออกไป!” เขากล่าวพลางอดทนกับความเจ็บปวดอย่างสุดกำลัง
“ฉันจะช่วยคุณ” เสิ่นเสี่ยอี้ตะกายขึ้นมาหมายจะเข้าไปประคองเขาอีกครั้ง
ทว่าเขากลับไม่ได้ซาบซึ้งใจเลยสักนิด อีกฝ่ายเค้นเสียงสูงแล้วกล่าวซ้ำ “ออกไป!”
“ฉัน…”
‘โครม’
ลี่เจ๋อเหลียงคว่ำโคมไฟตั้งพื้นที่อยู่ข้างๆ มือด้วยความโกรธเกรี้ยว เขาตะคอก “ผมสั่งให้คุณออกไป!”
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน กุมภาพันธ์ 2567)
Comments
comments
No tags for this post.