บทที่ 64
ข้างนอกฐานวิจัย
“กรุณารอสักครู่นะครับ” ทหารประจำการที่เฝ้าป้อมยามทำหน้าที่อย่างเคร่งครัดเต็มที่ หลังรายงานทางโทรศัพท์แล้วก็ชี้ที่ริมกำแพงพลางพูดกับชูหนิงว่า “คุณยืนตรงนั้นสิครับ สามารถบังลมได้นิดหน่อยนะครับ”
ชูหนิงถูกทรมาทรกรรมจนปราศจากความรู้สึกใดๆ ทั้งเนื้อทั้งตัวอยู่ในสภาพที่เลื่อนลอยโหวงกลวง
คนขับรถหนวดเฟิ้มเองก็เป็นคนที่ซื่อสัตย์จริงใจ เดิมทีตกลงกันไว้แค่ไปส่งที่ตัวอำเภอเพื่อหาโรงแรมสำหรับพักอาศัยก่อนเท่านั้น หลังผ่านการร่วมมือร่วมแรงเข็นรถแล้ว ช่องว่างระหว่างสองคนก็ลดน้อยลง การเดินทางในช่วงครึ่งท้ายก็เลยพูดคุยเรื่อยเปื่อยแก้เบื่อกันได้ ทันทีที่ได้ยินว่าชูหนิงมาหาแฟนเท่านั้นแหละ โอ้โห! ตื่นตัวขึ้นมาเชียว จะต้องไปส่งให้ถึงที่หมายให้ได้ และยังเอาแต่พูดบ่นตลอดเวลา
‘ห่างไกลพันลี้บุพเพโยงใยด้วยด้ายแดง แม้นแม่น้ำหมื่นสายขุนเขานับพันกั้นห่างแต่มีชะตาวาสนาต้องกัน’
สถานที่แห่งนี้ผู้คนเรียบง่าย ซื่อๆ จริงใจ และมีความน่าสนใจเป็นพิเศษ
ก็เป็นแบบนี้แหละ รถที่สภาพเหมือนเศษเหล็กบุโรทั่งพาชูหนิงมาส่งถึงที่นี่จนได้
ณ ฐานปฏิบัติการห้องทดลองด้านการบินของสถาบันวิจัยส่วนกลางในตันปา
สภาพถนนเป็นหลุมบ่อทำให้รถโคลงเคลงตลอดเส้นทาง ชูหนิงมีกลิ่นเหม็นหึ่งทั้งตัว ผมเผ้ารุงรัง กระโปรงฉีกขาด เสื้อสเว็ตเตอร์สีขาวเปรอะสีดำเทาเป็นกลุ่มก้อนเหมือนกับอุจจาระ รองเท้าส้นสูงที่ใส่ก็เป็นส้นแบนราบ และเหมือนจะมีรอยแตกหักที่ส้นด้านหลังของข้างซ้ายด้วย
เธออยากจะแต่งหน้าเพิ่มสักหน่อย ทันทีที่หยิบกระจกออกมาส่องดูก็ช็อกกับสภาพผีบ้าของตัวเอง
ชูหนิงรู้สึกว่าถ้าตอนนี้จุดบุหรี่สักมวนหนึ่ง สภาพคงเหมือนคนจรจัดที่ร่อนเร่พเนจรไปทั่วหล้าแน่ๆ
ว่าแล้วก็เห็นเงาคนวิ่งบึ่งมาจากในฐานวิจัย จากเงาเล็กๆ กลายเป็นใหญ่ จากที่ไกลๆ จนมาใกล้
ชูหนิงรู้สึกเสียใจ เสียใจที่ไล่ตามสามีมาถึงแถบเสฉวนทิเบต
ท่าทีแสดงออกของอิ๋งจิ่งร้อนรนเป็นอย่างมาก เขาวิ่งลงบันได วิ่งผ่านธงชาติ สายตากวาดมองไปรอบๆ โดยมีรั้วไม้กั้น สุดท้ายก็หยุดหอบหายใจแฮกๆ สายตาจ้องมองที่มุมกำแพง
ชูหนิงเหน็ดเหนื่อยเกินไป กำลังนั่งยองๆ อยู่ตรงนั้น เธอขดตัวเล็กน้อย แหงนศีรษะขึ้นมามองเขาอย่างยากที่จะอธิบายเป็นคำพูดได้
หลังจากสงครามเย็นที่นิ่งเงียบไม่พูดคุยกัน นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองคนได้เจอหน้า
อิ๋งจิ่งพุ่งเข้าไปพยุงแขนของเธอมองดูตั้งแต่บนจรดล่าง ถามด้วยความร้อนรน “ไม่เป็นไรใช่ไหม ไม่ได้บาดเจ็บใช่ไหม ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า คุณมาที่นี่ทำไม?!”
เขาพูดด้วยความร้อนใจและเป็นห่วงแท้ๆ แต่ชูหนิงในตอนนี้ที่แทบจะสติแตกอยู่รอมร่อฟังแล้วก็เหมือนเป็นคำถามในเชิงที่ไม่ค่อยพอใจเธอเท่าไหร่นัก
ความน้อยใจที่มีติดต่อกันมาหลายวันพลันท่วมท้นในความรู้สึกทันที ชูหนิงปัดมือของเขาออก เบือนหน้าหนีแล้วพูดเสียงเรียบเฉย
“ฉันมาเที่ยวไม่ได้หรือไง นั่งรถบัสกลุ่มทัวร์ท่องเที่ยวมาไม่ได้หรือไง”
อิ๋งจิ่งได้ยินแล้วก็ดีใจ แถมยังให้ความร่วมมือดีมาก หันไปพูดกับคนขับรถหนวดเฟิ้มที่อยู่ข้างๆ
“พี่คนขับรถครับ ลำบากพี่แล้วล่ะครับ รถบัสหรูหราสมคำเล่าลือเลย”
คนขับรถหนวดเฟิ้มหัวเราะเสียงทุ้มนิดหน่อย ขำฮ่าๆๆ แบบหยุดไม่ได้
ชูหนิงก้มศีรษะ สายตามองต่ำลงมา เอานิ้วมือบีบกระเป๋าของตัวเองแน่น
อิ๋งจิ่งพลันรู้สึกไม่สบายใจ เอ่ยเสียงทุ้มถามเธออย่างอ่อนโยน “หนิงเอ๋อร์…”
ชูหนิงไม่อาจฝืนกลั้นได้อีกแล้ว เธอร้องไห้หยาดน้ำตาไหลลงมาสองหยด
อิ๋งจิ่งเอื้อมมือออกไปคว้าหญิงสาวเข้ามากอดไว้ในอ้อมอก ลูบตรงท้ายทอยของเธอ คนที่อยู่ในอ้อมกอดรูปร่างบอบบาง กำลังซุกศีรษะอยู่ตรงหน้าอกของเขา เธออดกลั้นเอาไว้ ฝืนข่มไม่ให้ส่งเสียงร้องไห้ออกมา แต่ไหล่ของเธอที่สั่นเทาอยู่ภายใต้การควบคุมนั้นกำลังหลั่งน้ำตาอยู่เงียบๆ
หัวใจของอิ๋งจิ่งเหมือนถูกมีดทิ่มแทง ได้แต่กระชับกอดเธอแน่นขึ้นเรื่อยๆ พูดอธิบายเสียงแหบแห้ง