บทที่ 4
บรรยากาศดีมาก ช่างเป็นความแตกต่างที่โดดเด่นในการแข่งขันเชิงเทคนิคแบบนี้จริงๆ
เฝิงจื่อหยางกลับพูดว่า “เขาคว้าตำแหน่งไม่ได้หรอก”
ชูหนิงถาม “ทำไมล่ะ”
“แฟนซีเกินไปไง อธิการบดีของมหา’ลัยตามไม่ทันความล้ำสมัยแบบนี้หรอก”
“ไม่ใช่เป็นเพราะว่าทึ่มนิดๆ หรอกเหรอ” ชูหนิงพูดตรงไปตรงมา
“ทึ่มเหรอ” เฝิงจื่อหยางส่งเสียงพูดออกมาอย่างเบิกบาน “การปรับตั้งค่าเครื่องยนต์ของเขานี่ดีมากเชียวล่ะ เธอดูสิ สิบห้านาทีเข้าไปแล้ว ยังไม่มีเสียงกระชากติดขัดเลย”
พูดลึกไปแล้ว ชูหนิงเองก็ฟังไม่เข้าใจ
เธอแกะลูกอมออกมาหนึ่งเม็ด รสหอมนมฟุ้งเต็มปาก
สุดท้ายก็เป็นแบบที่เฝิงจื่อหยางพูดจริงๆ สามอันดับแรกถูกสาขาเอกการออกแบบอากาศยานและสาขาเอกวิทยาการคอมพิวเตอร์แบ่งเอาไป คะแนนของอิ๋งจิ่งอยู่ตรงกลางไม่มีเขยื้อนแบบนี้มาทุกปีจนเคยชินนานแล้ว
พอออกมาจากโรงยิม แสงตะวันก็โอบเต็มอ้อมกอด
ทางซ้ายเป็นสนามบาสเกตบอล คนเป็นสิบรวมตัวกันเป็นแถวยาว เงาร่างคล่องแคล่ววิ่งขวักไขว่ไปมา ส่วนทางขวาเป็นเขตหอพัก ปริมาณผู้คนล้วนหลั่งไหลไปทางนั้น ด้วยความที่มหาวิทยาลัยภาควิชาวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์มีผู้ชายเยอะ นานๆ ทีจะมีผู้หญิงไม่กี่คนจูงมือเคียงไหล่ พูดจาหัวเราะคิกคักกันเดินมาบ้างเป็นครั้งคราว ในบรรดาหญิงสาวเหล่านั้นผู้ที่สวมใส่กระโปรงเป็นคนที่สะดุดตามากที่สุด ชายกระโปรงพลิ้วไหวเป็นลอนคลื่น
คงอยู่ห้องพักเดียวกัน ชูหนิงแอบคิดเอาเอง
จู่ๆ เฝิงจื่อหยางที่ปะปนอยู่ในหมู่คนก็หันหลังกลับมาถามว่า “ฉันเหมือนรุ่นพี่ไหม”
ชูหนิงมองเขาแวบหนึ่ง “อย่าดูถูกสติปัญญาของคนอื่นสิ”
เฝิงจื่อหยางไม่ได้มีท่าทีโมโห เอ่ยปลงเนิบๆ “ดีจังเลยนะวัยรุ่นเนี่ย”
“นั่นสิ ฉันนี่ดีจังน้า”
“…”
วันนี้ชูหนิงใส่ชุดเทรนช์โค้ตในสไตล์ที่เรียบง่าย เข้าคู่กันกับรองเท้าส้นสูง เธอยกมือขึ้นใส่แว่นกันแดด แวบแรกที่เห็น บุคลิกท่าทางของเธอเหมือนดาราฮ่องกงยุคเก่า
“ไปเดินเล่นแถวมหา’ลัยเป็นเพื่อนฉันหน่อย” เฝิงจื่อหยางพูด
“ไม่มีเวลา มีเรื่องต้องจัดการที่บริษัท”
ชูหนิงปฏิเสธ ในมือยังถือลูกอมรสนมไม่กี่เม็ดนั้นอยู่ ขณะเตรียมตัวที่จะไปเอารถ พอหันกลับไปก็เห็นผู้ชายเป็นแถวกำลังลงบันไดที่ตรงปากประตูทางเข้าโรงยิม และตรงกลางในกลุ่มนั้นคืออิ๋งจิ่ง
เขาถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก ใส่เพียงเสื้อฮู้ดตัวหนึ่งแบบหลวมๆ มือสองข้างกอดอกอย่างเกียจคร้านเฉื่อยแฉะ ท่าทางแบบนี้ทำให้ปกคอเสื้อที่แต่เดิมก็อ้ากว้างอยู่แล้วยิ่งเผยอกว้างมากขึ้น ปรากฏส่วนโค้งเว้าของกระดูกไหปลาร้าทางซ้ายออกมาอย่างชัดเจน
ผิวค่อนข้างขาวเชียว
ชูหนิงละสายตาไปมองเล็กน้อย พบว่าเขาก็กำลังจ้องมองตนเองอยู่เช่นกัน
ชูหนิงกำลังอมลูกอมรสนมอยู่ในปาก แก้มสองข้างขยับตามแรงเคี้ยวน้อยๆ หน้าตาไร้อารมณ์
“แกเองก็อยู่ดีไม่ว่าดีมากเกินไปมั้ง! ศาสตราจารย์ลี่หน้าตาถมึงทึงอยู่ข้างล่างเวทีแล้ว!”
เพื่อนนักเรียนคนหนึ่งเกาะอิ๋งจิ่งอยู่ ที่เหลือไม่กี่คนก็เอามือโอบหลังพาดไหล่กันอย่างสนิทสนม
“แล้วแกยังโปรยกลีบดอกไม้อีก แมนแท้ๆ อย่างดาร์กเลยว่ะ”
“จางไหวอวี้มองนายสายตาเป็นประกายเลยล่ะ ฮ่าๆๆ”
เรื่องซุบซิบในรั้วมหาวิทยาลัยแบบนี้ เหมือนทั้งคุ้นเคยแต่ก็ยังไม่คุ้นเคย เมื่อเดินเฉียดไหล่สวนกัน อิ๋งจิ่งยิ้มให้เฝิงจื่อหยาง ทั้งสองคนล้วนมีความประทับใจต่อกัน ชูหนิงยัดลูกอมรสนมในอุ้งมือใส่ในกระเป๋าเสื้อโค้ตตัวนอก พลอยถือโอกาสมองเงาหลังของเหล่าวัยรุ่นที่เดินห่างออกไปอีกครั้ง
แสงตะวันยามฟ้าครามสดใส สว่างเจิดจ้าเกินไปจนทำเอาสายตาพร่า อิ๋งจิ่งเองก็หันกลับมาสบตากับชูหนิงเข้าพอดี เขายิ้มกว้างและขยิบตาให้เธอ
ชูหนิงที่กำลังเคี้ยวลูกอมรสนมอยู่มองอีกฝ่ายแค่แวบเดียวแล้วจึงไปเอารถ
กลับถึงห้องนอน ฉีอวี้ดื่มน้ำด้วยความกระหาย แล้วก็เทน้ำให้เต็มแก้วของอิ๋งจิ่งด้วยเลย
“อันที่จริงนะ ฉันรู้สึกว่าถ้านายเล่นลวดลายให้น้อยหน่อย ไม่แน่ว่าอาจจะได้คะแนนดีกว่านี้”
อิ๋งจิ่งรื้อเอาชุดบาสเกตบอลออกมา แล้วยกถกคอเสื้อขึ้นมาข้างบน พลันเอาหัวหดมุดเข้าไป แล้วก็ถอดเสื้อฮู้ดออกอย่างง่ายดาย เขาเหวี่ยงชุดบาสเกตบอลไว้บนไหล่ แล้วเดินเข้าไปเตะก้นของฉีอวี้หนึ่งที
“จะเข้มงวดกวดขันขนาดนี้ทำไมกัน แค่เล่นเอาสนุกก็พอน่า”
ฉีอวี้ถูกเตะจนน้ำพ่นกระฉอกออกจากปาก “วอนตายนะแก!”
อิ๋งจิ่งกระโจนจะหนี ทว่าช้าไปหนึ่งก้าว ถูกฉีอวี้ดึงคว้าคอเสื้อเอาไว้ เกิดเสียงดังแควก ชุดบาสเกตบอลฉีกขาดทันที
อิ๋งจิ่งร้องแหกปากลั่น “แก ไอ้คนป่าเถื่อน!”
ฉีอวี้เห็นป้ายยี่ห้อบนคอเสื้อก็ถึงกับตะลึงและรีบเอ่ยขอโทษอย่างไว “ขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไรๆ”
“ฉันซื้อให้นายใหม่อีกชุดนึงแล้วกัน”
“ไม่ต้องๆ” อิ๋งจิ่งรู้จักนิสัยหัวรั้นของเพื่อนดี กลัวอีกฝ่ายจะคิดมากจึงพูดปลอบใจว่า “ซื้อที่ตลาดนัดกลางคืนน่ะ แค่สามสิบหยวนเอง แถมยังได้ทั้งชุดด้วยนะ”
ท่าทางที่ตึงเครียดของฉีอวี้ยังไม่ผ่อนคลายลง เขาแบมือออกมา พูดอย่างจริงจังว่า “บนคอเสื้อมีคิวอาร์โค้ด นายเอามาให้ฉันสแกนหน่อย”
อิ๋งจิ่งตบมือของเขาหนึ่งฉาด “ประสาท! ไป ไปเล่นบาสกัน”
สำหรับคนที่มีความสัมพันธ์ดีต่อกันนั้น ความตะขิดตะขวงและความคับข้องใจมากมายก็สามารถคลี่คลายได้อย่างเงียบๆ โดยไม่ต้องมีปากเสียงและยังงดงามมีเกียรติ คนอย่างอิ๋งจิ่งนี้ก็เหมือนกับดวงอาทิตย์ที่เคยถูกสายฝนยามฤดูใบไม้ผลิชะล้าง สดชื่นแจ่มใสและเปล่งประกาย ไม่เพียงแต่ดูแล้วเพลิดเพลินเจริญตา ทว่าอยู่ด้วยก็ยิ่งรื่นรมย์เจริญใจ
ฉีอวี้ไล่ตามไปและแสดงความเศร้าในใจออกมาโดยไม่รู้ตัว “การแข่งขันวันนี้ฉันว่านายสามารถคว้าตำแหน่งได้ อย่างน้อยก็สามอันดับแรก”
อิ๋งจิ่งทำเป็นไม่ได้ยิน เลี้ยงเดาะลูกบาสเสียงดังตึงตังๆ “ดูฉันชู้ตลูกบาสยัดห่วงนะ ฟิ้ว ตุ้บ เข้าแล้ว! ท่านอิ๋งต้าหวัง* เจ๋งจริงๆ!”
เขาทำเป็นแสดงการเล่นที่แสนยอดเยี่ยมให้ตัวเอง ทำเอาฉีอวี้เก็บกลืนคำพูดที่มีทั้งหมดลงไป
ในตอนค่ำมีคาบเรียนด้วยตัวเอง จบคาบเรียนตอนสามทุ่มครึ่ง กว่าอิ๋งจิ่งจะกลับก็อดทนจนเป็นคนสุดท้าย ซึ่งเขาก็ยังไม่ได้กลับหอพัก แต่ไปที่ห้องปฏิบัติการ
อิ๋งจิ่งเอาโมเดลเครื่องบินจำลองที่ใช้ในการแข่งขันตอนบ่ายออกมา เชื่อมต่อวงจรไฟฟ้าเรียบร้อย จากแรงแล้วค่อยๆ อ่อน และลองความเร็วของเพลาใบพัดด้วยคลื่นความถี่ย่อยนิดหน่อย
“แกดูสิๆ ทุกครั้งที่อยู่ในช่วงระยะนี้แกก็จะเริ่มสั่น แกมันเด็กน้อยซื่อบื้อชะมัด” อิ๋งจิ่งพูดพึมพำกับตัวเอง แล้วก็ลองอีกไม่กี่ครั้งพร้อมพูดอย่างเกรี้ยวกราด “ขอบคุณป๊ะป๋าของแกซะ เทคนิคการควบคุมของฉันยอดเยี่ยม ไม่ทำให้แกเครื่องตกไง ไม่งั้นขายหน้าหมด ดูซิ แกจะไปร้องไห้กับใคร”
เขาแหย่ๆ ที่ตัวเครื่อง ทำหน้าทะเล้นใส่มัน
ที่ห้องปฏิบัติการเปิดไฟเพียงแค่ดวงเดียว เงาที่ถูกขยายใหญ่ปรากฏบนฝาผนังสีขาว อิ๋งจิ่งงอหลังค้อมลง มือหนึ่งยันคางอยู่ อีกมือหนึ่งลูบหัวเครื่องบินอย่างแผ่วเบา ประกายแห่งความสดใสในดวงตาของเขาค่อยๆ หม่นหมองลงทีละน้อย เคล้ารวมเป็นความนิ่งงันดั่งทะเลสาบที่เงียบสงบ
หน้ากากอันนั้นที่แสดงให้คนอื่นเห็นว่าไม่แยแสสนใจในตอนกลางวันถูกถอดออกแล้ว อิ๋งจิ่งก้มศีรษะลง พูดเสียงเบาๆ กับ ‘สหายคู่หู’ ผู้ร่วมการแข่งขันของเขา
“ขอโทษนะ”
บรรยากาศกำลังเข้มข้น อยู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ใช้ความคิดไปในทางที่ถูกต้อง อย่าศึกษาวิจัยบรรดาสิ่งนอกรีตนอกรอยที่เละเทะรกรุงรังสิ ได้ผลมากกว่าการขอโทษเป็นไหนๆ”
อิ๋งจิ่งตกใจ หันหน้ากลับไปมองผู้มาเยือนให้ชัดๆ พลันลูบหน้าอกปลอบขวัญตนเองทันที “ผมตกใจแทบตาย นึกว่าเป็นผีเสียอีก ศาสตราจารย์ลี่ ทำไมอาจารย์เข้ามาโดยที่ไม่ส่งเสียงล่ะครับ”
“ผีบ้านนายสิ” ลี่โจวซานถลึงตาจ้องอย่างฉุนเฉียว
อิ๋งจิ่งเกาศีรษะ หัวเราะแหะๆ “ดึกขนาดนี้อาจารย์ยังไม่พักผ่อนอีกเหรอครับ”
ลี่โจวซานกลับชี้ไปที่โมเดลจำลองที่อยู่ด้านหลังเขา “ถอดออกมา ทดสอบอุณหภูมิหน้าเทอร์ไบน์**”
อิ๋งจิ่งเข้าใจ เลิกพูดเพ้อเจ้อแล้วเริ่มต้นลงมือทำ
หลังดูเสร็จแล้วศาสตราจารย์ลี่ก็พูดเสียงเย้ยหยัน “ไม่แปลกเลยที่จะสั่น รู้ไหมว่าปัญหาเกิดจากไหน”
อิ๋งจิ่งกะพริบตาปริบๆ “เจ้าของหล่อเกินไปเหรอครับ”
“เจ้าเด็กเวร!”
อิ๋งจิ่งกลั้นขำ ชะโงกหน้าเข้าไปใกล้
“อัตราแรงดันอากาศไม่ถึงเกณฑ์เวลาที่เร่งเกียร์ความเร็วรอบในการหมุน” ลี่โจวซานชี้ที่หน้าปัดแสดงผล วาดนิ้วมือกลางอากาศ “อัตราแรงดันต่ำกว่าสามจุดห้า อุณหภูมิหน้าเทอร์ไบน์ไม่อาจเข้าไปได้ นี่คือเกียร์แบ่งกำลัง”
อิ๋งจิ่งตาเป็นประกาย “เข้าใจแล้วครับ”
ลี่โจวซานดูเขาปรับแก้ใหม่อีกรอบ สีหน้าคลายกังวล ยากที่จะปกปิดความปลื้มใจไว้ได้ แต่น้ำเสียงของเขายังคงแข็งกระด้างอยู่
“ไอ้เจ้าหนู นายก็คงจะฉลาดได้แค่นี้แหละ คิดฟุ้งซ่านไม่มีสมาธิ ทำงานไม่รอบคอบ ช่างเป็นนิสัยที่ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย”
อิ๋งจิ่งหลุดปากพูดออกมาว่า “เรียนจบได้ก็โอเคแล้วครับ”
“มีแววนี่!” ลี่โจวซานโมโห “แล้วหลังจากเรียนจบล่ะ จะหาสถานที่รับเงินเดือนไปเรื่อยเปื่อย ใช้ชีวิตไปตามยถากรรมอีกเหรอ”
อิ๋งจิ่งพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
แม้น้ำเสียงของศาสตราจารย์ลี่จะไม่เป็นมิตรเช่นเคย แต่ชั่วขณะนี้อิ๋งจิ่งสามารถรู้สึกได้รางๆ ถึงความเศร้าเสียใจที่หลั่งไหลออกมาจากดวงตาและน้ำเสียงของเขา ความรู้สึกรุนแรงที่อยู่ท่ามกลางความคลุมเครือยิ่งมีมากขึ้นกว่าเดิม
“ชีวิตไม่ใช่แค่การกินวอวอโถว* ให้อิ่มท้องแล้วจะจบ ต้องมีเรื่องให้เสาะแสวงไล่ตามสารพัดครบถ้วนทุกรสอยู่บ้าง” ศาสตราจารย์ลี่คร้านที่จะพล่ามพูดจาเหลวไหลกับเขา จึงพูดกึ่งเย้ยหยันกึ่งถากถางว่า “ถ้าฉันจำไม่ผิดล่ะก็ นายที่อยู่ปีสามนี่ยังไม่เคยได้รางวัลระดับมหาวิทยาลัยอะไรเลยสินะ”
อิ๋งจิ่งท่าทีซึมๆ ยังไม่ได้สติกลับมา
“ครึ่งเทอมหลังจะต้องฝึกงานแล้ว คงไม่สวยนักหรอกนะ ถ้าไม่เพิ่มแต้มต่อด้วยการทำโครงการย่อยสักหน่อย” ลี่โจวซานโยนหนังสือโครงการเล่มหนึ่งให้เขา “โจทย์หัวข้อในมือของฉัน คิดออกแบบร่วมกับเพื่อนที่ทำธุรกิจคนหนึ่ง นายลองดู ถ้าหากสนใจ พรุ่งนี้ตอบกลับฉันด้วย”
หัวเรื่องภาษาจีนและภาษาอังกฤษที่สะดุดตาอยู่บนหน้าปกเขียนว่า
‘การวิเคราะห์ความเป็นไปได้และการสร้างแบบจำลองเสมือนจริงด้านเครื่องยนต์อากาศยาน’
หลังจากวันนั้นฝนตกก็โปรยปรายต่อเนื่องกันหนึ่งสัปดาห์ กว่าอากาศจะกลับมาปลอดโปร่งก็จนกระทั่งวันเสาร์
การแสดงบทขาเดี้ยงเพื่อยืดเวลางานหมั้นของชูหนิง เมื่อเริ่มต้นแล้วก็ต้องทำไปจนจบ ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีตามระเบียบแบบแผน เธอ ‘ถอดเฝือกออก’ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พอถึงสัปดาห์นี้ก็ ‘พยุงไม้เท้า’ แล้วถึงตอนนี้ก็ ‘หายดีเป็นปลิดทิ้ง’ กระบวนการดำเนินคืบหน้าเป็นขั้นเป็นตอน เรียกได้ว่าไร้ซึ่งช่องโหว่ใดๆ
วันนี้เธอนัดกวนอวี้กินข้าว เป็นร้านอาหารที่เปิดใหม่ รูปแบบร้านลอกเลียนแบบสไตล์ยุคโบราณที่งดงามเมื่อสมัยราชวงศ์ถังเฟื่องฟู ใช้ฉากกั้นบังลมรูปหญิงสาวแยกที่นั่งเป็นล็อก แถมยังมีมือโปรดีดบรรเลงผีผา*และกู่เจิง** บนเวที งดงามสละสลวย และค่อนข้างมีท่วงทำนองแข็งกร้าว กวนอวี้มาสายห้านาที ยังไม่ทันเดินเข้ามาใกล้ก็พร่ำบ่นซ้ำซาก
“ฉันไม่ได้กลับปักกิ่งแค่สามเดือน ทางประตูเจี้ยนกั๋วเหมินนั่นรถติดกว่าเมื่อก่อนอีกนะ อย่างกับโถส้วมชักโครกอุดตันเลยให้ตายสิ และยังเจอรถเปลี่ยนเลนกันชุลมุนตลอดเลย คลื่นไส้จะตายชัก โอ๊ะ? หนิงเอ๋อร์ ขาเธอหายดีแล้วเหรอ” กวนอวี้เสียงไพเราะรื่นหู เธอถอดเสื้อคลุมตัวนอกได้ครึ่งเดียวก็เห็นขาของชูหนิง พูดพลางหัวเราะร่า “ตระกูลเฝิงคงจะแจ้งกำหนดการงานหมั้นมาอีกแล้วใช่ไหม”
วันนี้ชูหนิงทาลิปสติกสีแดงเข้ม ถูกแสงไฟขับให้โดดเด่น จนดูสวยงามผิวขาวเป็นพิเศษ พอพูดเรื่องนี้ขึ้นมา เธอก็อารมณ์ดี
“พวกเขาไปเจอพระอาจารย์ชาวฮ่องกงดูฤกษ์ไว้แล้ว คราวที่แล้วคลาดกัน ครึ่งปีต่อมาก็ไม่มีฤกษ์ที่เหมาะสมเลย บอกว่าจะเป็นเคราะห์ชงขัดแย้งกับบรรพบุรุษ”
คุณปู่ของตระกูลเฝิงเชื่อเรื่องเหล่านี้ ซึ่งตรงกับความต้องการของเธอพอดี
กวนอวี้รูปร่างสมบูรณ์พูนสุข เธอนั่งงอขาพับซ้อนกันบนเบาะรอง พูดหยอกล้อว่า “เฝิงจื่อหยางใช้ได้เลยทีเดียว จากเรื่องปลอมแสดงออกมาเสียสมจริง เดี๋ยวเธอก็ลงเอยกับเขาจนได้”
ชูหนิงทำเป็นไม่ได้ยิน ชายตาขึ้นมาจ้องกวนอวี้ “เธอไปเสริมอึ๋มที่เกาหลีเหรอ”
“ยายบ้า เดิมทีฉันก็คัพซีอยู่แล้วย่ะ”
“จริงเหรอ” ชูหนิงครุ่นคิดแล้วก็เลิกคิ้ว “ให้ฉันจับหน่อย”
“ฮึ่ย! ยายสาวอันธพาล!” เสียงหัวเราะของกวนอวี้ดังขึ้นเป็นระยะๆ
ชูหนิงเอามือยันคางอย่างเกียจคร้าน ท่าทางผ่อนคลาย
เธอและกวนอวี้เป็นเพื่อนร่วมชั้นสมัยมัธยมต้นและมัธยมปลาย นับรวมๆ แล้วก็เป็นมิตรภาพเล็กๆ พื้นฐานครอบครัวของกวนอวี้ร่ำรวย นิสัยเบิกบานสดใส เรียนสาขาเอกการสื่อสารมวลชน หลังเรียนจบทำงานที่จงกว่าง*** ได้สองปี รู้สึกว่าไม่มีอนาคตก็เลยลาออกจากงาน ยิ่งไปกว่านั้นตอนนั้นชูหนิงกำลังเริ่มต้นธุรกิจ ทั้งสองคนจึงรวมตัวเข้าพวกกัน กวนอวี้ก็กลายเป็นผู้ถือหุ้นตั้งแต่ต้นของบริษัทการลงทุนหนิงจิ้ง
บริษัทการลงทุนหนิงจิ้งผ่านช่วงขาขึ้นขาลงมาแล้วสามปี แม้ขอบเขตกิจการจะไม่กว้างนัก แต่ปัจจุบันก็เป็นธุรกิจที่มั่นคงมีเสถียรภาพ
พูดไปพลางกินไปพลาง กวนอวี้พูดขึ้น “ฉันได้ยินเสี่ยวซ่งบอกว่าคราวก่อนเธอถูกคนของกลุ่มซิ่นต๋าดักที่ประตูทางเข้าสำนักงานเหรอ”
“อืม” ชูหนิงชะงักไปชั่วครู่ “เรื่องมันนานมาแล้ว”
“แล้วหลังจากนั้นเธอปลีกตัวหนีพ้นมาได้ยังไงล่ะ”
ตะเกียบของชูหนิงที่กำลังยื่นมาทางอาหารหยุดค้างอยู่กลางอากาศในชั่ววินาที แล้วจึงคีบกุ้งตัวหนึ่ง
“นั่งรถจักรยานของผู้ชายคนหนึ่ง”
“ผู้ชาย?” กวนอวี้เกิดสนใจขึ้นมา “เป็นยังไงเหรอ”
ชูหนิงคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “น่ารำคาญมาก”
“แหม” กวนอวี้คิดว่าเธอคงพูดโกหก จึงเปลี่ยนเรื่องสนทนา “จริงสิ ครั้งก่อนเธอขอให้ลูกพี่ลูกน้องไปทานข้าวเป็นเพื่อนประธานจางใช่หรือเปล่า”
ชูหนิงเงยขึ้นมามอง “เรื่องนี้เธอก็รู้ด้วย?”
กวนอวี้มีทีท่าไม่สนใจ “ถ้าอยากจะรู้ก็ไม่เห็นยากเลย แค่เปิดหาข่าวบันเทิงสักหน่อยก็รู้แล้วล่ะ”
เรื่องนี้อธิบายไปก็คงยาว แต่ก็เป็นเรื่องกล้วยๆ
ลูกพี่ลูกน้องของชูหนิงชื่อจ้าวเป้ยฉี เป็นนักแสดงสาวดาวรุ่งที่ถือว่ามีความนิยมใช้ได้ในวงการบันเทิง เดินอยู่บนเส้นทางนักแสดงสาวสวยที่ไร้มลทินมัวหมอง ช่วงที่ชูหนิงต่อสู้เพื่อให้ได้โครงการลงทุน แต่ทำยังไงประธานจางที่ร่ำรวยเงินทองมีอำนาจมหาศาลไม่ยอมตกลงด้วยมาตลอด ตอนหลังซักถามได้ความว่าประธานจางที่เพิ่งกลายเป็นเศรษฐีใหม่แสดงออกอย่างเปิดเผยว่าชื่นชอบบรรดาโครงการที่ทำแล้วได้หน้า ชูหนิงก็เลยให้ลูกพี่ลูกน้องไปร่วมงานกินเลี้ยง เป็นดาราสาวคนดังที่ช่วยรักษาภาพลักษณ์ของงาน เรื่องนั้นทำให้ประธานจางเบิกบานใจอย่างยิ่ง วันต่อมาก็แจ้งให้ชูหนิงมาเซ็นสัญญาเลย
กวนอวี้บอกเธอว่า “ที่น้องจ้าวไปร่วมงานกินเลี้ยงแบบนี้ถูกสื่อถ่ายภาพเอาไว้พอดี แถมมีการพูดจาซุบซิบเสียดสีให้น่าสงสัยอีก เค้าเป็นฝ่ายเสียหายขาดทุนมากนะ”
พอได้ยิน ชูหนิงก็ไร้ซึ่งท่าทีใดๆ “เค้าจะเสียเปรียบอะไรล่ะ หลายปีมานี้ฉันปรนนิบัติรับใช้คนตระกูลจ้าวของพวกเขาน้อยไปงั้นเหรอ ทรัพยากรสำหรับภาพยนตร์เรื่องก่อนของเค้านั่นน่ะ ฉันก็เป็นคนหามาให้ ทานข้าวสักมื้อแล้วจะเป็นยังไงเหรอ” ชูหนิงพูดฉะฉานเสียงดังฟังชัด “น้ำใจคนเราพึ่งพาซึ่งกันและกัน ฉันช่วยเค้า เค้าช่วยฉัน ในใจเค้าจะไม่รู้เชียวเหรอ เค้าสมควรจะรู้นะ”
กวนอวี้รู้ถึงความซับซ้อนและความไม่ลงรอยกันในความสัมพันธ์ระหว่างชูหนิงกับตระกูลจ้าวก็เลยไม่สามารถโต้แย้งได้ไปชั่วขณะ
“แล้วอีกอย่าง ข่าวแง่ลบพวกนั้นก็ถูกฝ่ายทางการกลบข่าวในวันถัดไปอยู่แล้ว” ชูหนิงพูดเสียงเย็นชากึ่งไม่แยแส
กวนอวี้ลังเลชั่วครู่ก่อนจะพูด “จ้าวหมิงชวนเหรอ”
ชูหนิงตอบรับโดยปริยายและรู้สึกหงุดหงิดใจขึ้นมาทันที “คนตระกูลจ้าวเป็นแบบนี้กันหมดนั่นแหละ ต่อหน้าอย่างหนึ่ง ลับหลังอีกอย่างหนึ่ง ถ้าไม่อยากทำก็ไม่ควรรับปากตั้งแต่แรกสิ พอรับปากก็อย่าหันหลังวิ่งแจ้นกลับไปบ่นฟ้องร้องทุกข์ทำเป็นเวทนากับคนอื่น”
ครั้นชูหนิงพูดคำว่าเวทนาจบ กวนอวี้พลันนั่งตัวตรงแน่วทันที เริ่มเอ่ยคำพูดคำจาขึ้นมาอย่างตะกุกตะกัก
“เอ่อ พะ…พี่จ้าว” พอพูดแล้วก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม จึงรีบแก้คำพูดอย่างรวดเร็วอีกครั้ง “ประธานจ้าว”
ชูหนิงพลันผงะก่อนจะหันหน้ากลับไป จ้าวหมิงชวนเดินออกมาจากหลังฉากกั้นด้วยใบหน้าถมึงทึง
บังเอิญชะมัด
ทั้งสองคนต่างเข้ามากินอาหารที่นี่กัน ขณะเดินผ่าน จ้าวหมิงชวนได้ยินคำพูดที่ชูหนิงพูดทุกคำไม่มีตกหล่น
คุณชายตระกูลจ้าวเป็นที่เลื่องชื่อลือนาม ผู้คนภายนอกต่างรู้จักเขา ถ้าบุรุษที่มีภูมิหลังระดับนี้ปรากฏตัวออกมา แม้ว่าจะไม่ได้พูดจา ลำพังแค่ยืนมองคุณอยู่ตรงนั้นก็ทำให้คนหวาดผวาอยู่ไม่เป็นสุขได้แล้ว มิหนำซ้ำในตอนนี้สายตาของเขาก็ยากที่จะคาดเดาได้จริงๆ
กวนอวี้หวาดหวั่นเป็นกังวลไปแล้ว ทว่าชูหนิงกลับคุ้นชินกับการอยู่ร่วมกันที่เหมือนลิ้มโลหิตบนใบมีด* แบบนี้แล้ว ทั้งสองจึงสบตากันเหมือนอวดศักดา
บรรยากาศผิดปกติอย่างยิ่ง
กวนอวี้ถึงขั้นหาหนทางหนีเอาชีวิตรอดไว้พร้อมแล้ว อ๊ะ ไม่สิ ต้องลากชูหนิงหนีไปด้วยกัน!
หลายสิบวินาทีต่อมาจ้าวหมิงชวนก็ยกมือขึ้นช้าๆ เอานิ้วชี้จิ้มกลางอากาศชี้ใส่เธออย่างแรง การตักเตือนเช่นนั้นเข้าใจได้โดยที่ไม่ต้องเปล่งวาจาบอก
ชูหนิงยิ้มตรงมุมปากขึ้นมาเล็กน้อย ท่าทีเยาะเย้ยอย่างไม่ปิดบัง หลังจากนั้นก็หันกลับมากินอาหารต่อไปอย่างสบายๆ
นี่มันสนามรบที่ไร้ซึ่งการระดมยิงปืนใหญ่สินะ
แต่พอพิจารณาทบทวนอย่างละเอียดแล้ว ชูหนิงเป็นฝ่ายที่ค่อนข้างอยู่เหนือกว่า จ้าวหมิงชวนกลับเป็นฝ่ายที่ต้องจากไปด้วยความคับข้องใจ
กวนอวี้ลูบหน้าอก จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาอย่างหวาดๆ “เธอไม่เห็นท่าทางของเขา ฉันกลัวว่าเขาจะอ้าปากกว้างที่โชกเลือดแล้วงับเด็ดหัวของเธอทิ้งในวินาทีถัดไป!”
ชูหนิงยังคงสงบนิ่ง
กวนอวี้มองท่าทางของชูหนิงแล้วจึงก้มหน้าคิ้วขมวด ไม่พูดไม่จาสักคำ แม้จะอยู่ในฐานะผู้หญิงด้วยกันก็ไม่ง่ายเลยที่เธอจะเข้าใจชูหนิง
“เฮ้อ” กวนอวี้ถอนหายใจ พูดโน้มน้าวอย่างจริงใจว่า “อยู่ต่อหน้าพี่ใหญ่ของเธอ ลดท่าทางลงสักหน่อย ยอมอ่อนข้อแพ้ให้บ้างก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่อะไรนักหนาเลยนี่ ทำไมจะต้องลำบากเป็นปฏิปักษ์กับเขาด้วยล่ะ ปกติเธอฉลาดหัวไวสุดๆ แต่ทำไมกับเรื่องนี้ถึงได้รั้นขนาดนี้นะ”
เห็นชูหนิงไม่เอ่ยพูดสักคำ กวนอวี้ก็พูดอีกว่า “สุดท้ายแล้วเธอก็เป็นผู้หญิง กับเขา…”
ประโยคนี้ยั่วโทสะชูหนิงเข้าจนได้ เธอวางตะเกียบลงทันที “ทำไมเธอพูดจาเหมือนกับแม่ของฉัน ผู้หญิงแล้วยังไง ผู้หญิงสมควรที่จะอ่อนแอ ผู้ชายสามารถไร้เหตุผลตั้งแต่เกิดได้เลยงั้นเหรอ”
จุดเด่นที่ได้เปรียบที่สุดของกวนอวี้ก็คือไม่แข่งขันชิงชัยกับคนอื่น เธอเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มทันที ลูบหลังมือของชูหนิงเบาๆ อย่างสนิทสนม
ช่างมันเถอะๆ จบหัวข้อสนทนาที่ไม่น่าพอใจกันเถอะนะ
จากนั้นกวนอวี้ก็หยิบข้อมูลฉบับหนึ่งออกมาจากในกระเป๋า “เธอดูนี่หน่อยสิ”
ชูหนิงรับมา “อะไร”
“จากการไปทำงานนอกสถานที่ครั้งนี้ ฉันเก็บรวบรวมโครงการบางส่วนมาด้วย”
แววตาของชูหนิงทอประกายวาววับ กวาดความมัวหมองเมื่อครู่นี้ทิ้งไปจนหมดสิ้น
กวนอวี้หัวเราะ “เป็นยอดสุทธิเงินค่าใช้จ่ายทั้งหมดจริงๆ ไม่มีหักลด เธอดูก่อน ฉันว่ามีไม่กี่โครงการที่ใช้ได้เลย อ้อ อันที่สองแบบนับถอยหลัง เธอลองเน้นๆ ดูหน่อยนะ”
สายตาชูหนิงจับจ้องโดยพลัน แล้วก็นิ่วคิ้วขึ้นมาทันที
มหาวิทยาลัยการบินและอวกาศ C?
เธอไม่ได้อ่านบทคัดย่อ เนื้อหา และวัตถุประสงค์ของโครงการด้านหลังเลย
เหมือนกับว่าความทรงจำพอที่จะจับทางได้ เพียงแค่ชื่อมหาวิทยาลัยนี้ ชูหนิงก็นึกถึงอิ๋งจิ่งขึ้นมาอย่างไม่สามารถอธิบายได้
* ต้าหวัง เป็นคำที่ใช้เรียกคนที่เป็นเซียน หรือเก่งในด้านใดด้านหนึ่งมากๆ ในเชิงยกย่องว่าเจ๋ง
** เทอร์ไบน์ คือใบพัดที่เชื่อมติดกันด้วยแกนเดียวกับใบพัดคอมเพรสเซอร์ เป็นส่วนประกอบของเทอร์โบที่เป็นชิ้นส่วนอุปกรณ์เครื่องยนต์ สามารถเพิ่มกำลังความแรงของเครื่องยนต์ได้ด้วยการอัดอากาศเข้าสู่ห้องเผาไหม้ในปริมาณที่มากขึ้น
* วอวอโถว คือ อาหารประเภทแป้งประจำถิ่นทางภาคเหนือของจีน เป็นก้อนแป้งนึ่งมีรูโบ๋เป็นหลุมที่ด้านล่าง ทำจากธัญพืช แป้งข้าวโพด แป้งถั่วเหลือง มีคุณค่าทางอาหารสูง ราคาถูก หาซื้อง่าย และเป็นที่แพร่หลาย
* ผีผา เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องดีด 4 สาย จำพวกเดียวกับกีตาร์ ทำจากไม้ รูปทรงเลียนอย่างลูกผีผา (มะปรางจีน)
** กู่เจิง เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องดีดโบราณของจีน ลักษณะคล้ายพิณ มีหลายขนาด ตั้งแต่ 12 สายไปจนถึง 25 สาย
*** จงกว่าง คือกลุ่มบริษัท ไชน่า บรอดแคสต์ จำกัด
* ลิ้มโลหิตบนใบมีด เปรียบเปรยถึงภาวะที่เสี่ยงอันตรายมาก โหดร้ายทารุณเป็นอย่างยิ่ง หรือสถานการณ์ที่น่าสยดสยอง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 9 พ.ย. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.