บทนำ
การได้มีความรักแบบมหัศจรรย์กับศิลปินคนโปรด นักการเมือง นักธุรกิจหนุ่มไฟแรง หรือไม่ก็นักกีฬาคนดัง มักเป็นความใฝ่ฝันของหญิงสาวมากมาย หนึ่งในจำนวนที่ว่านั้น…มีฉันรวมอยู่ด้วย
ปลื้มนักกีฬาหรือนักการเมืองยังพอฟังได้ แต่ฉันกำลังคลั่งไคล้ศิลปินขวัญใจวัยรุ่นที่กำลังมาแรง ช่างไม่สมกับวัยและสถานะเอาเสียเลย มันเป็นเรื่องค่อนข้างน่าอายกับการที่ฉันยังไม่เลิกนิสัยบ้าดารา ทั้งที่ตัวเองอายุตั้งยี่สิบสามปี และเป็นครูที่สอนอยู่ชั้นมัธยมปลายของโรงเรียนรัฐแห่งหนึ่ง
20:02, 20.02.2002 คือเวลาที่มองเห็นจากนาฬิกาดิจิตอลบนหัวเตียงในขณะนี้ เวลาที่ฉันตั้งตารอคอยมาทั้งวันนับตั้งแต่ได้รับข้อความจากศูนย์บริการลูกค้าของเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ…
‘Tonight Miracle will happen at 08:02 P.M. Digital clock will read 20:02, 20.02.2002! Close your eyes and make a wish. This never happen again in our life time.’
แน่นอน…ฉันทำตามที่เขาบอกทุกอย่าง บางคนอาจคิดว่ามันบ้าและไร้สาระ แต่ฉันก็รู้ตัวตลอดเวลาว่ากำลังทำอะไรอยู่ แถมยังมีความสุขดีและไม่เคยเบียดเบียนใคร
ฉันใช้เวลาเกือบทั้งวันในการร่างคำอธิษฐานตามที่ปรารถนา…
‘ขอให้ฉันได้พบและพูดคุยกับ ’เควิน ริชชี่’ อย่างเป็นส่วนตัวสักครั้ง’
เป็นคำอธิษฐานที่ดูเหมือนจะหวังน้อย แต่จริงๆ เป็นเพราะฉันกลัวว่าถ้าขอมากเกินไปจะไม่ได้รับการใส่ใจจากพระเจ้า ก็เลยใช้หลักการ ‘ได้น้อย…แต่ได้แน่’ ในการขอพร
อย่างไรก็ตามฉันไม่ลืมที่จะอธิษฐานเรื่องสำคัญเผื่อไว้ด้วย…
‘ขอให้ฉันได้พบรักกับผู้ชายแสนดี และขอให้พ่อกับแม่มีความสุขมากที่สุด’
แต่ว่า…ฉันนึกถึงเรื่องสำคัญนี้หลังเรื่องการได้คุยกับดาราอีกเหรอเนี่ย ไม่อยากจะเชื่อ!
บทที่ 1 ความลับไม่มีในโลก
“ปู นอนรึยัง” น้ำเสียงอันอ่อนหวานดังขึ้นหลังจากการเคาะประตูเบาๆ
“เข้ามาสิฝ้าย” ฉันร้องบอกและขยับตัวลุกขึ้นจากเตียงนอน หลังการอธิษฐานในคืนแห่งปาฏิหาริย์ผ่านพ้นไปเรียบร้อย
‘ฝ้าย’ เป็นนักศึกษาปริญญาโทที่กำลังจะเรียนจบในปีการศึกษาหน้า เธอเป็นคุณหนูลูกเศรษฐีที่แสนเพียบพร้อม ฉันบังเอิญโชคดีได้เธอเป็นเพื่อนสนิท จึงมีโอกาสมาใช้ชีวิตในคอนโดฯ ชั้นหนึ่งแห่งนี้โดยแทบไม่มีค่าใช้จ่าย
ฝ้ายรู้ดีว่าฉันหมกมุ่นกับการขอพรในคืนนี้มากเพียงใด แต่เธอก็ไม่ได้หัวเราะหรือทักท้วง ทว่าก็ไม่ได้มาขอพรแบบเดียวกันกับฉัน ทั้งที่ฝ้ายมีบุคลิกเป็นสาวน้อยช่างฝันโดยแท้ พอคิดแบบนี้แล้วก็รู้สึกอายนิดๆ เหมือนกัน
“เข้าห้องนอนปูทีไรรู้สึกเขินทุกที” ฝ้ายพูดพลางหันมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้ายิ้มละไม “เหมือนโดนเควิน ริชชี่จ้องมองจากทุกทิศทุกทาง เควินเต็มไปหมด”
“ก็แบบนี้มันทำให้ฉันหลับสบายนี่นา” ฉันบอกอย่างมีความสุข ฝ้ายทำให้รู้สึกดีเสมอเพราะฉันสามารถคุยเรื่องนี้กับเธอได้โดยไม่ต้องลำบากใจ ปกติแล้วฉันต้องคอยปกปิดมันไว้เป็นความลับสุดยอด ไม่ให้นักเรียนและเพื่อนครูที่โรงเรียนรู้โดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นคงโดนเพื่อนครูที่น่ารักบางคนคอยแซะไม่เว้นแต่ละวัน แล้วก็คงเป็นอาจารย์ที่น่านับถือของนักเรียนตายเลย “ฝ้ายมีอะไรรึเปล่า”
ฝ้ายพยักหน้า ยิ้มบางๆ ด้วยท่าทางเกรงใจจนฉันแอบกระดาก เพราะฝ้ายเป็นเจ้าของคอนโดฯ แห่งนี้ทุกตารางนิ้ว แต่กลับชอบทำท่าเกรงอกเกรงใจอยู่เรื่อย
“พรุ่งนี้ปูไม่ออกไปไหนใช่รึเปล่า”
ฉันพยักหน้าแต่คิ้วขมวดอย่างสงสัย
“คือว่า…พอดีคุณพ่อคุณแม่ฉันจะเข้ามาหา”
คำบอกเล่าของฝ้ายทำให้ฉันอึ้งไปชั่วครู่ “อ้อ…ดีจังเลยนะ ไม่ได้เจอกับพ่อแม่ฝ้ายตั้งนานแล้ว”
“โธ่ ฉันรู้ว่าปูลำบากใจ แต่ฉันก็เข้าใจนะ ก็พ่อแม่ฉันเหมือนคนอื่นเสียที่ไหน”
ฉันยิ้มเจื่อน “อย่าพูดอย่างนั้นสิ คุณพ่อคุณแม่ฝ้ายใจดีกับฉันจะตาย พรุ่งนี้ฉันไม่ได้ออกไปไหนพอดี จะอยู่รอเจอคุณพ่อคุณแม่กับฝ้ายด้วยนะ”
ฝ้ายยิ้มกว้าง รีบเอื้อมมาจับมือฉันอย่างดีใจ “ขอบใจมากนะปู คุณพ่อคุณแม่คงดีใจที่ได้เจอปูด้วย”
พ่อแม่ของฝ้ายเป็นนักธุรกิจที่มีงานล้นมือและต้องออกงานสังคมบ่อยๆ ตอนที่ฝ้ายขอย้ายออกมาอยู่ที่คอนโดฯ เพื่อความสะดวกในการเดินทาง ท่านทั้งสองคัดค้านเสียงแข็ง กระทั่งฝ้ายมาขอร้องให้ฉันไปที่บ้านด้วย แล้วบอกกับพ่อแม่ว่าฉันจะไปอยู่กับฝ้ายที่คอนโดฯ และจะคอยดูแลฝ้ายให้เป็นอย่างดี แล้วฝ้ายยังยกเอาเรื่องที่พวกท่านไม่เคยมีเวลาให้เธอเลยตั้งแต่เล็กจนโตมาอ้าง ว่าแม้จะไม่เคยมีใครใส่ใจแต่เธอก็ไม่เคยทำตัวเหลวไหล แถมยังสอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำได้โดยที่ไม่เคยมีใครเคี่ยวเข็ญ สุดท้ายพวกท่านจึงยอมตามใจ แต่ในช่วงแรกนั้นพ่อแม่ฝ้ายหมั่นมาคอยตรวจสอบความเป็นอยู่ของพวกเราแทบทุกสัปดาห์ หนึ่งปีผ่านไปเราจึงได้รับความไว้วางใจอย่างเต็มที่ เดี๋ยวนี้นานๆ ครั้งพวกท่านจะแวะเวียนมาสำรวจความเป็นอยู่สักทีหนึ่ง ส่วนฝ้ายก็จะกลับบ้านสัปดาห์ละหนึ่งครั้งเป็นอย่างน้อย
ถึงแม้พ่อแม่ของฝ้ายจะเป็นสามีภรรยาที่ดูแปลกๆ อยู่บ้าง แต่ท่านทั้งสองก็ใจดีมากจริงๆ เพียงแต่ว่า…ทุกครั้งเวลามาที่นี่ ท่านจะชอบตั้งคำถามสารพัดอย่างจนฉันมึนไปหมด แถมยังพยายามจับผิดพฤติกรรมของพวกเราอย่างเอาเป็นเอาตายเสมอจนฉันแทบจะหมดแรงกับการรับมือในแต่ละครั้ง
วันนี้ฉันตื่นตั้งแต่ 07:00 น. ถือว่าเช้าเป็นพิเศษ ทั้งที่เมื่อคืนนี้มีการทำความสะอาดห้องครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบสามเดือน พ่อแม่ของฝ้ายบอกว่าจะมาถึงก่อนเที่ยง นั่นก็หมายความว่าอาจจะโผล่มาตอนแปดโมงเช้าหรือตอนสิบเอ็ดโมงห้าสิบเก้านาทีก็ได้ ซึ่งฉันจะต้องรับภาระในการคาดเดาเวลาด้วยหัวใจระทึกอยู่ฝ่ายเดียว
เสียงกดกริ่งจากหน้าประตูดังขึ้นด้วยจังหวะที่คุ้นหู แต่ก็ยังทำให้ตกใจเหมือนทุกครั้งที่ได้ยินอย่างไม่เคยชินเสียที
ฉันพลันเงยหน้าขึ้นจากนิตยสารเล่มหนา วางมันลงบนโต๊ะค่อนข้างแรงอย่างตื่นตูม จนฝ้ายซึ่งนั่งดูทีวีอยู่ใกล้ๆ หันมามองแล้วหัวเราะคิกคัก นาฬิกาบนผนังบอกเวลา 10:45 น. ฝ้ายเป็นคนลุกไปเปิดประตูในขณะที่ฉันกำลังนั่งเตรียมใจและจดจ่อกับการทักทายในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า
“ลูกฝ้ายของคุณหญิงแม่ (ของคุณพ่อ)”
ทันทีที่บานประตูเปิดกว้าง ท่านทั้งสองก็โผเข้ากอดบุตรสาวด้วยความรักความโหยหาอย่างรุนแรงจนฝ้ายเซไปหลายก้าว แล้วหลังจากทักทายลูกสาวเป็นที่เรียบร้อย รายต่อไปที่ต้องโดนจู่โจมก็คือฉันเอง
“สบายดีใช่มั้ยคะหนูปู” คุณหญิงแม่ที่มีกลิ่นน้ำหอมฟุ้งไปทั้งตัวเข้ามาลูบหลังลูบไหล่ฉัน แล้วหอมแก้มซ้ายขวา ถามไถ่ด้วยท่าทางรักใคร่ไยดีอย่างสุดซึ้งจนฉันขนลุกไปทั้งตัว ฉันตอบคำถามออกไปเบามากจนแทบไม่ได้ยินเสียงตัวเอง “ห้องสะอาดสะอ้านดีเหมือนเดิม ช่างเป็นผู้หญิงที่เรียบร้อยน่ารักกันจริงๆ คุณหญิงแม่กับคุณพ่อไม่ได้มาตั้งนานเพราะงานยุ่งมากกก…ถ้าไม่มีหนูปูมาอยู่เป็นเพื่อนลูกฝ้ายเราคงเป็นห่วงจนไม่เป็นอันทำการทำงาน” คุณหญิงเอมอมรพูดพลางยิ้มแย้มอย่างเบิกบาน
“พักนี้มีไอ้หนุ่มที่ไม่น่าไว้ใจหน้าไหนมาเกาะแกะทั้งสองคนบ้างรึเปล่า ถ้ามีล่ะก็ต้องรีบบอกพ่อมาเลยนะ ลูกสาวพ่อสวยแสนดีมีเสน่ห์ขนาดนี้ แถมยังอยู่กันตามลำพังแค่เฉพาะสาวๆ คงจะมีแน่ๆ เลยใช่มั้ยไอ้พวกผู้ชายไม่น่าไว้ใจที่ว่า ถ้ามีก็บอกมาเลยพ่อจะไปจัดการมันเอง!” คุณพ่อถามและจ้องหน้าฉันอย่างคาดคั้นเอาคำตอบจริงจัง ทำเอาฉันผวาจนต้องรีบหันไปทางฝ้ายเพื่อขอความช่วยเหลือ จริงๆ แล้วมันเป็นคำถามยอดฮิตที่เราจะต้องถูกพ่อแม่ฝ้ายซักไซ้อยู่เสมอที่เจอกัน มีอยู่ครั้งหนึ่งฉันเคยตอบไปว่า…ไม่มี แล้วก็โดนพ่อฝ้ายสวนกลับมาแรงจนแทบผงะว่า…
‘อย่ามาโกหกพ่อ พ่อว่าตรงนี้พ่อได้กลิ่นผู้ชายชัดมาก!’
ตอนนั้นฝ้ายต้องรีบปราดเข้ามาขวางแล้วอธิบายว่าเมื่อกี้มีช่างของคอนโดฯ คนหนึ่งขึ้นมาซ่อมก๊อกน้ำให้เรา ดังนั้นก็น่าจะเป็นกลิ่นช่าง…คุณพ่อจึงรีบลงไปเช็กหลักฐานที่นิติฯ เมื่อรู้ว่าฝ้ายพูดความจริง หลังจากนั้นคุณพ่อจึงเชื่อมั่นในตัวเรามากขึ้นอีกระดับ ทว่าตั้งแต่นั้นมาฉันก็ไม่กล้าตอบคำถามแบบนี้ของพ่อฝ้ายแบบสุ่มสี่สุ่มห้าอีกเลย
“โธ่ คุณพ่อขา ไม่มีหรอกค่ะผู้ชายน่ะ คุณพ่อจำต้า ลูกสาวคุณอาพิพัฒน์กับคุณอามาลินีได้มั้ย ที่เขามาซื้อห้องอยู่ติดกับหนู” ฝ้ายรีบอ้างถึงเพื่อนสนิทอีกคนหนึ่ง “ต้าอยู่กับเราตลอด ก็เลยไม่มีผู้ชายคนไหนกล้าเข้าใกล้เรา คุณพ่อคงจำได้ว่าต้าเป็นสาวห้าวที่ดุขนาดไหน”
คุณพ่อมองฝ้ายอย่างพินิจพิเคราะห์ ท่าทางเหมือนไม่ค่อยเชื่อ หากก็ยอมรับฟังแต่โดยดีก่อนจะถามไถ่ถึงต้าบ้าง
ต้าเป็นเพื่อนกับฝ้ายมาตั้งแต่เด็ก ทั้งคู่เรียนที่เดียวกันมาตลอดจนกระทั่งตอนนี้ พ่อแม่ของพวกเขารู้จักสนิทสนมกันมาตั้งแต่ฝ้ายกับต้ายังไม่เกิด แม้ว่าหลายปีมานี้จะห่างเหินกันไปเพราะหน้าที่การงานของแต่ละคน แต่มิตรภาพเก่าๆ ยังคงอยู่
หลังจากคุยกันอยู่หน้าทีวีนานพอควร ท่านทั้งสองก็เริ่มลุกไปเดินสำรวจรอบๆ ห้อง ปล่อยให้ฉันแอบมองตามเงียบๆ ด้วยความกังวลอย่างสูงสุด
“คุณแม่ขา หยุดก่อนค่ะ นั่นมันห้องนอนปูต่างหาก ถ้าจะดูห้องหนูล่ะก็อยู่ทางนี้” ฝ้ายรีบส่งเสียงทักท้วงทันทีที่เห็นคุณหญิงแม่ไปหยุดยืนจับลูกบิดประตูห้องนอนฉัน
“แต่หนูปูก็เหมือนลูกสาวคนหนึ่งของคุณหญิงแม่เหมือนกัน ดังนั้นคุณหญิงแม่ก็ต้องดูแลหนูปูแบบเดียวกับที่ดูแลหนูฝ้ายทุกอย่าง”
ฮือออ…พูดแบบนี้ก็แย่สิคะคุณหญิงแม่ขาาา…
“ว่าไงคะ หนูปูจะไม่ว่าอะไรคุณหญิงแม่ใช่มั้ยคะ”
ฉันเลิ่กลั่กเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มเจื่อนแล้วจำใจพยักหน้ายินยอมอย่างไม่มีทางเลือก ฝ้ายมองฉันอย่างรู้สึกผิดและขอโทษ ฉันจึงพยายามยิ้มกับเธอเพื่อจะบอกว่าเรื่องแค่นี้เองไม่เห็นเป็นไรเลย…ฮือออ…
“อุ๊ยตาย หนูปูยังคลั่งไคล้ดาราเหมือนเดิมนะคะลูก เอ…รู้สึกว่าคนนี้หนูปูจะปลื้มเขามาตั้งนานแล้วนี่นา ป่านนี้ยังไม่เปลี่ยนใจหรือคะ” คุณหญิงแม่ถามฉันด้วยสีหน้าประหลาดใจปนทึ่ง ซึ่งฉันก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆ “แต่ว่านักร้องคนนี้แม่ก็ชอบเหมือนกันนะ เขาวางตัวดีแถมยังร้องเพลงเพราะด้วย แสดงละครก็เก่ง”
“ไหนๆ งั้นขอพ่อเข้าไปดูหน่อยสิว่ามีรูปผู้ชายแปลกหน้าท่าทางไม่น่าไว้ใจอยู่ในห้องบ้างรึเปล่า”
“คุณพ่อออ อย่าค่ะ ของแบบนั้นในห้องปูไม่มีหรอก” ฝ้ายรีบลุกไปฉุดรั้งให้ทั้งสองคนย้ายไปสำรวจที่ห้องของเธอบ้าง ทำให้ฉันค่อยหายใจสะดวกขึ้น
ฉันเข้าใจดีว่าท่านทั้งสองไม่มีพิษมีภัยอะไร และไม่ได้คิดจะเสียมารยาทแต่อย่างใด ที่ทำไปทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นเพราะความห่วงใยและปรารถนาดีต่อเราทั้งสิ้น แต่มันก็น่าปวดหัวไม่น้อย
ฉันทิ้งตัวบนโซฟายาวอย่างอ่อนแรงหลังกลับจากการทานมื้อเย็นกับพ่อแม่ฝ้าย รู้สึกเหนื่อยเสียยิ่งกว่าวิ่งมาราธอน แถมตอนนี้ที่โรงเรียนยังอยู่ในช่วงเตรียมสอบปลายภาคเรียนที่สอง ทำให้ฉันรู้สึกอ่อนล้าจนไม่อยากเปลืองแรงกับเรื่องอื่น
“ขอบคุณมากนะปู ที่ช่วยตามใจคุณพ่อคุณแม่ถึงขนาดนี้ ลำบากแย่เลย”
“ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ พ่อแม่ฝ้ายก็เหมือนพ่อแม่ฉัน แล้วท่านก็ใจดีกับฉันเหมือนเป็นลูกของท่านด้วย” ถึงแม้ฉันจะคิดแบบที่พูดจริงๆ ทว่าถ้ามาบ่อยๆ คงแย่เหมือนกัน
แต่ฝ้ายยิ้มอย่างรู้ทัน “คงอีกนานแหละกว่าคุณพ่อคุณแม่จะมาอีก ปูสบายใจได้”
ทันใดนั้นเสียงกดกริ่งด้วยจังหวะประหลาดก็ดังขึ้นอย่างน่าตกใจ ฉันกับฝ้ายทะลึ่งพรวดขึ้นยืนพร้อมกัน เบิกตามองไปยังประตูเหมือนกลัวว่าปีศาจจะโผล่เข้ามา
ประตูห้องถูกเปิดผัวะเข้ามาเพราะเรายังไม่ได้ล็อก ฉันกับฝ้ายแทบจะผวากอดกันด้วยความตื่นตระหนก แต่ผู้ที่โผล่เข้ามาคือ ‘ต้า’ หาใช่คุณหญิงแม่กับคุณพ่อฝ้ายอย่างที่เราคิด พอเห็นดังนั้นฉันจึงทิ้งตัวลงบนโซฟาด้วยความโล่งใจ แต่ก็อดโมโหคนกวนประสาทอย่างยายต้าไม่ได้
“เป็นยังไงบ้างคะคุณนายทั้งสอง วันนี้คงสนุกกันสุดเหวี่ยงไปเลยล่ะสิ”
ฉันโมโหอยากจะด่าคนหน้าระรื่นหลายๆ คำแต่ยังไม่มีแรง
“นี่ อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ ดูนี่ซะก่อน” ต้าชูบัตรสามใบในมือด้วยรอยยิ้มเป็นต่อ
ฉันอ้าปากค้างจ้องไปที่บัตรพลาสติกขนาดพอๆ กับบัตรเอทีเอ็มในมือต้าอย่างตกตะลึง นี่มันบัตรคอนเสิร์ต ‘เควิน ริชชี่’ ที่ฉันปรารถนาแต่ว่าซื้อไม่ทันเพราะบัตรหมดเร็วมาก ต้าเคยรับปากไว้ว่าจะหาที่นั่งที่ดีที่สุดมาให้ได้สามใบ โดยเธอกับฝ้ายจะไปเป็นเพื่อนฉัน
“เดี๋ยวก่อน!” ต้าร้องแล้วขยับหนีเมื่อฉันลุกขึ้นมาทำท่าจะคว้าบัตรจากมือเธอ “อย่าลืมสัญญา แกต้องพิมพ์รายงานให้ฉันก่อน”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว เอามาเถอะน่า ฉันขอดูหน่อย” ก็น่าจะรู้อยู่ว่าเพื่อบัตรคอนเสิร์ตของเควิน ริชชี่แล้ว นาทีนี้ฉันต้องทำได้ทุกอย่าง
ในที่สุดฉันก็ได้บัตรคอนเสิร์ตศิลปินสุดที่รักมาครอบครอง แต่การไปดูคอนเสิร์ตยังคงเป็นปัญหาอยู่บ้าง ตรงที่ถ้าโชคร้ายฉันอาจไปเจอกับนักเรียนตัวเองเข้า เพราะมีนักเรียนของฉันที่กำลังคลั่งไคล้เควินอยู่กลุ่มหนึ่ง แล้วถ้าเจอกันฉันจะอธิบายกับเด็กว่ายังไงดี ถ้าเควิน ริชชี่อายุมากกว่านี้สักหน่อยและเป็นศิลปินยอดนิยมในกลุ่มคนวัยทำงานก็ว่าไปอย่าง แต่นี่เขาเพิ่งอายุยี่สิบสามปี ถึงจริงๆ จะเท่ากับฉัน แต่ถ้าเทียบกันแล้วมองมุมไหนเขาก็ยังวัยรุ่น ในขณะที่หน้าฉันเป็นวัยรุ่นป้า…ซึ่งแฟนคลับส่วนใหญ่ของเควินล้วนเป็นเด็กวัยรุ่น
ตอนเริ่มต้นอาชีพครู ฉันได้พยายามสร้างภาพให้ตัวเองดูน่ายำเกรงในสายตานักเรียน เพื่อที่พวกเขาจะได้ให้ความเกรงใจและเชื่อฟังฉันง่ายขึ้น สิ่งที่หวาดกลัวที่สุดตอนนั้นคือการโดนนักเรียนแกล้งและไม่เคารพ ตอนนี้ฉันจึงมีภาพลักษณ์ของครูที่เรียบร้อยน่าเคารพและเฮี้ยบจัดระดับหนึ่งในสายตานักเรียน ดังนั้นถ้ามีเด็กคนไหนบังเอิญไปเห็นฉันเต้นเย้วๆ และแหกปากกรี๊ดผู้ชายในคอนเสิร์ตอย่างบ้าคลั่ง คงมีอันจบเห่เป็นแน่ชีวิตยายปู ภาพลักษณ์เว่อร์วังที่เพียรสร้างมาคงพังทลายไม่มีชิ้นดี!
แล้วเพื่อนของฉันที่จะไปด้วยก็เป็นจุดเด่นน้อยเสียเมื่อไหร่ ต้าเป็นสาวมั่นแต่งตัวจัดระดับเจ้าแม่แฟชั่น เรือนร่างของเธอเพรียวระหงและมีความสูงถึง 175 เซนติเมตร ผมสีน้ำตาลเข้มดัดเป็นลอนน้อยๆ ยาวสลวยสวยเก๋รับกับใบหน้าที่สวยผุดผาดไร้ที่ติ ในขณะที่ฝ้ายดูเป็นสาวน้อยหน้าตาสดใสท่าทางอ่อนกว่าวัยหลายปี ผมซอยสั้นของฝ้ายรับกับใบหน้าเรียวงามและดวงตากลมโตเป็นประกาย ส่วนฉันก็สวยเด่นเป็นสง่าน้อยกว่าทั้งสองคนเสียเมื่อไหร่
แต่ไม่เข้าใจเลยว่าสวยเลิศขนาดนี้ ทำไมพวกเรายังคงอ้างว้างเหน็บหนาว จนฉันถึงขนาดต้องหันไปพึ่งพาความอบอุ่นจากศิลปินอันเป็นที่รักซึ่งไม่มีวันได้โคจรมาเจอกันในโลกแห่งความจริง…
เดี๋ยวนะ ก่อนจะละเมอเพ้อพกอย่างวิตกจริตไปมากกว่านี้ ฉันควรจะรีบพิมพ์รายงานหน้าเป็นปึกของยายต้าให้เรียบร้อยก่อน!
“ปู…แกหยุดยิ้มได้แล้ว กลุ่มเด็กผู้หญิงทางโน้นกำลังจ้องมาที่แกเขม็งเลย!” ต้าสะกิดเตือนด้วยท่าทางตื่นๆ ขณะพวกเรากำลังจะเดินไปที่รถหลังออกจากคอนเสิร์ตที่เพิ่งจบลง ทำเอาฉันต้องหุบยิ้มฉับพลัน
พอหันไปมองตามทิศที่ต้าบอก ฉันก็สบตาเข้ากับเด็กสาวคนหนึ่งในกลุ่มนั้นอย่างจัง โอ้มายก็อดดด! นั่นมันนักเรียนของฉันทั้งนั้นเลยยย!
ต้ารีบฉุดฉันกับฝ้ายให้เดินอ้อมไปอีกทางโดยที่ไม่ต้องเฉียดไปใกล้เด็กเหล่านั้น แต่ทว่า…
“อาจารย์คะ เดี๋ยวก่อนค่ะ” เสียงใสๆ ที่เรียกตามหลังมาทำเอาเสียวสันหลังวาบ ฉันกลืนน้ำลายลงคออย่างลำเค็ญสุดๆ ขณะหยุดชะงักอยู่กับที่อย่างหมดทางเลี่ยง
“อาจารย์จริงด้วย พอปล่อยผมยาวแบบนี้เราเลยจำเกือบไม่ได้ ไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ว่าจะเจออาจารย์ฉัตรลดาที่คอนเสิร์ตเควิน!” เด็กสาววัยรุ่นแต่งกายสดใสจำนวนสี่คนเข้ามายืนรายล้อมพวกเราเอาไว้ พากันยกมือไหว้พึ่บพั่บจนรับไหว้แทบไม่ทัน
“อาจารย์ก็ชอบเควิน ริชชี่เหมือนกันหรือคะ ดีใจจังเลยที่เห็นอาจารย์มาดูคอนเสิร์ตเควินเหมือนเรา” เด็กคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางดีใจ และเหมือนจะยอมรับฉันเข้าแก๊งอย่างยินดีสุดๆ
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ พอดีมีคนให้บัตรเรามา แล้วหลานสาวพี่คนนี้เขาชอบเควินพอดี ก็เลยลากครูปูมาด้วย ครูปูเขาไม่ได้ชอบเควินหรอกค่ะ” ต้าเป็นคนใช้สติแก้ไขสถานการณ์อย่างทันท่วงที แถมยังยัดเยียดฝ้ายที่หน้าเด็กกว่าเพื่อนให้เป็นหลานตัวเอง แต่ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าการโกหกแบบนี้มันโอเคไหม…
“อ้าว มาเพราะได้บัตรฟรีหรอกเหรอเนี่ย นึกว่าอาจารย์ชอบเควินเหมือนเราเสียอีก” เด็กคนหนึ่งกล่าวด้วยท่าทางผิดหวังและเสียความรู้สึก
“แต่เควินน่ารักสุดๆ เลยนะคะ ทำไมอาจารย์ถึงไม่ชอบ” หนึ่งในกลุ่มถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจจริงๆ “อย่างน้อยการมาดูคอนเสิร์ตคราวนี้ก็น่าจะทำให้อาจารย์ชอบเควินขึ้นมาบ้างแหละ ใช่มั้ยคะ”
“ค่ะ…ก็ชอบขึ้นมานิดหนึ่งเหมือนกัน” ฉันตอบอย่างสงวนท่าที ก่อนจะถามเสียงเข้ม “แล้วพวกเธอมีสอบวันจันทร์ไม่ใช่เหรอ ทำไมวันนี้ถึงยังมาดูคอนเสิร์ตกันอีก ไม่กลัวสอบตกรึไง”
“โธ่ อาจารย์ก็รู้ว่าอย่างพวกหนูไม่มีทางสอบตก คนเรามันก็ต้องมีช่วงรีแลกซ์ก่อนสอบกันบ้างสิคะ” เด็กสาวโอดครวญกันใหญ่
“เอาเถอะ แต่ก็อย่าไปบอกใครนะว่ามาเจอครูที่นี่…”
เด็กๆ พากันอึ้งอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แล้วก็ทำท่าคิกคักพร้อมรับคำอย่างร่าเริงอย่างดูไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด “ได้ค่า ไม่บอกแน่นอน แต่สัญญากับเราได้ไหมคะว่าคอนเสิร์ตเควินคราวหน้าอาจารย์จะมากับพวกเราด้วย เพราะหนูมั่นใจว่าวันนี้เควินต้องทำให้อาจารย์ตกหลุมรักอย่างจังจนอยากมาดูคอนเสิร์ตเขาอีกแน่นอน”
ต้ากับฝ้ายพากันหัวเราะขำ ในขณะที่ฉันได้แต่ยืนปั้นหน้าไม่ถูก
แล้วฉันก็พบว่านอกจากคำอธิษฐานในคืนแห่งปาฏิหาริย์จะไม่เป็นจริงแล้ว ฉันยังต้องเผชิญกับเรื่องแย่ๆ ที่มีเควิน ริชชี่เป็นต้นเหตุอีกต่างหาก ทั้งที่ก่อนหน้านี้ฉันแทบไม่เคยเจออะไรแบบนี้เลยแท้ๆ
“ได้ยินว่าเมื่อวันเสาร์อาจารย์ไปดูคอนเสิร์ตมาหรือคะ” นั่นปะไร คำถามเด็ดประจำบ่ายวันจันทร์จากเพื่อนอาจารย์คนหนึ่ง หลังจากฉันถูกมองแปลกๆ มาตั้งแต่เช้า นี่ขนาดว่าเป็นช่วงสอบ เด็กพวกนั้นยังสามารถกระจายข่าวได้อย่างรวดเร็วยิ่งกว่าซีเอ็นเอ็น
ฉันยิ้มเข้มตามแบบฉบับของตัวเองแล้วพยักหน้าน้อยๆ รักษามาดเอาไว้อย่างดีไม่มีตกหล่น “ไปเป็นเพื่อนหลานสาวน่ะค่ะ”
ลำบากใจจริงๆ ที่ต้องแก้ตัวด้วยคำโกหกแบบนี้ ไม่รู้จะต้องพูดซ้ำอีกกี่ครั้งกว่าจะไม่มีคนถามอีก ที่แน่ๆ ความลับมันไม่มีในโลกจริงๆ
‘การอันใดในโลกนี้ ถ้าได้ยินถึงหกหู ก็สิ้นเป็นความลับ ถ้าได้ยินเพียงสี่หู บางทีจะไม่มีใครทราบต่อไป ถ้าได้ยินแต่สองหู แม้พระพรหมก็ไม่ทราบได้’ เป็นคำกล่าวในนิทานเวตาลบทหนึ่งซึ่งจริงแท้แน่นอนเสียนี่กระไร ไม่อยากจะนับให้เมื่อยเลยจริงๆ ว่ามีคนได้ยินความลับของฉันไปแล้วกี่หู!
“ท่าทางแกดูไม่ดีเลย” ต้าวางแก้วน้ำเย็นลงบนโต๊ะแล้วถามขึ้นเป็นประโยคแรกหลังจากเฝ้ามองฉันโซเซกลับเข้ามาในห้อง
“งานหนักจนเปลี้ยไปหมด แถมยังต้องปั้นหน้าโกหกใครๆ มาทั้งอาทิตย์อีกต่างหาก” ฉันรู้สึกอยากร้องไห้ การโกหกมันเลวร้ายสิ้นดี ฉันเหนื่อย… “จะตายอยู่แล้วเนี่ย”
“ปูอย่าคิดมากเลยนะ อย่างน้อยก็เพื่อเควิน”
ดูไม่ออกเลยว่าฝ้ายกำลังปลอบใจหรือว่าล้อเลียนฉันกันแน่…สรุปน่าจะไม่มีใครเข้าใจหัวอกฉันจริงๆ เลยสักคน…
หรือนี่จะเป็นคำเตือนจากสวรรค์ว่าฉันควรเลิกคลั่งไคล้ดาราอย่างไร้สาระเสียที ในเมื่อตัวเองทำหน้าที่เป็นแม่พิมพ์ของชาติ จะรักจะชอบศิลปินยังไงก็ไม่ควรจะเกินพอดี แต่ฉันก็ชอบเควินด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้มีเวลาวิ่งตามเขาไปทุกหนทุกแห่ง ไม่สามารถหาตารางงานในแต่ละวันของเขาได้ ไม่เคยอยากรู้ด้วยว่าบ้านเขาอยู่ที่ไหน แต่ฉันก็ชอบเควินมาก และมีความสุขกับความรู้สึกนี้โดยไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อน เพียงแต่ฉันแค่ไม่กล้าแสดงความรู้สึกที่มีออกมาอย่างเต็มที่เหมือนคนอื่น พอไม่อยากให้ใครรู้ก็เลยระแวงจนจะบ้าตาย
“หรือฉันควรจะเลิกเป็นแฟนคลับเควินเสียตั้งแต่ตอนนี้” แม้แต่ตัวฉันเองยังรู้สึกว่าเสียงที่พูดออกมามันฟังแล้วหดหู่ชะมัด
“โอ๊ยยย แกไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอก อย่าคิดมาก ยังไงการรักเขามันก็เป็นความสุขอย่างเดียวของแกตอนนี้ไม่ใช่เหรอ ถ้าเมื่อไหร่ที่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา การยึดเอาศิลปินเป็นที่พึ่งทางใจมันก็จางหายไปเองนั่นแหละ ตอนนี้ถ้าเขายังเป็นความสุขของแกอยู่ ก็ไม่เห็นต้องเลิกรักเขาเลย เป็นแฟนคลับเขาต่อไปเถอะ”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 11 ก.พ. 64
Comments
comments
No tags for this post.