X
    Categories: ความรู้สึกดีที่เรียกว่ารักทดลองอ่านยิ่งเกลียด (เธอ) ยิ่งเจอรัก

ทดลองอ่าน ยิ่งเกลียด (เธอ) ยิ่งเจอรัก บทที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 1

 “ตาพิยังไม่มาอีกเหรอ”

เสียงถามแกมบ่นนั้นบอกถึงความร้อนอกร้อนใจ ยิ่งยกข้อมือดูเวลาจากนาฬิกาเรือนทองแล้วไม่เห็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนผ่านประตูห้องบอลรูมโรงแรมดังซึ่งใช้เป็นที่จัดงานมงคลสมรสของญาติห่างๆ เข้ามาเสียที ราตรีก็ยิ่งร้อนใจทวีคูณ

ไพศาลมองภรรยาที่ทำท่างุ่นง่านเหมือนหมีติดกรง โคลงศีรษะอย่างอ่อนใจให้ภรรยาและบุตรชายคนโตที่ไม่ยอมโผล่มาตามนัด เปรยว่า

“ท่าทางเจ้าพิจะเบี้ยวซะล่ะมั้ง หมอนั่นมันนกรู้นัก”

“ตาพินะตาพิ…ทำเป็นรับปากดิบดี แล้วก็เบี้ยวทุกที”

“คุณยังไม่ชินอีกเหรอ”

สามีเย้าด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ เรียกค้อนควักอย่างหมั่นไส้แกมฉุนจากภรรยา เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ ‘พิ’ หรือ ‘พิรัล’ หลบเลี่ยงการมาร่วมงานเลี้ยงที่เธอหมายมั่นปั้นมือนักหนาว่าจะใช้โอกาสนี้แนะนำเขาให้รู้จักกับผู้หญิงที่เหมาะสมคู่ควรให้ได้

ไม่ทันที่เธอจะบ่นสามีหรือลูกชายให้สาแก่ใจหายหงุดหงิด สาวน้อยหน้าใสวัยยี่สิบปีก็เดินเร็วๆ มากระซิบข้างหูเธอซึ่งนั่งไม่ติดที่ ทั้งยังลากสามีมายืนแกร่วแถวประตูเข้าออกเป็นเพื่อนกันอีกด้วย

“แม่ขา พี่ปายกับน้าปิ่นจะกลับแล้วนะคะ”

“โอย…” ราตรีถึงกับร้องอย่างหมดอาลัยตายอยาก เป็นอันว่าแผนการอันสวยหรูที่เธอวาดไว้ ‘เหลว’ อีกครั้งหนึ่งแน่แล้ว “ตาพินะตาพิ…ไม่ได้ดั่งใจเลย…มันน่านัก!”

บิดากับบุตรสาวคนเล็กสบตากันโดยอัตโนมัติ ต่างกลั้นยิ้มขันด้วยความรู้สึกเดียวกัน

ปากราตรีทำท่าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่เอาเข้าจริงแล้ว ‘แข็ง’ ใส่พิรัลได้ไม่นานเท่าไหร่หรอก…ใจอ่อนและอ่อนใจกับลูกชายคนโตง่ายๆ ทุกที

สตรีวัยกลางคนกับหญิงสาวที่ราตรีหมายมั่นปั้นมืออยากให้ลูกชายรู้จักคบหาล่ำลาเพื่อน ผู้ใหญ่และคนรู้จักเสร็จก็เดินมาหาเธอตรงทางออก

“ฉันกลับก่อนนะตรี”

“จ้ะ ว่างๆ ก็แวะมาเยี่ยมกันบ้างล่ะ” ราตรีตอบรับด้วยสีหน้าจืดเจื่อน ก่อนหันไปทางหญิงสาวร่างระหงที่ยืนอยู่ข้างเพื่อนสนิท บอกอย่างปรานี “หนูปายด้วยนะจ๊ะ ลงกรุงเทพฯ เมื่อไหร่ก็แวะมาหาป้าบ้าง”

ไปรยารับคำเบาๆ ท่าทางเรียบร้อย สร้างความพอใจให้เธออย่างยิ่งยวด ศรีสะใภ้ของเธอจะต้องเป็นกุลสตรีแบบนี้ ไม่ใช่แม่ผู้หญิงเปรี้ยวจี๊ดกรี๊ดกร๊าดที่โทรศัพท์และมาตามหาพิรัลถึงบ้านแทบทุกวี่ทุกวันนั่น

เสียดาย…ที่ปิ่นแก้วกับไปรยาไม่ได้ปักหลักอยู่กรุงเทพฯ อย่างถาวร ไม่งั้นคงหาโอกาสให้พ่อลูกชายตัวแสบพบหญิงสาวได้ไม่ยากหรอก

แต่นี่ไปรยาอยู่ตั้งเชียงใหม่ แถมยังอยู่ห่างจากตัวเมืองมากพอสมควร บ้านของหญิงสาวทำกิจการไร่ไม้ดอกและรีสอร์ต ถ้าไม่มีกิจจำเป็นจริงๆ ก็แทบไม่เคยทิ้งงานลงมาเที่ยวกรุงเทพฯ เลย ครั้นจะบอกให้พ่อตัวดีไปเที่ยวเชียงใหม่ พ่อเจ้าประคุณก็คงเลือกพักโรงแรมมีระดับในตัวเมืองแทนที่จะเป็นรีสอร์ตกลางธรรมชาติอันเงียบสงบ ไร้แสงสีและความบันเทิงอย่างที่เขาชอบแน่

คิดดูแล้ว ระยะห่างระหว่างพิรัลกับไปรยาก็ไกลพอกับกรุงเทพฯ-เชียงใหม่นั่นแหละ

ตกดึก ราตรียอมขึ้นนอนหลังจากถ่างตารอ (เฉ่ง) ลูกชายคนโตจนสองยามแล้วสัปหงกไปหลายที ไพศาลก็ตัดสินใจว่าควรเลิกรอพิรัลได้แล้ว ศรีภรรยาของเขาก้าวขึ้นชั้นบนไปโดยบ่นอุบตลอดทาง ขณะที่บุตรสาวคนเล็กยังครึ่งนั่งครึ่งนอนบนพื้นซึ่งเกลื่อนไปด้วยเบาะนุ่มๆ และหมอนรูปตุ๊กตาที่เจ้าตัวโปรดปรานนักหนา ต้องทิ้งแหมะไว้ทุกห้องที่ชอบใช้พักผ่อน หาไม่แล้วคงรู้สึกเหมือนมีอะไรขาดหายไปสักอย่าง

อันที่จริงไพศาลก็บอกให้พิสินีขึ้นนอนด้วยเหมือนกัน แต่สาวน้อยขอผัดผ่อนไปก่อน เนื่องจากหนังเรื่องโปรดกำลังถึงจุดไคลแมกซ์ ดวงตากลมโตจ้องเป๋งที่โทรทัศน์ขนาดยักษ์ซึ่งกำลังฉายภาพยนตร์ต่างประเทศชื่อดัง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หนังเรื่องนี้ฉาย แต่จะให้บอกจำนวนครั้งที่แน่นอนก็คงบอกไม่ถูก รู้แต่ว่าวนเวียนฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ต่ำกว่าสิบรอบ แต่ถ้ามีเวลา พิสินีก็ดูมันทุกรอบนั่นแหละ

‘ดูแล้วดูอีก ไม่รู้ว่าจะซาบซึ้งอะไรนักหนา ก็เหมือนนิยายน้ำเน่าบ้านเราดีๆ นี่แหละ แค่พระเอกผมสีทอง ตาสีฟ้า เป็นฝรั่งก็เท่านั้น’

พิรัลเคยแขวะอย่างหมั่นไส้ พิสินีก็เถียงสิ

‘พี่พิไม่ซาบซึ้ง เพราะพี่พิไม่มีความโรแมนติกในหัวใจ’

ไปๆ มาๆ พิรัลกลายเป็นคนความรู้สึกหยาบในสายตาน้องสาวเสียอีก

ในทางกลับกัน พิสินีก็กลายเป็นพวกเจ้าน้ำตา อ่อนไหวง่ายในสายตาพี่ชายคนเดียวเหมือนกัน

เนื้อเรื่องดำเนินมาถึงบทสุดท้าย พระเอกยอมสละชีวิตเพื่อช่วยหญิงคนรัก ทั้งที่รู้ว่าทำแบบนั้นต้องตายแน่ พิสินีก็หน้าหมองเศร้าตามไปด้วย ทำเอาพี่ชายที่ก้าวเข้ามาเห็นส่ายหัว อดบ่นแกมเย้าไม่ได้ว่า

“ดูจนขึ้นใจแล้วยังไม่ชินอีกเหรอยายเพิร์ล”

พิสินีตวัดตาเขียวขุ่นใส่คนขัดบรรยากาศซึ่งเป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ หน้าตาหล่อเหลาคมคาย แต่งกายไม่ค่อยพิถีพิถันต่างจากปกติ เสื้อเชิ้ตแขนยาวถูกพับลวกๆ ขึ้นมาถึงข้อศอก ปลดกระดุมบนออกสองเม็ดด้วยความร้อน ปล่อยชายเสื้อรุ่ยร่ายทับกางเกงขายาวสีดำสนิท และพาดเสื้อนอกสีเดียวกันไว้บนบ่า

อารมณ์เคลิ้มๆ ล่องลอยไปตามหนังของสาวน้อยมลายหายวับจึงกล่าวโทษเขาเหมือนเช่นทุกครั้ง

“พี่พิเป็นคนความรู้สึกหยาบ ไม่มีวันเข้าใจความโรแมนติกอย่างนี้หรอก”

“เออ…พี่มันความรู้สึกหยาบ” พิรัลยอมรับด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ นัยน์ตาคมเป็นประกายวิบวับ มองน้องสาวที่ยันตัวขึ้นนั่งกลางวงล้อมหมอนสารพัดที่เจ้าตัวและคนรู้จักซื้อหามาให้ด้วยรู้ซึ้งในรสนิยมกันแล้วอดคิดไม่ได้ว่าพิสินีดูเด็กกว่าอายุจริงหลายปีนัก ดวงหน้าอ่อนเยาว์อยู่ในกรอบผมหน้าม้าบางๆ รวบผมยาวเป็นลอนคลื่นไว้บนศีรษะด้วยกิ๊บพลาสติกสีชมพูอันโต สวมเสื้อยืดรุ่มร่ามใหญ่เกินตัวลายการ์ตูนที่เด็กๆ ชอบดูกัน ดูจากรูปร่างหน้าตาและพฤติกรรม บางครั้งเขาก็ไม่อยากเชื่อว่าสาวน้อยกำลังจะเรียนจบเป็นบัณฑิตในปีการศึกษานี้

“พี่ไม่ใช่คนแหยอย่างเรานี่ ถึงจะได้ร้องไห้ง่ายๆ”

“เขาเรียกว่า ‘เซ้นซิทีฟ’ ต่างหาก ไม่ใช่แหย!”

น้องสาวเถียง เน้นหนักในคำที่มีความหมายว่า ‘อ่อนไหว’ ให้ได้ยินชัดๆ คนเป็นพี่ชายไม่เพียงไม่ใส่ใจ ยังหัวเราะขันสวนทางกับบรรยากาศและเสียงประกอบในโทรทัศน์ที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า เมื่อพระเอกตายโดยที่ยังประสานมือกับนางเอกซึ่งร้องไห้น้ำตาไหลพรากเต็มหน้า พร่ำเรียกชื่อคนรักเสียงแหบโหยเจือสะอื้นราวกับจะขาดใจตาม พิสินีหน้างอง้ำ บ่นงึมงำอย่างเสียอารมณ์

“ทุกทีเลย พี่พิโผล่มาทีไรเป็นได้หมดมู้ดทุกที”

พิรัลได้ยินดังนั้นจึงสนองให้ถึงใจน้องสาว ด้วยการคว้ารีโมตขึ้นมากดเปลี่ยนช่องเป็นรายการกีฬาต่างประเทศเดี๋ยวนั้น เล่นเอาสาวน้อยโวยลั่น

“หนังยังไม่จบเลย มาเปลี่ยนของเค้าได้ไง เปลี่ยนคืนเพิร์ลเดี๋ยวนี้นะพี่พิ”

“เดี๋ยวพี่เล่าตอนจบให้ฟังก็ได้…ไม่ก็ไปเปิดแผ่นดูทีหลังไป๊ ซื้อเก็บไว้บูชาด้วยไม่ใช่เหรอเราน่ะ”

พี่ชายว่าอย่างไม่อินังขังขอบ ไม่สนท่าทางกระฟัดกระเฟียดของน้องสาวคนเดียว ถึงอย่างไรพิสินีก็ทำอะไรเขาไม่ได้ ที่สามารถระบายอารมณ์ใส่ได้ก็คือหมอนรูปตุ๊กตาที่รายล้อมอยู่รอบตัวนั่นแหละ

“พี่พิบ้า!”

นั่นปะไร…สิ้นเสียงห้วน มือเล็กก็ฟาดพลั่กบนตัวสุนัขขนปุย นี่ถ้าเธอชอบสะสมพวกตุ๊กตากระเบื้องเคลือบคงสนุกกว่านี้ล่ะ ฟาดโป๊กลงไปทีก็ไม่แน่เหมือนกันว่ามือเธอหรือตุ๊กตากระเบื้องจะแตกก่อน

“ว่าพี่ว่าเชื้อ ปากคอเราะราย…”

พิรัลว่าด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ เดินไปทิ้งตัวนั่งบนโซฟาเดี่ยวใกล้กับคนหน้ามุ่ย หยิบขวดน้ำแร่ที่อีกฝ่ายเตรียมเป็นเสบียงกรัง เลือกขวดที่ยังถูกผนึกอยู่ในซีล แกะมาดื่มอักๆ โดยไม่เหลียวแลขนมขบเคี้ยวที่วางไว้ข้างกันเลยสักนิด

สาวน้อยขบปาก ถลึงตาใส่พี่ชายอย่างหมั่นไส้ระคนขวาง

“ว่าเค้า แต่ก็กินของของเค้า”

“ก็ไม่ได้ติดป้ายห้ามกินไว้นี่”

พี่ชายสวนกลับทันใจ น้องสาวกัดฟันกรอด…ว่าเธอเป็นคนปากไวแล้วนะ พิรัลกลับไวกว่าเสียอีก

นิ่งไปครู่หนึ่ง สาวน้อยก็เอ่ยถาม

“วันนี้ทำไมถึงเบี้ยวนัดอีกแล้วล่ะ”

“แม่ฝากถามพี่หรือไงยายเพิร์ล”

ถ้าว่าพิรัลตอบไม่ตรงคำถาม พิสินีก็เข้าข่ายนั้นเหมือนกัน เพราะสาวน้อยเอ่ยว่า

“เสียดายที่พี่พิเบี้ยวนัดไม่ยอมเจอหน้าพี่ปายสักที ลูกสาวเพื่อนแม่เรานะอย่างงี้เลย” นิ้วหัวแม่มือถูกยกขึ้นยืนยันคำพูด “สวย ดูดี ทั้งกิริยามารยาท การวางตัว การพูดจา ดีหมดทุกอย่าง เพิร์ลเห็นแล้วปิ๊งเลยล่ะ”

“ผู้หญิงปิ๊งผู้หญิงเขาเรียกเลสเบี้ยนนา”

พี่ชายดักคอ ทว่าน้องสาวไม่มีปฏิกิริยาหัวเสียอย่างที่คาด ตรงข้ามกลับยิ้มย่องขณะเอ่ยว่า

“ถ้าพี่ปายเป็นเลสเบี้ยนจริง คนที่เสียใจที่สุดน่าจะเป็นผู้ชายอย่างพี่พินั่นแหละ”

“ฮึ! คนอย่างพี่หรือจะเสียใจ…ถึงผู้หญิงคนนั้นจะสวยจริงอย่างเราว่า แต่พี่ก็ไม่เอาหรอก กลัวลูกเกิดมาปัญญานิ่ม พี่ไม่ชอบผู้หญิงสวยแต่ไร้สมอง ไม่รู้จักจัดการกับชีวิตและความต้องการของตัวเอง ยอมให้ผู้ใหญ่บงการไปหมดทุกอย่างอย่างกับหุ่นยนต์ที่ถูกตั้งโปรแกรมนั่น…ไม่ใช่สเป็คพี่!”

‘หุ่นยนต์ที่ถูกตั้งโปรแกรม’ ที่พิรัลเอ่ยถึงก็มีหน้าตาไม่สู้ดีนัก เมื่อเดินทางกลับถึงที่พักซึ่งเป็นบ้านเดี่ยวขนาดกะทัดรัดในหมู่บ้านชานเมืองกรุง

ไปรยาเองก็ไม่ชอบการจับคู่ตามความต้องการที่อยากดองกันของผู้ใหญ่ไม่แพ้ชายหนุ่ม เพียงแต่เธอไม่แสดงออกอย่างโจ่งแจ้งเปิดเผยเหมือนเขาเท่านั้น

ปิ่นแก้วบอกเสมอว่าอยากให้เจอกัน จะได้รู้จักกันไว้ ส่วนเรื่องจะแต่งงานกันหรือไม่นั้นเป็นเรื่องของอนาคต ไม่ได้คิดบังคับ หญิงสาวไม่อาจขัดความต้องการของมารดา ยอมตามน้ำไปด้วยคิดว่าไปทำความรู้จักกันไว้ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร แต่พิรัลทำให้เธอเสียความรู้สึกมากขึ้นทุกที…ทุกที! เมื่อแคล้วคลาดกันครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยเหตุผลที่เธออยากเรียกว่าเป็น ‘ข้ออ้าง’ ต่างๆ นานา!

ตอนแรกเธอก็ไม่เดือดเนื้อร้อนใจหรอกว่าเขาจะมาหรือไม่ แต่พอถูกมองด้วยสายตาขอโทษจากราตรี และเจอสายตาสงสารแกมสมเพช บางครั้งก็ขบขันระคนเยาะหยันจากใครหลายคนที่รู้เรื่องการจับคู่ครั้งนี้ดี บ่อยครั้งเข้าก็นึกโกรธชายหนุ่มบ้างเหมือนกัน

เขาทำให้เธอดูไร้ค่า คล้ายกับ…เป็นฝ่ายง้อผู้ชาย อยากรู้จักเขาจนตัวซี้ตัวสั่นขนาดติดตามมารดาไปร่วมงานต่างๆ ที่คาดว่าเขาจะไปด้วยทุกงาน

ทั้งที่จริงแล้ว…ไม่เลย!

ไปรยาไม่เห็นอยากรู้จักลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของราตรีเลยสักนิด แค่ได้ยินกิตติศัพท์และได้พบการปฏิเสธด้วยข้ออ้างน่าชังสารพัด เธอก็ได้ข้อสรุปแล้วว่าผู้ชายพรรค์นี้ไม่คู่ควรแก่การรู้จักคบหาด้วยอย่างยิ่ง

แต่ติดที่ปิ่นแก้วตั้งความหวังไว้มากเหลือเกิน ตรงนี้แหละที่ทำให้เธอกระอักกระอ่วนใจเสมอ

“หนูปาย…คิดอะไรอยู่จ๊ะ”

ปิ่นแก้วเดินเข้ามาในห้องพักผ่อน เอ่ยถามบุตรสาวที่นั่งเหม่อออกไปนอกหน้าต่างซึ่งกว้างและยาวเท่ากับผนังด้านหนึ่ง แลเห็นสนามหญ้าเล็กๆ ที่มีแปลงดอกไม้ติดกำแพงสีขาว และต้นไม้ร่มครึ้มในความมืดสลัว

หญิงสาวหันกลับไปมองมารดา มีแววลังเลเล็กน้อยในดวงตาคมงาม ขณะหยั่งเสียงถาม

“ถ้าปายไม่ได้รู้จักกับคุณพิรัลจริง แม่จะผิดหวังมากไหมคะ”

“ก็คงนิดหน่อย” ปิ่นแก้วตอบพลางถอนใจ เมื่อเห็นแววตารู้ทันของบุตรสาว “เอ้า…ก็ได้จ้ะ แม่ยอมรับว่าถ้าเป็นแบบนั้นจริง แม่คงผิดหวังมากทีเดียว ไม่ใช่แม่คนเดียวนะ ราตรีด้วย…เพราะเราทั้งคู่ตั้งความหวังกับเรื่องนี้ไว้มาก ความจริงแม่โกรธนะ อุตส่าห์นัดกันดิบดีแล้วแท้ๆ แม่พาลูกสาวของแม่ไปได้ แต่ราตรีกลับพาลูกชายตัวเองมาไม่ได้สักหน…แต่พอเห็นหน้าตาเจื่อนๆ ของราตรีแล้วก็โกรธไม่ลงสักที เพราะแม่รู้ว่าเขาพยายามเต็มที่แล้ว แต่ลูกชายเขาหลบเลี่ยงเก่งเป็นที่หนึ่ง แม่เสียใจที่มันเป็นอย่างนี้นะปาย…”

ผู้เป็นมารดาถอนใจเฮือก โอบบ่าและลูบผมดำยาวเหยียดตรงของบุตรสาวอย่างขอโทษ

“แม่รู้ว่าหนูรู้สึกยังไง แม่เห็นว่าใครๆ มองหนูด้วยสายตาแบบไหน แต่แม่ก็ยังเอาแต่ใจ พาหนูไปงานนู้นงานนี้เพื่อพบเขา เพราะคิดว่าราตรีอาจพาเขามาได้จริงอย่างที่พูด แต่แม่ก็คิดผิด…”

หญิงสาวไม่ออกความเห็น ปล่อยให้มารดาระบายความในใจต่อไป

“ในเมื่อเขาไม่อยากรู้จักเราก็พอกันที แม่กับราตรีก็ยังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม ส่วนลูกชายเขาน่ะ แม่ไม่สนแล้ว จบแค่นี้แหละ…พอกันที!”

ปิ่นแก้วกระแทกเสียงดุดันอย่างแค้นเคือง นัยน์ตาวาบวับจัดจ้าอย่างตั้งใจจะทำตามนั้น!

“แกนะแก…มาถอนหงอกฉันตอนแก่ รับปากส่งๆ แล้วก็ไม่ทำตามคำพูด ฉันล่ะกลุ้มใจกับแกจริงๆ!”

พอพิรัลเดินลงมาข้างล่างในตอนสาย ราตรีก็เปิดฉากถล่มบุตรชายแบบไม่ให้ตั้งตัวติด รัวคำพูดเป็นปืนกลกราดใส่ชายหนุ่มที่ยังตื่นไม่เต็มตา ท่ามกลางสายตาสนอกสนใจหลายคู่ ทั้งไพศาล พิสินี และบรรดาคนรับใช้ที่หูไวนักกับเรื่องแบบนี้

ไพศาลโบกมือไล่สาวใช้ที่เช็ดกระจกตู้โชว์ให้ออกไปก่อน เหลือเพียงคนในครอบครัวที่ได้ชมละครโรงเล็ก ซึ่งนำแสดงโดยราตรีและพิรัล

บทบาทก็เดิมๆ เหมือนเคย คือราตรีเป็นฝ่ายบ่น ส่วนพิรัลเป็นฝ่ายฟังแบบเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา ไม่ได้ซึมซาบเข้าไปในสมองเลยสักนิด

ชายหนุ่มทิ้งตัวนั่งบนโซฟาเดี่ยว ยกมือปิดปากหาวหวอด พลางเสยผมดกดำที่ยุ่งนิดๆ ให้เข้าที่ เพราะไม่ได้จัดการให้เรียบร้อยก่อนลงมาข้างล่าง เป็นไปในแบบที่พิสินีค่อนขอดเสมอว่า

‘พี่พิน่ะ ตื่นปุ๊บก็หิวปั๊บ ไม่มีอารมณ์ทำอะไรนอกจากกิน’

‘ก็คนมันเหนื่อยนี่ยายเพิร์ล ทำงานมาทั้งวัน กลับถึงบ้านก็อยากนอนอย่างเดียวเลย อีกอย่าง…อาหารเช้าก็สำคัญที่สุด จะไม่ให้พี่กินได้ไง’

‘ถ้าพี่เที่ยวให้มันน้อยหน่อยก็คงไม่เหนื่อยนักหรอก แล้วมื้อเช้าของพี่น่ะเหรอ…ขอโทษที ตอนนี้เขาเรียกมื้อเที่ยงแล้วนะพี่’

น้องสาวว่า ทำตัวเหมือนเป็นแม่คนที่สองในบางที

เมื่อผู้หญิงสองคนที่แวดล้อมอยู่รอบตัวชอบวุ่นวายจัดระเบียบชีวิตให้เขานัก พิรัลจึงไม่ต้องการให้มีคนที่สามมาช่วยอีกแรง จึงตั้งมั่นว่าจะไม่มี ‘เมีย’ เป็นตัวเป็นตนจนกว่าพิสินีจะแต่งงานออกเรือนไปก่อน

“ตาพิ นี่แกฟังแม่พูดบ้างหรือเปล่า”

ราตรียืนค้ำหัวบุตรชายถามอย่างเหลืออด ซึ่งฝ่ายนั้นทำตัวกวนโมโหได้ดีเยี่ยม เงยหน้าขึ้นมองเธอ แล้วว่าไปคนละทางกับสิ่งที่ถูกถามหน้าตาเฉย

“หิวจังเลยฮะแม่ วันนี้มีอะไรกินมั่ง”

“ตาพิ!” ราตรีแผดเสียงลั่น ขณะที่สามีกับบุตรสาวกลั้นยิ้มกันจนเมื่อยแก้ม ไม่กล้าปล่อยเสียงหัวเราะออกไป กลัวถูกถล่มใส่เป็นเพื่อนพิรัลด้วยนั่นเอง

“อย่าเสียงดังสิฮะแม่ เดี๋ยวก็เจ็บคอหรอก แล้วทำหน้าบึ้งแบบนี้ไม่ดีนะฮะ ผิวจะเหี่ยวย่นเร็ว ต้องเสียตังค์ยืดก่อนกำหนดอีก” ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเตือนด้วยความหวังดีทำเอามารดาโกรธจนควันแทบออกจากหู จึงเริ่มรายการเทศนาโปรดเขาเป็นชุด ทั้งเรื่องเมื่อคืนและเรื่องที่เขาเพิ่งก่อขึ้นเมื่อกี้ หากพิรัลเคยชินกับเรื่องแบบนี้ดีแล้ว จึงปล่อยให้มารดาว่ากล่าวตามใจชอบ ไม่โต้เถียงเพื่อให้เรื่องยุติเร็วที่สุด จนเห็นเธอหายใจหอบ หมดคำพูด ไม่รู้จะสรรหาอะไรมาสั่งสอนแล้ว ชายหนุ่มถึงได้ถามหน้าซื่อ

“จบแล้วใช่ไหมฮะ ผมจะได้ไปกินข้าวเสียที”

“ตาพิ โอย…แก…แม่ไม่รู้จะพูดกับคนอย่างแกยังไง แกถึงจะซึ้ง ถึงจะเข้าใจ ที่เสียเวลาพูดทั้งหมดนั่น สีซอให้ควายฟังแท้ๆ”

บุตรชายยักไหล่ ไม่สะทกสะท้านที่ถูกเปรียบเป็นสัตว์มีเขาตัวดำเป็นเหนี่ยง ซ้ำยังบอกหยิ่งๆ

“ผมเข้าใจที่แม่พูดมาทั้งหมดนั่นแหละ เพียงแต่ไม่อยากทำตามเท่านั้น เป็นอันว่าเรื่องผมกับหนูปีนป่ายอะไรนั่นจบกันแล้วนะฮะ”

ราตรีขึงตาดุใส่ อยากจะทุบพ่อตัวร้ายสักปึ้ก แต่รู้ว่าทำไปก็ไร้ประโยชน์ มีแต่เปลืองแรงและเจ็บมือฟรี เพราะพิรัลไม่ใช่ไม้อ่อนดัดง่าย แต่เป็นไม้แก่ดัดยาก แถมยังเหนียวเกินแกงอีกต่างหาก ปิ่นแก้วเองก็ไม่ได้กระตือรือร้นอยากได้เขาเป็นเขยขวัญอีกแล้วด้วย ยิ่งคิดราตรีก็ยิ่งหงุดหงิดลูกชายที่ไม่ได้ดั่งใจ จึงกระแทกเสียงบอกอย่างขุ่นเคืองติดประชดประชันนิดๆ

“ถึงฉันไม่อยากจบ แต่ทางโน้นเขาก็โทรมาขอจบเรื่องนี้ไปเรียบร้อยแล้วย่ะ แกวางใจได้เลยว่าไม่มีวันได้เป็นเขยเขาเด็ดขาด…ไม่มีใครเขาอยากได้แกไปทำพันธุ์แล้ว!”

พิรัลหรือจะเดือดเนื้อร้อนใจ กลับยิ้มกริ่มสมใจไปน่ะสิ!

ก่อนกลับเชียงใหม่ ไปรยามีนัดสังสรรค์กับเพื่อนสนิทที่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน ซึ่งหลังจากเรียนจบต่างก็แยกย้ายกันไปตามทาง หญิงสาวกลับบ้านทางภาคเหนือ ส่วนเพื่อนที่เป็นชาวกรุงแต่กำเนิดก็ปักหลักทำงานอยู่ที่นี่ นานๆ ถึงจะได้รวมตัวกันที จึงไม่มีใครปล่อยโอกาสนั้นให้ผ่านเลยไป

อันที่จริงคืนนี้ปิ่นแก้วก็มีนัดกับราตรีเหมือนกัน แต่เธอไม่ได้ขอร้องแกมบังคับให้บุตรสาวตามไปเผื่อจะได้พบพิรัลอีก

ปิ่นแก้วเป็นผู้หญิงใจเด็ด เมื่อบอกว่า ‘ไม่’ ก็คือไม่อย่างเด็ดขาด

ไม่มีโอกาสสำหรับพิรัลอีกต่อไป…

แต่ชายหนุ่มคงไม่รู้สึกรู้สมอะไร เพราะต้องการแบบนั้นตั้งแต่ต้น ส่วนตัวไปรยารู้สึกเสียหน้านิดหน่อยที่ถูกผู้ชายปฏิเสธ แม้จะไม่ได้ยินเป็นคำพูดชัดๆ แต่พฤติกรรมหลบเลี่ยงของเขาก็ไม่ต่างจากการปฏิเสธซึ่งหน้านั่นแหละ

หญิงสาวเดินเข้าไปในสวนอาหารซึ่งเป็นเรือนยกพื้นสูงอยู่กลางบึง กวาดตามองหาใบหน้าที่คุ้นเคย ก่อนยิ้มเมื่อเห็นเพื่อนสนิทสามคนโบกมือพลางร้องเรียก

“ทางนี้…ยายปาย ทางนี้…”

“โทษทีที่มาสายไปหน่อย”

หญิงสาวบอก ทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ว่าง ลมราตรีพัดโชยเย็นสบาย เพราะโต๊ะนี้อยู่ติดระเบียงไม้ ไม่มีหลังคาหน้าจั่วคลุมหัวเหมือนพื้นที่ตรงกลางเรือน

“ไม่เป็นไร…เราเข้าใจ สาวบ้านนอกไม่ค่อยได้เข้ากรุงก็กะเวลาใช้รถใช้ถนนไม่เก่งอย่างนี้แหละ”

กมลาจีบปากจีบคอว่า เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อน แม้แต่ไปรยาก็ยังหัวเราะด้วย ไม่ถือสาหาความอะไร เพราะรู้ว่าเพื่อนพูดเล่นอย่างคะนองปากให้เป็นเรื่องตลกมากกว่าจะดูถูกกันจริงจัง

สี่สาวกินข้าวพลางพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ขุดคุ้ยเรื่องเก่ามาหยอกล้อ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ใหม่ๆ ที่พบเจอมาให้ฟังทั้งจากการงานและการท่องเที่ยว จนกระทั่งดวงดาวถามขึ้นอย่างขลาดอายในตอนหนึ่ง

“ปาย…ช่วงปลายเดือนหน้าตัวลงมากรุงเทพฯ อีกครั้งได้ไหม”

คนถูกขอร้องเลิกคิ้วเรียวขึ้นเล็กน้อยอย่างฉงน “ทำไมเหรอ”

“คือ…เราจะหมั้นปลายเดือนหน้านี้”

“หา!?” เพื่อนทุกคนร้อง ทิ้งช้อนลงบนจานอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่ต้องมีผู้กำกับจังหวะ เสาวนีย์ที่กำลังดื่มน้ำถึงกับสำลักไอแค่กๆ ไปรยาจึงเอื้อมมือไปลูบหลังให้ โดยที่สายตาไม่คลาดจากใบหน้าซับสีเรื่อของเพื่อนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

“จริงเหรอดาว”

“จ้ะ…คุณแม่เพิ่งไปดูฤกษ์มาวันนี้เอง”

“กับใคร! เธอมีแฟนเมื่อไหร่ ทำไมไม่บอกพวกเรามั่ง เก็บเงียบมาบอกเอาตอนที่จะหมั้นอยู่เดือนสองเดือนแล้วอย่างนี้น่ะเหรอ!” กมลาที่นั่งอยู่ข้างๆ โวยวายถามขึ้นเป็นชุด

“ก็เราไม่แน่ใจในตัวเขานี่” ดวงดาวอุบอิบตอบ ใช้ช้อนเขี่ยข้าวในจานแก้เขิน “ตอนแรกเขาเจ้าชู้จะตาย เรายังคิดว่าเขามาล้อเล่น มาแน่ใจว่าเขาจริงจังก็ตอนที่สารภาพรักและขอแต่งงานด้วยนี่แหละ”

“เธอรู้จักกับเขามานานเท่าไหร่หา”

“สามครึ่ง…” ดวงดาวตอบไม่เต็มเสียงเท่าไหร่

เสาวนีย์หายใจแรง มองเพื่อนตาโต “ตั้งสามปีครึ่งเชียวเหรอ! นี่เธอแอบคบกับเขามาตั้งแต่ตอนที่พวกเรายังเรียนอยู่ด้วยกัน แล้วเก็บเป็นความลับนานขนาดนั้นได้ยังไง!”

“ไม่ใช่สามปีครึ่งนะนี…สามเดือนครึ่งต่างหาก…”

ดวงดาวแก้ไขให้ถูกต้อง ทำเอาเพื่อนสาวคนเดิมตาพองแทบจะพลัดออกจากเบ้า อุทานเสียงลั่น

“สามเดือนครึ่ง!”

“จ้ะ” คนมีความรักตอบอ่อยๆ

“ไม่เร็วไปหน่อยเหรอ เพิ่งจะรู้จักกันแค่สามเดือนครึ่งก็ตกลงใจรับหมั้นเขาแล้ว” ไปรยาท้วงบ้าง

“เราก็ว่ามันเร็วเหมือนกัน แต่เขาอยากหมั้นไว้ก่อน และกว่าจะถึงวันหมั้นก็อีกตั้งห้าสิบหกวัน…”

“ถึงขนาดนับวันรอเชียวเรอะ!” เสาวนีย์แทรกถามทั้งที่ยังตาพองไม่เลิก “แน่ใจหรือว่ารักเขาจริงน่ะ”

“เราไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน เวลาที่อยู่ใกล้เขา เรามีความสุขมาก…”

ดวงดาวพูดด้วยท่าทางเคลิ้มฝัน กมลากับเสาวนีย์เห็นแล้วทนไม่ไหว ทำท่าเหมือนจะอาเจียน ขณะที่ไปรยาวางหน้านิ่ง ก่อนถามเสียงเรียบ

“แล้วจะหมั้นกันสักกี่ปี”

“คงไม่ถึงปีหรอก พี่ภพบอกว่าหมั้นกันสักสี่ห้าเดือนก็พอแล้ว”

“ตัวยังรู้จักเขาไม่ดีพอเลยนะ”

“แล้วจะให้รู้จักกันสักขนาดไหนล่ะ บางคนคบกันเป็นสิบปี อยู่ด้วยกันไม่ถึงปีก็เลิกกัน เพราะฉะนั้นจะเอาเวลาคบหามาวัดอนาคตไม่ได้หรอกนะ เราเชื่อว่าเขาจริงใจต่อเรา แม่เขาก็ใจดีกับเรามากด้วย ชีวิตคู่ของเราไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”

“แล้วความเจ้าชู้ของเขาล่ะ”

“เขาหยุดตั้งแต่ตอนที่เจอเราแล้ว”

“ใครบอก” เสาวนีย์แหวเสียงแหลม

“เขาบอกเราเอง” ดวงดาวตอบตามตรง

“โธ่เอ๊ย…ยายดาว เธอมันหัวอ่อน ใครพูดอะไรก็เชื่อหมด” กมลาชี้หน้าว่าเข้าให้ “ผู้ชายมีหรือจะทิ้งลายเสือง่ายๆ”

“แม่เขาก็ยืนยันด้วยนะ”

“แม่ลูกก็ต้องเข้าข้างกันอยู่แล้ว”

“แต่เราเชื่อเขานะ”

“อย่าเชื่อในสิ่งที่ยังไม่ได้พิสูจน์” เสาวนีย์บอกเสียงเข้มพอกับสีหน้า “ดีนะที่เธอบอกเราก่อนรับหมั้น ไม่งั้นคงแก้ไขอะไรไม่ทันแน่”

“พวกเธอจะไม่ให้เราหมั้นกับเขาเหรอ…”

“ไม่ต้องทำเสียงเหมือนจะขาดใจอย่างนั้นหรอกน่า” เสาวนีย์ว่าพลางค้อนปะหลับปะเหลือก “พวกเราแค่อยากพิสูจน์ว่าเขาทิ้งลายเสือแล้วจริงหรือ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง…เขาก็ดีพอสำหรับเธอในระดับหนึ่ง”

“แล้วจะพิสูจน์ยังไงล่ะ” ดวงดาวถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“ขอฉันคิดก่อน”

เสาวนีย์ยกมือจับคางอย่างครุ่นคิด ขณะที่คนอื่นรวบช้อน หมดความอยากอาหารโดยสิ้นเชิง

ไม่มีใครคิดว่าดวงดาวจะได้แต่งงานเป็นรายแรก…หญิงสาวเป็นผู้หญิงหน้าตาธรรมดา อุปนิสัยส่วนตัวเป็นคนเรียบร้อยและขี้อาย สมัยเรียนมีคนมาชอบพอเธอบ้างเหมือนกัน แต่ความที่ไม่กล้ากับเรื่องแบบนั้น จึงใช้เพื่อนเป็นโล่ป้องกันตัวมาโดยตลอด

นอกเหนือจากความประหลาดใจ พวกเธอก็มีความเป็นห่วง…กลัวเพื่อนจะถูกหลอก ถ้าไม่หาทางพิสูจน์ ‘ว่าที่เพื่อนเขย’ ให้แน่ใจ พวกเธอคงหาความสบายใจไม่ได้แน่

ดวงดาวรอคอยคำตอบจากเพื่อนด้วยใจตุ๊มๆ ต่อมๆ ผลลัพธ์ที่รออยู่ปลายทางทำให้เธอคิดหนัก ใจหนึ่งอยากปรามเพื่อนให้ล้มเลิกสิ่งที่คิดจะทำ แต่อีกใจหนึ่งก็อยากรู้ความจริงว่าคนรักเป็นเช่นไรกันแน่

หญิงสาวกวาดตามองไปรอบตัวราวกับจะค้นหาความกล้าให้เจอในความมืด ชะงักกึกเมื่อเห็นชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งเดินมาตามทางปูอิฐคดเคี้ยวจากลานจอดรถ ตัดผ่านสนามที่มีไม้ประดับตกแต่งมาจนถึงบันไดเรือน

ดวงตากลมโตเบิกขึ้นเล็กน้อยอย่างประหลาดใจ

“นั่นพี่ภพนี่”

เสียงร้องอย่างดีใจทำให้สามสาวที่ขมวดคิ้วนิ่วหน้าอย่างใช้ความคิดหันขวับไปมองเป็นตาเดียว

“พวกเธออยากรู้จักแฟนเราใช่ไหม บังเอิญจริง เขาก็มาที่นี่กับเพื่อนด้วย เดี๋ยวจะแนะนำให้รู้จักนะ”

“ไม่ต้อง” เสาวนีย์รีบห้าม และหันไปบอกเพื่อนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยความคิดเร็วจี๋ “ยายกุ้งจ่ายค่าอาหารไปก่อน เดี๋ยวค่อยหารกันทีหลัง ส่วนยายดาวกับยายปายตามฉันมานี่ อย่าให้เขาเห็นพวกเธอเชียวนะ”

“จะทำอะไรน่ะนี” ไปรยาถามอย่างข้องใจ ขณะที่ปล่อยตัวไปตามแรงดึงของเพื่อน โดยมีดวงดาวเดินแกมวิ่งตามหลังมาอย่างไม่เข้าใจ เหลียวมองกมลาที่ถูกทิ้งและชะเง้อมองคนรักที่กำลังเดินขึ้นเรือนมา ก่อนวกสายตามองเพื่อนสาวที่อยู่หน้าสุดอย่างงุนงงสงสัย

เสาวนีย์เหลียวกลับไปมองเพื่อน ตอบด้วยใบหน้ายิ้มย่อง

“เราจะพิสูจน์ลายเสือของเขายังไงล่ะ”

สถานที่ที่เสาวนีย์พาเพื่อนไปประชุมคือหน้าห้องน้ำหญิงอันเงียบสงบ หลังจากมองซ้ายมองขวาจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ในรัศมี เธอก็กระซิบบอกแผนเด็ดให้เพื่อนรู้ ตอนแรกไปรยาก็เงี่ยหูฟังอย่างสนใจเช่นเดียวกับดวงดาว แต่พอฟังจบก็ตัวแข็งทื่อ มองหน้าเพื่อนอย่างตกใจแกมคาดไม่ถึง ก่อนส่ายหน้าหวือ ปฏิเสธเป็นพัลวัน

“ไม่เอา! เป็นตายยังไงเราก็ไม่เล่นด้วยเด็ดขาด จะให้เราทำเรื่องน่าอายแบบนั้นได้ยังไง ไม่เอา!”

“น่า…ปาย เพื่อเพื่อนนะ พิสูจน์กันจังๆ ไปเลยว่าลับหลังยายดาว เขาเป็นคนยังไง วิธีนี้แหละเด็ดสุด”

“ด้วยการให้ฉันไปยั่วยวนเขานี่นะ…” ไปรยาทำหน้าเหมือนจะร้องไห้หรือไม่ก็บีบคอต้นคิดให้ตาย

“ไม่ใช่ยั่วยวน” เสาวนีย์รีบแก้ก่อนจะถูกฆาตกรรม “แค่แกล้งเล่นหูเล่นตาทำเป็นสนใจเขานิดหน่อย…ดูซิว่าเขาจะทำยังไง ปายเหมาะกับหน้าที่นี้ที่สุด เพราะปายไม่ได้อยู่กรุงเทพฯ เขาคงไม่เคยเห็นปายมาก่อน แล้วปายก็สวย รูปร่างก็ดี เนี่ย…ถอดเสื้อนอกออกอวดเสื้อพอดีตัวสวยๆ ของปาย รับรองว่าพวกผู้ชายต้องมองตรึม”

เพื่อนสาวว่าพลางขยับเข้าไปช่วยถอดเสื้อนอกสีดำเนื้อบางออก ไปรยาต้องยื้อไว้ด้วยความกระดากใจ

“ไปจ้างผู้หญิงอื่นเถอะ”

“ไม่ได้หรอก…เรื่องแบบนี้ใช้คนรู้จักดีกว่า จะได้ไม่เดือดร้อนทีหลังด้วย นะ…ปาย…ช่วยกันหน่อยเถอะ ไม่ยากสำหรับปายหรอก คิดว่าเป็นละครเวทีอีกเรื่องหนึ่งแล้วกัน สมัยเรียนปายก็ขึ้นเวทีบ่อยๆ อยู่แล้วนี่ น่า…ปาย…ทำเพื่อเพื่อนสักหน นะ…นะ…” เสาวนีย์หว่านล้อมระคนอ้อนสุดฤทธิ์

ไปรยาทำหน้าปั้นยาก มองดวงดาวซึ่งหน้าขาวซีดราวกระดาษ ท่าทางหวาดหวั่นกับสิ่งที่คิดจะทำไม่น้อยเหมือนกัน

“ว่าไงดาว” ถามด้วยความหวังว่าต้นเรื่องจะไม่เล่นด้วย เสาวนีย์จะได้เลิกตื๊อ แต่ดวงดาวกลับตอบว่า

“ความจริงเรากลัวนะ แต่เราก็อยากรู้เหมือนกันว่าเขาเป็นคนยังไง ช่วยเราหน่อยเถอะนะปาย”

คนถูกขอร้องกลอกตาขึ้นข้างบนพลางถอนใจเฮือก

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 11 ก.พ. 64

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: