หรือไม่ก็ใช้วิธีแลกเปลี่ยนพื้นที่โฆษณากับนิตยสารอื่นเพื่อช่วยประชาสัมพันธ์ให้กัน แต่นิตยสารในประเทศไม่ค่อยทำเช่นนี้ เพราะนักธุรกิจในประเทศมักนึกถึงผลประโยชน์ส่วนตัวก่อน ถึงแม้จะช่วยเหลือกันจริง แต่ก็ทำให้ไม่ดีนัก…ตอนแรกหลังจากที่ชูหลี่อ่านแผนการตลาดของหนังสือขายดีเล่มอื่นแล้ว เธอเคยคิดจะไปที่สำนักพิมพ์ซินตุ้นเพื่อดูว่าจะแลกเปลี่ยนพื้นที่โฆษณาได้หรือไม่ แต่ข้อเสนอดังกล่าวเพิ่งเอ่ยถึง ยังไม่ทันแจ้งเบื้องบนก็โดนอวี๋เหยาปัดตกเสียแล้ว
วิธีสุดท้ายก็คือกลยุทธ์ด้านการตลาดหลังจากสินค้าจำหน่ายออกสู่ท้องตลาด…นักการตลาดต้องติดต่อตัวแทนจัดจำหน่ายทั่วประเทศเพื่อจัดหาแหล่งประชาสัมพันธ์ เช่น การติดโปสเตอร์ในตำแหน่งที่โดดเด่นในร้านหนังสือขนาดใหญ่ หรือการจัดวางที่ตำแหน่งหนังสือขายดี (เป็นตำแหน่งที่มองเห็นชัดที่สุดในร้านหนังสือ เช่น ตรงหน้าชั้นหนังสือ หรือบนทางเดิน โดยจะนำหนังสือมาซ้อนกันเป็นรูปเรขาคณิตทรงสูง) นอกจากนี้ยังมีการโปรโมตที่หน้าแรกของเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ เช่น Tmall* Dangdang** และ Amazon*** เป็นต้น
นี่คือแผนการตลาดของสื่อสิ่งพิมพ์แบบดั้งเดิม สมัยที่ยังไม่มีเวยป๋อ เราไม่สามารถมองข้ามกระบวนการเหล่านี้ไปได้ ในสมัยนั้นเมื่อใดก็ตามที่มีหนังสือเล่มใหม่ออกสู่ตลาด นักการตลาดแทบอดใจรอที่จะนั่งรถสามล้อพร้อมตะโกนเสียงดังตามท้องถนนว่าหนังสือเล่มใหม่ของนักเขียน XXX วางจำหน่ายแล้ว มาดูกันว่าจะน่าอ่านแค่ไหน! รีบมาซื้อกันเยอะๆ นะ!!!!!
กระบวนการเหล่านี้เห็นได้ชัดว่าในฐานะ บ.ก. ผู้รับผิดชอบอย่างชูหลี่เข้าไปมีส่วนร่วมได้ไม่มากนัก…เพราะตามแผนการทำงานที่แท้จริง การนำหนังสือออกสู่ท้องตลาดตลอดจนการจัดพิมพ์หนังสือส่วนใหญ่เป็นหน้าที่ของฝ่ายการตลาด
สำหรับสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมสื่อสิ่งพิมพ์แบบดั้งเดิม ฝ่ายการตลาดของพวกเขายังคงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ชูหลี่ได้ยินมาว่านักการตลาดเหล่านั้นเจรจาจนได้รับสิทธิ์ให้โปรโมต ‘หนังสือเทพเจ้าแห่งแม่น้ำลั่ว’ ที่ตำแหน่งหนังสือขายดีในร้านหนังสือรายใหญ่ทั่วประเทศเป็นเวลาครึ่งเดือนถึงสองเดือนเรียบร้อยแล้ว
ชูหลี่รู้สึกซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหล และทันทีที่คิดถึงเรื่องนี้เธอก็หยุดเดินวนไปวนมา หันกลับมาพูดกับชายหนุ่มซึ่งกำลังขูดชามข้าวหลังรับประทานอาหารเสร็จ
“ใช่แล้ว อาจารย์ ฝ่ายการตลาดได้รับสิทธิ์ให้โปรโมต ‘หนังสือเทพเจ้าแห่งแม่น้ำลั่ว’ ที่ตำแหน่งหนังสือขายดีในร้านหนังสือซินหวาตามเมืองใหญ่ทั่วประเทศด้วยล่ะ ครึ่งเดือนเลยนะคะ!”
“โอ้ เยี่ยมไปเลย”
“ฉันได้ยินมาว่าพวกเขาต้องลำบากลำบนไปเยือนกระท่อมถึงสามครั้ง* คุณควรควักกระเป๋าสตางค์เลี้ยงข้าวพวกเขาสักมื้อหรือมอบของขวัญเล็กๆ น้อยๆ เพื่อแสดงความขอบคุณหรือเปล่าคะ”
โจ้วชวนฉุกคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตอบกลับ “เอาเถอะ มารยาททางสังคมยังเป็นสิ่งที่จำเป็นอยู่ ให้คุณไปสักสองร้อยหยวนคิดว่าพอไหม”
สองร้อยหยวนไม่พอเลี้ยงนักการตลาดเหล่านั้นหรอกค่ะ คงพอแค่จ่ายค่าแท็กซี่ที่พวกเขาต้องเดินทางไปเจรจาเท่านั้นแหละ
“…ช่างมันเถอะค่ะ ไม่ต้องนึกถึงมารยาทก็ได้ เป็นหน้าที่ที่พวกเขาควรทำอยู่แล้วนี่นา”
โจ้วชวนได้ยินน้ำเสียงประชดประชันในคำพูดของเธอ “สองร้อยหยวนน้อยเกินไปสำหรับคุณเหรอ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น”
“คนยากจนที่ไม่มีที่ซุกหัวนอนและใช้ชีวิตกินดื่มในบ้านคนอื่นมีสิทธิ์อะไรมาดูถูกเงินสองร้อยหยวน”
“ฉันไม่ได้ดูถูกสักหน่อย”
“…แล้วก็ไม่ใช่แค่กินดื่มเท่านั้นนะ ค่าน้ำค่าไฟก็ยังไม่จ่าย”
“ก็บอกว่าไม่ได้ดูถูกไง!!!!!!!!”
โจ้วชวนนวดกกหูและพูดพึมพำ “ไม่ได้ดูถูกแล้วจะตะโกนทำไม” เขาถามอีกครั้ง “ดูเหมือนว่ากระบวนการจัดจำหน่าย ‘หนังสือเทพเจ้าแห่งแม่น้ำลั่ว’ ใกล้เรียบร้อยแล้วสินะ ฝ่ายการตลาดได้แจ้งยอดสั่งซื้อล่วงหน้าของตัวแทนจัดจำหน่ายโดยประมาณกับคุณไหม ตอนนี้มากกว่าสี่หมื่นห้าพันเล่มหรือยัง” ชูหลี่ขยับริมฝีปากยังไม่ทันเอ่ยตอบ แต่กลับได้ยินชายหนุ่มพูดพึมพำกับตัวเอง “แต่ยอดสั่งซื้อล่วงหน้าต้องเกินสี่หมื่นห้าพันเล่มอยู่แล้ว แค่ตัวแทนจัดจำหน่ายได้ยินชื่อของโจ้วชวนก็พากันวิ่งเข้าหาเหมือนหมีที่ได้กลิ่นน้ำผึ้งแล้วล่ะ”
ชูหลี่ “…”
อาจเป็นเพราะแววตาที่ดูเหมือนอับจนคำพูดซึ่งมองมาจากที่ไม่ไกลนั้นชัดเจนจนเกินไป ‘Mr. น้ำผึ้ง’ จึงมอง บ.ก. ผู้รับผิดชอบของเขาพลางเลิกคิ้วขึ้น
“ผมพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า”
“ก็มีบ้างค่ะ…คือฉันยังไม่ได้เริ่มเขียนใบแนะนำหนังสือเลย”
ตอนนี้ความคืบหน้าของ ‘หนังสือเทพเจ้าแห่งแม่น้ำลั่ว’ ดำเนินการมาถึงขั้นตอนส่งใบแนะนำหนังสือไปยังตัวแทนจัดจำหน่ายรายใหญ่