‘ใบแนะนำข้อมูลหนังสือเพื่อพิจารณาสั่งซื้อ’ มีความหมายตรงตัว มันคือข้อมูลประกอบการพิจารณาสั่งซื้อที่สำนักพิมพ์จะส่งให้ตัวแทนจัดจำหน่าย ซึ่งจะมีชื่อผู้แต่ง ชื่อนักวาดหน้าปก เนื้อหา และข้อมูลทั่วไปของหนังสือ นอกจากนี้ก่อนที่หนังสือจะตีพิมพ์ต้องมีการสั่งซื้อล่วงหน้าของตัวแทนจัดจำหน่ายก่อนรอบหนึ่ง เมื่อรวมยอดสั่งซื้อล่วงหน้าแล้วจึงจะได้ข้อมูลเกี่ยวกับยอดตีพิมพ์ครั้งแรกของหนังสือเล่มนี้
และในกระบวนการด้านการตลาดทั้งหมด การเขียนใบแนะนำหนังสือให้ออกมาดีเป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่ บ.ก. ผู้รับผิดชอบสามารถทำได้
ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าชูหลี่ยังไม่ได้เริ่มเขียน โจ้วชวนก็โกรธขึ้นมาทันที “มีเวลาอีกแค่สิบกว่าวันก็จะตีพิมพ์แล้ว แต่คุณยังไม่ได้เขียนใบแนะนำหนังสือ ไอ้ของแบบนี้มันเขียนยากตรงไหน นี่คุณต้องการช่วยผมขายนิยายจริงๆ ใช่ไหม”
“ตัวแทนจัดจำหน่ายเหล่านั้นเป็นนักธุรกิจนะคะ พวกเขาไม่สนใจหรอกว่าเนื้อหาในหนังสือของคุณยอดเยี่ยมแค่ไหน พวกเขาแค่อยากรู้ว่ามันขายได้ไหมเท่านั้น” ชูหลี่บิดนิ้วไปมาด้วยความรู้สึกลำบากใจ “ฉันกำลังพยายามแยกแยะอารมณ์ส่วนตัว ไม่โอ้อวดว่าหนังสือเล่มนี้ดีแค่ไหน และเขียนอธิบายเหตุผลเพื่อให้คนที่เป็นนักธุรกิจประทับใจไว้ในใบแนะนำหนังสือฉบับนี้”
“…” โจ้วชวนพยักหน้า “มีความคิดดีๆ เยอะดีนี่นา แค่ยังไม่ได้ลงมือทำเท่านั้น ช่วยทำให้มันเร็วๆ หน่อย”
“…” ชูหลี่ตกใจ “ให้เขียนเลยเหรอคะ วันนี้วันเสาร์นะ คุณจะให้ฉันทำงานล่วงเวลาเหรอ”
“ทำไมล่ะ”
“คนที่โวยวายทุกครั้งว่าไม่ให้ฉันทำงานล่วงเวลา เพราะยังไงอวี๋เหยาก็ไม่จ่ายค่าโอทีให้ไม่ใช่คุณหรอกเหรอคะ”
“มันไม่เหมือนกัน ครั้งนี้คุณต้องขาย ‘หนังสือเทพเจ้าแห่งแม่น้ำลั่ว’ และตอนนี้คุณกำลังยืนอยู่ในบ้านของคนเขียนหนังสือเล่มนี้ แถมเฟอร์นิเจอร์ผมก็ยังควักเงินซื้อให้อีก” โจ้วชวนถาม “ไหนจะให้ที่ซุกหัวนอนและอาหารการกิน แล้วยังต้องทนกับการที่คุณไม่ให้ความสำคัญกับ ‘กฎสามสิบข้อสำหรับผู้อาศัย’ ตอนคุณมาทวงต้นฉบับผมก็เถียงไม่ได้ เครียดยิ่งกว่าเลี้ยงลูกสาวซะอีก ใจคอคุณไม่คิดที่จะทำงานล่วงเวลาให้ผมบ้างเหรอ”
ชูหลี่ถูกคำพูดราวกับบทสวดเกลี้ยกล่อมจนต้องยอม “ได้ๆๆ ฉันจะไปทำเดี๋ยวนี้แหละ” พร้อมทั้งเตรียมจะขึ้นไปชั้นบนและเอาโน้ตบุ๊กลงมา…อย่างไรเสียในโลกนี้ก็ไม่มีใครรู้จักนิยายเรื่องนี้ดีไปกว่าโจ้วชวนแล้ว แน่นอนว่าการเขียนใบแนะนำหนังสือกับเขาย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
หญิงสาวหันหลังกลับและกำลังจะเดินขึ้นไปชั้นสอง แต่เดินไปเพียงสองก้าวก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือของโจ้วชวนสั่น เธอเห็นจากหางตาว่าเขาหยิบมันขึ้นมาและเหลือบมองหน้าจอเล็กน้อย จากนั้นเสียงของอาจารย์เจียงอวี่เฉิงก็ดังขึ้นอย่างชัดเจนกลางห้องนั่งเล่น…
“ทำไมนายถึงเรียกเจ้าลิงน้อยว่าแม่บ้านล่ะ นายให้เธอทำอาหารให้กินด้วยเหรอ คนที่นายบอกว่าทำอาหาร ช่วยดูต้นฉบับ และพาหมาไปเดินเล่นคือเธอเหรอ นี่นายเห็น บ.ก. ผู้รับผิดชอบของตัวเองเป็น…”
คำพูดหลังจากนั้นเธอไม่ได้ยินแล้ว เพราะชายหนุ่มกดปิดเสียงโทรศัพท์ทิ้งไปเสียก่อน
โจ้วชวน “…”
ชูหลี่ “…”
หญิงสาวถอยเท้าที่เหยียบลงบนบันไดกลับมาก่อนจะหันไปมองโจ้วชวน “แม่บ้านเหรอ”
“ฮะ”
“ฮะ! ฮะอะไร” ชูหลี่ถอดรองเท้าแตะแล้วชี้ไปที่หน้าอีกฝ่ายก่อนจะขึ้นเสียง “เมื่อกี้ฉันถามว่าคุณพูดอะไรแปลกๆ กับอาจารย์เจียงอวี่เฉิงหรือเปล่า ไหนคุณบอกว่าไม่ได้พูดไง!!!!”
“ผมพูดว่าแม่บ้านมันผิดตรงไหน คุณไม่ได้ทำกับข้าวให้ผมกินเหรอ!” ชายหนุ่มแคะหูเล็กน้อย สีหน้าดูร้อนตัว
เมื่อคิดว่าถ้าตอนนี้เจียงอวี่เฉิงว่างมากพอ ในหัวเขาอาจจินตนาการถึงบทละครน้ำเน่าเกี่ยวกับ บ.ก. หน้าใหม่และนักเขียนผู้ยอดเยี่ยมแล้ว ชูหลี่ก็รู้สึกโกรธจนความดันแทบจะขึ้นในทันที จึงขว้างรองเท้าแตะในมือออกไปอย่างแรง…
เจ้าเอ้อร์โก่วที่ตอนแรกนั่งยองๆ อยู่ข้างๆ โจ้วชวนกระโดดขึ้นงับรองเท้าแตะกลางอากาศ จากนั้นก็เดินดุ่มๆ คาบไปวางไว้ในมือของเขา ใบหน้าของมันแสดงให้เห็นว่าต้องการ ‘คำชื่นชม’ หูลู่ไปด้านหลังราวกับอยากให้เจ้านายลูบหัว
โจ้วชวนดึงรองเท้าแตะมาและวางไว้ที่พื้นด้วยสีหน้ารังเกียจปนร้อนตัว
เธอทำเสียง “ชิ” ดังๆ ทีหนึ่งแล้วเดินกะโผลกกะเผลกขึ้นไปชั้นบนด้วยรองเท้าแตะเพียงข้างเดียว