ฉงหรงมองรั่งอี๋รั่ง แล้วมองเวินเซ่าชิง มีความรู้สึกว่าคำพูดของเขามีบางอย่างแฝงอยู่
เวินเซ่าชิงยืนอยู่ที่หน้าโต๊ะอาหารเรียกเธอ “มากินข้าวเถอะ”
มาครั้งก่อนฉงหรงไม่ได้สังเกต แต่ครั้งนี้เธอพบแล้วว่าเวินเซ่าชิงเป็น…คนโรคจิตจอมลีลา
เธอชี้ไปที่ลวดลายบนตะเกียบแล้วถามว่า “ตะเกียบนี่พิเศษมากเลย แกะสลักลายด้วย ซื้อจากไหน”
ชายหนุ่มตักน้ำแกงให้เธอ อธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ตะเกียบธรรมดาที่ซูเปอร์มาร์เก็ต ซื้อมาแล้วผมแกะเอง”
คราวนี้ฉงหรงเชื่อจริงๆ แล้วว่าเทคนิคการใช้มีดของเวินเซ่าชิงดีมาก ดีถึงระดับเสียสติ เขาต้องเบื่อไม่มีอะไรทำถึงขนาดไหนนะ ถึงคิดเรื่องสลักลายบนตะเกียบออกมาได้
ฉงหรงนินทาเขาอยู่ในใจ พอใช้ตะเกียบคีบอาหารเข้าปากก็เปลี่ยนท่าที
“มะเขือจานนี้อร่อยนะ! ทำยังไงน่ะ”
“อืมๆ…ซานเย่า* นี่ก็อร่อย!”
“ซี่โครงก็อร่อย แต่ว่าเผ็ดมาก ฉันไม่กินเผ็ด”
ฉงหรงยกตะเกียบคีบจานนี้จานนั้นจานโน้นอย่างออกรสชาติ ไม่มีแววเคร่งขรึมจริงจังในเวลาปกติแม้แต่น้อย เวินเซ่าชิงจ้องหน้าเธออยู่นานมาก สีหน้าค่อนข้างสับสน “ทำไมก่อนหน้านี้ผมถึงไม่ได้สังเกตนะว่า…คุณนี่เป็นพวกช่างกินกับเค้าด้วย”
คนช่างกินแบ่งเป็นสองประเภท ประเภทที่หนึ่งคือจักรวาลของเขาไม่มีของไม่อร่อย กินเยอะกินได้หลากหลายชนิด ประเภทที่สองก็น่าจะเป็นแบบฉงหรง วิจารณ์เก่ง เลือกมากสุดๆ พรางตัวเก่งมาก เวลาปกติดูไม่ออกแม้แต่น้อย แต่พอได้กินของอร่อยสองตาจะแผ่ประกาย คืนสู่ร่างเดิม
ฉงหรงชะงัก พยายามดิ้นรนแก้ตัว “ความจริงก็ไม่หรอก…ก่อนหน้านี้ฉันปวดฟันใช่มั้ย กินโจ๊กอยู่ตั้งนานแล้วก็ทำอาหารไม่เป็นอีก ร้านขายของกินรอบๆ นี้สั่งอาหารมาส่งให้กินเกือบหมดแล้ว กินจนเบื่อ นานๆ จะมีโอกาสได้กินกับข้าวบ้านสักครั้งก็เลยเป็นแบบนี้ อย่าถือสาเลยนะ”
พอพูดถึงเรื่องปวดฟัน เวินเซ่าชิงก็นึกอะไรขึ้นได้ เขาวางตะเกียบ พูดอย่างเป็นงานเป็นการ “เราสองคนรู้จักกันมาหลายปีแล้วนะ ตอนนี้เป็นเพื่อนบ้านกันก็ควรสนิทสนมกันให้มากๆ ใช่มั้ย”
ฉงหรงเหมือนก้างปลาติดคอ กินไม่ลง “เราสองคนแค่รู้จักกันนานแล้ว แต่ขาดการติดต่อกันไปนานมาก ใช้มือข้างเดียวก็นับจำนวนครั้งที่เราเจอกันได้ ความจริงเราไม่สนิทกันเลย”
เวินเซ่าชิงได้ข้อสรุปว่า “เพราะว่าไม่สนิท คุณจึงเอาแต่หลบหน้าผม?”
อาการปากกับใจไม่ตรงกันติดตัวผู้หญิงมาตั้งแต่เกิด ฉงหรงปฏิเสธตามจิตใต้สำนึก “เปล่านะ”