ทางด้านนั้นกลุ่มเด็กนักศึกษาคุยกันสนุกสนาน ทางด้านนี้ไม่เห็นความผิดปกติจากสีหน้าเวินเซ่าชิงอีกแล้ว ท่าทางเขาผ่อนคลาย หยิบมือถือออกมา “แอดวีแชตกันหน่อยสิ”
ฉงหรงขมวดคิ้วแน่น “แอดวีแชตทำไม”
เวินเซ่าชิงอ้างไปเรื่อย “ต้องมีช่องทางติดต่อกับผู้ปกครองนักศึกษา ปรึกษาสภาพจิตใจของนักศึกษาได้ทุกเวลา เพื่อการเรียนที่ดีขึ้นของเขา”
ฉงหรงแสดงความรังเกียจเหยียดหยามต่อข้ออ้างอ่อนด้อยนี้ “จงเจินเรียนชั้นประถมหรือ เขาโตขนาดนั้นแล้ว รับผิดชอบตัวเองได้”
เวินเซ่าชิงส่งสัญญาณให้ฉงหรงดูอีโมจิที่กำลังเต้นดุ๊กดิ๊กที่ห้องรับแขก “แน่ใจนะ?”
ฉงหรงสูดลมหายใจลึกมาก ครั้งก่อนนามบัตรใบนั้นถูกเธออาศัยจังหวะชุลมุนชิงกลับมาได้ แต่สงสัยว่าครั้งนี้คงหนีไม่พ้น
สุดท้ายก็ยังคงต้องแอดวีแชตกันอยู่ดี หนีไม่รอด เป็นสัญลักษณ์ว่าฉงหรงกับเวินเซ่าชิงฟื้นฟูความสัมพันธ์กันอีกครั้งแล้ว มีความหมายยิ่งใหญ่นัก
หลังกินอาหารเสร็จ กลุ่มนักศึกษาที่มีพลังไม่รู้หมดก็ล้อมวงเล่นเกมฆ่าคนอยู่ที่ห้องรับแขกส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว ‘คนแก่’ สองคน คนหนึ่งล้างจานอยู่ในห้องครัว คนหนึ่งยืนอยู่ที่ประตูห้องครัวดูอีกคนล้างจาน ภาพนี้เป็นภาพที่คุ้นเคยมาก ทำให้ฉงหรงรู้สึกเหมือนย้อนกลับไปอีกโลกหนึ่ง
ฉงหรงมองมือสวยๆ คู่นั้นเคลื่อนไหวไปมาอยู่ใต้สายน้ำไหล สายตาเลื่อนจากมือไปที่ใบหน้าด้านข้าง
เทพเจ้าแห่งกาลเวลาต้องเมตตาผู้ชายคนนี้แน่นอน นอกจากความหนักแน่นและความอ่อนโยนที่หว่างคิ้วชัดเจนขึ้นกว่าแต่ก่อนแล้ว ใบหน้าที่อยู่ด้านหน้าของเธอเหมือนกับที่พบครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน แนวเส้นชัดเจนสวยงาม หูตาจมูกสมส่วน ไม่มีร่องรอยของกาลเวลาทำร้ายแม้แต่น้อยนิด หล่อเท่จนชวนให้ขนลุก นี่สินะที่เขาว่าไว้ ปราชญ์ผู้ได้รับการศึกษา ท่วงท่าสง่า บริสุทธิ์ดั่งหยกงาม
เวินเซ่าชิงปล่อยให้เธอจับจ้องตามสบาย ล้างจานเก็บเข้าที่เรียบร้อยแล้วก็เงยหน้ามาทางเธอ ยิ้มมุมปากแบบอารมณ์ดีถามว่า “งานยุ่งมาก ก็เลยนอนที่สำนักงานทนายความหรือ”
ฉงหรงมองใบหน้านั้น ภายใต้รูปลักษณ์ภายนอกที่สุภาพมีมารยาทซ่อนความร้ายกาจบีบคั้นคนเอาไว้ เธอเถียงไม่ออก ก็เหมือนในอดีตที่เขายืนอยู่ที่เดิมพูดกับเธอ ‘ฉงหรง พวกเราเคยเจอกันมาก่อน’
ช่วงเวลาต่อมาฉงหรงไม่ค่อยมีสมาธินัก จนกระทั่งส่งแขกกลับหมดแล้ว เธอก็รีบจับจงเจินมาสอบสวนทันที “จำได้ว่าตอนนั้นนายตั้งใจจะสอบโทไปเรียนกับศาสตราจารย์แก่ๆ ไม่ใช่เหรอ ทำไมอยู่ดีๆ กลายเป็นนักศึกษาของเวินเซ่าชิงล่ะ”
ตอนนั้นเธออุตส่าห์หาข้อมูลของศาสตราจารย์คนนั้น เพราะเหตุนี้เธอจึงเข้าใจว่า ‘บอส’ ที่จงเจินพูดถึงคืออาจารย์สูงวัยคนนั้น ไม่ได้คิดไปถึงเวินเซ่าชิงแม้แต่น้อย
จงเจินหยุดทำหน้ายิ้มทะเล้นทันที เปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจัง “ตอนยังเรียนปริญญาตรีอยู่ ทีแรกผมไม่สนิทกับอาจารย์เวินเท่าไหร่ ช่วงหลายปีมานี้ฝ่ายหมอกับฝ่ายคนไข้มีปัญหากันบ่อย บางทีมีญาติคนไข้หรือนายหน้า* มาหาเรื่อง วันนั้นอาจารย์ส่วนใหญ่มีคิวผ่าตัด เหลือผมกับเพื่อนนักศึกษาไม่กี่คน ตอนนั้นเจอเรื่องแบบนี้ครั้งแรก ผมกลัวมากเลย พอดีอาจารย์เวินเพิ่งออกจากห้องผ่าตัด ผ่าตัดสิบกว่าชั่วโมง ยังไม่ทันได้เปลี่ยนชุดผ่าตัดก็รีบวิ่งมาช่วย ชุดผ่าตัดยังเปื้อนเลือดอยู่เลย เขายืนขวางด้านหน้าเรา พูดกับผมว่า ‘เด็กๆ ยืนข้างหลังผมนี่’ วันนั้นเขายืนอยู่ข้างหน้าปกป้องพวกเรา…
“ต่อมาพอเขาได้เป็นศาสตราจารย์อายุน้อยที่สุดก็มาบรรยายที่ ม. ด้วย ผมไปสาย ตอนไปถึงใกล้จะจบงานแล้ว เขาบรรยายเรื่องเกี่ยวกับจริยธรรมทางการแพทย์อะไรพวกนี้ให้เราฟัง แล้วยังบอกว่า ‘ผู้เรียนหมอ ต้องเรียนรู้การเป็นมนุษย์ที่ดีก่อน จากนั้นจึงค่อยเรียนหมอเพื่อรักษาคน ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นยังไงก็ต้องรับผิดชอบคนไข้ให้ถึงที่สุด ตัวเองต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด อย่าทำผิดต่อคนไข้ ไม่ว่าอย่างไรอาชีพหมอนี้ก็ต้องมีคนสืบสาน ปู่ของผมเคยพูดว่ายึดมั่นหลักการ มุ่งมั่นฟันฝ่าอุปสรรค’ ” บนใบหน้าหนุ่มน้อยจงเจินปรากฏแววศรัทธา พูดตามเบาๆ รอบหนึ่ง “ยึดมั่นหลักการ มุ่งมั่นฟันฝ่าอุปสรรค พี่ ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยมีความรู้สึกว่าการเรียนหมอจะมีแรงกระตุ้นมากมายมหาศาลขนาดนี้ วินาทีนั้นผมเห็นแสงเจิดจ้าจากตัวเขา อยากเป็นหมอที่ดีแบบเขา ปีนั้นก็เลยสมัครเรียนปริญญาโทกับอาจารย์เวิน”