ฉงหรงมองออกไปข้างนอก ลมกลางคืนกำลังพัดแรง เธอจึงบอกกับเขาว่า “ให้มันอยู่ในนี้เถอะ ดูเหมือนระเบียงจะหนาวมาก…”
เวินเซ่าชิงเลิกคิ้วมองเธอ “แน่ใจนะ”
ฉงหรงกัดฟัน “ให้มันไปห้องหนังสือเถอะ”
ตอนที่เวินเซ่าชิงทำอาหาร ฉงหรงยืนอยู่ข้างๆ มองหน้าเขาอย่างเกรงใจ นึกถึงครั้งก่อนเห็นตำราการแพทย์ที่เขียนด้วยมือที่บ้านจงเจิน กำลังคิดจะไปดูห้องหนังสือ แต่พอนึกถึงรั่งอี๋รั่งที่อยู่ในนั้น เธอก็เปลี่ยนใจอย่างเฉียบขาด สุดท้ายได้แต่ไปนั่งเบื่ออยู่บนโซฟาห้องรับแขก
หญิงสาวกำลังคิดว่าคนมากินฟรีอย่างเธอนั่งเฉยๆ รอกินอย่างเดียวดูไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟาก็สั่นขึ้นมา
ฉงหรงเหลือบมอง หน้าจอมือถือโชว์สายเข้าจาก ‘ฉินฉู่’ พอเห็นชื่อนี้ในใจเธอก็รู้สึกไม่ค่อยดี แล้วคิดไปถึงว่าโรงพยาบาลอาจมีคนไข้ฉุกเฉินต้องการเรียกเขากลับไป จึงตะโกนไปทางห้องครัวเรียกเวินเซ่าชิง “มือถือดัง เพื่อนร่วมงานติดต่อหาคุณ!”
เวินเซ่าชิงคงปลีกตัวมาไม่ได้ จึงตอบมาว่า “ช่วยเอามาให้ที”
ฉงหรงเพิ่งหยิบมือถือขึ้นมาก็เห็นรั่งอี๋รั่งพุ่งมาที่ด้านหน้า จ้องเขม็งมาที่เธอ
ฉงหรงตกใจสะดุ้งโหยง รีบหมุนตัวกลับเดินเข้าห้องครัว จิตใต้สำนึกบอกเธอว่าอยู่ข้างๆ เวินเซ่าชิงถึงจะปลอดภัย
เวินเซ่าชิงเช็ดมือแล้วรับโทรศัพท์ ไม่รู้ว่าปลายสายพูดอะไรบ้าง เขารีบตอบว่า “ไม่ดีกว่า กำลังทำอยู่ ทำเสร็จก็จะกินละ”
ดูเหมือนเสียงผู้หญิงที่ด้านนั้นหัวเราะแล้วพูดอะไรอีก คราวนี้สายตาเวินเซ่าชิงจ้องนิ่งที่ฉงหรง ก่อนจะตอบว่า “ไม่เป็นไร ผมมีเพื่อนอยู่กับผมที่นี่ ไม่ค่อยสะดวก” จากนั้นก็รีบกดตัดสายแล้วส่งมือถือให้เธอ ก่อนจะหันไปล้างมือ เริ่มใส่เกลือลงหม้อ
ฉงหรงรู้สึกได้ว่าเวินเซ่าชิงรักษามารยาทกับฉินฉู่ เหมือนไม่สนิทกันมาก ไม่เหมือนที่จงเจินเดาไว้ เธอถามหยั่งเชิงว่า “ต้องกลับโรงพยาบาลไปทำงานต่อหรือ”
“ไม่ต้อง เพื่อนร่วมงานชวนผมออกไปกินเลี้ยงกัน ได้ยินว่าผมกำลังเตรียมอาหารก็จะมากินบ้านผมแทน ผมปฏิเสธไปแล้ว”
ชายหนุ่มอธิบายสั้นๆ ได้ใจความ เสร็จแล้วก็ย้อนถาม “รู้ได้ยังไงว่าฉินฉู่เป็นเพื่อนร่วมงานผม”
“เอ่อ…” ฉงหรงไม่รู้จะตอบอย่างไร อ้ำอึ้งอยู่ครู่ใหญ่ก็ได้แต่พูดตามจริง “จงเจินบอก”
“อยู่ดีๆ เขาบอกทำไม”
“ไม่มีอะไร ตอนคุยเล่นกัน เขาบอกว่าคุณผ่าตัดเก่งมาก แล้วบอกเรื่องอันดับอะไร ‘หนึ่งเวินสองฉู่’ นั่นด้วย”
เวินเซ่าชิงจับประเด็นสำคัญเก่งมาก “พวกคุณคุยเรื่องผมบ่อยหรือ”
“เปล่านะ” ฉงหรงรู้สึกว่าถ้าไม่รีบเปลี่ยนเรื่องคุยต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่ เธอพบว่าเจ้าหมาที่ตามเข้ามากำลังมองเธอด้วยสายตาไม่ค่อยเป็นมิตร จึงขยับเข้าชิดเวินเซ่าชิง “มันเป็นอะไรหรือเปล่า”
เวินเซ่าชิงมองรั่งอี๋รั่ง แล้วหันกลับมามองเธอ “คงเพราะว่า…คุณแย่งงานของมัน ปกติเวลามือถือดังมันจะคาบมาให้”
ฉงหรงนิ่งงัน เธอกลายเป็นศัตรูแย่งความรักกับหมาโดยไม่ได้ตั้งใจไปเสียแล้ว
เวินเซ่าชิงดับไฟ ยกอาหารมาวางบนโต๊ะอาหารที่ด้านนอกพร้อมกับแนะนำฉงหรงว่า “ที่มันกระโจนเข้าใส่หลายครั้งเพราะอยากเล่นกับคุณ แสดงว่ามันจำคุณได้ เป็นการแสดงการยอมรับแบบหนึ่ง มันซนมาก ถ้ามันรู้ว่าทุกครั้งที่กระโจนเข้าหาคุณ คุณจะกลัว มันก็จะสนุก ก็จะ…คุณไม่ได้สังเกตหรือว่าทุกครั้งที่เจอ มันอยากกระโจนเข้าหา พอมันรู้ว่าคุณกลัวมัน มันก็จะยิ่งเอาใหญ่ แต่ถ้าอยู่เฉยๆ มันก็ไม่สนุกแล้ว”