บทที่ 5
พอถึงเวลาเริ่มเรียนจริงๆ แล้ว โรงอาหารของโรงเรียนก็เริ่มปฏิบัติงาน โดยทั่วไปนักเรียนจะกินอาหารเที่ยงที่โรงอาหารหรือไม่ก็ตามร้านอาหารเล็กๆ รอบโรงเรียน แต่เนื่องจากที่ผ่านมาโรงอาหารของไห่อีได้ชื่อว่าสะอาดและอุดมสมบูรณ์ นักเรียนจึงเลือกกินข้าวที่โรงอาหารกันเป็นส่วนใหญ่
เสียงกริ่งเลิกคาบเพิ่งจะดังขึ้น นักเรียนชายตัวป่วนไม่กี่คนในห้องก็พุ่งออกจากห้องเรียนไปราวสายลม ครูวิชาคณิตศาสตร์ชินกับฉากแบบนี้เสียแล้ว เก็บแผนการสอนไปพลางเอ่ยแซวไปพลาง “ขอให้พวกเขาแย่งซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานจานแรกของเทอมได้”
เมนูเด็ดของโรงอาหารไห่อีคือซี่โครงหมูเปรี้ยวหวาน ถึงขั้นเคยออกรายการอาหารท้องถิ่นมาก่อน
เยวี่ยหลีน้ำลายไหลระหว่างนำเสนอความอร่อยของซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานให้กับชีอิ้งตลอดคาบ ดูแล้วเธอคงจะลากชีอิ้งแจ้นไปที่โรงอาหารอย่างไม่ยอมรั้งท้ายแน่
ผลปรากฏว่าพวกเธอประเมินความรักความชอบของเด็กหนุ่มผู้เหมือนหมาป่าและเสือกลุ่มนี้ที่มีต่อซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานต่ำไปหน่อย ตอนที่ไปถึงถาดอาหารก็ว่างเปล่าแล้ว
ดังนั้นจึงได้แต่เลือกลูกชิ้นปลาเปรี้ยวหวานที่เป็นของดีรองลงมาแทน
ช่วงพักกลางวันทุกที่ล้วนมีแต่คน พอเยวี่ยหลีพาชีอิ้งตักอาหารเสร็จ รอบด้านก็ไม่มีโต๊ะว่างเหลือแล้ว ปกติในสถานการณ์แบบนี้จะต้องไปนั่งร่วมโต๊ะกับเพื่อนในชั้น เยวี่ยหลีก็เช่นกัน เมื่อหาเพื่อนร่วมห้องของตนเองเจอแล้วเธอจึงถือจานอาหารเดินไปทางนั้น
โต๊ะอื่นๆ มีสมาชิกเกือบเต็มกันหมดแล้ว มีเพียงโต๊ะที่อยู่ติดประตูกระจกตัวนั้นที่มีคนนั่งแค่คนเดียว
คนผ่านไปผ่านมา อย่าว่าแต่นั่งเลย แค่จะมองยังไม่กล้ามองไปทางนั้น
เยวี่ยหลีกำลังพูดกับเพื่อนร่วมชั้นที่อยู่ไม่ไกลออกไป “ทำไมพวกเธอมานั่งนี่อีกแล้ว ตรงนี้ติดกับที่ทิ้งเศษอาหาร กลิ่นแรงมาก!”
คำพูดเพิ่งจะสิ้นสุด โรงอาหารที่เสียงดังอึกทึกอยู่ๆ ก็เงียบลงในชั่วพริบตา
เยวี่ยหลีตกใจจนยกมือป้องปาก ยังนึกว่าตัวเองเสียงดังเกินไป แต่แล้วกลับพบว่าสายตาของคนรอบข้างพุ่งไปทางประตูโดยพร้อมเพรียง เธอเองก็หันกลับไปมองด้วย การมองครั้งนี้เป็นไปโดยไม่ได้ตั้งใจเท่าไรนัก แต่กลับทำเอาเกือบถือจานอาหารไว้ไม่อยู่
ชีอิ้งที่เดิมเดินตามอยู่ข้างหลังเธอตอนนี้ไม่รู้ว่าไปนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจี้รั่งตั้งแต่เมื่อไหร่
ในโรงเรียนมัธยมไห่เฉิงหมายเลขหนึ่งแห่งนี้มีใครไม่รู้บ้างว่าที่ผ่านมาจี้รั่งไม่นั่งกินข้าวร่วมโต๊ะกับคนอื่น ขนาดพวกเด็กที่คลุกคลีอยู่กับเขายังไม่กล้าล้ำเส้น
ตอนที่จี้รั่งเพิ่งเข้ามาในไห่อี ไม่มีใครเห็นนักเรียนใหม่ที่ว่ากันว่าไม่ควรตอแยคนนี้อยู่ในสายตา ตอนนั้นนักเลงหัวไม้ปีสามที่มาจากโรงเรียนกีฬาก็พากันไปนั่งตรงข้ามจี้รั่งด้วยท่าทางแส่หาเรื่อง พวกนั้นจึงถูกจี้รั่งใช้ถาดอาหารที่เต็มไปด้วยกับข้าวร้อนๆ โปะใส่หน้าต่อหน้าต่อตาครูและนักเรียนทั้งโรงเรียน
นักเลงหัวไม้อาละวาดขึ้นมาก็ถูกจี้รั่งต่อยจนฟันร่วงอีกสองซี่
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อเห็นเขา ทุกคนก็จะพากันเดินอ้อมทั้งนั้น
เยวี่ยหลีตกใจแทบบ้า คิดจะตะโกนเรียกชีอิ้งก็ไม่ได้ยิน คิดจะเข้าไปหาเธอก็ไม่กล้า
เกิดความเงียบอย่างน่าประหลาดไปทั่วทั้งโรงอาหาร
แถมชีอิ้งกลับยังส่งยิ้มให้เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอีกต่างหาก
ข้างในใจลึกๆ ชีอิ้งไม่ค่อยชอบใจนัก ทำไมทุกคนถึงพูดคุยหัวเราะเฮฮาสนุกสนาน แต่ท่านแม่ทัพกลับนั่งอยู่ตรงนี้แบบเหงาๆ ตัวคนเดียว
คนพวกนี้เข้าใจเขาผิด นินทาเขาก็แล้วไป แต่นี่กลับยังขับเขาออกจากกลุ่มอีก!
ชักจะเกินไปแล้วนะ!
มือที่คีบอาหารของจี้รั่งค้างอยู่กลางอากาศ ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองไปครู่ใหญ่
ชีอิ้งกะพริบตาราวกับไม่เข้าใจ ยิ้มให้เขาหวานหยด จากนั้นก็ก้มหน้าเริ่มกินอาหารคำเล็กๆ
ท่วงท่าในการกินข้าวของเธอดูน่ารัก ขนตายาวตวัดขึ้นลงตามการเคี้ยวของปาก เห็นได้ชัดว่ากินอย่างเอร็ดอร่อย แต่กลับไม่มีเสียงเลยสักนิด
พวกนายเบิ้มชวีและหลิวไห่หยางที่นั่งโต๊ะด้านข้างไม่กล้าหายใจแรง กลัวพี่รั่งจะยกถาดอาหารขึ้นมาฟาดใส่นักเรียนพิเศษที่ไม่สามารถแตะต้องได้แม้แต่เส้นผมคนนี้
จี้รั่งจ้องเธออยู่นานก่อนจะขยับตัวในที่สุด
คนทั้งหลายต่างพากันถอนหายใจอย่างโล่งอก
จากนั้นพวกเขาก็เห็นลูกพี่ขาใหญ่โรงเรียนหยิบช้อนขึ้นมาตักน้ำซุปคำหนึ่งเข้าปาก ก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อไป
นักเรียนทั้งโรงเรียนได้แต่นิ่งอึ้ง
นายเบิ้มชวีใช้ช้อนเคาะโต๊ะแรงๆ “มองอะไรกัน ไม่กินก็ไสหัวไป!”
สายตาจากผู้คนรอบด้านพากันถอนออกไปอย่างรวดเร็ว โรงอาหารกลับมามีเสียงพูดคุยอีกครั้ง เยวี่ยหลีสาวเท้าก้าวไปนั่งลงตรงที่ว่างอย่างลำบากใจ จ้องตากันปริบๆ กับเพื่อนร่วมห้อง
หวงป๋อทงกรรมการนักเรียนถามว่า “เรื่องอะไรกันเนี่ย”
เยวี่ยหลีงงงัน “ไม่รู้เลย”
เฉินเมิ่งเจี๋ยพูดขึ้นมาอย่างครุ่นคิด “บางที…จี้รั่งอาจมีความอดทนต่อนักเรียนใหม่มากหน่อยมั้ง”
ก็จริง…อย่างไรเสียเมื่อวานนี้เขาก็ช่วยชีอิ้งไว้ ดูท่าแล้วเพื่อนนักเรียนจี้จะยังเป็นมิตรและมีเหตุผลอยู่
ทางอีกฝั่งนั้น เพื่อนนักเรียนจี้ที่ทั้งเป็นมิตรและมีเหตุผลกินซุปไปสองสามคำ มือที่ถือช้อนอยู่ก็ค่อยๆ กำแน่นขึ้น ก่อนจะขู่เสียงเบาใส่ชีอิ้งเสมือนว่าเธอได้ยินที่เขาพูด “เตือนเธอไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้อยู่ห่างๆ ฉันหน่อย”
นายเบิ้มชวียื่นศีรษะเข้าไป “หือ? พี่รั่งว่าอะไรนะ”
“ไสหัวไป!”
“…อ้อ”
ชีอิ้งที่ก้มหน้ากินข้าวอยู่เห็นความเคลื่อนไหวของฝั่งตรงข้ามจากทางหางตาจึงเงยหน้าขึ้นพลันสบเข้ากับสายตาเย็นเยียบของเด็กหนุ่มโดยไม่ทันตั้งตัว
ท่านแม่ทัพดูดุจังเลย…อาหารไม่อร่อยงั้นหรือ
เธอทอดสายตามองไปบนถาดอาหารของเขา ข้างในนั้นมีซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานที่เยวี่ยหลีบอกว่าอร่อยที่สุดอยู่แท้ๆ
แปลกมาก
ชีอิ้งคิดแล้วหยิบช้อนที่ยังไม่ได้ใช้งานตักลูกชิ้นปลาในถาดอาหารของตนเองขึ้นมาลูกหนึ่งก่อนจะยื่นไปวางลงในถาดอาหารของจี้รั่ง
“…”
ชีอิ้งขยับปากพูดโดยไม่มีเสียง “อันนี้อร่อย”
“…”
เขาอ่านปากออก
ดวงตาของเธอใสบริสุทธิ์อย่างยิ่ง เหมือนกับกำลังบอกเขาว่า ‘นายชิมสักคำสิ’
จี้รั่งนิ่งงันอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็หัวเราะเยาะ เขาใช้ตะเกียบเขี่ยลูกชิ้นปลาไปอีกทาง ทำเหมือนพูดกับตัวเองว่า “แถมยังได้คืบจะเอาศอกอีก”
เขาไม่ได้กินลูกชิ้นปลาลูกนั้น ขนาดข้าวก็ยังกินไม่เสร็จแต่ลุกจากไปแล้ว
พวกนายเบิ้มชวีเช็ดปากแล้วรีบตามไป
ชีอิ้งมองดูแผ่นหลังของเขา ในใจรู้สึกเศร้าขึ้นมา
ท่านแม่ทัพในชาตินี้เข้าหายากอย่างกับทั่วทั้งตัวเป็นเสี้ยนหนาม
เธอก้มหน้าลงและยัดข้าวเข้าปากอย่างไร้รสชาติ
พอจี้รั่งออกไปแล้ว เยวี่ยหลีถึงได้กล้าเข้ามาหาชีอิ้ง คราบมันที่มุมปากยังไม่ทันเช็ดให้สะอาดก็พิมพ์ข้อความบนโทรศัพท์มือถือแล้วยื่นให้ชีอิ้งอ่าน
เยวี่ยหลี : ‘อิ้งอิ้ง เธอรู้หรือเปล่าว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาจี้รั่งไม่กินข้าวร่วมโต๊ะกับคนอื่น คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับเขาคนล่าสุดถูกเขาต่อยจนฟันร่วงสองซี่!’
ชีอิ้งตกตะลึง เอามือป้องปากตัวเองอย่างเพิ่งนึกกลัวขึ้นมา
ขอโทษด้วย เธอกล่าวโทษท่านแม่ทัพผิดไปแล้ว!
ท่านแม่ทัพไม่ได้เข้าหายากเลยสักนิด ถึงขนาดยังยั้งมือไว้ไมตรีต่อเธอด้วยซ้ำ!
เมื่อเข้าเรียนในช่วงบ่าย ทั่วทั้งโรงเรียนก็รู้เรื่องที่วันนี้ลูกพี่ขาใหญ่ของโรงเรียนกินอาหารร่วมโต๊ะกับนักเรียนพิเศษ คนในชนชั้นมีอิทธิพลจะทำอะไรก็เป็นที่ซุบซิบนินทาในระหว่างคาบเรียนอันน่าเบื่ออยู่แล้ว
ในห้องน้ำหญิงมีเด็กผู้หญิงสองสามคนกำลังคุยซุบซิบกันอย่างร้อนแรง
“เมื่อวานนี้ลูกพี่เป็นผู้กล้าช่วยสาวงาม วันนี้ก็กินข้าวด้วยกัน นี่ใช่จังหวะของความรักหรือเปล่านะ!”
“เป็นไปไม่ได้น่า! ขนาดเซวียม่านชิง จี้รั่งยังไม่เห็นอยู่ในสายตา แล้วจะไปมองคนหูหนวกอย่างนั้นได้ยังไง”
“แต่นักเรียนพิเศษสวยกว่าเซวียม่านชิงนะ”
“จี้รั่งไม่ได้เป็นเกย์เหรอ”
“…”
“เฮ้ยๆๆ พวกเธออย่ามาจ้องฉันนะ ฉันไม่ได้พูดเอง! ลับหลังทุกคนก็พูดอย่างนี้กันทั้งนั้น บอกว่าเขาไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับผู้หญิง ไม่รับการสารภาพรักใดๆ ทั้งสิ้น ได้ยินว่าเซวียม่านชิงก็ถูกเขาปฏิเสธมาสามสี่หนแล้ว…”
ประตูห้องน้ำเปิดออกส่งเสียงดังแอ๊ด
เซวียม่านชิงเดินออกมาจากข้างในด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก นักเรียนหญิงสองสามคนที่กำลังคุยซุบซิบนินทาจึงจากไปโดยไว
เวลาช่วงบ่ายผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ตอนที่ใกล้จะเลิกเรียนอวี๋จั๋วก็ส่งข้อความหาชีอิ้ง
อวี๋จั๋ว : ‘พี่ วันนี้ผมทำเวร พี่รอผมที่ห้องแป๊บนะ’
ชีอิ้ง : ‘ได้’
อวี๋จั๋ว : ‘ได้ยินว่าวันนี้พี่กินข้าวโต๊ะเดียวกันกับจี้รั่งเหรอ พี่อย่าเข้าใกล้เขาได้ไหม เขาไม่ใช่คนดีอะไรจริงๆ’
คราวนี้ชีอิ้งไม่สนใจเขา
เยวี่ยหลีคัดลอกโน้ตในสมุดของชีอิ้งเสร็จแล้วก็เขียนข้อความบอกลาเธอ
‘อิ้งอิ้ง ฉันไม่รอเธอนะ พรุ่งนี้มีสอบฟังเขียนคำศัพท์ของหน่วยที่หนึ่ง ฉันต้องรีบกลับไปทบทวนเร็วหน่อย!’
ชีอิ้งพยักหน้า แม้ว่าเธอจะร่วมสอบฟังเขียนของวันพรุ่งนี้ไม่ได้ แต่ก็ยังหยิบหนังสือภาษาอังกฤษออกมาเริ่มต้นทบทวน เกือบหนึ่งชั่วโมงให้หลังถึงได้ข้อความวีแชตจากอวี๋จั๋วบอกให้เธอไปรอเขาที่พุ่มไม้ประดับนอกตึกเรียน
ชีอิ้งเก็บกระเป๋านักเรียนเรียบร้อยแล้วจึงโบกมือให้เพื่อนที่ยังทำความสะอาดอยู่ในห้องก่อนจะเดินออกจากห้องเรียนไป
ขณะลงบันได นักเรียนเจ็ดแปดคนก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหัวมุม ในกลุ่มนั้นมีทั้งผู้ชายและผู้หญิง ต่างพากันหัวเราะคิกคักและขวางอยู่ตรงทางเดิน หนึ่งในนั้นถามเธอว่า “เฮ้ย นางใบ้ เลิกเรียนแล้วเหรอ”
ชีอิ้งไม่ได้ยินเสียง แต่รู้สึกได้ถึงรอยยิ้มไม่เป็นมิตรของพวกเขาจึงนิ่วหน้าถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
คนรอบข้างล้อมเข้ามา กั้นเธอไว้ตรงกลาง
นักเรียนหญิงที่เป็นหัวโจกผลักเธอทีหนึ่ง “พูดก็พูดไม่ได้ยังอ่อยผู้ชายขนาดนี้ ถ้าเกิดพูดได้ขึ้นมา คงไม่ใช่จะปั่นนักเรียนชายทั้งโรงเรียนจนหัวหมุนกันหมดหรอกนะ”
นักเรียนชายสองสามคนหัวเราะลั่น “อย่าเพ้อเจ้อน่า ใครมันจะไปชอบคนพิการที่ทั้งหูหนวกทั้งเป็นใบ้อย่างนี้ลง”
นักเรียนที่ทำความสะอาดทางเดินอยู่มองมาสองสามที นักเรียนชายร่างสูงใหญ่ที่เป็นหัวโจกก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงดุร้าย “อย่ายุ่งไม่เข้าเรื่องนะเว้ย!”
สายตาทั้งหลายเหล่านั้นถอนกลับไปอย่างรวดเร็ว ชั้นนี้ทั้งชั้นเป็นห้องเรียนของปีสอง เวลานี้แทบจะว่างเปล่าโหวงเหวง ชีอิ้งไม่รู้ว่าพวกเขาจะทำอะไร ทั้งยังสลัดไม่หลุด ร้อนใจจวนจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว
ขณะที่ไม่รู้ว่าจะทำยังไง สายตาก็กวาดไปเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยเดินลงมาจากบันได ดวงตาสว่างวาบทันใด
จี้รั่ง!
คนที่ล้อมขวางทางเธอก็เห็นแล้ว บนใบหน้าเหล่านั้นฉายแววตื่นกลัวทันใด ขณะที่พวกเขากำลังลนลาน จี้รั่งก็เดินผ่านไปโดยไม่แม้แต่จะชำเลืองมองราวกับว่าตรงนี้ไม่มีคนอย่างไรอย่างนั้น
คนเหล่านั้นถอนใจโล่งอก ประกายแสงในดวงตาของชีอิ้งพลันหม่นลง
หนึ่งในนักเรียนชายหัวเราะเยาะ ยื่นมือไปลูบหน้าเธอ “ก็นะ หน้าตาแบบนี้ พอทำสีหน้าน่าสงสารขึ้นมา ก็ดูอ่อยจริงๆ แหละ”
อยู่ๆ ชีอิ้งก็ผลักเขาอย่างแรงหนึ่งที
เธอยืนนิ่งเงียบเรียบร้อยปล่อยให้พวกเขารังแกมาตลอด อยู่ๆ พอใช้กำลัง นักเรียนชายคนนั้นเองก็คาดไม่ถึง เขายืนอยู่บนขั้นบันได พอศูนย์ถ่วงน้ำหนักไม่สมดุลก็หน้าหงายไปข้างหลัง ส้นเท้าสะดุดกับขั้นบันได ล้มลงไปแรงมาก
คนเหล่านั้นต่างตะลึงงัน นักเรียนชายที่ล้มลงไปส่งเสียงด่าทอดังลั่น เกิดโมโหสุดขีดรีบลุกขึ้นมาเงื้อมือจะตบไปที่ใบหน้าของชีอิ้ง
แขนที่ยกขึ้นกลางอากาศพลันถูกบีบไว้
นักเรียนชายหันกลับไปด่าด้วยความขุ่นเคือง “เวรเอ๊ย! แก…” เมื่อเห็นคนที่อยู่ข้างหลังแล้วเขาก็ได้แต่ฝืนกลืนถ้อยคำที่เหลืออยู่กลับลงไปในคอราวกับเห็นผี
จี้รั่งที่สีหน้าเย็นเฉียบเป็นน้ำแข็งยืนอยู่ด้านหลัง นิ้วมือเรียวยาวบีบแขนของนักเรียนชายจนแทบหัก เหวี่ยงนักเรียนชายคนนั้นไปด้านหลัง ท่ามกลางสีหน้าเจ็บปวดนั้น เขากล่าวเพียงแค่คำเดียวว่า “ไสหัวไป”
นักเรียนเกเรกลุ่มนี้ก็แยกย้ายแตกกระเจิงไป
น้ำตาที่เดิมทีชีอิ้งได้แต่กลั้นเอาไว้ร่วงออกมาทันใด
จี้รั่งก้มหน้ามองเธอ บนใบหน้าเผยให้เห็นสีหน้าเหลืออด “ร้องอะไร! ไม่ใช่ว่ากลับมาแล้วหรือไง”
เธอร้องไห้หนักกว่าเดิม
เขาล้วงซ้ายควักขวา ในกระเป๋าเสื้อไม่มีอะไรเลย สุดท้ายก็หยิบหนังสือเลขออกมาจากกระเป๋านักเรียน ฉีกออกมาหนึ่งหน้าแล้วขยำเป็นก้อน พลิกไปพลิกมาอยู่หลายรอบทำให้กระดาษนิ่มลงแล้วค่อยยื่นให้ชีอิ้ง “เลิกร้องได้แล้ว คนอื่นมาเห็นจะนึกว่าฉันรังแกเธอนะ”
ชีอิ้งรับกระดาษที่ยับยู่ยี่ไปเช็ดน้ำตาที่หางตา
จี้รั่งก็ถามขึ้นว่า “แล้วน้องชายจอมกร่างของเธอล่ะ ทำไมไม่มารับ”
ชีอิ้งเม้มริมฝีปาก มองเขาทั้งขอบตาแดงก่ำ
จี้รั่งทนสายตาแบบนี้ไม่ได้
เขาถอนสายตา ยื่นนิ้วสองนิ้วออกไปดึงเอากระเป๋านักเรียนของเธอมาหิ้วไว้แล้วเดินลงไปข้างล่าง ชีอิ้งรีบตามไป แต่เดินไปได้สองก้าว จี้รั่งก็หันกลับไปมองอีกฝ่าย
เธอคว้าชายเสื้อของเขาเอาไว้ตามคาด
ปลายนิ้วขาวเปล่งประกายจับมุมชายเสื้ออย่างระมัดระวังเหมือนกลัวว่าเขาจะไม่พอใจ เรี่ยวแรงเบาจนแทบจะไม่รู้สึก
พอสังเกตเห็นสายตาของเขา ชีอิ้งก็คลายนิ้วอย่างลังเลก่อนจะปล่อยออก
จี้รั่งชะงักฝีเท้า หาแขนเสื้อของเสื้อนักเรียนที่พาดอยู่บนไหล่ของตนออกมา ส่งยื่นไปข้างหลัง
เขาเอ่ยอย่างหมดความอดทน “เอาไปจับ”
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน มิถุนายน 65)
Comments
comments
No tags for this post.