อพาร์ตเมนต์ของเธออยู่ในย่านคังนัมเหมือนกันจึงจัดว่าไม่ไกลนัก รถก็ไม่ติด ใช้เวลาเพียงสิบห้านาทีก็ถึงที่หมาย ซงอาตั้งท่าจะก้าวลงจากรถทันที เรื่องอื่นฮยอนซึงยังไม่พูดคงไม่เป็นไร แต่เรื่องนี้จำเป็นต้องพูดให้ได้
“จะทำยังไงต่อครับ” ฮยอนซึงคว้าแขนเธอไว้
“ไม่รู้ ตอนนี้คิดอะไรไม่ออก”
ซงอาแกะมืออีกฝ่ายโดยไม่มองหน้า มือจับที่เปิดประตูรถอีกหน ฮยอนซึงรีบร้อนลงจากรถแล้วเข้าไปยืนขวางหน้าเธอ
“ยังไม่รู้อีกเหรอครับ สำหรับอีแจชิน รุ่นพี่คือผู้หญิงที่จบกันไปแล้ว ต่อให้รั้งไว้ก็ไม่มีโอกาสกลับมาเหมือนเดิมหรอกครับ”
“หุบปาก!”
ซงอามองชายหนุ่มตาเขียวปั้ดแล้วเดินเลี่ยงออกด้านข้าง เธอตรงไปยังทางเข้าอพาร์ตเมนต์ โดยมีฮยอนซึงเดินตามมาติดๆ
“จะร้องไห้เหรอครับ หรือจะกินเหล้า? หรือทั้งสองอย่าง?”
“บอกให้หุบปาก อย่ามายุ่งกับฉัน!”
“ไม่ครับ”
ซงอาหยุดเดินเพราะคำตอบอันแน่วแน่ของเขา ฮยอนซึงใช้สายตาเศร้าลึกมองเธอที่กำลังตาเขียวหนักกว่าเก่าเป็นเชิงปลอบประโลม
“ผมเป็นห่วง ให้อยู่เป็นเพื่อนมั้ยครับ”
“ทำไมต้องอยู่ นายเป็นใคร”
ซงอาเพิ่งนึกออกว่าเขาสารภาพรักกับเธอแล้ว
“ฉันยังไม่ได้ตอบนายสินะ ฉันไม่สนใจนายแม้แต่ปลายเล็บ ไม่มองนายเป็นชายหนุ่มด้วย ต่อจากนี้ก็คงเหมือนกัน”
“เข้าใจแล้วครับ เรื่องนั้นผมจะค่อยๆ เปลี่ยนให้เอง”
ซงอาหน้าบูด ไม่ถูกใจคำตอบของอีกฝ่าย เธอเกลียดเขาถึงขนาดอยากเอาความแค้นที่มีต่อแจชินมาระบายใส่เขาให้หมดเลยทีเดียว
“เห็นฉันง่ายนักเหรอ เพราะโง่เง่าที่ถูกสวมเขาแถมยังถูกทิ้งด้วยใช่มั้ย”
ฮยอนซึงหน้าตึง คราวนี้เขาเป็นฝ่ายไม่พอใจคำตอบของเธอบ้าง
“ผมว่าผมพูดชัดเจนแล้วนะครับ คนที่ถูกทิ้งไม่ใช่รุ่นพี่ แต่คืออีแจชินต่างหาก ลองเอาไปคิดดูครับ ใช้ผมให้เป็นประโยชน์ ผมเล่นละครเก่งนะ”
“ไม่มีเรื่องแบบนั้นแน่”
ซงอาปฏิเสธอย่างเย็นชา แล้วหันหลังกลับเพื่อออกเดิน คราวนี้ฮยอนซึงไม่ตามไปแล้ว
“จะร้องไห้หรือกินเหล้าก็อย่าให้เยอะเกินไปนะครับ”
เธอเดินเข้าตึกโดยไม่สนใจสิ่งที่เขาพูด แต่ฮยอนซึงยังไม่ยอมแพ้ เขาตะโกนเสียงดังก่อนประตูจะปิด
“ถ้าต้องการความช่วยเหลือต้องโทรหาผมนะครับรุ่นพี่! ผมจะรอ!”
เมื่อเข้ามาในบ้านแล้ว ซงอาก็หลับตานิ่ง ยืนเอนพิงประตู ก่อนจะทรุดลงนั่งบนพื้นแทบจะทันที เธอยังคงไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตัวเอง สิ่งที่ฮยอนซึงให้ดูนั้นเธอเห็นเต็มสองตา ภาพยังคงชัดเจน แต่สมองกลับไม่ยอมรับ หรือพูดให้ถูกคือเธอยอมรับมันไม่ได้
สิบสี่กุมภาพันธ์
ซงอานึกภาพวันจัดพิธีแต่งงานของแจชิน คิดถึงตอนที่เขามาสารภาพรักกับเธอเมื่อสามปีก่อน คิดถึงรอยยิ้มกว้างดั่งได้โลกทั้งใบมาครอบครองของแจชินที่มีให้เธอยามเธอรับรักเขา แต่คนที่เคยยิ้มแบบนั้นกลับ…
จู่ๆ ซงอาก็โมโหจัด กำมือแน่นอย่างเดือดดาล
ทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง! ทั้งที่บอกกันมาตลอดว่ารักมากขนาดนั้นแท้ๆ!
เธอคิดว่าต้องไปเจอแจชินให้ได้ จะเป็นฝ่ายทิ้งเองหรือถูกทิ้งเธอไม่สน ต้องได้จี้ถามเขาเดี๋ยวนี้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เธอถึงจะสบายใจขึ้น
“ขออภัยค่ะ หมายเลขที่คุณเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้…”
ทว่าโทรหาแจชินเท่าไหร่ก็ได้ยินแต่ประโยคเดิม ครั้งที่สอง ครั้งที่สามก็เช่นกัน
ทำอะไรอยู่เนี่ย
เพียงคิดว่าเขาคงกำลังคุยเรื่องชุดแต่งงานและมีช่วงเวลาแสนสุขกับผู้หญิงคนนั้น ซงอาก็บีบโทรศัพท์ในมือแน่นขึ้น
ผู้หญิงคนนั้นรู้มั้ยว่าเขาคบกับฉันอยู่
แปลว่าอีกไม่นานเขามาจะบอกเลิกฉันสินะ
แล้วฉัน…เป็นใครสำหรับผู้ชายคนนั้น
ซงอายิ่งรู้สึกเดือดดาลหนักยามตระหนักได้ในสิ่งที่เมื่อครู่คิดไม่ถึง ไม่นานน้ำตาก็ไหลอาบแก้มเป็นสาย
“คนต่ำช้า ไอ้ขยะสารเลว!”
ซงอาปาดน้ำตาทิ้งอย่างหมายมั่น ไม่อยากนั่งจมจ่อมร้องไห้เหมือนคนโง่อีกต่อไป
“พอ ฉันจะไม่มัวทุกข์ทรมานเพราะไอ้ขยะสารเลวแบบนั้นแล้ว!”
ซงอาเป็นประเภทถ้าได้ตกหลุมรักใครสักคนเข้าจะทุ่มสุดตัวโดยไม่คิดหน้าคิดหลังก็จริง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับรักที่จบลงกลับไม่ตีโพยตีพายเหมือนโลกทั้งใบล่มสลาย แม้จะอึดอัดจนข้างในแทบระเบิดเพราะปัญหาที่แก้ไม่ตกก็ยังสู้ตัดสินใจไม่ออกไปตามหาแจชิน ไม่ยอมทำตัวมุทะลุแบบคนบ้า ไม่ร้องไห้อ้อนวอนเขาด้วย ถึงจะยังรับไม่ได้ก็ใช่ว่าเธอไม่รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นจริงในเวลานี้
สิ่งสำคัญและจำเป็นที่สุดสำหรับซงอาในตอนนี้คือการคลายความตึงเครียดที่สะสมอยู่อย่างหนักหน่วงจนถึงปลายเส้นผมทิ้งไปให้หมดต่างหาก ว่าแล้วเธอก็โยนเสื้อโค้ตลงบนเตียง จัดการโทรหาร้านขาหมูเจ้าประจำ ความเครียดย่อมแก้ได้ด้วยการกินของเผ็ดให้ท้องแตกถึงจะดีที่สุด
“เอาขาหมูไฟลุกจานใหญ่สุด เผ็ดที่สุดแค่ไหน ขอเผ็ดกว่านั้นอีกสองเท่าค่ะ”
“กินเผ็ดขนาดนั้นเดี๋ยวเป็นเรื่องนะครับ ไหวแน่เหรอครับ”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ รบกวนส่งด่วนเลยนะคะ ต่อให้เป็นเรื่องก็เอาอยู่ ทำให้เผ็ดๆ ก็พอค่ะ”
“ยังงั้นเกิดเป็นอะไรไป กรุณาอย่าต่อว่าทางร้านทีหลังนะครับ”
“ค่ะ ไม่ต่อว่าแน่นอน ตามนั้นนะคะ”