ฮยอนซึงสลัดหลุดจากเงื้อมมือยาม เขาคว้าบานประตูเปิดผลัวะ ซงอาล้มพับอยู่บนพื้นหน้าประตูนั่นเอง
“รุ่นพี่!”
ซงอาเหงื่อโซมกายแทบไม่ได้สติ ฮยอนซึงอุ้มเธอขึ้นมาอย่างไม่รีรอ
“ลิฟต์! ลุงครับ ลิฟต์!”
“อะ…เอ้อ ได้ๆ!”
ยามตกใจพอๆ กับฮยอนซึง รีบวิ่งแจ้นไปยังลิฟต์ก่อนใคร ฮยอนซึงที่อุ้มซงอาไว้แน่นจ้ำอ้าวตามมา
“รออีกนิดเดียวครับรุ่นพี่ ผมจะรีบพาไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้”
สิ้นคำพูดเขา ซงอาก็จวนเจียนจะหมดสติ ตาที่หรี่มองฮยอนซึงค่อยๆ หลับลง
ขอร้องล่ะ รุ่นพี่
ฮยอนซึงเร่งฝีเท้าขึ้นอีก หากเกิดอะไรขึ้นกับซงอาเข้าจริงๆ เขาคงทนรับไม่ไหวแน่นอน
“กระเพาะหดเกร็งจากความเครียดน่ะ ไม่ได้เฉียบพลันถึงตาย น้องภรรยาไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นก็ได้”
เมื่อได้ยินที่พี่เขยใหญ่พูด ใบหน้าเคร่งเครียดของฮยอนซึงก็คลายลงเล็กน้อย เมื่อครู่อาการของซงอาค่อนข้างย่ำแย่ แต่เพราะได้รับการรักษาฉุกเฉินเบื้องต้นจึงหลับไปด้วยสีหน้าที่สบายขึ้น
“ขอโทษด้วยครับที่ทำให้ต้องออกมากลางดึกแบบนี้ เพราะผมแท้ๆ”
พี่เขยใหญ่เป็นหัวหน้าศัลยแพทย์โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย เขารีบวิ่งโร่ออกมาทั้งๆ ที่กำลังนอนอยู่เพราะได้รับโทรศัพท์จากฮยอนซึง
“ไว้เลี้ยงเหล้าพี่ทีหลังแล้วกัน ว่าแต่สาวสวยคนนี้แน่เลยใช่มั้ย คนที่พี่สาวเราเล่าให้ฟังคร่าวๆ”
“ตอนผมเลี้ยงเหล้าจะอธิบายให้ฟังอีกทีนะครับ”
“อื้ม ได้ จัดไป”
พี่เขยใหญ่ตบแขนฮยอนซึงเบาๆ ก่อนหันไปตรวจอาการซงอาอีกครั้ง
“อย่าให้กินอาหารรสจัดนะ คงต้องงดสักพักใหญ่เลยล่ะ ดูทรงแล้วน่าจะชอบกินคลายเครียด ถ้าตามใจปากเรื่อยๆ ก็จะเป็นแบบนี้อีก นิสัยนี้เตือนให้แก้หน่อยก็ดี”
“ครับ ขอบคุณครับ”
“อืม งั้นพี่ไปก่อนนะ คุยกับหมอเจ้าของไข้ไว้ให้แล้ว เดี๋ยวคงดูแลต่อให้เอง”
“ครับ”
พี่เขยใหญ่กล่าวตัดบทพลางเดินออกจากห้องฉุกเฉิน ฮยอนซึงมองซงอาที่หลับอยู่อย่างเป็นห่วง เธอร้องไห้ไปมากขนาดไหนกันตาถึงได้ปูดบวมขนาดนี้ โชคดีที่ไม่ได้ดื่มเหล้าเข้าไปด้วย ไม่อย่างนั้นเรื่องคงใหญ่กว่านี้อีก โชคดีจริงๆ
“ป่วยมาเยอะแล้ว จากนี้ห้ามป่วยอีกนะครับ ตอบแทนผมด้วยล่ะ เพราะคงไม่มีใครอุตส่าห์มาให้รางวัลความดีงามของผมถึงนี่แน่”
ฮยอนซึงกุมมือซงอาไว้ข้างหนึ่ง เฝ้าอยู่ข้างๆ เธอไม่ห่าง ผ่านไปราวสองสามชั่วโมงหญิงสาวก็รู้สึกตัว
“ฟื้นแล้วเหรอครับ”
“อยู่โรงพยาบาลสินะ…”
ซงอาขยับริมฝีปากที่แห้งผากอย่างยากเย็น ฮยอนซึงพยักหน้าแทนคำตอบ
“กระเพาะหดเกร็งจากความเครียดน่ะครับ คุณหมอบอกว่าให้ระวัง งดอาหารรสจัดสักพักใหญ่ๆ”
“อืม ว่าแต่ทำไมมาเร็วจัง”
“ทั้งที่เกิดเรื่องขนาดนั้น แต่จำทุกอย่างได้หมดเลยเหรอครับ”
“นั่นสิ”
ตอนฮยอนซึงมาถึงนั้นซงอาใกล้หมดสติแล้วก็จริง แต่ยังได้ยินชัดเจนที่เขาบอกว่าจะพาเธอมาโรงพยาบาล อาจเพราะเห็นสายตาเปี่ยมล้นด้วยความห่วงใยของเขา เธอที่ฝืนประคองสติไว้อย่างยากเย็นถึงได้คลายใจลง
“รุ่นพี่ไม่ยอมรับโทรศัพท์ซะจนผมเป็นห่วง เลยมารออยู่หน้าอพาร์ตเมนต์น่ะครับ จะว่าไปทำไมถึงไม่รับสายเลยล่ะ ดูแล้วน่าจะทรมานอยู่นานเอาการ เกลียดผมยังไงก็น่าจะรับๆ ให้สิ้นเรื่องนะครับ”
“ก็ไม่รู้ว่าจะมา ฉันบล็อกเบอร์นายไว้”
“บล็อกเหรอครับ” ฮยอนซึงอึ้งไป เพราะไม่เคยคิดแม้แต่น้อยว่าเหตุผลจะเป็นเช่นนี้ “ไม่ทำเกินไปหน่อยเหรอ”
“ขอบใจนะ ถึงยังไงนายก็ช่วยชีวิตฉันเอาไว้”
“เพราะไม่รู้น่ะสิ ถึงได้ช่วย”
“งั้นก็ดีแล้วที่ฉันเพิ่งบอก”
ซงอายิ้มอย่างอ่อนล้าพลางหลุบตาลงต่ำ มองมือของฮยอนซึงที่กุมมือเธอแน่นไม่ปล่อย พอคิดได้ว่านี่ไม่ใช่มือของแจชินที่เธอโหยหา น้ำตาก็เอ่อนอง แม้ภาพสุดท้ายจะชัดเจนในความทรงจำว่าเป็นฮยอนซึง แต่เธอก็ยังแอบหวังว่าเมื่อลืมตาขึ้นคนที่อยู่ข้างๆ จะเป็นแจชิน ทั้งที่โดนทำร้ายขนาดนี้ก็ยังตัดใจไม่ได้อยู่นั่น
“โง่จัง”
“ใครครับ ผมเหรอ”
“ไม่ใช่นาย ฉันต่างหาก ปล่อยมือซะทีสิ”
“ต้องปล่อยด้วยเหรอครับ”
“ไม่อยากปล่อยก็ตามใจ”
ซงอายันตัวขึ้นนั่ง ฮยอนซึงยื่นมือไปช่วยประคอง เท่ากับปล่อยมือเธอโดยอัตโนมัติ
“ฉันจะกลับบ้าน”
ได้ยินเธอบอกแบบนั้นฮยอนซึงก็หันไปเช็กขวดน้ำเกลือทันที ใกล้หมดแล้ว น่าจะถอดสายออกได้โดยไม่มีปัญหา เขาจึงรีบเป็นธุระทำเรื่องขอออกจากโรงพยาบาลให้