จู่ๆ ลู่สืออวี่ก็หัวเราะออกมา “ฉันว่านะเจียงเหม่ยซี ตกลงว่าหนุ่มหล่อคนนั้นไปแหย่อะไรเธอเข้ากันแน่ พวกเธอไม่รู้จักกันมาก่อนจริงๆ เหรอ”
เจียงเหม่ยซีหันไปมองอีกฝ่าย “ถ้าฉันบอกว่าฉันรู้จักกับเขา แถมยังสนิทกันมากด้วย หลังจากเขาเข้ามาในบริษัทก็จะเป็นแขนซ้ายแขนขวาของฉัน แบบนี้เขาก็จะถูกไล่ออกได้ใช่ไหม”
ลู่สืออวี่นิ่งอึ้งไปสักพักก็หัวเราะออกมาแล้วก่อนจะพูดขึ้นว่า “ฉันมาคิดดูดีๆ แล้ว เธอกับเขาจะมีความสัมพันธ์อะไรกันได้ ญาติ? ไม่หรอก ครอบครัวเธอขึ้นชื่อว่าผู้หญิงดกผู้ชายบาง และดูยีนก็ไม่เหมือนด้วย เพื่อน? คนอย่างเธอนอกจากฉันแล้วยังจะมีเพื่อนที่ไหนอีก แฟน? ยิ่งเป็นไปไม่ได้ คนหัวแข็งอย่างเธอจะต้องไม่คบเด็กแน่ๆ และที่สำคัญที่สุดก็คือถ้าอีกฝ่ายไม่ได้เป็นสต็อกโฮล์มซินโดรมล่ะก็…คงไม่มีทางเลือกเธอหรอก”
พูดจบลู่สืออวี่ก็หัวเราะฮ่าๆ ราวกับว่ากำลังอารมณ์ดีเสียเต็มประดา
เจียงเหม่ยซีขับเคี่ยวกับเขามาหลายปี เธอไม่ได้โกรธอะไรกับคำพูดเหล่านี้จึงทำเพียงแก้ไขคำพูดของเขาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว “อย่างอื่นถูกหมด มีแค่ข้อสองข้อเดียว นายอย่าหลงคิดเข้าข้างตัวเองหน่อยเลย ฉันกับนายไม่นับว่าเป็นเพื่อนกันด้วยซ้ำ”
ลู่สืออวี่ยิ้มอย่างไม่ยี่หระ “ทำร้ายความรู้สึกกันเกินไปแล้วล่ะมั้ง เจียงเหม่ยซี”
เจียงเหม่ยซีตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “การทำร้ายความรู้สึกนั้นรุนแรงกว่าทำร้ายอย่างอื่น ถึงยังไงสิ่งที่ไร้ค่าที่สุดในทุกวันนี้ก็คือความรู้สึก สรุปว่าฉันไม่เห็นด้วยที่จะรับเยี่ยสวี่เข้าทำงาน…หรือไม่ก็เอาอย่างนี้ไหมล่ะ ไว้ฉันจะไปคุยกับบอสเอง”
ลู่สืออวี่มองเจียงเหม่ยซีสักพักแล้วจึงเอ่ยอย่างนึกเสียดายว่า “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ งั้นฉันก็เคารพเจตนาของเธอก็แล้วกัน ไม่รับเข้าทำงานทั้งเยี่ยสวี่และมู่ตี๋”
เจียงเหม่ยซีนิ่งงันไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “เดี๋ยวก่อน!”
ลู่สืออวี่มองเธอด้วยสีหน้างุนงง “เป็นอะไรไป”
หากเธอปฏิเสธเยี่ยสวี่ ถ้าอย่างนั้นไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามลู่สืออวี่ก็คงกัดไปปล่อย เขาต้องไม่รับมู่ตี๋ไว้แน่ๆ ทั้งยังมีเหตุผลเพียงพอที่จะปฏิเสธมากกว่าเธอเสียอีก
เห็นท่าทีกระหยิ่มยิ้มย่องของเขา เจียงเหม่ยซีก็สับสนอยู่พักหนึ่ง แต่แล้วเธอก็พูดขึ้นว่า “ช่างเถอะ ฉันได้ยินว่าภาระงานในปีนี้เพิ่มขึ้นมาไม่น้อย ในเมื่อนายชอบเยี่ยสวี่ขนาดนั้น งั้นก็เก็บพวกเขาไว้ทั้งสองคนเถอะ”
ลู่สืออวี่ไม่ได้จับผิดตรรกะที่อยู่ในคำพูดของเธอ เขาทำเพียงพยักหน้าด้วยความพอใจเป็นอย่างยิ่ง “งั้นดีเลย ตอนบ่ายฉันจะให้ฝ่ายบุคคลแจ้งผล”
เมื่อส่งลู่สืออวี่ออกไปแล้วเจียงเหม่ยซีก็แทบจะทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ เพื่อมู่ตี๋ เธอจำเป็นต้องประนีประนอมกับลู่สืออวี่เอาไว้ แต่ต่อไปทางหนึ่งก็จะต้องคอยจัดการกับจิ้งจอกเฒ่าอย่างลู่สืออวี่ อีกทางก็ต้องป้องกันไม่ให้เด็กบ้าอย่างเยี่ยสวี่เปิดโปงเรื่องระหว่างเธอกับเขาออกไป และยิ่งต้องหยุดไม่ให้สองคนนั้นเข้าข้างกันแล้วสมคบคิดกันได้เด็ดขาด!
พอคิดถึงเรื่องพวกนี้แล้ว เธอก็รู้สึกว่ามีแรงกดดันในการทำงานเพิ่มมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน…
อุณหภูมิสูงขึ้นทุกวัน อากาศเปลี่ยนเป็นเหนียวเหนอะและเปียกชื้น วันซาวน่า* ในตำนานมาเยือนอีกครั้งแล้ว และก็ร้ายแรงมากทีเดียว
บรรดานักศึกษาล้วนกำลังยุ่งอยู่กับพิธีจบการศึกษา หลังจากการสอบสัมภาษณ์สนามนั้น โยวจี้ก็เข้าสู่ฤดูกาลซบเซาของปี
ยามท้องฟ้าฉาบทาด้วยสีดำ เจียงเหม่ยซีก็กลับถึงห้อง เธอหยิบน้ำอัดลมออกมาจากตู้เย็นหนึ่งกระป๋องแล้วเดินไปที่ริมหน้าต่างตามความเคยชิน ดื่มไปพลางมองนอกหน้าต่างไปพลาง
ตอนนี้เป็นเวลาที่เริ่มเปิดไฟสว่างไสวพอดี แสงไฟหลากสีประปรายประดับตามตึกที่พักในเขตคอนโดฯ มีกลิ่นอายของดอกไม้ไฟที่ชวนให้เคลิบเคลิ้ม
เธอคิดถึงเช้าวันนั้นเมื่อหนึ่งเดือนก่อนขึ้นมาอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว หลังจากที่ออกจากห้องของเยี่ยสวี่เธอถึงได้เข้าใจว่าทำไมทั้งๆ ที่จำได้ว่าตัวเองกลับถึงห้องแล้วแท้ๆ แต่กลับกลายเป็นตื่นขึ้นมาในห้องของผู้ชายคนหนึ่งซะได้…ตึกสองหลังที่รูปร่างหน้าตาเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน เมื่อเธอดื่มเหล้าเข้าไปจนเมาจึงเข้าผิดประตู