แต่นอนว่ายังมีอีกหนึ่งเหตุผลนั่นก็คือตอนเปิดประตูเขาเรียกชื่อเธอออกมาอย่างชัดเจน…ดูท่าว่าเขาจะรู้จักเธอก่อนหน้านั้นตั้งนานแล้วจริงๆ และไม่ได้แปลกใจกับการปรากฏตัวของเธอเลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตามวันนั้นยังมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นภายหลังอยู่ดี เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้วเจียงเหม่ยซีก็กุมหน้าโดยอัตโนมัติ
ในตอนนั้นเองจู่ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น
เจียงเหม่ยซีดูเบอร์โทรศัพท์แวบหนึ่ง เป็นเบอร์พนักงานฝ่ายฝึกอบรม…นี่เป็นการเตือนเจียงเหม่ยซีว่าเยี่ยสวี่และมู่ตี๋ใกล้จะเข้ามาทำงานในบริษัทอย่างเป็นทางการแล้ว
ตามธรรมเนียมของบริษัทโยวจี้ ทุกปีก่อนที่พนักงานใหม่จะได้รับการบรรจุจะต้องเข้ารับฝึกอบรมแบบปิดเป็นเวลาสี่สัปดาห์หนึ่งครั้งซึ่งจัดโดยฝ่ายฝึกอบรม ดังนั้นในช่วงเวลานี้ของทุกๆ ปี พนักงานฝ่ายฝึกอบรมก็จะรบกวนกรรมการผู้จัดการ ผู้อำนวยการ หรือไม่ก็ผู้จัดการระดับสูง เชิญพวกเขาไปแบ่งปันประสบการณ์แก่พนักงานใหม่
ลินดา เจ้านายของเจียงเหม่ยซีมีนิสัยเป็นกันเองและสร้างบรรยากาศเก่ง เสียงตอบรับในการบรรยายแต่ละครั้งก็ไม่เลวเลยทีเดียว ส่วนลู่สืออวี่ที่แต่งตัวเนี้ยบ ท่าทางสุขุม ในความคิดของเจียงเหม่ยซีแล้วอย่างอื่นเขาไม่แน่ว่าจะดี แต่เรื่องล้างสมองเด็กพรรค์นี้น่ะเก่งมากทีเดียว ดังนั้นพวกเขาทั้งคู่จึงต่างเป็นลูกค้าประจำของที่นั่น ไปเป็นผู้บรรยายประจำทุกปี
เธอเองไม่ได้สนใจอะไรกับเรื่องประเภทนี้จึงปฏิเสธไปแทบทุกครั้ง ที่พนักงานคนนี้โทรมาหาเธอกว่าครึ่งก็คงเพราะไม่อยากจะข้ามหน้าข้ามตา แต่ครั้งนี้เจียงเหม่ยซีตัดสินใจจะไป
พนักงานคนนั้นเองก็ไม่ปกปิดความแปลกใจ “จริงๆ ที่ฉันโทรมาก็ไม่ได้คาดหวังหรอกนะ แม็กกี้ทำไมปีนี้เธอถึงเปลี่ยนใจล่ะ”
เจียงเหม่ยซียิ้ม “ช่วงนี้ก็แค่ว่างพอดีน่ะ”
ความจริงแล้วเจียงเหม่ยซีก็ว่างในเวลานี้ทุกปี แต่สาเหตุที่แท้จริงที่กระตุ้นให้เธอไปบรรยายให้กับพนักงานใหม่มีเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือเยี่ยสวี่
ตอนแยกกันครั้งก่อนเธอมั่นใจว่าเขาจะไม่ได้เข้ามาทำงานบริษัทแน่ๆ แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว เรื่องบางเรื่องต้องคุยให้เคลียร์เป็นการล่วงหน้าถึงจะดี อีกอย่างจิ้งจอกเฒ่าอย่างลู่สืออวี่นั่นจะต้องเกิดสงสัยอะไรขึ้นมาแน่ ดีไม่ดีอาจจะอาศัยโอกาสตอนฝึกอบรมครั้งนี้ไปหลอกถามเยี่ยสวี่ ถึงตอนนั้นเรื่องแดงขึ้นมา ไหนเลยโยวจี้จะยังมีที่ให้เธอยืนอีก
สถานที่ฝึกอบรมตั้งอยู่ที่ศูนย์อบรมบริเวณชานเมือง ในความทรงจำของเจียงเหม่ยซี ละแวกนั้นเป็นเขตทุรกันดาร แม้กระทั่งที่ที่ขายผลไม้ก็ยังไม่มี
แม้ปากบอกว่าต้องการจะไปสั่งสอนเยี่ยสวี่ แต่จริงๆ แล้วเธอเองก็อยากจะถือโอกาสไปดูสักหน่อยว่ามู่ตี๋ปรับตัวใช้ชีวิตที่ศูนย์อบรมได้หรือไม่
ก่อนจะไปที่นั่น เธอตั้งใจจะไปซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อเลือกซื้อของใช้ประจำวันและผลไม้สักหน่อย
ช่วงนี้เป็นเวลาที่ร้อนที่สุดของวัน แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็เหงื่อออกแล้ว พนักงานซูเปอร์มาร์เก็ตกำลังโปรโมตแก้วเก็บความเย็นเธอเลยถือโอกาสซื้อมาใบหนึ่ง จากนั้นก็ไปเติมน้ำส้มแช่เย็นที่บาร์น้ำชาตรงประตูซูเปอร์มาร์เก็ตใส่ไว้ในแก้ว ตั้งใจว่าอีกประเดี๋ยวจะเอาไปให้มู่ตี๋
ทว่าตอนที่ตามจีพีเอสมาจนถึงศูนย์อบรมตรงชานเมืองของปักกิ่ง เจียงเหม่ยซีถึงได้รู้ว่าข้อมูลที่รับรู้มานั้นมีข้อผิดพลาด ศูนย์อบรมในปัจจุบันนั้นไม่เหมือนกับในอดีตอีกต่อไปแล้ว บรรยากาศรอบๆ คึกคัก มีซูเปอร์มาร์เก็ตเล็กๆ ร้านอาหารเล็กๆ เยอะแยะมากมาย ของกินของใช้พร้อมพรัก
เธอมองถุงใบใหญ่ใบเล็กที่อยู่บนเบาะข้างคนขับแล้วลังเลอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็หยิบแค่แก้วเก็บความเย็นที่บรรจุน้ำส้มใบนั้นลงจากรถ
ยังเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงก่อนเข้าคลาสช่วงบ่าย เธอไม่ได้ตรงไปหามู่ตี๋ แต่ไปที่ห้องว่างๆ ห้องหนึ่งก่อน เมื่อมั่นใจว่าในครึ่งชั่วโมงนี้จะไม่มีคนเดินเข้ามา เธอจึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาเยี่ยสวี่
“ฮัลโหล”
โทรศัพท์ส่งเสียงร้องดังอยู่นานมากกว่าจะถูกรับสาย เสียงที่ดังลอดออกมาฟังดูวุ่นวายเล็กน้อย เหมือนว่าปลายสายคงอยู่ในร้านอาหาร แล้วยังมีคนเรียกชื่อเขาด้วย เขาคงไม่ได้ไปกินข้าวคนเดียว
เจียงเหม่ยซีกดเสียงพูดให้เบาลง “ฉันแม็กกี้”
“ใครนะครับ”
เจียงเหม่ยซีหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ก็เร่งเสียงพูดให้ดังขึ้น “ฉันคือเจียงเหม่ยซี”
อีกฝ่ายเงียบไปพักหนึ่ง แล้วในที่สุดเยี่ยสวี่ก็เอ่ยปากพูด ตอนนี้เสียงรอบตัวเขาไม่ได้อึกทึกเท่าเมื่อครู่แล้ว
“มีธุระอะไรครับ”
“ตอนนี้ว่างไหม ลงมาที่ห้องสามศูนย์สองหน่อย ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย”
“ผมกำลังกินข้าวอยู่”
เจียงเหม่ยซีสะกดไฟโทสะพลางเอ่ยถามด้วยความอดทน “อีกนานแค่ไหน”
“บอกไม่ได้” เยี่ยสวี่ชะงักแล้วถามขึ้นว่า “มีเรื่องสำคัญอะไรที่พูดในโทรศัพท์ไม่ได้เหรอครับ”
เจียงเหม่ยซีพูดไม่ออกไปชั่วขณะ สำหรับเขาแล้วนี่ไม่นับว่าเป็นเรื่องสำคัญอะไรหรอก แต่สำหรับเธอมันต่างกัน
เห็นเธอไม่พูด เขาก็หัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ “หรือว่าคุณอยากจะให้เงินผมอีก?”
เจียงเหม่ยซีไม่สนใจคำหยอกเย้าของเขา รีบตัดบทจบสายสนทนาอย่างฉับไว “ก่อนบ่ายโมง ฉันจะรออยู่ที่ห้องสามศูนย์สอง”