เธอนึกว่าเขาจะปล่อยให้เธอรอเก้อ ใช้เวลาไปราวๆ สิบห้านาทีเธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังจากไม่ใกล้ไม่ไกลที่นอกประตู เมื่อเงยหน้ามองก็เห็นเยี่ยสวี่ที่สวมเสื้อยืดสีขาวและกางเกงลำลองสีน้ำตาลอ่อน หิ้วขวดน้ำแร่ที่มีอยู่ครึ่งขวดเข้ามาให้ห้อง
เขาเดินมาหยุดตรงหน้า วางน้ำครึ่งขวดนั้นไว้บนโต๊ะที่อยู่ข้างหลังแล้วถามเธอว่า “มีธุระอะไรครับ”
เจียงเหม่ยซียกแขนขึ้นกอดอกและเงยหน้ามองชายหนุ่ม ต้องยอมรับว่าไม่ว่าจะดูจากหน้าตา รูปร่าง หรือแม้กระทั่งความสามารถด้านใดด้านหนึ่ง เขาล้วนเป็นบุคคลในอุดมคติของเด็กสาวหลายๆ คน แต่เพราะความสัมพันธ์แบบเจ้านายลูกน้องในตอนนี้ การมีอยู่ของเขาจึงเป็นเหมือนฟันผุซี่หนึ่งของเธอ อาการกำเริบนานๆ ที แต่ก็เอาเธอถึงตายได้
“ยังไม่ได้ยินดีกับนายเลยที่เข้าโยวจี้ได้อย่างราบรื่น” เจียงเหม่ยซีเอ่ยขึ้น
“แล้ว?” เยี่ยสวี่ซุกมือทั้งสองข้างเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ประสานสายตากับเธอจากมุมสูง “อยากจะบอกผมว่าโยวจี้ยุติธรรมและเที่ยงตรงอย่างที่คุณพูดเหรอครับ”
เจียงเหม่ยซีด่าเด็กบ้าคนนี้อยู่หลายร้อยรอบในใจ แต่ภายนอกยังคงสงบนิ่ง “ฉันจะบอกว่าตอนนี้พวกเรามีความสัมพันธ์กันแบบเจ้านายลูกน้อง น้ำเสียงที่นายใช้พูดกับฉันควรจะมีความเกรงใจบ้าง”
เยี่ยสวี่ยิ้มเย็น “คุณเรียกผมมาก็เพราะ…”
“เดี๋ยวก่อน!” จู่ๆ เจียงเหม่ยซีก็ส่งเสียงตัดบทอีกฝ่าย เพราะเหมือนเธอจะได้ยินว่ามีคนอื่นกำลังคุยกันอยู่ พอฟังดีๆ แล้วก็พบว่ามีคนอยู่แถวนี้จริงๆ เสียงนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และมาทางที่เธอกับเขาอยู่พอดี
เจียงเหม่ยซีมองไปนอกหน้าต่างแวบหนึ่ง เห็นพนักงานฝ่ายฝึกอบรมกำลังเดินมาทางนี้
เพื่อไม่ให้ถูกพบเข้า ห้องที่เธอเลือกจึงอยู่ตรงสุดทางเดิน เมื่อพนักงานคนนั้นมาทางนี้ก็ไม่มีทางหนีทีไล่อื่นแล้ว
เจียงเหม่ยซีเกิดไหวพริบขึ้นมาในยามคับขัน เธอปราดมองสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างรวดเร็ว ไม่มีที่ให้ซ่อน มีเพียงประตูบานเดียวเท่านั้น
เวลานี้พวกเขาสองคนจะออกไปพร้อมกันหรือออกไปตามลำดับก่อนหลังก็ล้วนน่าสงสัยทั้งสิ้น แต่ถ้ายังพูดคุยกันตามประสาอยู่ที่นี่ คนอื่นก็จะยังเอาไปคิดเพ้อเจ้อได้เช่นกัน เวลาเช่นนี้เห็นทีว่าจะมีเพียงลูกไม้สุดท้ายแล้ว
เจียงเหม่ยซีหยิบแก้วเก็บความเย็นบรรจุน้ำส้มบนโต๊ะที่อยู่ข้างหลังขึ้นมา ตอนนั้นเองเธอก็เกิดลังเลไปชั่วขณะก่อนจะวางแก้วลงแล้วเปลี่ยนไปหยิบขวดน้ำแร่ที่มีน้ำครึ่งขวดที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมาแทน เธอหมุนฝาเปิดอย่างรวดเร็ว ในตอนที่พนักงานคนนั้นก้าวเข้าประตูห้องมาเจียงเหม่ยซีก็เอาน้ำที่มีอยู่ครึ่งขวดสาดใส่หน้าเยี่ยสวี่ที่ยืนอยู่ตรงข้าม
“คุณคิดว่าคุณเป็นใครกัน!” เธอตำหนิอย่างรุนแรง “เรียกฉันมาที่นี่ก็เพื่อเรื่องแค่นี้? คิดว่าตัวเองมีเสน่ห์มากนักหรือไง สามารถคบกับเจ้านายได้ตามใจชอบใช่ไหม ฉันจะบอกคุณให้นะ อย่าคิดว่าคุณเข้ามาในบริษัทแล้วจะทำอะไรตามอำเภอใจได้ ถ้าให้ฉันรู้ว่าคุณไม่มีความสามารถมากพอหรือประพฤติตัวไม่เหมาะสมอีก ฉันสามารถทำให้คุณออกไปจากบริษัทนี้ได้!”
เยี่ยสวี่เช็ดน้ำบนใบหน้า มองเจียงเหม่ยซีอย่างไม่อยากจะเชื่อ
เจียงเหม่ยซีเองก็มองอยู่เช่นกัน แต่สายตาของเธอนั้นจับจ้องไปยังทิศทางของประตู หลังจากเห็นพนักงานคนนั้นผละจากไปเงียบๆ ด้วยสีหน้าตกตะลึง เจียงเหม่ยซีถึงได้พรูลมหายใจออกมา แต่เมื่อหันกลับมาดูเยี่ยสวี่ที่สภาพกระเซอะกระเซิง และขวดน้ำแร่ที่ว่างเปล่าใบนั้น เธอก็ทำตัวไม่ถูกนิดหน่อย
เยี่ยสวี่กัดฟันพลางพยักหน้าให้เธอด้วยรอยยิ้ม “ผมเข้าใจแล้ว ยังมีธุระอื่นอีกไหมครับ”
จู่ๆ เจียงเหม่ยซีก็รู้สึกน้ำท่วมปาก เธอจะอธิบายสถานการณ์เมื่อครู่กับเขาอย่างไรดี แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยถ้อยคำที่ต้องการพูดจริงๆ ออกมา เธอกลับพูดขึ้นว่า “ยังมีอีก”
“ยังมีอีก?”
ห่างกันครึ่งเมตรเพียงอากาศคั่น เจียงเหม่ยซีจึงรู้สึกถึงไฟโทสะของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างชัดเจน
แม้การสาดน้ำใส่หน้าจะทำให้เจียงเหม่ยซีรู้สึกผิดอยู่บ้าง แต่คนที่บีบให้เธอมาถึงขั้นนี้ในวันนี้ไม่ใช่เขาหรอกเหรอ
คิดถึงตรงนี้แล้วเจียงเหม่ยซีจึงเอ่ยว่า “ฉันยังอยากจะเตือนนายอีกสักหน่อย ที่ทำงานเทียบกับมหา’ลัยไม่ได้ คนมากมายไม่ได้ใสซื่ออย่างที่เห็นหรอกนะ เพื่อนร่วมงานก็คือเพื่อนร่วมงาน ไม่ถือว่าเป็นเพื่อน ดังนั้นเรื่องที่นอกเหนือจากการทำงานก็อย่าเอาไปพูดกับเพื่อนร่วมงาน”
เยี่ยสวี่ยิ้มเย็น “วางใจได้ ผมไม่ได้ทำตัวน่าเบื่อขนาดนั้นอย่างที่คุณคิดหรอก”
พูดจบเขาก็ไม่รอให้เจียงเหม่ยซีได้โต้ตอบ เยี่ยสวี่หมุนตัวเดินผ่านประตูออกไปทันที ทว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ เขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้จึงหยุดฝีเท้าลง ก่อนจะหันกลับมาพูดอีกครั้ง “แต่ว่านี่ก็ต้องขึ้นอยู่กับอารมณ์อีกทีนะครับ”
เจียงเหม่ยซีนิ่งอึ้งไป ในใจพลันเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่เป็นมงคลขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง “หมายความว่ายังไง”
เยี่ยสวี่ยิ้ม “หมายความว่าตอนที่ผมอารมณ์ไม่ดีก็อาจจะทำเรื่องน่าเบื่อบางอย่างเพื่อระบายอารมณ์ก็ได้”