“ก็พกมาด้วยตลอดนั่นแหละ เมื่อกี้หิวน้ำมากเลยออกไปเติมน้ำน่ะ”
พูดเฉยๆ กลัวว่าเยี่ยสวี่จะไม่เชื่อ เธอจึงจงใจเปิดฝาหมายจะดื่มสักอึก แต่พอเปิดออกถึงพบว่าข้างในเป็นน้ำส้ม
ดังนั้นจึงยิ้มแห้งๆ แล้วพูดเสริมไปอีกประโยคหนึ่งว่า “เติมน้ำส้มมาน่ะ…น้ำส้ม…”
มู่ตี๋พิจารณาตัวเอง คำพูดเซ่อซ่าที่พูดมาทั้งชีวิตมีมากมายนับไม่ถ้วน แต่เซ่อซ่าขนาดนี้เหมือนวันนี้จะเป็นครั้งแรก ทว่าเธอก็เบี่ยงประเด็นไปที่เรื่องอื่นอย่างรวดเร็ว
“แล้วทำไมนายถึงหัวเปียกล่ะ เสื้อผ้าก็ด้วย…” เธอมองไปนอกหน้าต่าง “ฝนก็ไม่ได้ตกนี่”
เยี่ยสวี่อารมณ์ไม่ดี “ล้างหน้ามา”
มู่ตี๋กวาดตามองเสื้อยืดของเขาที่เปียกชุ่มแทบจะทั้งตัว หัวเราะแกนๆ สองทีแล้วเอ่ยว่า “ล้างหน้าได้หมดจดทีเดียว”
เจียงเหม่ยซีดูเวลา กะไว้ว่ามู่ตี๋คงจะไปถึงแล้วจึงได้หิ้วกระเป๋าตรงไปยังห้องแบบสโลป
เธอไม่ได้เดินไปที่ประตูหลัก แต่เข้าจากทางประตูหลัง เดินไปยังโพเดียมทีละก้าวๆ ผ่านระหว่างกลางบรรดาพนักงานใหม่
ห้องที่เดิมทีวุ่นวายเจี๊ยวจ๊าวสงบลงทันใด เงียบเสียจนได้ยินเพียงเสียงรองเท้าส้นสูงของเธอกระทบพื้นห้อง ไม่เหมือนห้องที่มีคนสามสี่ร้อยคนนั่งอยู่เลยสักนิด
เธอเดินไปทีละก้าวๆ ทั้งอย่างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ วางกระเป๋าสะพายลง หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาปิดเสียงแล้วถึงได้เงยหน้าขึ้นมากวาดตามองดูผู้คนที่นั่งอยู่ในห้อง
ไม่มีพาวเวอร์พ้อยต์ ไม่มีสื่อการสอน เธอกล่าวทักทาย “สวัสดีค่ะทุกคน ฉันชื่อแม็กกี้”
เจียงเหม่ยซีจำได้ว่าตัวเองก็เคยกล่าวถ้อยคำเดียวกันนี้ที่นี่ ตอนนั้นวิทยากรให้ทุกคนแนะนำตัวเอง สำหรับการปรากฏตัวเป็นครั้งแรกเช่นนี้ ทุกคนต่างคิดหาวิธีทำให้ตัวเองเป็นที่จดจำ มีเพียงแค่เธอที่แนะนำตัวเองด้วยประโยคเดียวง่ายๆ เช่นนี้ออกมา เธอไม่ได้อยากทำตัวโดดเด่น แต่เพราะความประหม่าจึงทำให้ลืมคำพูดที่เตรียมไว้จนหมดสิ้น ใครจะไปคิดว่าเด็กผู้หญิงที่ขี้ขลาดในตอนนั้นจะกลายมาเป็นเธอในตอนนี้
สถานการณ์เป็นอย่างไร…เจียงเหม่ยซีกวาดตามองทุกคนที่นั่งอยู่ บ้างก็สุมหัวกระซิบกระซาบ บ้างก็ไม่กล้าหายใจ เธอหัวเราะอย่างเย้ยหยัน
พวกเขานึกว่าเธอจะไม่เห็นการกระทำเล็กๆ น้อยๆ สินะ พวกเขากำลังพูดอะไรอยู่ คิดว่าเธอเดาไม่ออกงั้นเหรอ เธอไม่สนใจแต่ไม่ใช่ว่าไม่แคร์ เพียงแค่ว่าสิ่งที่เธอเคยแบกรับมาก่อนนั้นมันมากมายยิ่งกว่าที่พวกเขาจินตนาการไว้เสียอีก
เจียงเหม่ยซีรู้สึกถึงสายตาอันร้อนแรงจึงหันไปมองตามความรู้สึกนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าแข็งกระด้างไปโดยฉับพลัน
เยี่ยสวี่นั่งมองเธออย่างเกียจคร้านอยู่ตรงนั้น ทำทีเยาะเย้ยราวกับว่าไม่มีใครอยู่ที่นี่
น้ำบนใบหน้าเขาถูกเช็ดจนแห้งแล้ว แต่เสื้อผ้าหน้าผมที่เปียกซ่กทำให้เธอรู้สึกละอายใจเล็กน้อย
ไม่นานนักเธอก็ละสายตาออกมา กระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง และเริ่มเนื้อหาในวันนี้
เจียงเหม่ยซีไม่ได้เริ่มต้นด้วยประวัติและวัฒนธรรมองค์กรของโยวจี้เหมือนกับวิทยากรคนอื่นๆ แต่แบ่งปันประสบการณ์ทำงานหลายๆ เคสโดยตรง เนื้อหาทั้งหมดล้วนแต่เป็นประสบการณ์จริง และเธอเล่าได้เข้าใจง่ายอีกทั้งยังกระฉับกระเฉงเป็นอย่างมาก ดังนั้นตลอดหนึ่งชั่วโมงเต็มในห้องฝึกอบรมจึงเงียบเป็นเป่าสาก
กระทั่งเหลืออีกไม่กี่นาทีก่อนจะเลิกคลาส เจียงเหม่ยซีคิดว่าจำเป็นต้องหาใครสักสองสามคนมาถามคำถามเพื่อเช็กประสิทธิผลในการบรรยาย
สายตากวาดมองไปที่ด้านล่างเวที บรรยากาศตึงเครียดขึ้นเล็กน้อย ไม่ว่าคนที่เมื่อครู่จะตั้งใจฟังหรือไม่ตั้งใจก็ตาม เวลานี้ต่างพากันหลบเลี่ยงที่จะสบตากับเธอ
พนักงานหญิงนามสมมติว่าเอที่อยู่ข้างหลังพวกเยี่ยสวี่เห็นสถานการณ์แบบนี้แล้วจึงถามพนักงานหญิงบีอย่างไม่เข้าใจ “จริงๆ ฉันอยากจะถามตั้งแต่ตอนเริ่มเรียนแล้ว ทำไมถึงรู้สึกว่าทุกคนก็กลัวแม็กกี้คนนี้กันนะ”
บีตอบกลับเสียงเบา “งั้นเธอต้องรู้ข่าวซุบซิบในโยวจี้เพิ่มเติมบ้างแล้วล่ะ ไม่เคยได้ยินหรือไงว่าโยวจี้มีเสืออยู่สองตัว ตัวผู้หนึ่งกับตัวเมียอีกหนึ่ง”
พนักงานหญิงเอแปลกใจ “ตัวผู้หนึ่งตัวเมียหนึ่งอะไรกัน”
“ตัวผู้ก็คือเควินที่มาบรรยายให้พวกเราฟังเมื่อตอนเช้า คนเรียกเขาว่าพยัคฆ์หน้ายิ้ม ว่ากันว่าปกติแล้วเขาจะเป็นกันเอง แต่ถ้าอยู่ในโหมดทำงานเมื่อไหร่ล่ะก็จะเปลี่ยนไปเป็นคนที่เที่ยงตรงและเข้มงวดโดยไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งนั้น กดดันลูกน้องทำงานตัวเป็นเกลียวตอนทำโปรเจ็กต์เป็นเรื่องปกติ ป่วยก็ไม่อนุญาตให้ลางาน!”
“ซี้ด…” พนักงานหญิงเออดถูแขนตัวเองไม่ได้ “น่ากลัวขนาดนั้นเชียว! งั้นแม็กกี้ล่ะ?”
“เธอน่ะเหรอ ชื่อเสียงกระฉ่อนยิ่งกว่าอีก ดังไปทั่วทั้งประเทศเชียวล่ะ ลือกันว่าแม็กกี้น่ะเคร่ง! หยิ่ง! จุกจิก! บ้างาน! ไม่มีเพื่อน!”
พนักงานหญิงเอลอบยิ้ม “สองคนนั้นก็เหมาะกันดีนะ”
“ที่ไหนกัน เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ ไม่เคยได้ยินเหรอ สองคนนี้สู้กันไม่มีใครยอมใครเพื่อชิงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการเชียวนะ!”
“งั้นเธอคิดว่าใครมีหวังกว่ากัน”
“ฉันคิดว่าเป็นเควินนะ ผู้หญิงน่ะ…ในที่ทำงานจะต้องด้อยกว่าผู้ชายแน่ๆ”