ลู่สืออวี่ยักไหล่ “ไปได้ครึ่งทางแล้วได้ยินว่าจู่ๆ บอสจะมา ฉันเองก็ไม่มีธุระอะไรพอดีก็เลยวกกลับมาอีกรอบ กะจะมาประจบบอสสักหน่อย”
เจียงเหม่ยซีแค่นเสียงเย็น “ขี้ประจบ!”
ลู่สืออวี่ก็ไม่ได้โกรธ เขายิ้มอย่างไม่ถือสา “ช่วยไม่ได้ เทียบกับทีมสายตรงที่บอสปั้นมากับมืออย่างเธอไม่ได้นี่นา!”
“นี่เธอดูแม็กกี้กับเควินสิท่าทางความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่เลวเลยนะ ไม่เห็นเหมือนอย่างที่บอกเลย…” คนที่พูดคือพนักงานหญิงเอ
พนักงานหญิงบีส่งร้องเสียงเฮอะออกมาทีหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อไปว่า “ทำเป็นวางท่าใครทำไม่เป็นบ้างล่ะ”
มู่ตี๋ไม่ชอบที่ได้ยินคนอื่นว่าร้ายเจียงเหม่ยซีจึงหันหน้าไปเตือนผู้หญิงสองคนข้างหลังเสียงเบา “หยุดพูดได้แล้ว ระวังเดี๋ยวจะโดนเรียกชื่อ”
พนักงานหญิงสองคนเบ้ปาก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
ตอนที่มู่ตี๋หันหน้ามา สายตาก็กวาดมองไปยังเยี่ยสวี่ที่อยู่ข้างๆ พบว่าสีหน้าของชายหนุ่มดูไม่สบอารมณ์นัก เธอมองตามสายตาของเขาก็เห็นเจียงเหม่ยซีกับลู่สืออวี่ที่นั่งอยู่แถวหน้ากำลังพูดคุยกะหนุงกะหนิงกัน
“นายเองก็ไม่ชอบพวกเขาสองคนใช่ไหม” มู่ตี๋ถามเสียงค่อย
ความจริงแล้วข่าวลือเกี่ยวกับเสือสองตัวของโยวจี้เธอเองก็เคยได้ยินมานานแล้ว แต่ไม่เคยขอคำยืนยันจากเจียงเหม่ยซี ด้านหนึ่งคือไม่กล้า อีกด้านหนึ่งจากการที่เธอรู้จักเจียงเหม่ยซีดี…กว่าครึ่งเป็นเรื่องจริง
“เปล่า แค่ไม่ชอบหนึ่งในนั้น”
“อ้อ” มู่ตี๋ไม่กล้าถามเขาว่าไม่ชอบใคร เธอไม่มั่นใจในเรื่องมนุษยสัมพันธ์ของน้าเล็กเธอเลยจริงๆ
มู่ตี๋ไม่ได้มีเจตนาจะถามซอกแซก แต่กลับเป็นเยี่ยสวี่ที่จู่ๆ หันหน้ามา สายตาเขามองไปยังแก้วน้ำที่อยู่บนโต๊ะ สุดท้ายก็ย้ายมาหยุดที่ใบหน้าของเธอ
“พวกเธอมีความสัมพันธ์อะไรกัน เพื่อน? ญาติ?”
มู่ตี๋ถูกถามเข้ากะทันหันจึงงุนงงเล็กน้อย “นายกำลังพูดถึงอะไรอยู่?”
เยี่ยสวี่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมาว่า “ช่างเถอะ”
คำปราศรัยของลินดาที่อยู่บนเวทีนั้นดูสุขุมแต่ก็ยังมีอารมณ์ขันทำให้เกิดเสียงหัวเราะจาก ‘เด็กๆ’ ทุกคนที่นั่งอยู่เป็นครั้งคราว ทว่าเธอไม่ได้พูดนานนัก ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็จบหัวข้อทั้งหมด
อันที่จริงเป้าหมายสำคัญที่ลินดามาในครั้งนี้คือเพื่อมาพบพนักงานคนใหม่ของฝ่ายตัวเอง ดังนั้นจึงคุยกับลู่สืออวี่ไว้แต่แรกแล้วว่าตอนเย็นจะชวนพนักงานใหม่เหล่านี้ไปกินข้าวด้วยกัน
ด้านหลังศูนย์อบรมมีทะเลสาบ ริมทะเลสาบมีร้านบาร์บีคิวริมทางหลายร้าน ลู่สืออวี่ก็เลยจัดเตรียมงานเลี้ยงของเย็นนี้ที่ร้านหนึ่งในนั้น
เมื่อเข้าสู่ช่วงเย็นย่ำของวัน แถบชานเมืองก็โล่งว่างและเงียบเหงากว่าในเมืองอย่างเห็นได้ชัด บริเวณริมทะเลสาบนอกจากร้านบาร์บีคิวไม่กี่ร้านในละแวกนี้ที่ยังนับว่าคึกคัก ร้านอื่นๆ ก็ล้วนหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับราตรีอันมืดมิดไปแล้ว
ลู่สืออวี่กวักมือเรียกทุกคนมานั่ง ก่อนจะส่งใบเมนูให้พวกเด็กใหม่ทุกคนสั่งอาหาร “ปกติเจ้านายมักจะขูดรีดทุกคนตลอด เรื่องดีๆ อย่างการ ‘กินอาหารของเศรษฐี’ ในวันนี้ ผมเองเข้ามาทำงานนานก็ยังพลาดไปหลายครั้ง นับว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากดังนั้นทุกคนไม่ต้องเกรงใจ”
ความจริงระหว่างทางที่มาร้าน ทุกคนบ้างก็พูดคุยบ้างก็หัวเราะกันมาตลอดทาง ไม่เกร็งเหมือนตอนที่พบกันครั้งแรกขนาดนั้นแล้ว
โดยเฉพาะลินดาที่ไม่ได้มีมาดของการเป็นเจ้านายเลยสักนิด ตอนได้ยินลู่สืออวี่พูดอย่างนี้แล้วเธอก็อดหัวเราะเสียงดังไม่ได้ “นายไม่ต้องมาแสร้งทำตัวเป็นคนดีที่นี่หรอกน่า! อย่าคิดว่าฉันไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของนายนะ”
ลินดาพูดพลางมองไปทางพวกมู่ตี๋ “ใครขูดรีดใครกันแน่ ไม่นานพวกเธอก็จะรู้เอง!”
ลู่สืออวี่ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ผมน่ะไม่ใช่ว่าผู้ใหญ่ทำอย่างไรผู้น้อยตามอย่างนั้นหรือไง!”
พอเขาพูดอย่างนี้แล้ว ทุกคนก็หัวเราะขึ้นมา
ลู่สืออวี่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างบรรยากาศ ตอนแรกยังมีพนักงานใหม่บางคนรู้สึกเกร็งนิดหน่อยเพราะมีคนระดับหัวหน้าอยู่ด้วย ต่อมาดูเหมือนพวกเขาจะค้นพบว่าบรรดาหัวหน้างานก็ไม่ได้ต่างกับคนธรรมดาทั่วไปจึงผ่อนคลายลงไม่น้อย บวกกับฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ด้วยแล้ว บรรยากาศก็ครึกครื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
หลังกินข้าวกันไปได้สักพัก พวกเขายังคงพอมีเวลาเหลืออยู่ ทันใดนั้นเองก็มีคนเสนอแนะให้เล่นเกม ปรึกษากันไปปรึกษากันมา สุดท้ายก็เลือกเกมทายเลขที่ง่ายที่สุด