กติกาของเกมคือให้ใครคนหนึ่งตั้งตัวเลขขึ้นมาจำนวนหนึ่งเขียนลงบนกระดาษ แล้วให้คนอื่นๆ ทายว่าตัวเลขนั้นอยู่ในช่วงจำนวนเท่าไหร่ถึงเท่าไหร่ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะทายตัวเลขที่ถูกต้องออกมาได้ก็เป็นอันจบเกม คนที่ทายถูกสามารถออกคำสั่งให้คนสองคนที่อยู่ข้างๆ แสดงความสามารถหรือดื่มเบียร์เพื่อเป็นการลงโทษก็ได้
ตอนกินข้าวเจียงเหม่ยซีถูกบังคับให้ดื่มเบียร์ไปแล้วสองแก้ว เธอรู้สึกวิงเวียนนิดหน่อยจึงปล่อยให้ทุกคนจัดแจงกันตามสบาย
บทลงโทษและรางวัลจากเกมหลายรอบก่อนหน้านี้ล้วนไม่ได้เอี่ยวมาถึงเธอ เจียงเหม่ยซีได้แต่มองดูบรรยากาศครึกครื้นของทุกคนอย่างสนุกสนาน ต่อมาก็ถึงตาเธอคิดตัวเลขแล้ว
เจียงเหม่ยซีรับกระดาษกับปากกาที่มู่ตี๋ส่งมาให้ คิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเขียนเลขสามสิบแปดลงไปบนกระดาษ
จะว่าไปก็แปลก หลายรอบก่อนหน้านี้ทายอย่างมากที่สุดแปดเก้าครั้งก็ทายถูกแล้ว แต่รอบนี้เล่นนานมากกลับยังไม่มีใครทายคำตอบที่ถูกต้องออกมาสักที
มาจนถึงตาของมู่ตี๋ทาย เธอเดาว่าเจียงเหม่ยซีน่าจะเขียนตัวเลขที่เกี่ยวกับวันเกิด และอีกฝ่ายเกิดวันที่ยี่สิบมกราคม เธอจึงทายว่าเป็นเลขยี่สิบไปแต่ก็ยังไม่ถูกอยู่ดี
พอถึงตาเยี่ยสวี่ เขาคิดว่าก่อนหน้านี้น่าจะมีคนทายอายุหรือวันเกิดของเจียงเหม่ยซีไปแล้วก็เลยไม่มีเบาะแสอะไรจริงๆ จึงทายเลขสิบแปดซึ่งเป็นเลขท้ายเบอร์โทรศัพท์ของเธอไป ผลก็คือยังไม่ถูก
ต่อจากเยี่ยสวี่คือลู่สืออวี่ ในตอนนี้ขอบเขตตัวเลขของคำตอบที่ถูกต้องยังคงกว้างมาก แต่ลู่สืออวี่กลับทำตัวสบายๆ เขาดื่มเบียร์ไปอึกหนึ่ง มองเจียงเหม่ยซีที่อยู่ตรงข้ามแล้วถามว่า “สามสิบแปดใช่ไหม”
เจียงเหม่ยซีอึ้งไปสักพัก “นายรู้ได้ยังไง”
นี่หมายความว่าทายถูกแล้ว! ทุกคนโห่ร้องอย่างยินดี ลินดาที่มั่นใจว่าตัวเองรู้จักเจียงเหม่ยซีดีก็ยังทายไม่ถูก อดถามลู่สืออวี่ไม่ได้เช่นกันว่าเขาเดาถูกได้อย่างไร
“ฉันเห็นคนก่อนหน้าทายอายุ ทายวันเกิด เห็นได้ชัดว่าไม่รู้จักแม็กกี้ดีเลย! แม็กกี้ของเราน่ะถึงจะแกร่งกล้าแค่ไหนก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงที่เลยวัยยี่สิบห้าไปแล้วย่อมเริ่มหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงอายุของตัวเอง ดังนั้นเธอจะต้องไม่ให้โอกาสทุกคนพูดถึงเรื่องนี้แน่ ส่วนคนที่ทายวันเกิดน่ะ แม็กกี้ทุ่มเทให้กับงานมาก เรียกได้ว่าเป็นตัวอย่างของคนบ้างาน เป็นไปได้ว่าเธอเองก็เกือบลืมไปแล้วว่าวันเกิดของตัวเองคือวันไหนใช่ไหมล่ะ”
มีคนที่ทนรอไม่ไหวแล้วโพล่งถามออกมา “งั้นเลขสามสิบแปดมันมีความหมายพิเศษอะไรกันแน่”
ลู่สืออวี่ยิ้มพลางเหลือบมองคนคนนั้นแวบหนึ่ง “ทำงานในแวดวงธุรกิจนี้มานานก็จะอ่อนไหวกับตัวเลขมาก ดังนั้นทิศทางของฉันกับพวกเธอก็เลยต่างกัน ฉันเดาว่าแม็กกี้จะต้องเขียนเลขจากมาตรฐานการบัญชี* ฉบับใดฉบับหนึ่งแน่ บังเอิญว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ตอนฉันไปที่ห้องทำงานของเธอ บนโต๊ะมี IAS ฉบับที่ 38* เปิดไว้พอดี”
ลินดาเข้าใจในทันที หันหน้ากลับมาถามเจียงเหม่ยซี “เป็นอย่างนี้จริงเหรอ”
เจียงเหม่ยซีหัวเราะโดยที่ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ
ทุกคนรีบประจบทันที ต่างชมว่าลู่สืออวี่มีความคิดรอบคอบ แม้แต่มู่ตี๋เองก็ทอดถอนใจ “ดูท่าทางเควินจะรู้จักแม็กกี้ดีจริงๆ”
มีเพียงเยี่ยสวี่ที่รู้สึกราวกับตัวเองเป็นคนนอกโดยสิ้นเชิง เมื่อทุกคนคร่ำครวญกันไปพอสมควรแล้ว เขาก็เอ่ยถาม “จะลงโทษยังไงครับ”
ลู่สืออวี่นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “อ้อ ใช่แล้ว เกือบลืมว่ายังมีเรื่องการลงโทษด้วย พนักงานใหม่เยี่ยสวี่มีสติมาก!”
ข้างหนึ่งของลู่สืออวี่มีเยี่ยสวี่นั่งอยู่ ส่วนอีกข้างเป็นพนักงานหญิงบีที่นั่งอยู่ข้างหลังเยี่ยสวี่ตอนอบรม หญิงสาวคิดหาวิธีเข้าใกล้เยี่ยสวี่ตั้งแต่ตอนสอบสัมภาษณ์แล้ว คนตาแหลมต่างมองออกว่าเธอสนใจเยี่ยสวี่ เวลานี้ทำให้เธอได้แสดงความสามารถกับเยี่ยสวี่พอดี ทุกคนจึงถือโอกาสแสดงน้ำใจ ส่งเสียงเชียร์ให้ทั้งสองคนจูบกัน
เจียงเหม่ยซีคาดไม่ถึงว่าเด็กสมัยนี้จะเปิดเผยกันขนาดนี้ แต่เมื่อคิดว่าคนที่ถูกลงโทษคือเด็กบ้านั่น ในใจก็รู้สึกยินดีในความโชคร้ายของเขานิดหน่อย แต่ด้วยสถานะของตัวเองเธอจึงไม่สะดวกที่จะราดน้ำมันลงบนกองไฟอย่างโจ่งแจ้งทำได้แค่มองดูทุกคนส่งเสียงเชียร์ด้วยรอยยิ้มราวกับชมไฟริมฝั่ง*
จู่ๆ เยี่ยสวี่ก็ลุกขึ้นยืน พนักงานหญิงบีเห็นสถานการณ์แล้วใบหน้าก็แดงเรื่อทันที
ขณะที่ทุกคนคิดว่าเยี่ยสวี่จะเดินไปทางพนักงานหญิงบี เขากลับพูดขึ้นว่า “ผมคิดว่าการลงโทษแบบนี้ไม่ยุติธรรม”
ทุกคนแปลกใจ “หมายความว่ายังไง”
“คนที่ถูกคนอื่นเดาความคิดได้ง่ายขนาดนั้น ไม่ใช่ว่าควรได้รับการลงโทษมากกว่าหรอกเหรอครับ”
ลู่สืออวี่งุนงง “คุณหมายถึงใคร”
เยี่ยสวี่มองเจียงเหม่ยซี “เธอ”
“แม็กกี้?”
“ใช่ ผมคิดว่าคนที่ควรได้รับการลงโทษมากที่สุดก็คือเธอ”