เหตุการณ์ไคลแมกซ์ที่เยี่ยสวี่บังคับจูบเจียงเหม่ยซีเมื่อครู่ทำเอาทุกคนไม่มีอารมณ์ที่จะเล่นเกมต่อ เพราะเมื่อเทียบกัน รอบหลังๆ ก็คงไม่มีเรื่องที่ตื่นเต้นไปกว่านี้อีกแล้ว
ดังนั้นก็เลยต่างฝ่ายต่างดื่มเบียร์ พูดคุย อวยพรกันและกัน
ลู่สืออวี่ยกแก้วเบียร์และเปลี่ยนที่นั่งกับเยี่ยสวี่ มู่ตี๋เห็นเขานั่งลงมาเธอก็รีบยกแก้วเบียร์ของตัวเองขึ้นมา แล้วเรียกชื่อเควินอย่างระมัดระวัง
ลู่สืออวี่ชนแก้วกับเธอด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ทว่าคำถามที่ถามออกมากลับไม่อ่อนโยนเท่าไหร่นัก “คุณกับแม็กกี้มีความสัมพันธ์อะไรกัน คุณรู้วันเกิดเธอด้วย”
มู่ตี๋นิ่งงันไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบปฏิเสธ “ฉันกับแม็กกี้จะมีความสัมพันธ์อะไรกันได้ล่ะคะ ตัวเลขนั้นฉันเดาไปเรื่อยเปื่อย จริงๆ นะคะ!”
รอยยิ้มบนใบหน้าของลู่สืออวี่ไม่เปลี่ยน “เธอบอกคุณว่าห้ามบอกความสัมพันธ์ของพวกคุณโดยเฉพาะกับผมใช่ไหม กลัวอะไรล่ะ ผมกับแม็กกี้เป็นเพื่อนเก่ากัน คุณรู้ไหม ญาติสนิทมิตรสหายของเธอก็คือญาติสนิทมิตรสหายของผม”
มู่ตี๋นึกถึงข่าวลือที่คนภายนอกบอกว่าเขาคือพยัคฆ์หน้ายิ้มขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนหน้านี้เธอยังไม่เคยได้สัมผัสกับคำนี้กับตัว แต่ตอนนี้เธอคิดแค่ว่าอยากจะยกสองมือสองเท้ามากดไลค์ว่าเห็นด้วย
“ฉันเดามั่วๆ จริงๆ…”
เยี่ยสวี่ที่นั่งฟังอยู่อีกด้านอย่างเงียบๆ ก็อดยกมุมปากไม่ได้ ตอนนั้นเองโทรศัพท์ที่ใส่เอาไว้ในกระเป๋ากางเกงก็สั่นครืด เขาหยิบออกมาเปิดดู เป็นข้อความข้อความหนึ่ง
‘ฉันอยู่ที่ริมทะเลสาบ ให้เวลาห้านาที มาพบฉัน!’
เยี่ยสวี่เงยหน้ามองไปทางริมน้ำ นอกจากม่านราตรีอันมืดมิดแล้วก็ไม่มีอะไรเลย
“แปดสองศูนย์คือใครเหรอ มีคนชื่อนี้ด้วย?”
ไม่รู้ว่าลู่สืออวี่เข้ามาใกล้ตั้งแต่เมื่อไหร่ และไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเห็นเนื้อหาในข้อความไปมากน้อยแค่ไหน
เยี่ยสวี่เก็บโทรศัพท์มือถืออย่างไม่เร่งรีบและบอกเขาว่า “เพิ่งจะดื่มเบียร์ไปนิดหน่อยเลยรู้สึกมึนๆ ผมจะออกไปสูดอากาศหน่อย”
ลู่สืออวี่ตบบ่าเขาอย่างมีนัยลึกซึ้ง “มึนก็ถูกแล้ว ไปเถอะ!”
เยี่ยสวี่ลุกขึ้นแล้วเดินไปยังริมทะเลสาบ
หลังเดินห่างออกมาจากกลุ่มคน เยี่ยสวี่ก็นึกถึงคำถามเมื่อครู่ของลู่สืออวี่ขึ้นมาก่อนจะหัวเราะเสียงเยือกเย็นอย่างอดไม่ได้ เบอร์โทรนั้นถูกบันทึกเก็บไว้ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเข้าโยวจี้แล้ว ส่วนทำไมถึงบันทึกชื่อเป็นแปดสองศูนย์ก็คงต้องถามเจ้าของเบอร์แล้วล่ะว่า…แปดร้อยยี่สิบหยวนถ้วน เธอตั้งราคาเขาเช่นนั้นได้อย่างไรกัน
ทะเลสาบชานเมืองที่ดูไม่ได้โอ่อ่าและไม่ได้กว้างใหญ่ในตอนกลางวัน เวลานี้กลับถูกห่อหุ้มอยู่ท่ามกลางราตรีอันไร้สิ้นสุดทำให้ดูลึกลับและอ้างว้างขึ้นมาไม่น้อย
เจียงเหม่ยซีรอเขาตรงริมทะเลสาบอยู่นานถึงเพิ่งจะได้ยินว่ามีเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างหลัง เมื่อเทียบกับความกระวนกระวายใจของเธอในตอนนี้แล้ว จังหวะก้าวเดินของเขามั่นคงและสงบนิ่งเป็นอย่างมาก
เธอหันกลับไปมองเห็นเงาร่างสูงผอมเดินออกมาจากความมืดอย่างเชื่องช้า สุดท้ายก็มาหยุดอยู่ตรงที่ที่ห่างออกไปจากเธอประมาณสองเมตร
ปฏิกิริยาแรกของเจียงเหม่ยซีคือมองไปที่ข้างหลังของชายหนุ่ม เธออยากจะเช็กให้แน่ใจว่าเขาถูกคนอื่นพบเข้าหรือเปล่า
เยี่ยสวี่เหมือนจะมองออกถึงความกังวลของเธอจึงยิ้มอย่างหยอกเย้าและเอ่ยว่า “สบายใจได้ เดินไปข้างหน้าอีกสองสามกิโลเมตรก็ไม่ใช่ปักกิ่งแล้วเหรอ คนพวกนั้นตามมาไม่ถึงที่นี่หรอกครับ”
เจียงเหม่ยซีพรูลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จากนั้นถึงนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้
เธอมองเยี่ยสวี่อย่างโกรธเกรี้ยว “เมื่อกี้นายหมายความว่ายังไง”
เยี่ยสวี่ซุกมือทั้งสองข้างไว้ในกระเป๋ากางเกง พูดอย่างเอื่อยเฉื่อยว่า “ก็แค่เกมเท่านั้น”
“เกม? กติกาของเกมไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย!”
เยี่ยสวี่เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ถึงยังไงสำหรับพวกเราสองคนนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก เทียบกับพนักงานหญิงที่ผมไม่รู้จักคนนั้นแล้ว ผมเลือกคุณ มีอะไรที่เข้าใจยากเหรอครับ คุณคงไม่คิดว่าผมอยากจะจูบคุณเป็นพิเศษหรอกนะ?”
เธอรู้ว่าเขาไม่มีทางคิดแค่นั้นแน่ ในความคิดของเธอ ทั้งหมดนี่ก็เป็นแค่การแก้แค้นแบบเด็กๆ ของเยี่ยสวี่เท่านั้น