Taking a chance on love เปิดใจให้ได้รัก
ทดลองอ่าน Taking a chance on love เปิดใจให้ได้รัก บทที่ 1
เจียงเหม่ยซีสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ตกลงว่านายต้องการอะไรกันแน่”
“คำพูดนี้ควรเป็นผมถามคุณมากกว่า เรียกผมมาด้วยเรื่องอะไรกันแน่”
“ฉันจะเตือนนายว่าคิดในสิ่งที่นายควรคิด ทำในสิ่งที่ควรทำ ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะเป็นยังไง ตอนนี้พวกเรามีความสัมพันธ์เป็นเจ้านายกับลูกน้อง นายรู้หรือเปล่าว่าคำพูดของคนมันน่ากลัว เข้าใจไหมว่าควรระวังการกระทำและคำพูดของนายทุกครั้ง แล้วเหตุการณ์ที่เหมือนกับเมื่อกี้ต่อไปก็อย่าให้เกิดขึ้นอีก!”
“งั้นเหรอครับ” เยี่ยสวี่หัวเราะ “ถ้ารู้ว่าคำพูดของคนมันน่ากลัวจริงๆ ก็ไม่ควรนัดลูกน้องผู้ชายมาเจอตามลำพังในสถานที่ที่ไม่มีคนแบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าหรือเปล่าครับ”
เจียงเหม่ยซีถูกทำให้สะอึกจนพูดไม่ออกสักประโยค
เยี่ยสวี่ผงกศีรษะ “นั่นน่ะสิครับ คำพูดคนมันน่ากลัว งั้นถ้าไม่มีเรื่องอื่นแล้วผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
พูดจบเยี่ยสวี่ก็หมุนตัวเดินไปยังทิศทางที่มา ทว่าเพิ่งจะเดินไปได้สองก้าวเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้จึงหยุด
“อ้อ ใช่แล้ว…” เขาหันกลับมามองเจียงเหม่ยซี จู่ๆ ก็ลูบริมฝีปากล่างของตัวเอง “ไม่มีใครบอกคุณเหรอครับว่าลิปสติกสีนี้น่ะไม่เหมาะกับคุณเลย”
พูดจบก็หมุนตัวเดินหายเข้าไปในม่านราตรีอันมืดมิด
เธอใกล้จะบ้าตายอยู่แล้ว ตอนเที่ยงคิดจะขู่เขา ผลกลับถูกเขาขู่ซะเอง เมื่อกี้เรียกเขาออกมาตั้งใจว่าจะสั่งสอนเขาสักสองสามประโยค ผลก็กลับถูกเขาแกล้งเล่นอีกแล้ว
เจียงเหม่ยซีโตมาจนป่านนี้แล้วยังไม่เคยรู้สึกอัดอั้นตันใจขนาดนี้มาก่อนเลย! โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายเป็นแค่ลูกหมาป่าที่เพิ่งออกจากรังแบบนี้
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เธอจะต้องทำให้เขาไปจากโยวจี้ให้ได้!
ชีวิตเกือบสามสิบปีมานี้ของเจียงเหม่ยซีความจริงแล้วค่อนข้าง ‘มีสีสัน’ ทีเดียว ตอนเธออายุสี่ห้าขวบ จู่ๆ พ่อก็หอบเอาของมีค่าทั้งบ้านหายไปอย่างกะทันหัน ทิ้งเธอและพี่สาวไว้กับแม่ที่ไม่ได้ทำงาน ตอนอายุยี่สิบกว่า จู่ๆ แฟนหนุ่มที่คุยๆ ไว้ว่าจะแต่งงานกันบอกเลิกเธอกะทันหัน เจียงเหม่ยซีที่รอคอยว่าจะได้แต่งงานกลับกลายเป็นคนโสดในชั่วข้ามคืน อยู่ในบริษัทมาหลายปี เธอก็เปลี่ยนตัวเองจากคนขี้ขลาดในที่ทำงานกลายมาเป็นแม่มดอย่างที่ทุกคนเรียกกัน
เจียงเหม่ยซีเคยขลาดกลัว แต่นับวันก็ยิ่งเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าหากเธอกลัวความยากลำบาก ความยากลำบากนั้นก็จะกลั่นแกล้งเธอ หากไม่กลัวปัญหา ปัญหาก็จะเบี่ยงทางไปเอง
สู้กับฟ้า สู้กับดิน มีความสุขอันยาวนานไม่สิ้นสุด ถ้อยคำประโยคนี้สะท้อนอยู่บนตัวของเจียงเหม่ยซีอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
แต่ตอนนี้ตรงหน้าเจียงเหม่ยซีมีกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่ ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้วบนนั้นก็ยังคงมีเพียงเลขหนึ่งปรากฏอยู่ตัวเดียว ไม่มีอะไรอย่างอื่นเลย
เธอจำเป็นจะต้องวางแผนไล่เด็กบ้านั่นอย่างละเอียด กลิ่นคาวเลือดของการต่อสู้ครั้งนี้เข้มข้นมาก แต่เจียงเหม่ยซีที่ชอบการต่อสู้กลับผิดแปลกไปจากปกติ ไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกถึงเลือดร้อนพลุ่งพล่านเท่านั้น กลับกันเธอยังรู้สึกปวดหัวเป็นอย่างมาก…
หลังจากศึกษากฎหมายแรงงานกับกฎและข้อบังคับของบริษัทอย่างละเอียดแล้ว เจียงเหม่ยซีจึงค้นพบว่าสิ่งที่ตนเองสามารถใช้ได้มีเพียงสิทธิ์ประเมินผลใน ‘การประชุมลับ’ ช่วงปลายปีซึ่งมีปีละครั้งเท่านั้น
การประชุมลับมีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อพนักงานของโยวจี้ทุกคน เพราะนี่เกี่ยวข้องโดยตรงว่าพนักงานจะสามารถเลื่อนขั้นได้อย่างราบรื่นหรือไม่
‘ถูกเลิกจ้าง’ ที่เจียงเหม่ยซียกมาพูดถึงตอนบรรยายไม่ใช่แค่คำพูดข่มขวัญให้หวาดกลัว เพราะพนักงานส่วนใหญ่ต่างก็ล้วนปรารถนาว่าจะได้อยู่ที่โยวจี้ ยกเว้นนอกเสียจากว่าตัวเองเลื่อนขั้นไม่ได้ หากพนักงานในรุ่นเดียวกันกลายเป็นหัวหน้าของตน ทั้งยังสามารถชี้นิ้วสั่งได้ คนส่วนใหญ่ไม่มีทางยอมรับการตกเป็นเบี้ยล่างพรรค์นี้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนงาน
ผู้ที่จะมีส่วนร่วมในการให้คะแนนรวมรอบสุดท้ายของพนักงานได้นั้น นอกจากเหล่าผู้บริหารที่เข้าร่วมประชุมแล้ว สิทธิ์อำนาจในคำพูดของหัวหน้าพนักงานคนนั้นๆ ก็มีน้ำหนักมากเช่นกัน
ดังนั้นสิ่งที่เจียงเหม่ยซีจะต้องทำในขั้นต่อไปก็คือพยายามเป็นหัวหน้าโปรเจ็กต์ของเยี่ยสวี่ให้ได้ แต่การจะเป็นหัวหน้าโปรเจ็กต์ของเขาได้ เธอก็จำเป็นจะต้องพาเขาไปทำงานด้วยในทุกๆ โปรเจ็กต์ นอกจากนี้แล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้เขาพูดอะไรที่ไม่ควรพูดต่อหน้าคนอื่น เธอยังต้องลดเวลาไม่ให้เขาไปคลุกคลีกับพนักงานคนอื่นๆ นานเท่าที่จะเป็นไปได้อีกด้วย ซึ่งทั้งหมดนั่นก็หมายความว่าเธอต้องจะหอบหิ้วเขาไว้กับตัวเองเท่าที่จะเป็นไปได้!
เดิมทีสถานะพิเศษนี้เธอวางแผนว่าจะเก็บไว้ใช้กับมู่ตี๋ แต่ในเมื่อตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว และเธอก็ได้แต่ต้องใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้กับเด็กนั่น
พอดีกับที่ลินดาเพิ่งมาคุยถึงโปรเจ็กต์ IPO มันโปรเจ็กต์ที่ไม่ได้ใหญ่มากนัก ปกติแล้วไม่ต้องให้คนระดับผู้อำนวยการมาพาทีมไปด้วยตัวเอง อีกทั้งคุณสมบัติของบริษัทก็ไม่ได้นับว่าดีมากนัก แต่ผู้บริหารของบริษัทนี้เป็นคนที่คนรู้จักของลินดาแนะนำมา ลินดาเคยกำชับเอาไว้เป็นพิเศษว่า ‘ให้เจียงเหม่ยซีรับช่วงต่อด้วยตัวเองจะดีที่สุด เธอถึงจะวางใจ’ ทีแรกเจียงเหม่ยซียังลังเลอยู่นิดหน่อยเพราะงานในมือของเธอยังมีอยู่เยอะมาก แต่ตอนนี้มีเยี่ยสวี่ที่เป็นคล้ายระเบิดเวลาเพิ่มมาอีกคน เธอจึงตัดสินใจว่าจะมาทำโปรเจ็กต์นี้ด้วยตัวเอง
ตอนแรกหลังจากยืนยันเรื่องนี้ไปแล้วเธอก็แจ้งให้เลขาฯ หลินจยาทำการจองช่วงเวลาสามเดือนหลังทั้งหมดของเยี่ยสวี่ไว้ให้เรียบร้อย
พนักงานใหม่เข้ามาในบริษัทและรับโปรเจ็กต์นั้นเป็นเรื่องที่ปกติมาก แต่ตอนที่เจียงเหม่ยซีบังเอิญได้ยินพนักงานคนอื่นๆ คุยเรื่องนี้กันที่ห้องน้ำเธอถึงได้ตระหนักว่าตัวเองประเมินความสามารถในการจินตนาการของผู้คนต่ำไปอีกแล้ว
พนักงานหญิงเอพูดจาอย่างใหญ่โต “ฉันได้ยินพนักงานของฝ่ายฝึกอบรมบอกว่าดูเหมือนหนุ่มหล่อที่มาใหม่คนนั้นจะไม่รู้จักดูสถานการณ์ คิดแต่จะหาที่พึ่งพิง ผลคือรนหาที่ตายไปพึ่งแม็กกี้ ทั้งยังนัดเธอไปเจอที่ห้องว่างๆ ด้วย”
พนักงานหญิงบีเออออผสมโรงไปด้วย “แรงขนาดนั้นเชียว! แล้วหลังจากนั้นล่ะ?”
“คนคนนี้เป็นเจ้านายแบบไหนเธอก็รู้ ไม่ใช่แค่ไม่มีความเป็นผู้หญิงนะ แต่ยังไม่มีความเป็นมนุษย์ด้วย! หนุ่มหล่อคนนั้นน่ะถูกทำร้ายด้วยล่ะ ว่ากันว่าเขาสารภาพความในใจกับเธอ เธอก็สาดน้ำใส่หน้าเขาโดยไม่พูดไม่จาเลย สาดจริงๆ นะ! แล้วยังบอกอีกว่า ‘อย่าคิดว่าคุณเข้ามาในบริษัทแล้วจะทำอะไรตามอำเภอใจได้ ถ้าให้ฉันรู้ว่าคุณไม่มีความสามารถเพียงพอหรือประพฤติตัวไม่เหมาะสมอีก ฉันสามารถทำให้คุณออกไปจากบริษัทนี้ได้!’ ”
“ว้าว เป็นแม็กกี้อย่างที่คิดจริงๆ มีสง่าราศี ที่ว่าไม่เข้าใจมุกจีบหญิงก็เป็นเรื่องจริง…”
“ใครว่าไม่ใช่ล่ะ เธอไม่เคยเห็นว่าหนุ่มหล่อคนนั้นเป็นยังไงน่ะสิ ถ้าคนที่เขาชอบเป็นฉันล่ะก็ ฉันรับรองว่าจะตอบรับเขาทันทีเลย!”
พนักงานบีหัวเราะ “เธอนี่บ้าผู้ชายอีกแล้ว! อ้อใช่ หลังจากนั้นล่ะเป็นยังไง”
“หลังจากนั้นลินดาไปก็เลี้ยงข้าวพนักงานใหม่กลุ่มนี้น่ะสิ หลังจากกินข้าวเสร็จก็เล่นเกมกัน หนุ่มหล่อคนนี้ก็ไม่ใช่คนที่รับมือได้ง่ายๆ ด้วยนะ ตอนนั้นตามกติกาของเกมคือเขาจะต้องจูบกับพนักงานหญิงอีกคน แต่คงอยากจะแก้แค้น เขาก็เลยเป็นฝ่ายบอกลินดาเองว่าจะจูบแม็กกี้!”
พนักงานบีร้องเสียงแหลม “จริงเหรอ!”
“จริงแท้แน่นอน ตอนนี้รู้กันหมดทั้งบริษัทแล้ว”
“งั้นโปรเจ็กต์ IPO นั่นน่ะ ที่แม็กกี้จิ้มชื่อว่าจะพาหนุ่มหล่อคนนั้นไป…ความจริงแล้วเพื่อรอโอกาสเชือดเขางั้นเหรอ”
เจียงเหม่ยซีจัดระเบียบเสื้อผ้า เสียงกริ๊กดังขึ้น เธอเปิดประตูแล้วเดินออกจากห้องน้ำมาหยุดหน้าอ่างล้างมืออย่างไม่รีบไม่ร้อน เจียงเหม่ยซีเปิดก๊อกน้ำและเริ่มล้างมืออย่างเอื่อยเฉื่อย
เธอล้างไปพลางกวาดมองพนักงานสองคนนั้นจากในกระจกไปพลาง “ฉันจะเชือดใครนะ”
“แม็กกี้! จริงๆ พวกเราก็ได้ยินมาจาก…ที่ฝ่ายฝึกอบรมลือกันมาน่ะค่ะ…”
“ใช่ๆๆ!”
พนักงานหญิงสองคนนั้นพอเห็นว่าตัวละครหลักในหัวข้อสนทนาอยู่ที่นี่ด้วยก็ตกใจจนสติเตลิดแล้ว ทั้งคู่ละล่ำละลักกล่าวขอโทษแล้วชิ่งหนีไป
หลังจากพวกเธอทั้งคู่ออกไป ห้องน้ำก็เงียบลงอีกครั้ง ตอนนั้นเองเจียงเหม่ยซีถึงได้รู้ตัวว่าเวลาฝึกอบรมหนึ่งเดือนสิ้นสุดลงแล้ว และเยี่ยสวี่ก็ได้เข้าบริษัทอย่างเป็นทางการแล้ว แต่ภาพที่ผุดขึ้นมาในหัวของเธอกลับเป็นภาพเหตุการณ์ที่เขาจูบเธอต่อหน้าทุกคนในวันนั้น ตอนที่พวกเราพบกันเป็นครั้งแรก รวมไปถึงตอนที่เธอประคองใบหน้าของเขา แววตาของเขาที่มองมาที่เธอ…
เจียงเหม่ยซีรู้สึกว่าเส้นเลือดที่ขมับกำลังเต้นตุบๆ เธออดยื่นมือไปกดเอาไว้ไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าจนวัยนี้แล้วยังจะต้องมาเจอกับเรื่องใหญ่แบบนี้
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 15 ก.พ. 65 เวลา 12.00 น.