เพื่อไม่เป็นการหาเรื่องใส่ตัวเองเธอย่อมต้องปลอบใจมารดาเอาไว้ก่อน แต่เพื่อป้องกันเผื่อว่าผลในการสอบสัมภาษณ์จะมีอะไรที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นจริงๆ ก่อนจะวางสายเธอจึงกล่าวเตือนปลายสายเอาไว้ก่อนเช่นกัน “แม่สบายใจได้ เรื่องของเสี่ยวตี๋หนูจะพยายามให้เต็มที่ แต่แม่ก็ต้องวางแผนเผื่อดีเผื่อร้ายด้วย…ถึงยังไงบริษัทก็ไม่ใช่กิจการของครอบครัวเรา ต่อให้กรรมการผู้จัดการพูดก็ใช่ว่าการตัดสินจะเป็นอันสิ้นสุด ยิ่งไปกว่านั้นผู้อำนวยการกระจอกๆ ที่สัมภาษณ์แทนกรรมการผู้จัดการชั่วคราวอย่างหนูน่ะนะ…จะสำเร็จหรือเปล่าสุดท้ายก็ต้องขึ้นอยู่กับผลงานของเสี่ยวตี๋อยู่ดี”
แต่คุณนายเจียงกลับไม่สะทกสะท้าน “แม่ว่านะเหม่ยซี…ลูกช่วยมีกึ๋นหน่อยได้หรือเปล่า ถ้าลูกยืนกรานว่าจะเก็บไว้ใครมันจะพูดอะไรได้ คนหัวแข็งอย่างลูกน่ะ สองปีแล้วยังไม่ไปถึงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ แม่ว่ามันต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แน่ๆ เหม่ย…”
เจียงเหม่ยซีพบว่าตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับคุณนายเจียงนั้น คำพูดแต่ละประโยคล้วนมีแต่น้ำ พอมองดูเวลาเธอก็เห็นว่าใกล้จะสายแล้วจึงตัดบทผู้เป็นแม่ “เอาล่ะๆ หนูรู้แล้ว หนูจะจัดการเอง ถ้าแม่ไม่มีธุระอื่นแล้วหนูวางสายก่อนนะคะ”
“เดี๋ยวก่อน!” ทันใดนั้นเองคุณนายเจียงก็ผ่อนน้ำเสียงลงแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เสี่ยวจางนัดกับลูกตั้งกี่ครั้งกี่หน ลูกก็เอาแต่ทำโอที เมื่อวานบอกไว้ดิบดีว่าจะไปเจอเขาก็ไม่ไปอีกแล้ว ว่างเมื่อไหร่ก็รีบไปเจอสักหน่อยก็แล้วกัน อย่าให้ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายเป็นกังวลอีก”
ถ้าแม่ไม่พูดเรื่องนี้ก็ดีไป แต่พอพูดขึ้นมาเจียงเหม่ยซีก็นึกถึงเรื่องที่ตัวเองปล่อยไก่ไปตัวเบ้อเร่อเมื่อวานทันใด เธอเพิ่งจะฝืนสะกดอารมณ์โมโหเอาไว้ได้แท้ๆ ทว่าตอนนี้มันกลับพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้งจนได้
พนักงานในบริษัทที่เดินสวนกันเอ่ยทักทายเธอ เจียงเหม่ยซีจึงผงกศีรษะตอบรับเล็กน้อยก่อนจะรีบเดินเข้าไปในลิฟต์
เวลานี้ในลิฟต์มีแค่เธอเพียงคนเดียว ดังนั้นทันทีที่ประตูลิฟต์ปิดเธอก็ไม่สะกดโทสะเอาไว้อีกต่อไป “หนูว่านะแม่ แม่เลิกจัดแจงเรื่องนัดบอดไร้สาระพรรค์นี้ให้หนูสักทีได้ไหม ใครเป็นคนบอกว่าคนเรามีชีวิตอยู่แล้วต้องแต่งงานกันล่ะ หนูเคยเห็นชีวิตแต่งงานพังไม่เป็นท่ามานักต่อนักแล้ว ทั้งของแม่ ของพี่ ทำไมแม่ถึงยังยึดติดอยู่กับเรื่องแต่งงานขนาดนี้นัก นี่เป็นหนึ่งในอาการของสต็อกโฮล์มซินโดรม เหรอ การแต่งงานทำร้ายแม่มาร้อยรอบพันรอบ แต่แม่ก็ยังทำเหมือนการแต่งงานเป็นรักแรกอยู่ได้ หนูขอเตือนแม่กับพี่ไว้เลยนะ แทนที่จะเอาเวลามาเกลี้ยกล่อมหนูให้แต่งงาน เอาเวลาไปหาหมอก่อนดีกว่า!”
“เจียง! เหม่ย! ซี!” โทสะของคุณนายเจียงจากปลายสายส่งมายังเจียงเหม่ยซีโดยไม่ลดลงไปเลยแม้แต่น้อย มารดาของเธอแผดเสียงตอบกลับมาทันที “ตระกูลเจียงของเราไม่เคยมีลูกสาวที่แต่งไม่ออก! ต่อให้ท้ายที่สุดจะต้องหย่า ลูกก็ต้องหาคนมาแต่งงานก่อนแล้วค่อยว่ากัน! อีกอย่าง แม่ไม่ได้ป่วย ถ้าจะป่วยก็เป็นเพราะลูกยั่วโมโหนี่แหละ!”
พูดจบอีกฝ่ายก็ตัดสายทิ้งทันทีโดยไม่รอให้เจียงเหม่ยซีได้ตอบกลับ
เจียงเหม่ยซีฟังเสียงสัญญาณที่ถูกตัดดัง ‘ตู๊ดๆ’ แล้วก็เหม่อลอยไปพักหนึ่งอย่างห้ามไม่ได้
ในความทรงจำของเธอ การต่อสู้นี้ต่อเนื่องยาวนานมาเกือบสิบปีแล้ว เมื่อไหร่แม่จะคิดถึงความรู้สึกของเธอจริงๆ และเลิกบังคับให้เธอทำเรื่องที่ไม่อยากทำเพราะแคร์สายตาของคนอื่นได้สักที
ในชั่วพริบตานั้นเจียงเหม่ยซีนึกสงสัยว่าตัวเองคงใกล้จะระเบิดแล้ว แต่เมื่อประตูลิฟต์เปิดอีกครั้งเธอก็รีบจัดการตัวเองให้เรียบร้อย ทำราวกับว่าไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้นทั้งนั้นก่อนจะก้าวยาวๆ ออกจากลิฟต์ไป