เลขาฯ หลินจยาเห็นเธอปรากฏตัวก็พรูลมหายใจออกมา “แม็กกี้! ในที่สุดคุณก็มาสักที รถติดเหรอคะ”
เจียงเหม่ยซีไม่ตอบแต่ถามหลินจยากลับ “สอบสัมภาษณ์ที่ห้องไหน”
“ห้องประชุมห้องที่สามค่ะ” พูดถึงตรงนี้หลินจยาก็ระบายยิ้มออกมา “เพิ่งเริ่ม”
เจียงเหม่ยซีเลิกคิ้วโดยไม่รู้ตัว ในเมื่อเธอรับหน้าที่เป็นผู้สัมภาษณ์และยังไปไม่ถึงห้องทำไมจึงเริ่มแล้ว
หลินจยาเข้าใจอย่างรวดเร็ว เธอยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนก่อนจะพูดขึ้นว่า “ไม่ใช่ว่ายังมีเควินด้วยหรอกเหรอคะ”
“ใครใช้ให้เขายุ่งไม่เข้าเรื่อง”
หลินจยามองซ้ายมองขวา เมื่อมั่นใจว่ารอบๆ ไม่มีคนอยู่ถึงได้กดเสียงให้เบาลง “เขาบอกว่าเป็นความต้องการของบอสน่ะค่ะ ให้พวกคุณสองคนรับผิดชอบเรื่องการสัมภาษณ์ด้วยกัน ฉันเองก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรมากนัก”
หลังได้ยินคำพูดนี้เจียงเหม่ยซีก็หัวเราะเบาๆ ออกมาอย่างเย้ยหยัน แต่เป็นการเย้ยหยันลู่สืออวี่เพื่อนเก่าของเธอคนนั้น หรือเย้ยหยันบอสที่คิดจะถ่วงดุลเธอกับเขาอยู่ตลอดเวลา เธอเองก็บอกไม่ถูกเช่นกัน และไม่อยากจะไปคิดจุกจิกอีกด้วย
ตอนนี้พวกเธอทั้งคู่เดินมาถึงหน้าประตูห้องประชุมห้องที่สามแล้ว หลินจยากำลังจะเคาะประตู แต่เจียงเหม่ยซีทำเหมือนไม่เห็น เธอผลักประตูเปิดออกและเดินเข้าไปทันที
ในห้องประชุมตอนนี้มีคนแค่สองคนนั่งอยู่ คนที่นั่งตำแหน่งผู้สัมภาษณ์คือลู่สืออวี่ ส่วนอีกคนกำลังหันหลังให้เธออยู่ และเมื่อได้ยินเสียงเขาก็ไม่ได้หันหน้ากลับมา มีเพียงลู่สืออวี่ที่แสร้งส่งยิ้มให้เธอมาแต่ไกล
แม้กระทั่งจะทักทายอย่างลวกๆ เจียงเหม่ยซีก็ยังคร้านจะทำ เธอไม่พูดอะไรสักประโยคแต่เดินตรงไปนั่งประจำที่ข้างๆ ลู่สืออวี่ และเมื่อเงยหน้ามองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าชัดๆ ทั่วทั้งตัวก็กลายเป็นหินไปในพริบตา
เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน คนคนนั้นที่เธอเจอเมื่อเช้าคือเขาอย่างนั้นเหรอ?!
เธอมองชายหนุ่มที่อยู่ฝั่งตรงข้าม อีกฝ่ายเองก็จ้องมองเธออยู่เช่นกัน แววตานั้นดูเอื้ออารี ไม่เย่อหยิ่งเกินไปและไม่ถ่อมตนเกินไป
“รถติดเหรอ” จู่ๆ ลู่สืออวี่ก็เอ่ยปากถามขึ้น ทำให้เจียงเหม่ยซีได้สติคืนมา
เธอรีบก้มหน้าลงแสร้งทำเป็นอ่านประวัติย่อที่อยู่บนโต๊ะ ขณะเดียวกันก็จัดการกับอารมณ์ของตัวเองให้เรียบร้อย
เห็นเธอไม่ตอบ ลู่สืออวี่ก็ไม่ได้โกรธ เขาช่วยแนะนำเธอให้กับคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างง่ายๆ “แดเนียล ผู้หญิงท่านนี้คือคนที่ผมพูดถึงให้คุณฟังเมื่อกี้ แม็กกี้ ผู้อำนวยการอีกคนของฝ่ายเรา แม็กกี้…ก่อนที่เธอจะมาพวกเราเพิ่งจะเริ่มกัน ภาษาอังกฤษของแดเนียลไม่เลวเลยทีเดียว ผลการเรียนในสาขาวิชาก็ยอดเยี่ยม”
เจียงเหม่ยซียิ้มพลางพยักหน้า สายตากวาดอ่านประวัติตรงหน้าอย่างรวดเร็ว ที่แท้เขาชื่อเยี่ยสวี่นี่เอง ชื่อภาษาอังกฤษคือแดเนียล ปีนี้อายุยี่สิบสอง เรียนจบจากมหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และการเงิน สาขาวิชาการเงิน เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง
“งั้นพวกเราต่อกันเลย” ลู่สืออวี่พูดต่อ “ผมว่าผลการเรียนของคุณไม่เลวทีเดียว ทำไมถึงไม่เลือกเป็นผู้สอบบัญชีที่วาณิชธนกิจล่ะครับ”
“จริงๆ ไม่มีอะไรที่พิเศษหรอกครับ แค่อยากจะเรียนรู้อะไรสักหน่อย”
ลู่สืออวี่ได้ยินคำตอบนี้แล้วหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างไว้หน้าอีกฝ่าย “อยู่ที่นี่ก็เรียนรู้อะไรได้ไม่น้อยจริงๆ นั่นแหละครับ แต่สำนักงานดีๆ มีตั้งเยอะแยะ ทำไมคุณถึงเลือกโยวจี้ของพวกเราล่ะ”
การถามคำถามประเภทนี้เห็นได้ชัดว่าอยากจะฟังคนอื่นยกยอตัวเอง ดังนั้นเจียงเหม่ยซีเลยไม่ได้ใส่ใจ ใครจะรู้ว่ารออยู่นานก็ยังไม่ได้ยินคำตอบจากเยี่ยสวี่ เธออดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมาแล้วจึงพบว่าอีกฝ่ายจ้องเธออยู่อย่างไม่ไหวติง
ทั้งสองสบตากันโดยมีโต๊ะประชุมกั้นอยู่ ขณะที่เขาค่อยๆ ยกมุมปาก ก้นบึ้งหัวใจของเจียงเหม่ยซีก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีตามไปด้วย
“เพื่อคนคนหนึ่งครับ”
ภายในห้องประชุมเงียบสงัดไปชั่วครู่